Special Idylle: As We're Growing up..
:: Part I ::
คือ.. บทกวีแห่งศักดิ์ศรี
คือ.. ดนตรีที่แจ่มชัด
คือ.. ภาพเขียนเจิดจรัส
คือ.. ทิวทัศน์อันงดงาม
ผมแปะบทกวีบทเดิมไว้บนผนังหัวเตียง..
มองมันด้วยความรักอย่างเต็มหัวใจ รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ส่งมาผ่านตัวอักษรเหล่านั้น..
ความอบอุ่นจากพ่อของผม..
“กลอนอะไรน่ะไอดิล เห็นนั่งยิ้มมองอยู่นานแล้ว”
รูมเมทผู้ซึ่งถามไถ่แล้วว่าชื่อ ‘ม่อน’ ถามขึ้นมาจากข้างล่าง ตัวผมซึ่งประจำการอยู่เตียงบนส่ายหน้าน้อยๆ ปีนลงบันไดมาอยู่บนพื้นระดับเดียวกัน
ผมมาถึงห้องก่อนเป็นคนแรกแต่เนื่องจากไม่กลัวความสูงและรู้สึกว่าการปีนบันไดขึ้นไปนอนข้างบนนั้นช่างน่าตื่นเต้น ผมจึงตัดสินใจขึ้นไปนอนบนนั้น และไอ้ม่อนก็ตกลงใจนอนเตียงล่าง ส่วนเตียงเดี่ยวมุมห้องนั้นก็เป็นของ ‘พชร’
“เรียนอะไรกันบ้างวะ?”
นั่นคือคำถามที่สาม หลังจากถามชื่อและที่มาของเพื่อนร่วมห้องทั้งสอง
ม่อนที่ดูช่างคุยมากกว่าอีกคนเอ่ยตอบขึ้นมาก่อน ดวงตาของเพื่อนคนนี้สดใสเป็นประกายภายใต้กรอบแว่นสีแดง
“วิศวฯ เครื่องกล”
เฮ้ย! คณะเดียวกันนี่หว่า “วิศวฯ เหมือนกัน สิ่งแวดล้อมนะ”
“เฮ้ย แจ๋วๆ!” ม่อนตรงเข้ามาจับมือผมเขย่าอย่างเวอร์วัง
ได้ข่าววิศวฯ นี่ประชากรโคตรเยอะ ไม่น่าแปลกอะไรที่รูมเมทจะเรียนคณะเดียวกันมั้งครับม่อน?
ผมลอบขำมัน แล้วหันไปทางพชร ผู้ซึ่งบอกว่าตัวเองไม่มีชื่อเล่น ให้เรียกชื่อเต็มคือ พชร อ่านว่า พด-ชะ-ระ
“มึงล่ะ?”
แล้วเสียงทุ้มก็ตอบกลับมาเบาๆ..
“มนุษยฯ ปรัชญา”
พรวดดด!ผมที่เอาน้ำกรอกปากเข้าไปแล้ว พ่นออกมาทันที
“เฮ้ย เป็นอะไร!?” ไอ้ม่อนเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ผม ทว่า ผมได้แต่มองพชรค้างๆ
“อะ..เอ่อ ไม่มีอะไร” ผมค่อยๆ ตะกุกตะกักตอบไป
ม่อนเพ่งมองผมงงๆ “พิกลนะมึงนี่”
ฮ่ะๆ ผมหัวเราะน้อยๆ ลอบขำกับตัวเองในความบังเอิญนี้
กูเจอเข้ากับมนุษยฯ-ปรัชญาอีกคนจนได้! ก็อก ก็อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นในยามค่ำ เราสามคนมองหน้ากันงงๆ
พชรที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด หมุนลูกบิดเปิดออก..
“อ่ะ..”
ผมหลุดอุทานนิดๆ ..ไม่คิดว่าจะเจอหน้ากันในหอเร็วขนาดนี้
รูมเมททั้งสองเลิกคิ้วด้วยไม่รู้จัก ผู้มาใหม่ส่งยิ้มให้พวกมัน ผมจึงเดินไปหาร่างสูงกว่าที่หน้าประตู บอกให้เพื่อนรู้เป็นนัยๆว่าเขามาหาผม
“ดิ้ล เอาเตารีดมาไหม กูลืม..”
เสียงเข้มเอ่ยถาม บนท่อนแขนมีเสื้อนักศึกษากับกางเกงยับๆอย่างละหนึ่งตัว
ผมพยักหน้า มือดึงชุดมันมาไว้ในมือตัวเอง “เดี๋ยวกูเอาไปให้”
“เอาไปให้..” มันทวนคำ แต่ผมไม่ได้รอฟัง โต๊ะรองรีดยังกางทิ้งไว้อยู่ เพราะเพิ่งรีดของตัวเองเสร็จไป
ผมเสียบปลั๊กเตารีดใหม่ ปรับความร้อนให้เหมาะ แล้วลงมือรีดเสื้อนักศึกษาและกางเกงให้ไอ้หมอกอย่างรวดเร็ว แต่ก็อย่างเบามือด้วย ขอบอกว่าชินที่สุดอ่ะกับการรีดผ้า พ่อน่ารักปล่อยให้รีดเองตั้งแต่อยู่ชั้นป.สามเลยเชียว โคตรภูมิใจ!
รีดเสร็จ.. ผมก็พาดกางเกงสแลคไว้กับไม้แขวนของตัวเองที่หยิบออกมาจากตู้ และคลุมทับด้วยเสื้อนักศึกษา เรียบร้อยไปหนึ่งชุด สวยงามมาก โฮ่ๆ!
ผมยิ้มพอใจกับผลงาน แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาเพื่อพบกับ..
สายตาแปลกใจสองคู่ของเพื่อนร่วมห้องและอีกหนึ่งคู่ของคนที่น่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องไอ้หมอก แล้วเดินมาหามัน พอเห็นว่าไอ้หมอกกำลังยืนรออะไร ก็คงหยุดดูบ้างด้วยความอยากเผือก..
“เอ่อ..”
เรื่องนี้ตรูลืมคิดไป..“สะ..เสร็จแล้ว” ผมยื่นชุดให้ไอ้หมอก..ซึ่งรับไปยิ้มๆ
“ยิ้มเหี้ยอะไรอยู่ได้ ไปๆ!” ผมโบกมือไล่มัน
“อ้าว พวกมึงได้เตารีดแล้วเหรอ ยืมมาเผื่อบ้าง”
รูมเมทอีกคนแห่ง 336 ก็เดินออกมา ผ่านประตูห้องที่เปิดค้างเอาไว้ด้วย
“เตารีดน่ะ หมอกคงไม่ต้องใช้แล้วม้าง..” คนที่ยืนอยู่ก่อนเหล่มองมา ผิวปากหวือ
“เดี๋ยวผมเอาชุดมาให้รีดให้บ้างได้ไหมครับ”
เอ่อม.. ผมส่ายหน้าน้อยๆ เดินเข้าห้องไปหยิบเตารีด “เอาครับ ให้ยืม”
“โธ่ ทีหมอกยังรีดให้ แล้วทีผม ทำไมไม่รีดด้วยล่ะครับ ผมรีดเองไม่ถนัดเลย”
“สัด พอๆ” ไอ้หมอกรับเตารีดมาจากมือผมแทน แล้วพูดกับผมด้วยภาษาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกับที่พูดกับรูมเมท
“เข้าห้องเถอะดิ้ล ขอบคุณนะครับ”
ผมยิ้มเขินๆ ปิดประตูลง ไม่วายจะได้ยินเสียงจากหน้าห้อง..
“เฮ้ย ทำไมเขารีดผ้าให้มึง ไม่รีดให้กูวะ”
“เพราะเขาเป็นแฟนกู ไอ่สัด!”ผมหัวเราะขำๆ ทว่า ก็ต้องลอบกลืนน้ำลาย เมื่อหันเข้าห้องตัวเอง แล้วเจอเข้ากับสายตาคู่เดิมภายหลังกรอบแว่นสีแดง
“อะ.. เอ่อ..”
ไอ้ม่อนยังคงมองผมอย่างรอคอยคำอธิบาย ไม่รู้มันจะเอาไปตอบข้อสอบหรือไง
ไม่ได้คิดว่าจะเปิดตัวรวดเร็วขนาดนี้กับคนที่ยังไม่ได้สนิทอะไรกันเลย แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามันแสดงท่าทีรังเกียจ ผมก็จะได้รู้เหมือนกันว่าผมควรทำตัวยังไง
“แฟนมึงจริงเหรอวะ?”
เมทเตียงล่างเอ่ยถามขึ้นมา ผมจึงพยักหน้า “อืม..”
“เฮ้ย!” ไอ้ม่อนเบิ่งตา ปากอ้าค้าง “เหี้ย แฟน แฟนมึง..”
“เออ แฟนกู คบกันมาตั้งแต่ม.ห้าแล้ว” ผมเอ่ยเสริมขัดคำพูดที่เหลือของมันเสีย
“กูไม่ว่านะ ถ้ามึงจะคิดอะไร แต่แค่อย่า-”
“เหี้ย แฟนมึงโคตรหล่อ!”
เย้ย! เป็นผมบ้างที่อ้าปากค้าง
“หน้าตาธรรมดาอย่างมึงนี่หาแฟนได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ” ดวงหน้าขาวฉงน
“ห..หล่อ?” ผมตะกุกตะกัก ไม่แน่ใจว่าได้ยินถูก
“เออ ท่าทางจะรักมึงมากนะนั่น มองมึงตาเยิ้มเชียว”
“อะ..เออ กูก็รัก..รักมันมากเหมือนกัน เอ่อ.. ฮ่ะๆ”
แล้วผมก็ได้แต่หัวเราะออกมา ความรู้สึกดีโลดขึ้นในอก โอเค วิศวฯ เครื่องกล ผ่าน!
ผมเหล่ตาไปทางเมทเตียงเดี่ยวซึ่งตอนนี้รื้อเสื้อผ้า ข้าวของของตัวเองออกมาจัด
มันดูเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องชาวบ้านนัก แต่ก็เอาวะ..
“พชร มีปัญหาเปล่าวะ?” ผมถามตรงๆ
“เรื่อง?" มันเลิกคิ้ว เงยขึ้นมอง "ที่มึงเป็นแฟนกับข้างห้องน่ะนะ”
ผมพยักหน้ารับ มันจึงเอ่ยเรียบๆ
“กูเป็นรูมเมทใช่ไหม ไม่ใช่พ่อมึง เพราะฉะนั้น.. แฟนมึงเป็นใคร ผู้ชายหรือผู้หญิง มันใช่เรื่องที่กูต้องยุ่งหรือ?”
เมทปรัชญาตอบด้วยคำถาม เป็นผลให้ผมอึ้งไปสามวิฯ แล้วจึงหัวเราะพลางพยักหน้าพลางอย่างชอบใจ
ทว่า.. ก็มีอีกคนที่ดูท่าไม่ใคร่พอใจกับคำกล่าวนี้นัก
“นี่คือ.. มึงไม่ได้เหน็บกูใช่ปะ?”
เมทเครื่องกล ผู้ซึ่งยืนแน่วแน่รอคอยคำตอบของผมก่อนหน้านี้ ขมวดคิ้วใส่อย่างหาเรื่อง และเมทปรัชญาก็เพียงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“คิดไปเอง..”
เอ่อม.. ผมหลบฉากขึ้นเตียงอย่างเนียนๆ
ดูท่ากูจะไม่เกี่ยวแล้วล่ะ... . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมในชุดเล่นบอลเดินเหงื่อซ่ก ก้าวเท้ามาถึงหน้าห้อง..
เป็นปกติที่จะต้องมองไปที่ประตูห้อง 338 ก่อน เผื่อคนคุ้นเคยเปิดออกมา ก็จะได้มองหน้าหรือทักทายกันให้ชื่นใจเสียหน่อย
อย่างไรก็ตาม ประตูห้องไอดิลปิดสนิท ผมจึงหมุนลูกบิดห้องตัวเองที่ไม่ได้ล็อค
รูมเมททั้งสองอยู่ในห้อง คนหนึ่งเล่นเกมส์ในโน้ตบุ๊ค และอีกคนนั่งรีดผ้าด้วยเตารีดของผม ซึ่งเป็นอันเดียวที่มีในห้อง และผมก็ยกให้พวกมันไปเรียบร้อยแล้ว เพราะตัวเองชักจะไม่ค่อยได้ใช้..
“หวัดดี ไง..”
ผมเอ่ยทักทายสองเมท พลางวางกระเป๋า หยิบผ้าขนหนูมาพาดแขนไว้ เพื่อจะไปอาบน้ำชำระร่างกายที่ชื้นเหงื่อจากการเล่นฟุตบอล
เพิ่งเรียนปีหนึ่งได้ไม่ถึงเดือน ผมก็สมัครเข้าชมรมฟุตบอลของคณะแล้วเรียบร้อย
มันติดจริงๆกับการเล่นบอล ขาดไม่ได้เอาเสียเลย จึงเป็นต้องกลับหอค่ำจัดเสมอๆ
ผมเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุด ชะงักนิดหนึ่งแล้วอมยิ้ม.. ชุดนักศึกษารีดเรียบร้อยสองชุดแขวนอยู่ในนั้น
“แฟนมึงเอามาให้” ใครสักคนพึมพำบอก พร้อมกับยิ้มแซว
ผมพยักหน้ารับ หยิบผ้าขนหนู ตะกร้าอาบน้ำและเสื้อผ้าเดินดุ่มๆ ออกไปห้องน้ำ
ผมกับไอดิลไม่ใช้เวลาด้วยกันมากนัก ไอดิลเองก็กลับหอค่ำ คณะวิศวฯ รับน้องหนักตามที่ผมได้ยินมา
พอเช้าขึ้น เจ้าตัวก็เดินจากหอไปคณะเอง ผมไม่ได้ไปส่ง เพราะคณะของคนรักอยู่ใกล้หอเพียงนิดเดียว
เราต่างคนต่างเรียนและต่างทำกิจกรรมของตัวเอง แต่ก็บ่อยครั้งเช่นกัน ที่เราจะนัดแนะกันไปเยี่ยมฝันที่ใต้หอสามหญิงพร้อมทั้งกินข้าวด้วยกันและก็บ่อย ครั้งอีก..ที่เราต่างคนต่างแสดงความรู้สึกต่ออีกฝ่ายในแบบของเรา..
ไอดิลรีดผ้าให้ผมตลอด เคาะประตูเอง เดินเข้ามาหยิบเอง ผมอยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง แต่ก็มีเสื้อผ้ารีดเรียบร้อยเอาไว้ให้ในตู้ทุกที
ส่วนผม ผมก็ทำของผมเหมือนกัน สำหรับเด็กชอบกินขนมแบบไอดิล ผมก็มักจะ..
ก็อก ก็อก!“ดิ้ล” ผมเคาะประตู พลางเรียกคนรัก หลังกลับมาจากซ้อมบอล “ดิ้ล..”
“หมอก อยู่นี่ๆ” ร่างเล็กส่งเสียงเรียกมาตามทางเดิน
ผมหันไปมอง ส่งยิ้มให้ “กินข้าวแล้วยัง?”
ไอดิลพยักหน้าหงึกหงัก “กินแล้วที่คณะ มึงอ่ะ”
“เรียบร้อย” ผมพยักบ้าง แล้วยื่นถุงกระดาษไปให้เจ้าตัว
“เครปญี่ปุ่น เขาขายใต้หอข้างสนามบอล เพื่อนมันบอกว่าอร่อย”
“ว้าวว ใจมาก” ไอดิลดี๊ด๊าตามคาด สูดจมูกดมกลิ่นของกินอย่างน่ารัก
ผมอดไม่ได้ต้องเอามือยีหัวมันเล่น และนั่นทำให้เราหยุดนิ่งมองตากัน..
ผมอยากโน้มหน้าลงไปหา ประทับจูบอย่างที่เคยทำ แต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้
ไม่อยากทำอะไรไม่ถูกไม่ควรให้มีคำครหา ไม่อยากใกล้ชิดกันมากจนหวั่นไหว
ปีหนึ่งเป็นปีที่ต้องปรับตัว เป็นปีที่ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เริ่มต้นชีวิตที่ไม่คุ้นเคย ชีวิตที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่..
แค่เราดูแล เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล สนับสนุนกันไปเรื่อยๆแบบนี้ ผมก็คิดว่าเพียงพอแล้ว พอที่เราจะผ่านอะไรๆไปได้ไม่ยาก..
“เข้าห้องเถอะ” ผมตบไหล่มัน
ไอดิลพยักหน้าน้อยๆ ทำท่าจะเดินไป แต่แล้วก็จับมือผมเอาไว้ เอ่ยบอกแสนเบา
“กูคิดถึงมึง..”
...
....
ผมได้แต่ทาบฝ่ามือทับไว้บนมือเล็กกว่านั้น เอ่ยตอบจากความรู้สึก “กูก็เหมือนกัน”
ท้องฟ้าดำมืดดารดาษด้วยดวงดาว..
ผมนั่งริมระเบียง โอบกีต้าร์แนบลำตัว นิ้วกรีดลงบนเส้นลวดที่คุ้นเคยมานานหลายปี
“เอาใจและร่าง.. ออกมาวางเดิมพัน
เดินทางไกลอยู่ใต้แสงจันทร์ คิดถึงทุกวัน คิดถึงทุกคืน..
คิดถึง.. คนรัก ชุบชูใจให้ตื่นฟื้น
โอ้ฝันอยู่ทุกค่ำคืน ในคืนที่มีแสงจันทร์..อ่อนหวาน”ไม่นานนัก.. เสียงกีต้าร์ของผมก็คลอไปด้วยเสียงขลุ่ยจากระเบียงห้องข้างๆ
ผมยิ้ม.. ไอดิลรู้ว่าผมคิดถึง
คิดถึง.. เด็กผู้ชายคนนั้นที่ยืนร้องเพลงให้ต้นไม้ฟังที่หน้าบ้าน
คิดถึง.. คนที่ขัดห้องน้ำด้วยกัน เดินกลับบ้านด้วยกัน แต่งเพลงด้วยกัน เล่นดนตรีด้วยกัน และจูบกัน..
คนที่ขณะนี้.. อยู่ห้องข้างๆ..
ผมเอนหลังพิงกรอบประตู เชื่อว่าไอดิลก็นั่งในตำแหน่งเดียวกัน
“เอาความฝันใฝ่สองเราไว้..ที่ปลายฟ้า
เดินทางผ่านสายธารเวลา ขอให้ศรัทธา อย่าลืมลางเลือน”ผมร้องเนิบๆ แต่ส่งผ่านความรู้สึกออกไปในทุกๆถ้อยคำ
“รอแสงสว่าง อรุณรุ่งรางมาเยือน
ฝากใจไว้กับแสงดาวเดือน ขอให้มาเยือนอยู่ในนิทรา..หลับฝัน” ก็ดีนะครับ..
ที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่อยู่ใกล้กัน ได้พบกัน ได้ทำอะไรเล็กๆน้อยๆ ร่วมกันแบบนี้
มันชื่นใจ.. อบอุ่นใจ.. ทว่า ก็มีช่องว่าง..
เว้นไว้ให้คิดถึงกัน..TBC ครับ มีอีกสองตอน ขอเกลาอีกนิดๆ
ส่วนรอบหน้าจะนำปกมาฝากนะครับ ใกล้เรียบร้อยแล้ว ^_^