ตอนที่ 54
-ปอนด์-
ความจริงเช้านี้อากาศไม่ได้ร้อน เพราะเครื่องปรับอากาศในห้องทำให้รู้สึกเย็นสบายหากไม่มีผ้าห่มผืนหนาห่มคลุมร่างไว้ คงหนาวด้วยซ้ำ แต่ที่ผมต้องขยับตัวดิ้นอยู่นี่ เพราะความอึดอัดจากอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบร่างเกือบเปลือยของผมไว้ในอ้อมกอดนั่นต่างหาก...
“ตื่นแล้วเหรอ?...” คำถามนั่นเป็นเสียงของคนเพิ่งตื่นเช่นกัน แต่กลับถามเหมือนตื่นก่อนนานแล้ว...
“อือ... ปล่อยก่อนได้ไหม กูหายใจไม่ออก” น้ำเสียงปนอ้อนวอนนิดๆ ทำให้คนที่นอนตะแคงกอดผมไว้ค่อยๆคลายอ้อมกอดออกช้าๆ ผมค่อยๆ ชันกายลุกขึ้นนั่งเอามือกุมศีรษะที่ปวดมึนยังไม่หาย
“นี่กี่โมงแล้ววะ...” ผมถาม เพราะตัวเองไม่ใส่นาฬิกา และหันซ้ายแลขวา ห้องนอนของตุลย์ก็ไม่มีเครื่องบอกเวลาแขวนไว้ที่ผนังเลยสักเรือน
“11 โมงกว่าแล้วล่ะ” เจ้าของเตียงตอบกลับมาเนือยๆ
“ตายห่า สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกวะเนี่ย มือถือกูอยู่ไหน”
“อยู่นี่” ตุลย์ยื่นมาให้ “ที่จริงมันก็ดังนะ แต่มึงก็ยังไม่ยอมตื่น กูเองก็ง่วงจัด เลยรำคาญจนกดปิดไปเท่านั้นเอง”
“เอ๊ะ แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะ” ผมโวยวายตวัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกจากเตียง หันรีหันขวางหาเสื้อผ้ามาใส่ แต่หาซากไม่พบ
“ยังแฮ้งไม่หาย พักสักวันก็ได้มั้ง”
“จะถึงวันจริงอยู่แล้ว จะเกเรได้ไงวะ”
“กับเรื่องเรียนขยันได้แบบนี้ป่ะเนี่ย...”
“พูดมากน่า เสื้อผ้ากูอยู่ไหน....” ผมถามอย่างหงุดหงิด ก็เมื่อคืนดันโดนถอดจนเหลือแต่บอกเซอร์ตัวเดียวแล้วนี่
ไอ้ตุลย์ไม่ตอบคำถาม มันลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพบอกเซอร์ตัวเดียว เปลือยท่อนบนโชว์แผงอก หน้าท้องงามๆ และหุ่นสุดเพอเฟ็ค จนทำให้ผมต้องแอบหลบสายตา
“ไปอาบน้ำไป...” มันบอก แล้วยื่นผ้าขนหนูผืนโตมาให้ ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วยังไม่ยอมขยับตัว
“ไปดิ ชักช้าเดี๋ยวกูเปลี่ยนใจนะ” มันบอกแล้วก็ยิ้มด้วยแววตาบางอย่างที่ทำให้ผมต้องรีบขยับหนีเข้าไปในห้องน้ำ ระหว่างที่หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุดอย่างไม่มีเหตุผล...
ทำไมรู้สึกแบบนี้นะ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ
ผมได้กางเกงยีนส์ตัวโตของมันมาใส่ รู้สึกประหลาดๆ เหมือนกันที่ตุลย์พยายามรัดเข็มขัดให้ เสื้อยืดที่เล็กที่สุดในตู้ เมื่อผมเป็นคนใส่ก็ยังเหลือพื้นที่มากอยู่ดี เมื่อผมแต่งตัวเรียบร้อยลงมาถึงหน้าบ้านก็เจอสภาพคนที่อาสาส่ง ในสภาพบอกเซอร์รัดๆ กะเสื้อยืดอีกตัวนึง....
“จะไปชุดนี้เหรอ?”
“ไปส่งมึงอย่างเดียว แล้วจะกลับมานอนต่อ”
“ไม่ต้องไปก็ได้มั้งงั้นน่ะ”
“แล้วมึงจะไปยังไง แถวนี้วินกว่าจะผ่านมาแต่ละคัน ขึ้นรถเถอะ วันนี้กูอารมณ์ดี” มันยิ้มแล้วเดินนำไปยังที่นั่งคนขับ
ผมเดินตามขึ้นรถไปแบบงงๆ
รถขับมาจอดหน้าเซเว่น พร้อมคนขับรถ ยื่นเงินมาให้
“กาแฟร้อนแก้วนึง กับขนมปังสองถุง มึงซื้อนมที่มึงชอบมากินด้วยล่ะ”
“ขนมปังอะไร ลงไปซื้อเองดิ”
“อะไรก็เอามาเถอะ มึงก็เห็นว่ากูใส่บอกเซอร์มา...”
ผมส่ายหน้าน้อยๆ แล้วเดินลงไปซื้อของตามที่มันสั่ง แล้วกลับมาขึ้นรถที่ติดเครื่องทิ้งไว้ในเวลาไม่นานนัก
“กินรองท้องก่อนก็ได้ 11โมงกว่าแล้ว ไม่รู้มึงจะได้กินข้าวตอนไหน”
“แล้วไหนมึงบอกจะนอน แล้วกินกาแฟทำไม”
“กินไปงั้นแหละ กาแฟสำหรับกูน่ะ ยานอนหลับดีๆ นี่เอง”
ผมไม่ได้ตอบอะไร หยิบนมกล่องมาเจาะหลอดดูดทานคู่กับขนมปัง เพราะที่จริงก็เริ่มหิวอยู่เหมือนกัน
“ถึงแล้ว” มันบอกเมื่อจอดรถยนต์ที่หลังตึกชมรม ผมยกกล่องนมขึ้นดูดยาวๆ ให้หมดกล่องก่อนจะยัดกล่องลงในถุงพลาสติก
“ฝากทิ้งด้วยนะ กูไปล่ะ....”
“อือ...แล้วเจอกันเย็นนี้นะที่รัก....”
ผมชะงักกับคำพูดของมันนิดหนึ่ง แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน รีบเดินออกจากรถแม้จะยังสงสัยว่ามันอารมณ์ดีหรือกินของผิดสำแดงกันแน่วะเนี่ย!
หลังจากปิดประตูรถ ผมยังยืนรอจนรถคันงามเคลื่อนตัวออกไป
“ใครมาส่งน่ะ” ผมเกือบสะดุ้งเมื่อคำถามลอยอยู่ใกล้ตัวจนต้องหันขวับไปมอง
“อ้าว โต้ง....มึงมาได้ไงวะ” ผมออกจะประหลาดใจอยู่ที่เห็นหน้ามันตอนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่กี่วันที่ผ่านมามันเพิ่งขอเวลาทำใจ
“ทำไม มึงไม่อยากเจอกูขนาดเลยเหรอ?” ผมเผลอถอนหายใจอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อแบบนั้น ความจริงผมควรจะพูดอะไรแรงๆ ตีมึนเหมือนปกติ แต่นึกดูอีกทีก็สงสาร
“เปล่าสักหน่อย ใครกันแน่ที่ไม่ยอมรับสายกูอยู่ตั้งหลายวัน อยู่ดีๆ ก็โผล่หน้ามาจะไม่แปลกใจได้ไง”
“ว่าแต่ใครมาส่ง....” มันกลับไปที่คำถามเดิมอีกแล้ว
“เรื่อง.....” ของกู.... ประโยคท้ายค่อยๆ กลืนหายไปในลำคออีกครั้งเมื่อเจอหน้าเศร้าของมัน... “แฟนกูมาส่ง”
ผมตอบหน้าตายเพราะขี้เกียจนึกคำโกหก
“นี่มึงล้อกูเล่นป่ะเนี่ย” ผมก็นึกอยู่แล้วแหละว่ามันต้องพูดแบบนี้...
“พอพูดความจริงก็ ไม่เชื่อ งั้นก็เอาตามที่มึงสบายใจละกัน กูขอตัวไปชมรมก่อน นี่ก็มาสายเป็นชั่วโมงละ” ผมตัดบทกำลังจะผละหนี
“แต่กูมีเรื่องจะคุยกะมึงนะ”
“วันหลังได้ป่ะวะ กูยุ่งๆ อ่ะ”
“แล้วแต่มึงเหอะ... ถ้าของที่มึงลืมทิ้งไว้มันไม่สำคัญขนาดนั้น”
ของ...ที่ ...ลืมไว้??? ให้ตายสิผมลืมเรื่องซีดีบ้านั่นไปเสียสนิทเลย
“อ้อ มึงหมายถึง... ซี.... เอ่อเสื้อกูใช่ป่ะ โทษทีว่ะกูลืมไปเลย ตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะ ยังอยู่ในรถป่ะ กูจะได้ตามไปเอา”
“ไม่อ่ะ กูเก็บขึ้นคอนโดไปละ ถ้าตอนนี้มึงยุ่งๆ ก็ช่างมันก่อนก็ได้ ว่างเมื่อไรค่อยไปเอา”
“โอเค งั้นเย็นนี้กูไปเอา มึงว่างใช่ป่ะ”
“อือ ว่าง.....”
เย็นวันนั้น ผมรีบโบกวินไปคอนโดโต้งอย่างไวว่องเพราะความใจร้อนอยากได้ซีดีนั้นคืน พอผมมาถึงหน้าคอนโดพ่อกระต่ายเพิ่งจะโทรถามว่าผมอยู่ไหน ซึ่งผมไม่ทันเอะใจว่าคำว่าเจอกันเย็นนี้ของมันหมายถึงมันจะแวะมารับเพื่อจะพาไปเอารถของผมที่ซ่อมเสร็จแล้ว พอรู้ว่าต้องไปรับเก้อ มันเลยออกอาการหงุดหงิดเตรียมฟาดงาจนผมต้องรีบบอกว่ามาทำธุระแป๊บเดียวจะรีบกลับไป
ความที่มีคนรออยู่ที่บ้านทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ไอ้โต้งค่อนข้างลีลา มันแกล้งเอาเสื้อมาคืนทั้งๆ ที่มันเองก็น่าจะรู้ว่าของสำคัญที่ทำให้ผมถ่อมาหามันถึงนี่ไม่ใช่แค่เสื้อ ผมเดินตามมันขึ้นไปที่ห้องของมันโดยระหว่างทางมีสายเข้าจากตุลย์ซ้ำอีกจนผมรำคาญจนต้องปิดมือถือ
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด
“บอกกูมาตรงๆ เลยดีกว่า มึงดูซีดีนั่นแล้วใช่ป่ะ?” มันชะงักเท้าที่เดินนำไปแล้วหันกลับมาเผชิญหน้า
“น่าจะเรียกว่าฟังมากกว่า...” คำตอบเล่นเอาผมเดือดปุด
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ!! งั้นกูจะไม่พูดอ้อมค้อมแล้วนะ คืนซีดีนั่นมาเดี่ยวนี้ อย่าหาว่ากูไม่เตือนนะ”
“ถ้ากูไม่คืนแล้วมึงจะทำอะไรกูได้ล่ะ”
“มึงต้องการอะไรว่ามาเลยดีกว่า รีบๆพูดมาเลย กูมีเวลาไม่มาก”
“แล้วมึงล่ะ ไม่มีอะไรจะพูดกับกูมั่งหรือไง”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“.....” มันมองหน้าผมเหมือนมีเรื่องมากมายจะพูดแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยปาก
“อะไรของมึงอีกเนี่ย... เลิกอ้ำอึ้งแล้วก็พูดๆ ออกมาซะ หรือไม่งั้นก็คืนซีดีนั่นมากูจะได้กลับซะที”
“โอเค...มันอาจจะยากที่จะเล่า.... แต่ถ้ามึงบอกกูสักนิด เรื่องที่ไม่มีเงิน เรื่องที่มึงติดหนี้ค่าซ่อมอะไรนั่น กูช่วยมึงได้ มึงไม่จำเป็นต้องยอม...ทำอะไรที่มึงไม่ชอบ...” ผมคิดว่ามันคงพยายามแล้วที่ใช้ใช้คำพูดอ้อมๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอะไรที่สะเทือนใจ ความหวังดีของมันที่ผมเองก็รับรู้ได้ทำให้พยายามสงบอารมณ์ทำเสียงอ่อน
“ขอบใจ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว กูไม่อยากพูดถึงมันอีก”
“ตอนแรกกูรู้สึกแย่นะที่ถูกปฏิเสธ แต่มันแย่ยิ่งกว่าที่มารู้ทีหลังว่า ช่วงเวลาที่มึงกำลังลำบาก กูไม่รู้เรื่องอะไร กูช่วยเหลืออะไรมึง
ไม่ได้ กูน่าจะถามมึงอย่างจริงจังกว่านั้น ตอนที่มึงบอกกูเรื่องมัน....”
“ช่างมันเถอะ พูดไปก็ย้อนอดีตไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของด้วย มึงอย่าคิดมากเลยนะ”
“ช่างเหรอ? มึงไม่รู้หรอกกูรู้สึกยังไงตอนนี้ กูรู้สึกเหมือนถูกทำลายความฝันความหวัง ของรักที่กูเฝ้าทะนุถนอมมานานถูกคนอื่นขโมยไปหน้าด้านๆ จะไม่ให้โมโหได้ไง” เอ่อ... บางทีโต้งมันก็เพ้อเจ้อเกินไปนะ
“โมโหไปแล้วอะไรล่ะ มึงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“ทำได้สิ.... มึงอยากแก้แค้นไหมล่ะ....” คำถามของมันจริงจังจนผมตกใจ
“มึงจะบ้าเหรอ?”
“นี่กูพูดจริงๆนะ มึงไม่อยากเอาคืนเหรอ มันข่มขืนมึงนะ กูรู้ว่ามึงไม่เต็มใจหรอกใช่ป่ะ บอกมาดิ แบบไหนถึงจะสะใจ บอกกูมาดิปอนด์ กูจะช่วยมึงทุกอย่าง” มันพร่ำบอกพร้อมยื่นมือมาเขย่าที่หัวไหล่จนผมรู้สึกเจ็บ พร้อมกับเริ่มสำนึกได้ว่า ความคิดชั่วร้ายมันมันกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเข้าใจผิด และผมไม่ควรจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น
“ไม่.... กูไม่คิดจะทำแบบนั้นกับคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนหรอก”
“ฮะ....แฟน? มึงคบกับมันอยู่เหรอ? ทำไม?”
“มันจะมีเหตุผลสักกี่อย่างเหรอที่คนสองคนจะมาคบกัน หรือมึงคิดว่า กูทำมันท้องแล้วต้องรับผิดชอบล่ะ”
“ไม่จริง... กูไม่เชื่อ มันบังคับมึงใช่ไหม? มันเอาอะไรมาขู่อีกล่ะ หรือว่าคลิปบ้าๆนี่”
“โต้ง มึงใจเย็นได้ป่าววะ ไม่มีการขู่บังคับอะไรทั้งนั้นแหละ กูคบเพราะกูอยากคบ”
“จริงดิ.... มึงอยากคบกับมันเหรอ มึงมีความสุขที่ได้เป็นเมียมันเหรอ? เรื่องที่มึงเคยบอกกูว่า มึงไม่มีความคิดอยากเป็นรับมาก่อนอะไรพวกนี้ มึงโกหกทั้งเพเลยใช่ป่ะ” คำถามนั้นกระเด็นมาตอกหน้า มันจุกจนพูดไม่ออก จนได้แต่กำมือแน่น ผมจะอธิบายยังไงดีว่าใจจริงผมก็ไม่ได้อยากให้มันลงเอยแบบนี้ แต่...เมื่อตัดสินใจลงไปแล้วผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจอีก
“กูจะตอบแค่ว่า กูคบกับตุลย์อยู่ กูไม่อยากแก้แค้นอะไรทั้งนั้น ส่วนเรื่องอื่นกูถือว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว กูมาที่นี่เพื่อมาเอาซีดีคืน ไม่ได้มาเพื่อเล่นเกม 20คำถาม คืนซีดีมาเดี๋ยวนี้....”
“แล้วถ้ากูไม่คืนล่ะ”
“ก็ตามใจ อยากเก็บไว้บูชา ทำคุณไสย หรือแม้แต่จะเอาไว้ต่อรองอะไร แต่กูจะบอกอะไรมึงไว้อย่าง ถ้ามึงทำอย่างงั้นจริง มึงก็ไม่ได้ดีเด่ วิเศษวิโสมากไปกว่ามันหรอก”
เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราสองคนมองหน้ากัน ผมไม่สามารถอ่านได้ว่ามันพยายามจะพูดอะไรผ่านดวงตาคู่นั้น ถึงจะรู้ได้ว่ามันกำลังเสียใจ โกรธแค้น จนเกือบบ้าคลั่ง... แต่ผมช่วยอะไรมันไม่ได้ นอกจากเดินถอยออกมา...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก... เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดบรรยากาศหม่นมัว ผมพยายามเบี่ยงกายออกจากอุ้งมือที่บีบต้นแขนไว้ แล้วถือวิสาสะเป็นฝ่ายเปิดประตูห้องมันออก
“เอ่อ ผมเอาครัวซองที่พี่ชอบ.....” เสียงคนที่ยืนหน้าห้องพูดค้างเมื่อเห็นหน้าผมแทนที่จะเป็นเจ้าของห้อง ผมมองดวงหน้าจิ้มลิ้มของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วรีบหันไปมองโต้งที่เดินตามมาข้างหลังอย่างเคืองใจนิดๆ ก็ถ้าหากมันจะมีเด็กน้อยหน้าตาน่ารักๆ มาคอยส่งขนมนมเนยถึงห้องแบบนี้ มันก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดราม่าน้ำตารินทำเหมือนว่าอกหักจากผมมากมายขนาดนั้นไม่ใช่เหรอไงล่ะ
“พี่เป็นใครอ่ะ” ผมหันไปมองหน้าคนถามเมื่อโดนคำถามด้วยเสียงที่แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างไม่ปิดบังนั้น
“อ๋อ..พี่เป็นพ....” ผมเอ่ยตอบพร้อมยกนิ้วชี้ไปข้างหลังแต่ยังไม่ทันพูดจบเจ้าของห้องมันดันตอบออกไปเสียก่อน
“แฟนใหม่พี่เองแหละเอ....”
“เฮ้ย....!!” ผมหันไปตาเหลือกใส่ไอ้โต้งที่มันเดินตามมาทีหลังแล้วดันโกหกอะไรก็ไม่รู้ ไม่วายโอบไหล่ผมประกอบคำบรรยายอีกพร้อมกระซิบ
“ถ้ามึงยังอยากได้ได้ซีดีคืน อยู่เฉยๆ แล้วเงียบไว้ดีกว่า”
ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า ถ้ายอมทำตามที่มันพูดแล้วมันจะยอมคืนซีดีที่ว่ามาจริงหรือเปล่า... แต่ถึงผมจะทำเป็นไม่สนใจก็เถอะ แต่ความจริงแล้ว ผมอยากได้มันคืนใจจะขาด เพราะงั้นผมไม่มีทางเลือกอื่นเลยจริงๆ นอกจากได้แต่หุบปากเงียบไม่แก้ต่างคำโกหกนั่น
กว่าจะได้กลับมา...ก็ปาไปเกือบสามทุ่มแล้ว ผมจินตนาการหน้าตุลย์ตอนเจอหน้าออกเลยว่ามันต้องโวยวายด่าผมจนเละไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็โล่งใจไปว่าผมได้ไอ้เจ้าซีดีเจ้าปัญหานั่นคืนมาแล้ว
“มึงหายไปไหนมาเนี่ย...” นี่คือคำทักทายเมื่อผมเปิดประตูห้องตัวเองเข้าไป
“บอกแล้วไงว่าไปธุระ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจน้ำเสียงหาเรื่องนั่นเท่าไรนัก
“แล้วทำไมต้องปิดเครื่องด้วย” นำเสียงตัดพ้อ ไม่ได้ดุดันอย่างที่ผมคิดไว้ด้วยซ้ำ
“ก็มึงอ่ะ.... จะโทรตามทำซากอะไรบ่อยๆ”
“กูหิวน่ะสิ....” คำตอบทำเอาเผลอหัวเราะพรืด
“หิวก็ไปกินดิ มาบอกกูทำไม...”
“รอกินพร้อมมึงน่ะสิ”
“รอทำไมวะ น่าจะกินก่อน”
“ก็ทีแรกมึงบอกไปแป๊บเดียว..กูเลยรอ แต่มึงกลับหายไปนาน พอกูโทรตามึงก็ปิดเครื่อง ติดต่อมึงไม่ได้แบบนั้นจะให้กินอะไรลงได้ไงล่ะ....”
“เป็นห่วงเหรอไง?” ผมถามล้อๆ
“ก็ห่วงดิวะ....” ผิดคาด ผมคิดว่ามันจะปฏิเสธเสียอีก...
“ทำเหมือนกูเป็นเด็กไปได้....”
“ไม่เกี่ยวว่าเด็กหรือผู้ใหญ่หรอก แต่เพราะว่ากูรักมึง.... ไม่ห่วงมึงแล้วจะให้ห่วงใครล่ะ....”
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มันทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก มีเพียงรอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่ออก
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ช้าไปซะหลายวันเลยขอโทษนะคะ
ที่หายไปนี่ก็ไม่มีอะไร เนื่องจากว่าเรื่องนี้ใกล้จบแล้วก็เลยลองเรียบเรียงพลอตตอนจบอยู่ ไม่ให้ดราม่ามาก
ตอนใหม่ก็มีตัวละครเพิ่มมาตัวนึง จะว่าไปใหม่สำหรับเรื่องนี้ แต่เรียกว่าตัวเก่าๆ สำหรับนิ 55+
ยังไงก็ใกล้จบละ ฝากเป็นกำลังให้ด้วยละกันนะคะ
รักคนอ่านค่ะ *-*