เอาบทส่งท้าย โจ-หนุ่ม ภาคพิเศษมาฝากแฟนคู่นี้ครับ
ใครที่จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องราวของสองคนนี้เป็นยังไงก็ไม่ต้องซีเรียสนะครับ ผมก็อ่านใหม่หมดนั่นแหละ ถึงจะเขียนได้ ฮ่ะๆ
ถ้าใครสั่งหนังสือรอบใหม่ รออ่านในเล่มทีเดียวก็ได้นะครับ จะได้ต่อเนื่อง ใครที่มีของเก่าแล้วหรือไม่ได้สั่งก็อ่านในนี้ล่ะครับ มิมีปัญหา
วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกว่ามีความหมาย.. จึงอยากทำอะไรเป็นพิเศษ เป็นเกียรติเป็นศรีกันเสียหน่อย
29 กุมภาพันธ์ เมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมก็ยังจำได้ว่าตัวเองนั่งแต่ง INDY in love ตอน 'ความในใจของนายอินดี้' อยู่ที่อ่างแก้ว
และสี่ปีนี้ ผมก็ยังคิดถึงอ่างแก้ว คิดถึงตัวละคร ที่ที่เคยอยู่ เคยเรียน เคยเขียนนิยาย
ใช้เวลาเขียนตอนนี้อยู่นานเหมือนกัน ละเลียดไปเรื่อยๆ ก็หวังว่าคงจะ complete สิ่งที่ขาดหายไปนะครับ..
อนึ่ง หนังสือยังรีฯอยู่ครับ แค่ยังไม่เสร็จ เนื้อหาในเล่มเรียบร้อย แต่ต้องทำปกกับบ็อกซ์เซ็ตอีก ขอให้ไฟล์ทั้งหมดพร้อมพิมพ์ก่อน ผมค่อยแจ้งไปนะครับ ลืมๆ ไปก่อนว่าได้จองหนังสือไว้นะ จะได้ไม่หงุดหงิดจนโบกเกรียนคนเขียน :: Epilogue ::
‘I close my eyes..
The moment I surrender to you
Let love be blind
..Innocent and tenderly true’*
“อืม..”
ผมครางในลำคอแผ่วเบา เปลือกตายังปิดสนิท ทว่า.. สตินั้นเริ่มออกจากภวังค์
กลิ่นกายที่คุ้นเคยอวลอยู่ในความรู้สึก สัมผัสที่ไม่อาจลืมค่อยๆ คืนสู่ความทรงจำ
สัมผัส..? เฮ้ย!
ดวงเบิกตาโพลงปะทะกับแผ่นอกกำยำเปล่าเปลือยที่ใบหน้าตัวเองซุกซบอยู่
ผมเพ่งมอง ลังเลอยู่ชั่วครูว่านี่มันคือความฝันหรือความจริง หรือกูยังไม่สร่างเมา..
ทว่า ดวงหน้าเข้มหลับพริ้ม เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะที่ผมได้ยิน มันคือเครื่องยืนยัน..
จริงเสียยิ่งกว่าจริง..ภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงแดดยาม.. ยามไหนผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ
ที่แน่ๆ คือไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เกรงว่าหากเจ้าของท่อนแขนที่โอบกอดอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วผมไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร
มันเกิดขึ้นได้ยังไงวะ? ผมไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงได้ยอมพ่ายแพ้กับหัวใจตัวเองและหัวใจของคนตรงหน้า
ทั้งๆที่มันก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นตั้งหลายครั้งตลอดระยะเวลาที่เรายังพบกันในมหาวิทยาลัย
ทำไมมันถึงเพิ่งเกิดขึ้นตอนนี้? หรือทำไมมันไม่เกิดขึ้นในอีกหลายๆปีถัดจากนี้
แต่..สงสัยไปก็เท่านั้น เวลาเป็นสิ่งที่น่ากังขา เมื่อสมควรแก่เวลา.. เหตุการณ์ก็คงจะดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น..
ผมไม่รู้ว่าเมื่อไร นาทีไหนกันที่น้ำหนักของอดีตหายออกไปจากบ่า
แต่ก็รู้สึกได้ว่าน้ำหนักนั้น
เบาลงเบาลงทุกครั้งที่เราสองคนได้เจอกัน
และแล้ว..วันหนึ่ง มันก็เบาลงจนจางไป..
มือข้างหนึ่งของผมทาบอยู่บนแผ่นอกกำยำของคนข้างตัว
ห้ามตัวเองไม่ทันที่จะลูบมือไปมาบนความแข็งแกร่งนั้น
ซึมซับความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาให้.. และนั่นก็ทำให้คนหลับรู้สึกตัว
ดวงตาสีเข้มค่อยๆลืมขึ้น เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อทั้งงัวเงีย
“หนุ่ม..”
เออ กูเอง ผมตอบรับในใจ
“ตื่นแล้วเหรอ” ไอ้โจขยับตัวบ้าง ละอ้อมแขนไปลูบเรือนผมเบาๆ
“อือ..” ผมครางรับ บังคับตัวเองไม่ให้หน้าแดง เมื่อมันตื่นเต็มตาและมองร่างเปล่าเปลือยของผมยิ้มๆ
ผ้าห่มคลุมร่างเราสองคนไว้แค่เอว แผ่นอกจึงแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรกั้น
ผมหลบสายตา เสมองหาเสื้อผ้าว่ามันหายไปอยู่ตรงไหน ร่างกายค่อยๆ ขยับยันตัวขึ้นนั่ง
“เจ็บรึเปล่า..” โจยันตัวลุกตาม ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย
จะว่ายังไงล่ะ จะบอกว่าไม่เจ็บเลยก็ไม่ใช่ มันก็รู้ปวดหนึบๆบ้าง แต่คือมึงอ่อนโยนมากจนกูไม่อยากเจ็บเลยไง มึงเข้าใจไหมนี่..? ผมพยายามตอบคำถามมันในใจ
โจมองตา มือแกร่งข้างหนึ่งยกขึ้นมาไล้ร่างกายผมอย่างสำรวจความเสียหาย และ หยุดอยู่ที่เกียร์รุ่นของตัวเองเหนือหน้าอก..
“กูคิดถึงมึง..”
พูดเพียงแค่นั้น แล้วริมฝีปากหนาก็โน้มเข้ามาใกล้ แนบลงกับริมฝีปากผม
เรียวลิ้นแทรกเข้ามาช้าๆ ตวัดไปมาอย่างลึกซึ้ง จงใจบอกความรู้สึก..
ผมตวัดตอบเบาๆ ครางแผ่วในลำคอ เปลือกตาปิดลงอย่างยินยอม
“กูคิดถึงมึงโคตร..”
...
โจผละริมฝีปากออกมาเพียงไม่กี่วินาที กระซิบถ้อยคำนั้น แล้วก็จูบซ้ำลงมาใหม่
...
“กูคิดถึงมึงจนเหมือนจะตายไปกี่ครั้งแล้วรู้ไหม..”
เสียงเข้มพึมพำ จมูกเคลียจมูก ริมฝีปากยังแนบไว้บางๆ
ผมยกมือทาบแผ่นอกมันไว้อีกครั้ง กระซิบตอบ “กูก็คิดถึงมึงแทบตายเหมือนกัน”
ใบหน้าเข้มผละออกมาประสานสายตา มุมปากแต้มด้วยรอยยิ้ม
ผมกลืนน้ำลาย
แล้วมึงจะมาจ้องหน้าให้กูอายทำไมวะเนี่ย.. “อย่าหลบสายตา” ฝ่ามือประคองแก้มไว้ เมื่อผมจะเบี่ยงหน้าหนี “กูอยากมอง..”
“หึหึ..” มันหัวเราะโรคจิตกับใบหน้าแดงซ่านของผม ผมจึงชกอกมันไปเบาๆอย่างหมั่นไส้
โจโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ประทับริมฝีปากลงมาอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
แขนแข็งแรงนั้นทำท่าจะเอนตัวผมกลับลงไปนอน เพื่อจะทำอะไรก็ไม่รู้ของมัน
คือว่าไม่ใช่กูไม่ชอบนะ แต่..
“โจ คือ..” ผมดันอกมันออก บอกเบาๆ แต่โคตรจริงใจ “กูหิวข้าวมากเลยว่ะ!”
“เฮ้ย!” ดวงตาเข้มเบิ่งขึ้น มือหยุดการกระทำ
“บ้าเอ๊ย กูลืมไปเลย มึงยังไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำ”
ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียง ผมเบือนหน้าหนีรูปร่างสมส่วนนั้นเมื่อผ้าห่มเลื่อนหลุดจากเอว แต่มันคงไม่สนใจจะมาแกล้งผมแล้วล่ะ เจ้าตัวรีบเดินไปยังส่วนที่เป็นครัว เปิดตู้เย็นสำรวจ..
“เอ่อ..” มันขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ
“ไม่มีอะไรให้มึงกินเลย กูก็.. ไม่ค่อยจะมีอะไรติดตู้เย็นไว้เท่าไหร่”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ไอ้โจไม่ใช่คนที่จะทำกับข้าวหรืออาหารกินเอง ถนัดแต่กินอะไรง่ายๆที่หาได้ทั่วไป ขี้เกียจมากเข้าก็มาม่าคัพนั่นแหละ ผมก็เห็นหลักฐานอยู่ในถังขยะหลายคัพละ
ผมขยับตัวไปปลายเตียง แอบส่องตู้เย็นมัน มีไข่ไก่นี่หว่า..
“มึงรอแป๊ปเดียว กูออกไปซื้อข้าวมาให้ ไม่นานหรอก”
มันเอ่ยเร็วๆ คว้าเสื้อยืด กางเกงขาสั้นปลายเตียงมาใส่ลวกๆ ตั้งท่าจะหันหลัง แต่ผมคว้าข้อมือไว้
“เดี๋ยวกูเจียวไข่กินเอง ไม่ต้องไปหรอก”
“แต่..” มันขยับจะค้าน ผมจึงขัดสั้นๆ “นะ ไม่ต้องไป..”
“อ่า..” มันส่งเสียงลังเลในลำคอ ก่อนจะตอบรับ “อืม งั้นเดี๋ยวกูทำให้”
ระหว่างที่มันรื้อหากระทะ ผมก็หยิบเสื้อผ้าของตัวเอง ซึ่งจริงๆก็คือเสื้อผ้าของมันมาใส่บ้าง พลันสายตาเห็นสร้อยเงินห้อยเกียร์ของตัวเองวางอยู่ข้างหมอน ไอ้โจไม่ได้มองมาทางนี้ ผมจึงหยิบสร้อยมาใส่กระเป๋ากางเกงไว้ก่อน..
ร่างสูงเปิดเตา วางกระทะลงบนนั้น แต่ไข่ยังไม่ได้หยิบออกจากตู้เย็นเลย มึงเปิดเตาแล้วเหรอวะนั่น แล้วน้ำมันมึงอยู่ไหน..
ผมค่อยๆ ขยับเดินไปใกล้ ท่อนล่างปวดหนึบเล็กน้อยแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคมากนัก
“อ้าว ลุกขึ้นมาทำไม ไม่เจ็บเหรอวะ” มันเลิกคิ้ว ทำท่าจะเดินมาช่วยประคอง
แต่ผมยกมือห้าม “ปิดเตาก่อน เดี๋ยวกระทะไหม้”
“เออว่ะ” มันพยักหน้า มือเอื้อมไปปิดเตา
“ข้าวสารมีรึเปล่า” ผมถาม เพราะเห็นหม้อหุงข้าว
“มีแหงๆ แม่ซื้อมาไว้ให้ทุกอย่างนั่นละ เพียงแต่อยู่ตรงไหนนี่แหละ”
ผมหัวเราะ ขณะมันเปิดตู้ ในใจนึกถึงสาวใหญ่ใจดี แม่ของไอ้โจซึ่งเพิ่งได้เจออีกครั้งตอนไปงานแต่งงานของพี่เจษ
เธอใจดีกับผมเสมอ แม้แต่เมื่อวานซืนนี้.. ตอนที่ผมทำแก้วแตก เธอยังเข้ามาจับมือไว้..
“ไม่เป็นไร น้องหนุ่มไม่ต้องเก็บ..”ผมว่า ‘แม่ๆ’ นั้นมักจะมีลักษณะเหมือนกัน นั่นคือ จะลูกชายหรือลูกสาวก็ห่วงใย และอันดับต้นๆของเรื่องที่ห่วงคืออาหารการกิน แม่ของไอ้โจเป็นตัวอย่าง ที่ถึงแม้ลูกชายคนเล็กจะทำอาหารไม่เป็น แต่เธอก็ยังเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม แล้วห้องที่มีครัวในตัวเช่นนี้ ก็คงเป็นเธออีกนั่นและที่เลือกให้ลูกชาย เหมือนกันกับแม่ของไอ้ทัศน์ และเหมือนกันกับแม่ผม..ที่ขุนผมจนมีเนื้อหนังเสียขนาดนี้
“นี่ล่ะ.. คลังสมบัติของแม่กู” ไอ้โจพึมพำ ขยับตัวเผยให้เห็นภายในตู้ ที่ซึ่งมีข้าวสาร น้ำมัน น้ำปลา เครื่องปรุงต่างๆพรั่งพร้อม
“เอาออกมาทั้งหมดนั่นแหละ มึงยังหุงข้าวเป็นอยู่นะ?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“เออ มึงสอนกูเองตอนมอปลาย จำไม่ได้หรือไง”
เป็นเพียงคำพูดที่ไม่ได้มีเจตนาอะไร เป็นเพียงความจริงที่เคยเกิดขึ้น แค่พูดเฉยๆ
แต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้เราสองคนนิ่งมองตากัน
มากกว่ารัก.. คงเป็นความผูกพัน..และแล้วก็เป็นผมเองที่หลบสายตาก่อน ผมหันไปเปิดตู้เย็น หยิบไข่ไก่ออกมาสามฟอง ตอกมันใส่ถ้วยเล็ก
“แล้วมึงจะทนหิวไหวเหรอ กว่าข้าวจะสุกนะ”
“มึงตักหุงป๋องเดียวพอ สิบนาทีก็สุกแล้ว เร็วกว่าออกไปซื้ออีก”
โจพยักหน้า ล้างข้าวสารแล้วเติมน้ำ กดไฟหุง
ส่วนผมเปิดเตา ตั้งกระทะ เปิดจุกขวดน้ำมันที่ยังไม่เคยใช้ เทลงในกระทะเล็กน้อย แล้วเปิดขวดแม็กกี้ที่ยังไม่เคยใช้เช่นกัน เหยาะลงในถ้วยไข่สี่ห้าหยด แล้วคนแรงๆ
อีกสองสามครั้ง กะว่าน้ำมันร้อน จึงใส่ไข่ลงไป..
วางจานไข่เจียวลงบนโต๊ะครัวเรียบร้อย.. ระหว่างที่รอข้าวสุก ผมจึงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานไอ้โจ กะว่าจะดูงานวิจัยเรื่องเครื่องบำบัดน้ำเสียให้มันต่อ
“เฮ้ยๆ ทำอะไร” มันเดินเข้ามาขวางไว้
“ก็จะดูงานให้มึง” ผมเลิกคิ้ว
“มึงนี่นะ” มันเอามือมายีหัวผมเบาๆ แต่ก็ชะงักนิดหนึ่ง
กิริยาเช่นนี้ มันไม่ได้ทำมานานแล้ว แม้เรากลับมาคุยกันดีๆอีกครั้ง ก็ยังไม่เคยทำ
แทบไม่เคยแตะต้องตัวกันเลยด้วยซ้ำ นอกจากแตะไหล่กันฉันเพื่อนธรรมดา..
มันก็ยังขัดเขินกันทั้งคู่นั่นแหละนะ แต่กระนั้น มันก็น้อยลงทุกๆครั้งที่เราสัมผัสกัน
“น้องเกรย์บอกว่ามึงเครียดเรื่องงานนี้ นอนน้อยมาหลายวันก็เลยหงุดหงิด กูดูให้ นะ เหลืออีกไม่กี่หน้าเอง” ผมอธิบาย
ซึ่งเป็นความจริงที่น้องเกรย์เฝ้าบอกผมซ้ำๆ ว่าพี่โจแค่หงุดหงิด พี่โจไม่ได้ตั้งใจจะว้ากพี่หนุ่ม และผมก็ทำได้แค่พยักหน้ารับฟัง
ขณะที่กระดกเหล้าเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่าเมื่อวานนี้..
. . . . . . . . . . . . . . . . .
“อร่อยมาก แม่งโคตรอร่อยจริงๆ” โจตักเข้าปากพลาง ชมพลาง
ไข่เจียวนะมึง กูได้ข่าวว่าเป็นไข่เจียว มึงพูดเสียอย่างกับกำลังกินขาหมูในงานแต่ง
ผมหัวเราะขำมัน กินของตัวเองบ้างจนอิ่มแปล้ แล้วทิ้งจานไว้ให้ไอ้โจล้าง ก่อนจะกลับไปสำรวจงานของวิศวกรสิ่งแวดล้อมต่อ..
เป็นเวลาเย็นย่ำแล้วกว่าที่ผมกับมันจะออกจากหอ.. เพราะผมเองที่ยืนยันว่าจะดูงานของมันให้เสร็จ (มันจะได้เลิกทำหน้าเครียดสักที)
“อยากแวะกินข้าวแถวนี้หรือให้กูไปส่งบ้านเลย?”
“กลับบ้านเถอะ แม่คงเป็นห่วงแล้ว”
“อืม” ไอ้โจพยักหน้ายิ้มๆ “ลูกชายคนเดียวนี่นะ”
“เออ ไอ้ลูกชายสามคน” ผมตอกกลับ ฮ่ะๆ แล้วเราสองคนก็หัวเราะกัน
ทว่า เมื่อเดินมาถึงมอเตอร์ไซค์ อีกฝ่ายก็ขมวดคิ้ว
“เป็น.. เป็นอะไรวะ” ผมถามค่อยๆ ไอ้โจหันมาจ้องหน้า พลางไล่สายตาลงต่ำ
“มึงนั่งได้รึเปล่า กูหมายถึง ตอนขึ้น..”
อ้อ ตอนที่ต้องเหวี่ยงขาขึ้นน่ะนะ เอ่อ ก็.. คง..ไม่เป็นไรมั้ง?
“มานั่งข้างหน้าแล้วกัน”
เฮ้ย.. ก็ใช่ที่เคยนั่งแบบนั้น แต่นั่นมันตอนที่กูตัวเล็กกว่านี้ป่ะวะ!?
“งั้นกูขี่เอง”
“มึงไม่คล่อง” มันส่ายหน้า เหวี่ยงขาขึ้นมอเตอร์ไซค์ มือข้างหนึ่งจับแฮนด์ อีกข้างละไว้ เพื่อเปิดช่อง
“เอาจริงเหรอวะ” ผมลังเล
“มาเถอะน่า ถนนใหญ่ แล้ววันนี้วันอาทิตย์ ไม่ค่อยมีรถ ไม่มีใครมองหรอก”
“แต่ มึงจะขี่ถนัดเหรอ..”
“ไม่มีปัญหา มึงเตี้ยซะขนาดนี้ ไม่มีปัญญาบังอะไรได้หรอก”
“สัด!” ด่าแม่ง!
. . . . . . . . . . . . . . . . .
“นุ่ม แม่เป๋นห้วงเน่อ ดีตี๊โจโทรมาบอก!” แม่ตรงเข้ามาสำรวจเมื่อผมมาถึงบ้าน ไอ้โจเองก็เดินตามเข้ามา ยกมือไหว้สวัสดีแม่ รวมทั้งพ่อผู้ซึ่งยืนเลิกคิ้วให้มันน้อยๆเป็นเชิงถาม ไม่รู้ถามอะไร แต่ไอ้โจก็ตอบรับด้วยการพยักหน้า ผมกลอกตาไปมาระหว่างผู้ชายสองคนที่ยืนมองกันอยู่..
“กิ๋นข้าวแลงกั๋น มาๆ ทั้งคู่เลย”
แม่ทำลายความเงียบขึ้น ก่อนลากแขนผมกับโจไปที่โต๊ะกินข้าว
เรากินข้าว.. ล้างถ้วยชามกันเสร็จเมื่อค่ำจัด พ่อกับแม่นั่งดูทีวีอยู่ด้านหน้าส่วนผมกับไอ้โจยังอยู่ในครัว
ร่างสูงยืนพิงเคาน์เตอร์มองมาขณะผมล้างไม้ล้างมือ ขายาวขยับเข้ามาใกล้ๆ ฝากปลายจมูกไว้ที่แก้มของผมเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะผละออก
“เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ”
“เอ่อ..”
เอ่ออะไรไม่ทันได้พูด เพราะคนที่จะให้ฟังเดินออกไปจากครัวเสียแล้ว
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับก่อน” ไอ้โจยกมือไหว้คนทั้งคู่อีกครั้ง
“เอ๋า โจ้บ่ค้างนี่ก๋า เดิ้กละเน้อ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับแม่ พรุ่งนี้วันจันทร์ ทำงานแต่เช้า”
มันปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะค้อมหลังผ่านท่านทั้งสองออกประตูหน้าบ้านไป
“โจ!” ผมก้าวยาวๆ ไปเรียกไว้
“หืม?” มันหันมาเลิกคิ้ว
“ค้างเถอะ” ผมก้มหน้าก้มตาข่มอาย “มันมืดแล้ว”
“ไม่เป็นไร สบายมาก” มันยกมือขึ้นยีหัวผมเบาๆอีกครั้ง และคราวนี้ไม่ชะงัก ไม่ขัดเขินเหมือนตอนอยู่ที่หอ
“แต่..” ผมขยับจะค้าน มันจึงชิงตัดบทเสียงเจ้าเล่ห์ “มึงก็รู้.. ว่าทำไมกูไม่ค้าง”
ทำไม.. ทำไมน่ะเหรอ ก็คงเป็นเพราะ.. ผมอ้าปากค้างนิดๆ ขณะนึกถึงเหตุผลที่ว่า
มันหัวเราะหึหึ ส่ายหน้าน้อยๆ ล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง
และก็เป็นอีกครั้งของวันนี้..ที่ผมคว้าข้อมือนั่นเอาไว้..รั้งไม่ให้ไป
“มันดึกแล้วจริงๆ ค้างเถอะ กูเป็นห่วง..”
ผมเป็นห่วงจริงๆครับ ถึงแม้ไอ้โจมันจะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็เถอะ แต่ถนนซอยนั้นมืดมากแล้วก็เปลี่ยว ถนนใหญ่รถก็ขับเร็ว มีข่าวอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ผม..
“ค่อยออกไปพรุ่งนี้เช้าพร้อมกัน..” ผมยืนยัน ไม่สนสายตาร้อนแรงที่มองมา
“ก็ได้..” เสียงเข้มเอ่ยออกมาในที่สุด แล้วยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆหู
“แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมึงอีกรอบนี่กูไม่รับผิดชอบนะ”
สัด!
ห้องนอนของผมไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม.. ก็คงจะเหมือนที่มันจำได้ เหมือนที่มันรู้อยู่แล้ว.. พื้นไม้ เตียงเล็ก ผ้าห่มลายหมีพูห์ ม่านครึ่งสีขาวริมหน้าต่าง รูปถ่ายและสายข้อมือบนโต๊ะเล็กข้างเตียง..
เพราะเดินเข้าห้องมาพร้อมกัน จึงไม่มีเวลาให้ผมเอาอะไรไปแอบซ่อนเหมือนคราวก่อน
“มึงจะ เอ่อ.. อาบน้ำก่อนหรือเปล่า”
ชักจะเงียบเกินไปแล้ว ผมจึงก้มหน้ารื้อหยิบผ้าขนหนูมาส่งให้อีกฝ่าย
มันรับไปยิ้มๆ ไม่รู้แม่งจะยิ้มอะไรนักหนา แต่ก็เพียงแค่ยิ้ม แล้วร่างสูงกว่าจึงเดินเข้าห้องน้ำไป
ผมถอนหายใจโล่งๆ คือ.. มันก็ไม่ได้รู้สึกสบายๆขนาดนั้น ความรู้สึกขัดเขินมันต้องมีบ้างแหละ ธรรมดา..
ผมส่ายหัวน้อยๆ ตั้งสติ แล้วเลือกเสื้อกางเกงตัวที่ใหญ่และหลวมที่สุดของตัวเองเอาไว้ให้มัน..
‘มันเป็นเรื่องผิดพลาดแล้วล่ะ’ ผมคิดกับตัวเอง เมื่อไอ้โจออกมาจากห้องน้ำ
ผิดพลาดที่ทำไมกูไม่เอาเสื้อผ้าให้มันพร้อมผ้าขนหนูไปเลยวะ แม่งจะได้แต่งตัวในห้องน้ำซะให้เรียบร้อย ไม่ต้องมาโชว์แผงอกที่มีหยดน้ำเกาะพราวให้กูใจสั่นเล่นแบบนี้..
“ทำไมหน้าแดง?”
ไอ้สัด ไม่ต้องมาถามเถอะ กูรู้มึงตั้งใจ
ผมปาเสื้อผ้าใส่อกมัน แล้วเดินฮึดฮัดสวนเข้าห้องน้ำ ไม่สนใจเสียงหัวเราะโรคจิตที่ดังตามหลังมา..
. . . . . . . . . . . . . . . . .
โจอยู่บนเตียงแล้วเมื่อผมออกมาจากห้องน้ำโดยใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย
ร่างสูงขายาวนั้นนอนเอามือประสานไว้ที่ท้ายทอย เท้ากระดิกดิ๊กๆ อย่างอารมณ์ดี
โคตรน่าหมั่นไส้ ผมเม้มปากใส่มันนิดๆ
“กูปิดไฟนะ” ผมบอก มือแตะที่สวิตช์
“อ่าฮะ” มันพยักหน้ารับ หรี่ตาเจ้าเล่ห์กวนประสาทผม
ผมค่อยๆนั่งลงบนเตียง พร้อมๆกับที่มันเองก็ลุกขึ้นนั่ง ตามองตาในความสลัวของห้อง โจรั้งใบหน้าไปจูบอย่างที่ผมรู้ว่าจะต้องเป็น มืออีกข้างโอบรัดรอบเอวเข้าใกล้ให้ร่างกายแนบชิดกันยิ่งขึ้น..
“คิดถึง.. อืม..”
“อื้อ..” ผมพยายามกลั้นเสียงคราง เมื่อลิ้นเปียกชอนไชเข้ามาภายในโพรงปาก
“กูคิดถึงมึง..”
อะไรคือการพึมพำว่าคิดถึงซ้ำๆแบบนี้วะ? “กูรู้แล้ว..”
และกูก็อายจะตายแล้ว
อาย..ที่ตอบรับทุกสัมผัส อาย..ที่ต้องการเหมือนกัน
อาย..ที่คิดถึงแทบขาดใจไม่ต่างกัน แต่ก็ต้องพยายามรั้งตัวไว้..“ไม่..ไม่เข้ามาได้ไหม” ผมอ้อมแอ้มขอ
พ่อกับแม่อยู่ห้องติดกันและผมก็ไม่มีทางกลั้นเสียงไว้ได้แน่ ถ้ามันทำถึงที่สุด..
“ด..เดี๋ยวพ่อกับแม่รู้..” ผมตะกุกตะกัก สะกดกลั้นอารมณ์ วอนขอให้มันเข้าใจ
โจละใบหน้าออกมานิดหนึ่ง ถอนใจเบาๆ และเอ่ย “พ่อกับแม่รู้แล้ว”
ห๊ะ? ผมเบิ่งตากว้าง พยายามเพ่งมองคนพูดในความมืด “พ่อกับแม่ใคร?”
โจคลายอ้อมกอดให้หลวมขึ้น ไล้มือกับท่อนแขนผมเบาๆ “ก็.. ทั้งคู่นั่นแหละ”
“รู้ได้ยังไง”
“กูบอก”
เฮ้ย! ผมผละตัวออกจากอ้อมแขน จ้องหน้ามัน
“บอกเมื่อไหร่”
“ก็.. กูบอกพ่อกับแม่กูเมื่อสัก.. คงทำงานไปได้สักปีนึงน่ะ ตอนมึงเรียนจบ..”
เฮ้ย! “แล้วพ่อกับแม่มึงว่าไง?”
โจยักไหล่ “แม่กูชอบมึง”
ก็ใช่ ชอบในฐานะเพื่อนลูก แต่พอรู้ว่าไม่ใช่แค่เพื่อนล่ะ?
“วันที่มึงไปงานแต่งพี่เจษ แม่กูยังให้ชวนมึงค้างด้วยอยู่เลย”
อ่า.. “แล้วพ่อมึงล่ะ..”
“ไม่มีปัญหา ยิ่งพี่เจษแต่งงานแล้วยิ่งไม่มีใหญ่ คงรอหลานคนโตแหละ ฮ่ะๆ”
เฮ้อ.. ผมนึกว่าไอ้โจจะโดนกระทืบเสียแล้ว แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อกี๊มันบอกว่า..ทั้งคู่
“แล้ว..” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก โจยกมือขึ้นลูบหัวให้คลายกังวล
“กูบอกพ่อกับแม่มึงหลังงานรับปริญญา..”
“บอก..ว่าไง”
“กูบอก..ว่าเรารักกัน”
ผมกลืนน้ำลายอีกครั้ง
“แต่เรามีปัญหากัน ถ้าปรับความเข้าใจกันได้เมื่อไหร่ก็คงคบกันเหมือนเดิม และกูแน่ใจว่ามันจะต้องมีวันนั้น กูถึงขออนุญาตพ่อกับแม่มึงเอาไว้ก่อน ทีนี้กูก็รอแค่มึงเท่านั้น..”
“นี่มึง.. แล้วพ่อกู..” ผมเลิ่กลั่ก เสียวไส้แทน
“แทบจะกระทืบกูเลยล่ะ” ไอ้โจหัวเราะน้อยๆ ก่อนเสริมเมื่อเห็นผมทำท่าจะเป็นลม
“แต่แม่มึงช่วยพูดให้ กูว่า.. ลึกๆ ท่านทั้งสองคงรู้อยู่แล้วล่ะ พ่อกับแม่มึงเห็นกูมานาน ถึงยอมให้รักกับลูกชายคนเดียว ถ้าเราเพิ่งรู้จักกันก็คงยากกว่านี้มากแหละ”
“โจ นี่มึง ดีนะที่พ่อกูไม่.. ทำไมมึงไม่รอก่อน..” ผมว้าก แต่มันเอ่ยขัดคำพูดของผม
“กูทรมานแทบตายอยู่แล้วตอนนั้น กูขอรอแค่มึงคนเดียวเถอะ อยากเตรียมอย่างอื่นให้พร้อม คือถ้ามึงตกลงใจนี่กูโทรตามพ่อกับแม่มาขอได้เลย ว่างั้นเถอะ”
“ไอ้..” ผมอ้าปากพะงาบๆ
ขอบคุณมาก ขอบคุณที่ห้องมืด ไอ้โจจึงไม่ต้องเห็น ว่าหน้าผมแดงเถือกไปถึงไหนต่อไหน
“หึหึ..” มันหัวเราะในลำคอ
“เชี่ย” ผมสบถแก้เขิน
“ตอนช่วงรับปริญญา กูได้ยินมึงบอกน้องเกรย์ว่า ถ้ากูเลือกเหมือนเดิม มึงก็จะปล่อยกูไป แต่เตรียมการขนาดนี้ ไม่ได้คิดจะปล่อยเลยนี่หว่า”
“ฮ่ะๆ” คราวนี้ ไอ้โจหัวเราะลั่น “กูก็ไม่ได้ตื้อนี่ แค่รอ..”
ผมก้มหน้างุด ความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อมันมาตลอดไม่เคยจางหายลุกโชนขึ้นมาเติมเต็มในใจ..
และแม้ไม่ได้มองเห็นแววตา แต่ไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายก็ทำให้ผมรู้ว่าเราไม่ได้ต่างกัน..
“มึงจะรอจนกว่ากูจะพร้อมเหรอ..” ผมถามขึ้นค่อยๆ ลอบยิ้มซึ้งใจ
ทว่า.. มันโคลงศีรษะ “ไม่เชิงหรอก”
อ้าว..
“นี่ก็เรียนจบ ทำงานเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวกันแล้วทั้งคู่ ให้เต็มที่ เต็มที่เลยนะ.. กูคงรอไหวแค่อีกไม่เกินสองสามปี ถ้าถึงตอนนั้นมึงยังไม่ยอม กูว่าจะฉุด..”
“สัด!”
นี่กูด่ามึงด้วยคำนี้ไปกี่ครั้งแล้ววะเนี่ยวันนี้!
ผมสงสัย แต่ก็ได้แค่สงสัย.. ไม่อาจหาคำตอบ
เพราะหลังคำสบถนั้น ริมฝีปากของผม.. ไม่ใช่ของผม รวมถึงร่างกายทั้งหมด.. ก็ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป..
ผมกัดปากครางร่ำ เมื่อถูกเล้าโลม.. รุกล้ำ..
กายแอ่นขึ้นตอบรับ.. เรียวแขนโอบรั้ง.. เรียกร้อง.. สัมผัสคุ้น.. ที่เคยห่างไป..
คิดถึง.. โหยหา.. ต้องการ.. จนทรมานไปหมดทั้งร่าง
ความรู้สึกเต็มตื้นและวาบหวามย้อนแย้งกันจนกลั่นเป็นหยาดน้ำตา หยดรินลงช้าๆ สองข้างแก้ม..
“ชู่วว์.. ร้องไห้ทำไม..”
มือแกร่งปาดน้ำตาออกอย่างอ่อนเบา มืออีกข้างไล้ลาดไหล่ปลอบใจ
ไม่รู้สิ ผมไม่รู้.. มันเป็นอารมณ์ที่เกินกำลังจะรับไหว
ผมได้แต่หลับตา ปล่อยให้หัวใจซึมซับทุกการกระทำ มือตัวเองทาบสัมผัสแผ่นอกกำยำที่หลงใหล กลั้นเสียงครางอื้ออึงเอาไว้ในลำคอ..
“ครางออกมาเถอะ กูอยากได้ยิน..” เสียงเข้มพึมพำริมหู
ถ้อยคำนั้นมีแต่ยิ่งทำให้รู้สึกมากกว่าเดิม แต่ผมก็ไม่กล้า..
“อ๊ะ..ม..ไม่ได้ เดี๋ยว..อื้อ..”
“ครางกับอกกูนี่แหละ..” โจขบริมฝีปากผม อ้อนขอเบาๆ
“ไม่มีใครได้ยินหรอก นะ..นะครับ”
ริมฝีปากที่ขบแน่นค่อยเผยอออก ขณะรู้สึกถึงคนตรงหน้าเคลื่อนไหวอยู่ภายในตัว
ผมโอบไหล่หนาไว้แน่น ดวงหน้าซุกซบกับอก ครางเรียกอีกฝ่ายเบาๆ..
“โจ..อ๊ะ..อือ..อ”
“อะ..อืม..หนุ่ม..หนุ่มครับ”
เสียงหอบหายใจปะปนด้วยเสียงครางพึงใจในลำคอจากคนข้างบน
คำเรียกชื่อ ‘หนุ่ม’ ทำให้รู้สึกวูบไหวจนแทบฆ่าผมตาย.. เท่าๆกับที่ชุบชีวิตผมกลับขึ้นมาใหม่..
กายใจตอบสนองต่อสัมผัสลึกซึ้งที่ดำเนินไป.. ร่างกายชื้นเหงื่อปะทะกันอีกครั้งและอีกครั้ง.. จนปลดปล่อยทุกปรารถนาออกมา..
ริมฝีปากร้อนบรรจงจูบซับน้ำตาเบาๆ มือทั้งสองข้างลูบหลังลูบไหล่บรรเทาอาการเหนื่อยหอบ แล้วโอบกอดผมเอาไว้นิ่งๆ จนลมหายใจเป็นปกติ..
“ดีไหม..”
นี่คือคำถามที่กูต้องตอบเหรอวะ? ผมถลึงตาใส่คนถามในความมืด
“หึหึ..” เสียงเข้มหัวเราะน้อยๆ กระซิบเอ่ยแสนเบา “แต่กูโคตร..รู้สึกดี”
ผมทุบอกมันไปทีหนึ่ง ไม่รู้จะขยันทำให้เขินทำไมนักหนา
“ครางน่ารักมากเลย..”
“ไอ้โจ!” ผมตั้งท่าจะด่ามัน เลิกบรรยายสรรพคุณสักทีได้ไหมนี่
โจมองตาผมยิ้มๆ ผมเองก็อดใจไม่ไหว สุขจนล้น.. ได้แต่ยิ้มตอบกลับไปอายๆ
ร่างกำยำโอบกอดผมแรงๆ ทีหนึ่ง ก่อนผละตัวออก ไอ้ผมก็มองตามอย่างงๆว่ามันจะไปไหน
แล้วคำตอบก็ปรากฏ.. เมื่อเห็นว่าแขนยาวเอื้อมไปหยิบสายข้อมือ J&N จากบนโต๊ะ ค่อยๆ แกะตะขอออกและใส่เอาไว้บนข้อมือของผม..
“อย่าถอดอีกเลยนะ..”
ผมประสานสายตาตอบกลับ พยักหน้ารับหนักๆ ก่อนที่เสียงเข้มจะกระซิบบอกบางอย่าง..
“กูรักมึง”
..กูรักมึง..ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินคำรักจากปากโจ
ทว่า ‘รัก’ คำนี้ ในเวลานี้.. มันมีความหมายมากมายเหลือเกิน
หมายถึง.. ความคิดถึงจับใจ
หมายถึง.. การยอมอดทนต่อความทุกข์ทรมานจากความห่วงหาอาทรตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
และที่สุดของรักคำนี้คือ..การให้อภัย
“กูก็รักมึง..”
ผมพึมพำตอบ ..สาบานกับทุกอณูอากาศว่าจะภักดีต่อคนตรงหน้าจนชั่วชีวิต..
โจจูบขมับผมเบาๆ รั้งร่างเข้าไปกอดไว้หลวมๆ หลับไปในความสงัดของราตรีกาล
. . . . . . . . . . . . . . . . .
*Every Time I Look At You - Il Divo