ตอนแรก "คำสัญญา"
เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูด้วยเหตุที่มีลักษณะถอดแบบชาวตะวันตกทั้งที่แม่เป็นคนไทย
อาจเพราะพ่อของเด็กคนนี้เป็นชาวต่างชาติ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่เคยเห็นหน้าทั้งพ่อ
และแม่ นับตั้งแต่วันที่ได้ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้
เขาวิ่งไล่ตามท้ายรถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ที่กำลังแล่นออกไปอย่างช้าๆ เพราะเพื่อน
ตัวน้อยของเขาได้ผู้อุปการะพาไปอยู่ด้วยในฐานะสมาชิกใหม่ของครอบครัว
เด็กทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันในบ้านหลังนี้ บ้านที่เป็นที่อุปถัมภ์ค้ำชูพวกเขา และ
บรรดาเด็กน้อยอีกหลายชีวิต บ้านที่มีคนเอาใจใส่ดูแลด้วยความรักจนพวกเขาเรียกได้
อย่างเต็มปากเต็มคำว่าแม่ บ้านที่คนภายนอกรับรู้กันด้วยคำว่า "บ้านเด็กกำพร้า"
นัยน์ตาสีอ่อนซึ่งเปรอะไปด้วยม่านน้ำตา เช่นเดียวกับเพื่อนรักซึ่งหันกลับมามองเขา
อยู่ในที่นั่งตอนหลังผ่านกระจกบานหนาของรถพร้อมกับมือน้อยที่โบกส่ายให้อยู่ไหว ๆ
หน่วยตาก็ฉ่ำน้ำไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยสักนิด ถึงแม้ว่าเมื่อคืนที่ล่วงมาทั้งสอง
จะผ่านการร่ำไห้และนอนกอดกันจนหลับสนิทไปทั้งคู่เมื่อช่วงรุ่งสางของวันนี้เอง
"หน่อง! สัญญานะว่าจะไม่ลืมหรั่ง... หน่อง!!" เสียงตะโกนของเด็กน้อยที่วิ่งตามมา
ด้วยสองขายาวเก้งก้างซึ่งโบกมือใหญ่ตามส่วนผสมแห่งชาติพันธุ์ของเจ้าตัวส่งให้เพื่อน
ร้องบอกมาจากด้านหลังรถคันนั้นทั้งที่ยังร่ำไห้ จนสองสามีภรรยาที่อยู่ในที่นั่งตอนหน้า
ของรถ ต้องชะลอความเร็วลงก่อนที่ฝ่ายสามีซึ่งเป็นคนขับ จะกดปุ่มเลื่อนกระจกข้าง
ในตอนท้ายให้กับลูกชายคนใหม่ของเขาเพื่อให้ได้ยินคำสั่งลานั้นอย่างชัดเจน
เด็กชายตัวน้อยได้เพียงแต่ชะโงกหน้าออกไปนอกตัวรถพลางตะโกนตอบกลับไป
ให้กับเพื่อนรักของเขาเหมือนเป็นคำมั่นสัญญา
“หน่องไม่ลืมหรั่งหรอก! หรั่งก็อย่าลืมหน่องนะ!” มือน้อยที่เกาะอยู่บนขอบประตู
เพื่อใช้พยุงตัวเองข้างหนึ่ง ถูกส่งออกไปโบกลาเพื่อนรักของตนเองส่งท้ายจนรถ
เคลื่อนออกไปพ้นอาณาเขตรั้วของสถานที่ ซึ่งนับจากนี้จะเป็นเพียงความทรงจำ
ก่อนที่เจ้าตัวจะหดศีรษะกลับเข้าไปในตัวรถ แต่ก็ยังคงหันมาทอดสายตาอาลัยให้เพื่อน
ที่เห็นอยู่ไกล ๆ กระทั่งลับสายตาไป
ในบ้านหลังน้อยที่อบอุ่น คุณสุมาลี และคุณอธิป สองสามีภรรยา ที่แต่งงานมาด้วยกัน
หลายปีแต่เป็นที่ตัวคุณอธิปเองไม่สามารถมีลูกได้ สามี ภรรยาคู่นี้จึงไปขออุปการะเด็ก
มาเป็นลูกบุญธรรม พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูหนูน้อยด้วยความรักจนบัดนี้เด็กคนนั้นเติบใหญ่
เป็นคนร่าเริงแจ่มใส ช่างเจรจา และไม่ได้คับแค้นใจในเรื่องที่ตนเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ
แต่กลับเรียกทั้งสองว่า พ่อ กับ แม่ ด้วยความสนิทใจ
“หน่อง… หนูไปสมัครงานไว้ที่ไหนบ้างล่ะลูก” ผู้เป็นแม่ถามขึ้นระหว่างมื้อเช้า
บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะหันไปสบตากับลูกชายที่ฝั่งตรงข้าม
“หน่องก็ร่อนจดหมายสมัครไปเรื่อยแหละแม่ ที่ไหนเรียก ที่ไหนรับ หน่องก็ทำที่นั่น
แหละครับ” หน่องตอบกลั้วหัวเราะเบาๆ
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวพ่อจะฝากงานให้แล้วกันนะ” คุณอธิปพูดขึ้นมาลอย ๆ
ทั้งที่กางหนังสือพิมพ์บังตัวเองเอาไว้เสียมิด หน่องได้แต่หันไปมองทางมารดาพลาง
ทำหน้าเจื่อนพร้อมกับส่งยิ้มปุเลี่ยน ๆ ให้
"ไม่ต้องมาทำเป็นสลดใส่แม่เลยนะหน่อง ดีแล้ว... จะได้ไม่ต้องหาให้เหนื่อย ให้พ่อฝาก
ให้ก็ดี เราน่ะรับปริญญามาได้ก็หลายเดือนแล้วนะ อีกอย่าง...งานสมัยนี้มันหายาก
นะลูก ถ้าไม่มีเส้นมีสายกับใครเค้าไม่ต้องตระเวนหาไปเป็นปีหรอกรึไง” คนเป็นแม่
ได้แต่บ่นด้วยไม่อยากให้ลูกต้องเหนื่อยกับการตระเวนหางานแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พอฝ่ายสามี
ออกปากจึงออกเสียงสนับสนุนให้ในทันที
“ครับพ่อ ครับแม่ เอาไว้อีกสักเดือน ถ้าไม่มีใครเขาเรียก หน่องจะทำตามที่พ่อว่าก็ได้ครับ”
หน่องจำใจต้องยอมตกปากรับคำออกไป แต่ก็ขอเติมข้อแม้ให้ผู้เป็นพ่ออีกสักหน่อย
“ตกลงว่าหน่องสัญญากับพ่อแล้วนะ” คุณอธิปได้ทียึดถือคำพูดลูกชายเป็นสัญญา
พลางยกยิ้มบางก่อนพับหนังสือพิมพ์ลงวางไว้ข้างตัว แล้วลุกจากโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมตัว
ออกไปทำงาน
ภายใต้แสงไฟสีสวยเย้ายวนตาซึ่งมีแสงวูบวาบจากแฟลชกระพริบประกอบตามจังหวะ
ที่ถูกกำหนดไว้อยู่เป็นระยะ เรือนร่างกำยำที่แทบจะปราศจากอาภรณ์ของเหล่าชายหนุ่ม
ซึ่งพากันยักย้ายส่ายเอวออกลีลาอย่างยั่วตายั่วใจตามจังหวะเสียงดนตรีที่เร่งเร้าอยู่บนเวที
ขนาดพอประมาณที่ประดับไว้ด้วยเสาสแตนเลสสีเงินวาววับ เสียงเบสหนัก ๆ ราวกับว่า
จะปลุกเร้าจังหวะการเต้นของหัวใจผู้ที่ได้รับฟังให้แทบจะกระดอนออกมาเต้นอยู่นอกช่องอก
ม่านควันที่ถูกฉีดพ่นออกมาจากเครื่องกำเนิดควันพาให้บรรยากาศรายรอบแลดูสลัว
เลือนลางราวกับม่านแห่งความฝัน
ภายในร้านที่เต็มไปด้วยชายหนุ่มหลายวัยและหลากชาติพันธุ์ ต่างพากันเป่าปากส่งเสียง
เล็กแหลม ปรบมือและหัวเราะร่าอยู่ในส่วนของโซฟาหนังหนานุ่มสีส้มสดที่หันหน้าไปยังเวที
เสียงตะโกนยั่วยุพวกหนุ่ม ๆ ที่อยู่บนเวที ให้ถอดปราการสุดท้ายบนเรือนร่างที่สมบูรณ์ไปด้วย
กล้ามเนื้อของวัยหนุ่มให้หลุดออกจากส่วนสงวน โดยที่ที่นั่งริมขอบเวทีมีสารพัดเพศพันธุ์
ทั้ง เก้ง กวาง หรือแม้แต่ ชะนี นั่งรายล้อมอยู่เต็มไปหมด เสมือนว่าเป็นทำเลทองแห่งการ
โลมเลียด้วยสายตาและวาจา รวมไปถึงการจาบจ้วงด้วยสัมผัสตามแต่ใจจะปรารถนา
เหล่าผู้ชมต่างพากันโบกธนบัตรมูลค่าหลักร้อยไปจนหลักพันให้สะบัดไปตามแรงมือ
แต่ก็มีบางคนที่ทำเป็นใจดี ทั้งที่จริง ๆ ใจกล้าถึงขั้นจงใจเอาธนบัตรสอดใส่ลงไปในขอบ
ของปราการด่านสุดท้าย เพียงเพื่อต้องการจะได้สัมผัสกับส่วนแข็งขันที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน
แบบเต็มไม้เต็มมือ
มีเพียงกะเทยสาวแอ็คชงค์หนึ่งเดียวซึ่งไม่เพียงแต่จะเอาธนบัตรห้าร้อยบาทในมือของตน
สอดเข้าไปเท่านั้น แต่เขากลับแนบนามบัตรที่ระบุชื่อและเบอร์โทรใส่ไปในเครื่องนุ่งห่ม
ที่แสนจะเล็กและรัดรูปอวดสรีระ ร่างกายของชายหนุ่มที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นด้วยกัน
บนเวทีแห่งนั้น ชายหนุ่มซึ่งเพื่อนร่วมอาชีพกล่าวขานเรียกนามของเขาแบบง่าย ๆ
ตามลักษณะที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดอย่างภาพลักษณ์ของเขาว่า "หรั่ง"
ในห้องชุดพักอาศัยของคอนโดมิเนียมหรูกลางใจเมือง ร่างล่ำสันบนที่นอนหนานุ่ม
ซึ่งเปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อแน่นตามแบบฉบับของคนที่ออกกำลังกายอยู่เสมอ
แต่แท้ที่จริงแล้วความสมบูรณ์ของเรือนร่างและมัดกล้ามนั้นได้มาจากการรับจ้าง
ทำงานหนักเมื่อครั้งอดีตแต่เยาว์วัย ผิวขาวอมชมพูตามชาติพันธุ์ ส่วนผสมที่กลมกลืน
กันระหว่างตะวันออกและตะวันตก ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูสด ประดับรอยบุ๋มบนสอง
ข้างแก้มให้ชวนมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยามที่เจ้าตัวแย้มยิ้มหรือหัวเราะ
เสียงเพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอนหนานุ่ม
ทำให้เจ้าตัวหลุดออกจากนิทรารมย์พร้อมกับเอื้อมมือออกไปคว้ามากดรับก่อนจะแนบ
ที่ข้างหู
"อเล็กซ์" ตื่นรึยัง วันนี้พี่ไม่ได้ไปรับเองนะ พี่ให้รถตู้ของหนังสือแฟชั่นที่เธอจะไปถ่ายแบบ
ให้เขาเข้าไปรับแทน เธอไปถ่ายแฟชั่นชุดว่ายน้ำให้เสร็จก่อน แล้วพี่จะพาไปแคสต์หนัง
พี่ติดต่อทีมงานไว้ให้แล้ว เร็ว ๆ นะ เดี๋ยวเจอกันเราค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที"
อ๊อบที่เข้ามาเป็นผู้จัดการและชักนำให้เขาเข้ามาสู่วงการบันเทิง โทรมาปลุกเขาแต่เช้า
แถมร่ายยาวจนคนรับแทบลืมหายใจไปชั่วครู่ก่อนจะวางสายไป
ชายหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอนก่อนผลุนผลันพาร่างเปลือยเปล่าของเขาเข้าห้องน้ำ
โดยไม่ลืมที่จะเร่งรีบทำเวลาด้วยรู้ดีว่า ที่พี่อ๊อบโทรมาปลุกนั้น แสดงว่าในเวลาอีกไม่เกิน
30 นาที เขาจะต้องพร้อมและลงไปรอรถที่จะมารับเขาไปทำงานก่อนเวลานัดหมาย
เล็กน้อย และนี่ก็จวนได้เวลาแล้วจริง ๆ
"เป็นไง... เมื่อคืนหนีไปเที่ยวไหนมา เช้านี้ถึงมานั่งทำเป็นเซื่อง" อ๊อบหันไปต่อว่าอเล็กซ์
พลางส่งสายตาดุ ๆ ไปให้ชายหนุ่มรุ่นน้องที่ตนเองกำลังปลุกปั้นเพื่อเป็นดาราในสังกัด
ของตนด้วยเห็นว่าปลอดสายตาของผู้สอดรู้สอดเห็น หลังจากชายหนุ่มแต่งหน้าจนเสร็จ
และรอเวลาเซตฉากในสตูดิโอ
"ผมไปหาเพื่อนที่บาร์มาน่ะพี่ ไม่ได้แอบไปเที่ยว สามทุ่มผมก็กลับมานอนที่ห้องแล้ว"
อเล็กซ์ตอบตามตรง
"ทีหลังอย่าไปอีกเลยนะ พี่ขอ เรากำลังจะมีชื่อเสียง พี่ไม่อยากให้ใครมาระแคะระคาย
เรื่องอดีตของเรา" อ๊อบสั่งห้ามพร้อมกับแจกแจงเหตุผล
"ครับ" อเล็กซ์เองทำได้เพียงแค่ตอบรับไปเท่านั้น ลึก ๆ ในใจแล้ว เขาเองก็เหงา แค่อยาก
ออกไปเจอะเจอกับคนรู้จักในบ้างครั้งก็เท่านั้น
"เดี๋ยวถ่ายแบบชุดนี้เสร็จพี่จะพาเราไปหาหม่อมเอียด ผู้กำกับชื่อดังเลยนะ พี่เอารูปและ
พอร์ตโฟลิโอของเราไปให้ท่านดู ท่านสนใจ... เลยให้เรียกไปคุยด้วย เห็นว่าท่านกำลัง
หานักแสดงประกบพระเอกดังเลยนะ... น่าจะเป็นโอกาสดีของเราล่ะ" อ๊อบบอกยืดยาว
ตามนิสัย
"เสร็จจากนี่ก็คงบ่ายแก่ ๆ กว่าจะไปถึงไม่ค่ำเลยเหรอพี่" อเล็กซ์ท้วงเสียงอ่อย
"ไม่เป็นไร... ท่านนัดที่วังตอนค่ำ ๆ ท่านบอกไม่ได้ไปไหน... ท่านจะรอ" อ๊อบแย้ง
"แหม! แหม! แหม! คุณป้ากับคุณน้องสองคนนัดจะไปไหนกันเหรอคะ" ช่างแต่งหน้า
สาวประเภทสองฝีมือดีแซวทักเสียงดังขณะก้าวเข้ามาในห้องแต่งตัว
"คืนนี้ไม่ไปปาร์ตี้กับพวกหนูรึคะคุณป้า" หล่อนกรีดกรายพลางร้องถามด้วยโทนเสียงสูง
ที่ดัดจนเล็กแหลม
"ฉันกับอเล็กซ์คงไปด้วยไม่ได้หรอก นัดหม่อมเอียดเอาไว้น่ะ เสร็จจากนี่ก็ต้องรีบไปกันเลย"
อ๊อบปฏิเสธกะเทยรุ่นน้องไปตามตรง
"เสียดายจังป้า นาน ๆ จะได้เจอกันสักที ปาร์ตี้นี่ก็เหมือนเป็นเลี้ยงขอบคุณป้ากับน้อง
อเล็กซ์นะคะ" คุณน้องช่างแต่งหน้าพยายามชักชวน
"พี่หมี... เจ๊ภาให้มาตามนายแบบแล้วครับ" เสียงทีมงานที่มาชะโงกหน้าประตูร้องบอก
"ไอ้หมาวัด ทีหลังเรียกชื่อชั้นเต็ม ๆ นะแก ไม่ต้องย่อ รัศมีย่ะรัศมี" กะเทยสาวช่างแต่งหน้า
แทบจะกรีดร้องด้วยเคืองที่ถูกเรียกชื่อตัวเองย่างย่อ ๆ จากชายหนุ่มรุ่นน้องที่เพิ่งจะหัวเราะ
ใส่ซะเสียงดังก่อนจะเดินจากไป
"อเล็กซ์ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะตามไปก็แล้วกัน พี่ขี้เกียจแสบตาถ้าต้องไปดูเค้าถ่ายแบบนาน ๆ
ขอนั่งเล่นอยู่นี่ก่อนดีกว่า" อ๊อบบอกพลางรุนหลังของอเล็กซ์ให้เดินตามช่างแต่งหน้าสาว
ประเภทสองออกไป
................................................................................................^o^
"อ๊อบ... ฉันถูกใจพ่อคนนี้ของเธอจัง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างที่ใจฉันคิดเอาไว้เลย"
หม่อมราชวงศ์รังสรรค์ เทวฤิทธิ์ หรือที่คนในวงการมักเรียกว่า 'หม่อมเอียด' เอ่ยปาก
หลังจากที่อ๊อบพาอเล็กซ์เข้าไปนั่งบนเก้าอี้หลุยพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
ในห้องรับแขกที่หรูหรา ซึ่งอยู่ภายในตำหนักไม้เก่าสไตล์วิคตอเรีย มรดกตกทอด
จากท่านพ่อของหม่อมเอียด ซึ่งได้สืบทอดจากท่านปู่ของหม่อมเอียดมาอีกต่อหนึ่ง
เช่นกัน
"อ๊อบดีใจที่หม่อมชอบค่ะ พ่อคนนี้น่ะ... อ๊อบเห็นแววก็เลยชวนมาเข้าวงการ ถ้าหาก
ว่าหม่อมจะให้อเล็กซ์ทำอะไร... หม่อมก็บอกได้เลยนะคะ" อ๊อบตอบพลางส่งยิ้ม
ประจบประแจง
"เขาเหมาะมากที่จะให้เล่นหนังของฉันนะอ๊อบ แต่..." หม่อมเอียดพูดยังไม่ทันจะจบดี
"แต่..อะไรคะหม่อม ถ้าเรื่องเรียนการแสดง อ๊อบก็กะจะให้อเล็กซ์เข้ามาเรียนกับหม่อม
ที่วังอยู่แล้วน่ะค่ะ" อ๊อบจีบปากจีบคอตอบ
"เธอนี่รู้ใจฉันดีจังนะ แล้วพ่อคนนี้เขาจะว่างมาได้วันไหนบ้างล่ะ" หม่อมเอียดถามพลาง
ส่งยิ้มไปทางอเล็กซ์
"หม่อมสะดวกวันไหนบอกมาได้เลยนะคะ อ๊อบจะกันคิวเอาไว้ให้ ช่วงนี้ก็มีแค่งานพวก
ถ่ายแบบนิตยสาร กับเดินแบบนิดหน่อย อเล็กซ์เองก็เพิ่งจะเข้าวงการใหม่ ๆ ถ้ายังไงอ๊อบ
รบกวนฝากหม่อมให้ช่วยอบรมสั่งสอนอเล็กซ์ด้วยนะคะ พ่อคนนี้เค้าตัวคนเดียว...
หาเงินส่งเสียตัวเอง เพราะไม่มีพ่อมีแม่เหมือนคนอื่นเขาน่ะค่ะ" อ๊อบร่ายสรรพคุณ
ของอเล็กซ์เสียยืดยาวพร้อมกับเรียกคะแนนความสงสารจากหม่อมเอียดเต็มที่
................................................................................................^o^
ตอนที่สอง "เพื่อนรัก"
แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปวูบวาบเป็นระยะ ๆ เมื่อนักข่าวบันเทิงจากทุกสื่อต่างเข้ามาแย่งถ่ายรูปในวันสำคัญวันนี้ ด้วยเป็นวันเปิดกล้องพร้อมแถลงข่าวการถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่องใหม่ยิ่งใหญ่แห่งปี ที่ทุมทุนสร้างมหาศาล อำนวยการสร้างโดย บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของวงการ ภายใต้การกำกับและดูแลโดยหม่อมเอียด นักแสดงนำและนักแสดงสมทบจึงมารวมกันคับคั่งครบทุกตัวคน นักข่าวต่างพากันแย่งสัมภาษณ์นักแสดงจนดูวุ่นวาย แต่เมื่อพิธีกรกล่าวเชิญผู้สื่อข่าวให้เข้ามานั่งยังเก้าอี้ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ ความโกลาหลจึงสงบลง
หลังจากช่วงเวลาของพิธีการผ่านพ้นไปความวุ่นวายก็กลับมาเยือนอีกครั้ง แต่ก็กินเวลาไม่มากนัก ด้วยเป็นเพราะนักข่าวต่างรุมสัมภาษณ์ด้วยการยิงคำถามกับนักแสดงเป็นราย ๆ ไปอย่างพร้อมเพรียงในคราวเดียวกัน จนในที่สุดก็ถึงเวลาพักรับประทานอาหารว่างที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมรอไว้ อเล็กซ์ ที่เหน็ดเหนื่อยจากการถูกกรุ้มรุมปลีกตัวแยกออกมาหาเครื่องดื่มที่มุมกาแฟ เขาเดินเข้าไปยืนข้างชายหนุ่นร่างเล็กคนหนึ่ง โดยที่อีกคนยังมิได้สังเกตเห็นถึงการมาของเขา มือหนาเอื้อมไปคว้าหยิบถ้วยกาแฟที่คว่ำรออยู่ แต่ก็พลาดไปฉวยเอามือของคนด้านข้างที่กำลังเอื้อมมาจับถ้วยกาแฟใบเดียวกันไว้ได้เสียก่อน
“ขอโทษครับเชิญคุณก่อน” อเล็กซ์ทำได้แต่เพียงกล่าวขอโทษเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มหูแบบสุภาพ พลางหันไปมองหน้าของเจ้าของมือนุ่มนั้นเต็มตาก่อนจะร้องเรียกด้วยความยินดีและเอามือออกจากมือของอีกคน
“หน่อง! หน่องใช่ไหม! เป็นหน่องจริง ๆ ใช่ไหม?” อเล็กซ์ร้องถามระล่ำระลัก
คนตรงหน้าได้แต่ทำหน้ายุ่งมองมาแบบสงสัย ว่าดาราหนุ่มรู้จักตนเองได้อย่างไร แต่เมื่อมองไปได้สักครู่ ความทรงจำเก่า ๆ ที่แสนเลือนรางก็กลับเด่นชัดขึ้นมาแทบจะทันที ภาพวงหน้าของเด็กชายเพื่อนสนิทในวัยเยาว์ซ้อนทับกันได้พอดิบพอดีกับดาราหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเปล่งเสียงร้องเรียกออกมาอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ
“หรั่ง! หรั่งจริง ๆ ด้วย หน่องจำแทบไม่ได้เลย... ไม่คิดว่าหน่องจะได้มาเจอกับหรั่งอีกนะนี่”
หลังจากที่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอประมาณ ทั้งสองก็พากันปลีกตัวไปพูดคุยอย่างออกรสอยู่ในบริเวณสวนนอกห้องจัดเลี้ยง โดยเลือกม้านั่งซึ่งถูกจัดวางไว้ริมบ่อปลาข้างสถานที่จัดงานเป็นมุมส่วนตัวเพื่อระลึกความหลังและรับรู้ความเป็นไปของกันและกัน ภายใต้บรรยากาศของละอองน้ำฉ่ำเย็นจากน้ำพุในบ่อ และความร่มรื่นเขียวขจีของแมกไม้ในสวนซึ่งสร้างความอิ่มเอมแก่ทั้งคู่ จนเวลาผ่านมาได้ครู่ใหญ่ อ๊อบที่เดินตามหาอเล็กซ์มาซะทั่วงานก็เข้ามาถึงยังบริเวณที่เพื่อนทั้งสองคนนั่งคุยอยู่ก่อนแล้ว
“อเล็กซ์ มาอยู่นี่เอง แล้วทำไมมานั่งอยู่นี่ได้หละ” อ๊อบก้าวพรวดเข้ามาพร้อมกับยิงคำถามใส่ตามวิสัยใจร้อนของเจ้าตัวแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันกับอเล็กซ์พลางขมวดคิ้วส่งแทนคำถามไปยังเด็กในสังกัด
“พี่อ๊อบ... นี่หน่องเพื่อนผมเอง ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว หน่อง... นี่พี่อ๊อบผู้จัดการเราเอง” อเล็กซ์กล่าวแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“สวัสดีครับพี่อ๊อบ... ผมเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ของหรั่งครับ” คนตัวเล็กได้แต่กล่าวทักทายพลางกระพุ่มมือไหว้คนตรงหน้า ก่อนจะหยิบนามบัตรในกระเป๋าส่งไปให้คนอายุมากกว่า
“สวัสดีจ๊ะ” อ๊อบที่ได้แต่ทักทายกลับตามมารยาท กลับต้องตาโตเมื่อเห็นว่า กระดาษใบเล็กในมือนอกจากจะระบุชื่อ นิวัฒน์ แก่นกำภู และเบอร์โทรศัพท์ ยังระบุตำแหน่งของคนตรงหน้าว่าเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิงของนิตยสารชั้นดีในเครือสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศอีกด้วย
“แหมอเล็กซ์ มีเพื่อนเป็นนักข่าวสายบันเทิงก็ไม่เคยบอกพี่สักนิดเลยนะเรา” อ๊อบทำทีแสร้งเป็นต่อว่าไปให้อเล็กซ์แบบเสียไม่ได้ แต่กลับส่งยิ้มประดิษฐ์หวานไปให้กับหน่องแบบเต็มใจ และหน่องเองก็จับสังเกตในกิริยานั้นได้
“ถ้างั้นพี่ฝากหนูเขียนเชียร์อเล็กซ์ให้พี่หน่อยได้ไหมคะ คนกันเองนะคะ ถือว่าช่วย ๆ กันทำมาหากิน แล้วนี่ได้สัมภาษณ์กันไปบ้างรึยังคะ เดี๋ยวพี่จะได้นัดสัมภาษณ์แบบส่วนตัวให้นะคะ เอาเป็นสักวันศุกร์นี้ก็ได้นะคะ อเล็กซ์เค้าว่างพอดี ส่วนเวลากับสถานที่เดี๋ยวพี่ให้อเล็กซ์เค้าโทรไปบอกตามเบอร์ในนามบัตรนะคะ” อ๊อบจีบปากจีบคอบอกระรัวตามแบบของตัวเอง
“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมจะไปตามนัดนะครับ แต่วันนี้ผมขอถ่ายรูปหรั่งเอาไว้ก่อนนะครับพี่ วิวแถวนี้สวยดีด้วย” หน่องบอกพลางคว้ากล่องถ่ายรูปคู่มือจากกระเป๋าที่วางเอาไว้บนเก้าอี้ข้างตัวขึ้นมาปรับโฟกัส แล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพเพื่อนเก่าบันทึกลงในเมมโมรี่การ์ดของกล้อง
“มา ๆ เพื่อนสองคนไม่ได้เจอกันนาน มา... พี่จัดให้นะคะ น้องยืนข้าง ๆ อเล็กซ์นะ... เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” อ๊อบบอกพลางเจ้ากี้เจ้าการจัดท่าทางให้ทั้งสอง ก่อนจะแบมือขออุปกรณ์ถ่ายภาพจากมือของหน่องมากดบันทึกภาพของทั้งสองคนไปเสียหลายรูป แล้วจึงส่งกล้องคืนกลับมาให้ผู้เป็นเจ้าของ
“เอาไว้วันศุกร์เราเจอกันใหม่นะคะ พี่ขอบคุณมากเลยค่ะ” อ๊อบบอกพลางกระพุ่มมือไหว้ด้วยความเคยชินจนคนถูกไหว้รับไหว้แทบไม่ทันจึงต้องร้องบอก
“พี่ครับ...ไม่ต้องไหว้ก็ได้ครับ ผมขอบคุณมากนะครับ แล้วเราเจอกันวันศุกร์นะครับ... สวัสดีครับพี่” หน่องระร่ำระลักบอกพลางกระพุ่มมือไหว้คนอาวุโสกว่า
“จ้า... วันนี้อเล็กซ์ไม่มีคิวงานที่ไหนแล้วนะคะ เชิญตามสบายเลยค่ะคุณน้อง” อ๊อบบอกพลางหันหลังเดินจากไปช้า ๆ
เพื่อนทั้งสองใช้เวลาพูดคุยกันต่ออีกสักพักก็แยกย้ายจากกันโดยไม่ลืมที่จะแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของกันและกันเอาไว้เรียบร้อย
"แม่ครับ ทายสิว่าวันนี้หน่องไปเจอใครมา" หน่องโผกอดแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นแทบจะทันทีที่เห็นหน้าก่อนจะเอ่ยถาม พลางเอาศีรษะถูบริเวณต้นแขนของผู้เป็นมารดาอย่างออดอ้อน
"แม่จะรู้ด้ยังไงล่ะ ไอ้ลูกคนนี้... แม่ไม่ได้ไปด้วยเสียหน่อย" คนเป็นแม่ไม่เพียงแต่เลี่ยงตอบคำถามกลับกอดรัดฟัดหอมสองแก้มของหน่องไปเสียหลายฟอด
"หน่องถึงให้แม่ทายไงครับ" หน่องบอกพลางหัวเราะร่า
"บอกแม่มาเถอะ... แม่ไม่อยากทายแล้วจ๊ะ" สุมาลีบอกพลางเอามือลูบเรือนผมนุ่มบนศีรษะของลูกชายอย่างแผ่วเบา
"แม่จำวันที่ไปรับหน่องมาอยู่ด้วยได้ไหม... ที่เพื่อนหน่องวิ่งร้องไห้ตามมาส่งหน่องจนรถของแม่กับพ่อพ้นประตูรั้วนะครับ" หน่องบอกพลางเอนตัวลงเอาหัวไปหนุนตักและนอนจ้องไปที่แม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย
"เพื่อนหน่องที่ชื่อ... หรั่งใช่ไหม แหมผ่านมาเป็นสิบปี ยังได้มาเจอกันอีกนะลูก ถือเป็นโชคดีของทั้งสองคนเลยนะที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง... แล้วเจอกันได้ยังไงล่ะ" สุมาลีบอกพลางยิ้มหวานส่งให้ก่อนซักถามที่มาที่ไป
"วันนี้หน่องไปทำข่าวข้างนอก เป็นงานเปิดตัวเปิดกองถ่ายหนังใหม่ของหม่อมเอียดครับ แล้วหน่องก็ไปเจอกับหรั่งที่นั่น แต่แม่รู้ไหม... ตอนนี้หรั่งเค้าเป็นดาราแล้วนะแม่ ถึงจะเป็นแค่พระรอง... แต่อีกหน่อยหน่องว่าหรั่งต้องได้เป็นพระเอกเต็มตัวแน่ ๆ เลยแม่" ชายหนุ่มเล่าพลางยิ้มตอบมารดาของตน
"ดีจัง... แม่ดีใจด้วยนะ แล้วแม่จะไปดูนะครับ แต่ตอนนี้ แม่ต้องไปทำกับข้าวก่อนแล้ว... เดี๋ยวพ่อเราเขากลับมาจะมาว่าแม่ว่าไม่ทำอาหารเย็นเอาไว้ให้ แล้วลูกหิวรึยังล่ะหน่อง" สุมาลีบอกพลงเอาหมอนอิงซุกไปใต้ศีระษะลูกชายก่อนจะกระถดตัวลุกขึ้นยืนขณะที่ถามด้วยความเป็นห่วง
"ยังไม่หิวครับแม่ หน่องรอกินพร้อมพ่อดีกว่า"
ลูกชายตอบพร้อมกับสำทับว่ารอผู้เป็นบิดา ด้วยรู้ดีว่าอีกไม่นานก็คงจะกลับมาถึง เพราะพ่อของเขาไม่เคยกลับถึงบ้านค่ำมากนัก หากไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้ามักจะกลับมากินข้าวพร้อมกันทุกวันอยู่เสมอ เมื่อลูกชายบอกมาแบบนั้นคุณสุมาลีจึงลุกไปเตรียมอาหารมื้อเย็นไว้รอท่า ในเมื่อตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลากลับของหัวหน้าครอบครัวด้วยเช่นกัน
"เป็นไงเรา... ทำงานมาได้จะครึ่งเดือนแล้ว ได้เขียนข่าวจริง ๆ กับเขามั่งหรือยัง" ผู้เป็นพ่อถามลูกชายระหว่างมื้อค่ำบนโต๊ะอาหาร
"หน่องเขียนแล้วนะครับพ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้หน่องเอาไปสงให้ บก.ดูก่อน... แต่ข่าวนี้รับประกันว่าต้องได้ลงพิมพ์กรอบบ่ายพรุ่งนี้แน่ ๆ" เจ้าตัวตอบบิดาพร้อมสำทับด้วยความแน่ใจว่าข่าวที่เขาเขียนจะต้องได้พิมพ์ลงหนังสือ เพราะเป็นข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง
"มั่นใจจริงนะเรา ไปทำข่าวอะไรมาล่ะ" คนเป็นพ่อถามกระเซ้า พร้อมกับหัวเราะถูกใจ
"ก็ข่าวเปิดกล้องหนังของหม่อมเอียดไงครับ ข่าวใหญ่ขนาดนั้น... ยังไงเค้าก็ต้องเอาของหน่องลงอยู่ดีแหละครับ" ชายหนุ่มตอบเฉลยพร้อมหัวเราะร่าให้กับบิดา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"วันนี้นะ... พ่อรู้ไหมว่าหน่องไปเจอใครมาด้วยล่ะพ่อ"
"ก็ไปเจอหม่อมเอียดกับดาราน่ะสิ... ไอ้ลูกคนนี้นี่ถามแปลก ๆ" บิดาตอบกลั้วหัวเราะพลางยกยิ้มยั่วกลับไปให้ลูกชาย
"โหพ่อ... ตอบแบบนี้แล้วหน่องจะไปต่อถูกไหมนั่น คืออย่านี้พ่อ... พ่อจำวันที่ไปรับหน่องมาอยู่ด้วยได้ไหมครับ เพื่อนหน่องคนที่วิ่งร้องไห้ตามหลังรถพ่อมาส่งหน่องไงครับ"
"เอ... เพื่อนหน่องคนนั้น... แต่ผ่านมาหลายปีแล้วนะหน่อง พ่อจำชื่อไม่ได้แล้วนะ" ผู้เป็นบิดาตอบจริงจังพลางหยุดยิ้มและหันไปมองหน้าของบุตรชายช้า ๆ อย่างตั้งใจฟังความต่อ
"หรั่งไงครับพ่อ ตอนนี้หรั่งเค้าเป็นดาราแล้ว... เป็นพระรองด้วย เล่นประกบพระเอกดังในหนังของหม่อมเอียดด้วยนะพ่อ... หน่องมีเพื่อนเป็นดารานะพ่อ" เจ้าตัวตอบพลางหัวเราะร่าและรอยยิ้มเต็มหน้าไปให้บิดา
"อ้าว... อย่างนี้ก็ขอสัมภาษณ์ตัวต่อตัวลงสกู๊ปพิเศษเลยสิ ในฐานะดาราเพื่อนของนักข่าว" อธิปกล่าวกระเซ้าเย้ายั่ว
"หน่องนัดไว้แล้วครับ... วันมะรืนนี้แหละ ยังไงพรุ่งนี้เช้าหน่องก็ต้องไปบอก บก.ที่ออฟฟิชก่อนอยู่ดี" ลุกชายคลี่ยิ้มบอกอย่างภาคภูมิใจที่ตัวเองได้โอกาสนำเสนองานสำคัญ
อเล็กซ์กำลังนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นที่มีฟองครีมขาวละเอียดของครีมบาธหอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้องปกคลุมตัวอยู่ ชายหนุ่นอนหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข เพราะสายน้ำและกลิ่นหอมช่วยผ่อนคลายความเมื่อล้าของร่างกายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับในวันนี้ เขาดีใจที่ได้เจอเพื่อนรักซึ่งห่างหายจากกันไปเป็นสิบปี ด้วยนับจากวันที่เพื่อนรักจากไปเขาทั้งสองก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย และไม่เคยได้ข่าวของกันและกันแม้แต่น้อย วันนี้เขามีความสุข หัวใจพองฟูจนคับอก และเป็นหนึ่งในเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งของเขา จนอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมาคนเดียว
ในวันนี้เขาเหมือนได้วันเวลาเก่า ๆ ที่เลือนหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง พรุ่งนี้เขาจะโทรไปชวนหน่องให้มาที่บ้านของเขา คอนโดที่เขาอยู่ เพื่อจะได้นัดสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นข้ออ้างที่จะได้ทำให้เขากับเพื่อนได้เจอกันอีกครั้งเท่านั้นเอง 'แบบนี้ต้อฉลอง' เมื่อคิดได้ เขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกดระบายน้ำในอ่างออกก่อนเปิดฝักบัวให้สายน้ำเย็นจัดไหลรดลงบนร่างเพื่อชะล้างฟองครีมนุ่มจนหมดจดจึงปิดน้ำแล้วคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาซับตัวจนแห้ง ก่อนจะแต่งตัวแล้วผลุนผลันออกไปหาความสำราญยามค่ำคืน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------