ตอนที่ 96
โลกนี้มีคนหลายประเภท...
บางคนเลือกที่เป็นฝ่ายให้เพียงอย่างเดียว
บางคนเลือกที่จะได้เพียงฝ่ายเดียว
มีน้อยคนนัก...ที่จะคิดว่า...ความรักคือการให้ ก่อนที่จะขออะไรจากคนอื่น... เราควรให้สิ่งนั้นกับเขาก่อน
ให้ความรักแล้วจึงขอความรัก.... แบบพี่โต้ง...
พี่รักน้องฐามากนะ........ช่วยรักพี่บ้างไหม? ฟังน้ำเสียงนุ่มนวลเว้าวอนในทีแบบนั้นแล้วหัวใจมันซาบซ่านเต็มตื้นไปหมด หนูเงยหน้าของเขาเพื่อจะคำถามนั้น แต่แล้วภาพตรงหน้ากลับไม่ใช่...
พี่โต้งหายไปแล้ว....คนที่อยู่ตรงหน้าหนูกลับเป็นโรจน์.... มันจ้องมองหนูด้วยใบหน้าเคียดขึ้ง เหมือนโกรธเคืองกันมาสามร้อยชาติ แล้วเค้นเสียงถาม
บอกกูที... ว่ามึงเคยรักกูจริงๆ หรือเปล่า? จนป่านนี้แล้ว.... หนูก็ยังอดตั้งคำถามเดียวกันไม่ได้...
ว่าเราเคยรักกันจริงๆ หรือเปล่า?
ภาพฝันค่อยจางหายพร้อมหยาดน้ำตา หนูสะดุ้งตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนหอบหายใจอยู่บนเตียงกว้างในห้องของรีสอร์ท..... อ้อมแขนอุ่นกระชับแน่น....พร้อมคำถามเป็นห่วงเป็นใย
“เป็นอะไร...ฝันร้ายเหรอ?”
หนูหันไปมองหน้าคนถามท่ามกลางความมืด รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นทันทีที่คนที่อยู่ข้างๆ ยังเป็นพี่โต้ง ระหว่างที่หอบแฮ่ก เพราะความตื่นตกใจน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ๋..อย่างร้องนะคนดีพี่อยู่นี่แล้ว....”
นิ้วโป้งที่ไล้ข้างแก้มแผ่วเบาและอ่อนโยน ข้อมือจับรั้งท้ายทอยให้เข้าไปหา รอยจูบเบาๆ ที่หางตา แก้ม และมุมปาก ทำให้หนูรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด
“พี่....” เริ่มๆ จะเลยเถิดละ....
“อืม”
“ทำไรอ่ะ?”
“ปลอบ” เหรอคะ บ้านหนูเค้าเรียกมือปลาหมึกแบบนี้ว่าลวนลามมากกว่านะคะพี่.....
“พอแล้ว... นอนเถอะ....พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า” หนูรีบปราม ไม่ใช่เล่นตัวอย่างที่คุณคิดหรอกนะคะ แต่คิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันไม่ใช่การโอ้โลมปฏิโลมครั้งแรกของคืนนี้หรอกค่ะ มันผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว และควรเป็นเวลาพักผ่อนบ้างแล้วล่ะ.....
“ทำไมต้องตื่นเช้า....” อีกฝ่ายสวนกลับทันควัน
“ก็จะได้ออกไปเที่ยวด้วยกันไง”
“ไม่เห็นต้องรีบนี่ ปายมันไม่ได้หายไปไหนซะหน่อย”
ซะงั้น..... หนูเหนื่อยใจเมื่อเจอคนแถเก่ง ปากพูดอู้อี้ มือไม้นี่ไปไหนแล้วไม่รู้.....
เนียนจริงๆ อ่ะพี่....
โอเค ให้อีกรอบเดียวนะยะ......
.
.
.
.
.
สว่างแล้ว..... ไม่แน่ใจว่ากี่โมงแน่....ตอนที่งัวเงียตื่นขึ้นมาอีกที....
ร่างบอบบางของหนูนอนหอบหายใจรวยรินอยู่บนเตียงกว้าง ภายหลังจากผ่านศึกใหญ่พม่าบุกตีค่ายบางระจันจนแตกพ่าย... ฮะ อะไรนะไม่ใช่เหรอ? ทำไมรู้สึกว่ามันใกล้เคียงกันเลย
อยู่ด้วยกันมาระยะเวลาหนึ่ง หนูได้ศึกษานิสัยใจคอของพี่โต้งมาบ้างไม่มากก็น้อย เขาทั้งใจดี อ่อนโยนและอบอุ่น โรแมนติก ปากหวาน วิชาการ เป็นผู้ใหญ่ ขี้หึง แต่คงเพราะร่างกายอันไม่สมประกอบ และภาวะสมองที่เสื่อมโทรมจนจำอะไรไม่ได้ ทำให้เราสองคนไม่ได้ฟีทเจอริ่งอะไรกันเลย หนูถึงไม่เคยรู้เลยว่า...เบื้องหลังความเคร่งขรึมเยือกเย็น ความจริงพี่แกหื่นมาก!!!
บางทีมันอาจจะเป็นความผิดของหนูเองก็ได้ที่ช่วงแรกๆ เล่นตัวมากไปหน่อย
เล่นตัวจนวินาทีสุดท้ายก่อนจะโดนหมัดฮุกเล่นงานจังเบ้อเร่อ.... ไอ้ที่บอกรัก แล้วรักแกตอบมั่งอ่ะแหละ น้ำเสียงแกน่าสงสารขนาดนั้นต่อให้ใจแข็งยังไงมันก็ต้องอ่อนกันมั่งแหละเนอะ
จนแล้วจนรอดถึงสุดท้ายหนูจะโอเคเซเยสไปแล้วก็ตามที เพราะความเคลิ้ม.... แต่พอถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ.... มันก็ไม่ได้ง่ายดายอะไรขนาดนั้นหรอก แบบว่าถึงจะไม่ได้สดซิงใหม่แกะกล่องอะไรขนาดนั้นแต่ไม่ได้ทำนานๆ มันก็ฟิตมีคับอะไรกันมั่งเนอะ ต่อให้พี่โต้งแกจะมีเทคนิคลีลาเด็ด เล้าโลม ล่อลวง พรั่งพร้อมไปทั้งตัวช่วยยังไงก็ตาม สุดท้าย มันก็สรุปได้แค่ว่า “มันเจ็บมาก” อยู่ดีอ่ะ
เพราะงั้นหลังจากผ่านไป “รอบนึง” หนูก็สร่างเมา หนูถึงไม่ย้อมให้ทำต่อ แถมตอนเช้ายังรีบเก็บของหนีกลับบ้านไปเลยด้วย... พี่แกคง...อดทน ทนอดจนเก็บกดเล็กๆ พอมีโอกาสเลยไม่ค่อยยอมพอ...ตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนโดนแก้แค้น เอาคืน “ทบต้น ทบดอก” ยังไงก็ไม่รู้!!
แสงสว่างลอดผ่านเข้ามา....หนูฝืนเปิดเปลือกตากดูเวลาที่ข้อมือ
โฮกกกกก บ่ายโมง นอนกินบ้านกินเมืองกันแล้วหรืออย่างไร
“พี่โต้ง.... พี่โต้ง” หนูพยายามลุกขึ้นแล้วเขย่าตัวคุณสามีให้รีบตื่น
“อือ... รู้แล้ว....”
“รู้แล้วก็ตื่นสิคะ บ่ายกว่าแล้วนะ”
“บ่ายแล้วยังไง ยังง่วงอยู่เลยขอนอนอีกนิดเถอะ....”
“โห่....ถ้าจะเอาแต่นอนไม่ต้องถ่อมาไกลถึงนี่ก็ได้นะ... นอนอยู่หอก็เหมือนกันแหละ”
“ก็แล้วใครล่ะบอกว่าค่าห้องแพงต้องนอนเยอะๆ”
“ไม่ต้องเยอะขนาดนี้ก็ได้มั้ง แล้วนี่เราจะได้เที่ยวกันไหมล่ะเนี่ย”
“ได้สิ ถ้าเที่ยวไม่หนำใจอยู่หลายๆวันก็ได้”
“เปลืองตายเลย....”
“งกทำไม? ไม่ได้ให้ออกตังค์ซะหน่อย....”
“คุยได้ยาวขนาดนี้แสดงว่าตื่นแล้วนะคะเนี่ย.... งั้นก็ลุกเหอะ หนูหิวจนท้องร้องเจี๊ยกๆ แล้วอ่ะ
“ฮ่าๆๆ ท้องหรือลิงร้องเจี๊ยก....อือ......ฮ้าววววว” พี่โต้งว่าขำๆ ค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นบิดตัวจนลั่นกร๊อบๆ
“ไปอาบน้ำสิคะจะออกไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ”
ชิ!!! พอลุกขึ้นมาได้ก็ใช้เลยนะยะ....หนูคิดแล้วขยับตัวจะลงจากเตียง
ซื้ด.... พอขยับเท่านั้นแหละ รู้สึกเลย....
ปวดเอวอิ๊บอ๋าย.....เลย ฮึก ฮึก....
“ถ้าไม่ไหวก็พักก่อนก็ได้นะ ไว้เย็นๆ...”
“ไหวค่ะ ไหว!!!!!!!!!!!!!!!!”
ขืนบอกว่าไม่ไหว สุดท้ายเราคงไม่ได้ออกไปไหนกันพอดี!!
พี่โต้งเสียสละค่ะ ยอมอาบน้ำก่อน แล้วแกก็เดินออกมารอข้างนอกห้อง กว่าหนูจะพาสังขารเสื่อมโทรมออกจากห้องน้ำ แต่งหน้าทาปากให้หายโทรมก็บ่ายคล้อย เดินออกมาด้านนอกพบพี่โต้งกำลังเล่นกับเด็กน้อยที่เจอเมื่อวานท่าทางมีความสุข
“อ้าว เสร็จแล้วเหรอ?” พี่โต้งหันมาทัก
“ค่ะ”
“กลับไปหาคุณพ่อคุณแม่ได้แล้วค่ะ พี่คงต้องไปแล้ว” พี๋โต้งหันไปบอกเด็กคนนั้นอย่างใจดีแล้วมองตามน้องเค้าวิ่งกลับไปหาครอบครัวไม่ละสายตา
“พี่โต้งนี่รักเด็กจังเลยนะคะ”
“ทำไมล่ะ? น้องฐาไม่ชอบเหรอ”
“ค่ะ หนูว่าเด็กทารกเป็นอะไรที่จัดการยากน่ะ เดี๋ยวร้องไห้งอแง ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร พูดกันไม่เข้าใจ ถามอะไรก็ตอบไม่รู้เรื่อง พอโตขึ้นมาหน่อยก็ดื้อซน ควบคุมยาก”
“ที่พูดมาทั้งหมดนั่นน่ะ น้องฐาชัดๆ เลย”
“พี่หาว่าหนูเป็นเด็กเหรอ”
“คล้ายๆ หึหึ”
“พี่อ่ะ....”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่อยากมีลูกสินะ”
“ถ้าเป็นลูกตัวเองก็คงรัก แต่ก็อย่างว่า หนูจะมีลูกได้ยังไง”
“แล้ว.....ไม่คิดอยากจะรับเด็กมาเลี้ยงบ้างเหรอ?”
“บ้า.... พูดอะไรก็ไม่รู้ ยังเด็กกันอยู่เลย คิดเรื่องมีลูกแล้วเหรอ?”
“อนาคตข้างหน้าไง อีกสามสี่ปี ตอนเรียนจบทำงานแล้วไรงี้”
“ไม่เลยอ่ะ หนูกลัวว่าจะทำให้เค้ามีเป็นเด็กมีปัญหาโดนเพื่อนล้อ คนไม่ใช่ตุ๊กตานะคะ แค่คิดว่าอยากมีอย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องคิดถึงผลที่จะตามมาด้วย ว่าเราดูแลเค้าได้จริงไหม”
“ฟังดูดีนะ ตอนพี่บ่นเรื่องปลาทองก็เห็นยืนยันว่าจะเลี้ยง”
“อ้าว.....นั่นของหนูเหรอคะ หนูนึกว่าปลาพี่ซะอีก”
“ก็ปลาของเราน่ะแหละ....”
“ไม่รู้สิคะ หนูแล้วแต่พี่ ตัวหนูคนเดียวไม่อยากมีเลย ยังไงก็ไม่ใช่ลูกเราแท้ๆ อยู่ดี คิดว่ามีกันแค่สองคนก็น่าจะพอแล้ว แต่ถ้าพี่โต้งชอบเด็กขนาดนั้นอยากเลี้ยงหนูก็ไม่ว่าอะไร”
“สมมุติว่า... พี่เกิดมีลูกขึ้นมาสักคน น้องฐาคิดว่ารักเค้าได้ไหมล่ะ”
“หือ? ลูกพี่? กับใครล่ะ?”
“เอ่อ...ไม่ได้กะใคร พี่แค่สมมุติไง....”
“อ้อ...เรื่องสมมุติ รักสิคะ ถ้าเป็นลูกพี่โต้งหนูต้องรักอยู่แล้วล่ะ แต่แค่ลูกนะ อย่าให้หนูได้เจอแม่เชียว หนูคงต้องหากำจัดไปให้พ้นทางก่อนแล้วค่อยเอาลูกมาเลี้ยงเป็นลูกของหนู ไม่อย่างนั้นเค้าคงจะเป็นหนามยอกอกหนูไปตลอดแน่ๆเลย” หนูพูดยิ้มๆ แล้วหันไปมองคนถาม หน้าเผือดสีไปเลย
“ล้อเล่นนะคะ ใครจะไปทำอย่างนั้น อีกอย่างถ้าพี่โต้งไม่ชอบผู้หญิง พี่จะมีลูกได้ยังไงล่ะ? จริงไหมคะ?”
“จ้ะ ใช่จ้ะ”
.
.
.
.
.
หนูขอตัดบทเรื่องเที่ยวปายเลยแล้วกัน เพราะความจริงเราแทบไม่ได้เที่ยว เพราะให้เวลาส่วนใหญ่ไปกับห้องพัก
และเตียงนอนเสียส่วนมาก จะให้ไปเที่ยวแบบสมบุกสมบันขึ้นเขา ปีนน้ำตกเดินไกลๆ ก็ไม่ได้เพราะสภาพช่วงล่างไม่อำนวย ลำบากแท้ สุดท้ายก็เลยได้แต่นั่งรถไปหาจุดชมวิว เดินตามตลาด ไหว้พระ เป็นอะไรที่เที่ยวไม่คุ้มเลยอ่ะบ่องตง!!
กลับจากปาย พี่โต้งก็พาไปไหว้พระที่ดอยสุเทพ (ทางขึ้นเค้าก็ทรมานใจเหมือนกันแต่กัดฟันดั้นด้นขึ้นไปจนได้ เพื่อภาพถ่ายสวยๆ ไว้ลงเฟสบุก ) แล้วก็พากันไปกินขันโตก... เป็นอะไรที่หนูตื่นตาตื่นใจมากเพราะทีแรกก็ไม่รู้จัก พี่โต้งก็เลยพาไปเปิดหูเปิดตา
ที่ร้านที่พาไปกินไม่ได้มีแค่ขันโตกนะคะ เค้ามีการแสดงพื้นบ้านให้ดูระหว่างทานด้วยก็ สวยๆ ตระการตาทั้งนั้นดูเพลินจนไม่ค่อยได้กิน พอแสดงจบ พวกนางรำก็เดินมาถ่ายรูปกับลูกค้าตามโต๊ะ หนูก็เลยขอถ่ายรูปคู่กับพี่โต้ง แกก็ทำหน้าแบบเต็มใจถ่ายมากกกกกกกก
“ยิ้มหน่อยสิ พี่ทำหน้าอย่างนี้แหละ ตอนที่ออยมันบอกหนูว่าพี่เป็นแฟน หนูถึงไม่เชื่อ” แค่นั้นแหละแกเลยยอมเลยยิ้ม
ถ่ายรูปเรียบร้อยช่างภาพและนางรำก็เดินไปโต๊ะอื่น หนูจินตนาการถึงงานแต่งงานหรืองานบวชที่เจ้าภาพเดินไปถ่ายรูปกับแขกเหรื่อทีละโต๊ะเลยแหละ อีกสักพักเค้าก็จะเอารูปที่อัดเรียบร้อยแล้วมาให้ ราคาพร้อมกรอบนี่ แพงเอาการซะจนหนูอยากบอกพี่โต้งไม่ต้องซื้อเลยแหละ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วหนูไมใช่คนออกตังค์ก็เลยหยวนๆ ให้
นั่งชื่นชมรูปภาพที่ถ่ายออกมาสวยกิ๊กอย่างอารมณ์ดีมีความสุข...
“อย่างนี้สิถึงจะเหมือนคนเป็นแฟนกันหน่อย เนอะๆ” หนูถามความเห็นเมื่อยื่นภาพถ่ายส่งไปให้
“ค่ะ ค่อยเหมือนคนรักกันหน่อย...” พี่โต้งยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาหนูหุบยิ้ม
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ ยิ้มแท้ๆ แต่มองดูเหมือนคนจะร้องไห้”
“พี่ดีใจน่ะ รู้สึกเหมือนได้น้องฐาคนเดิมกลับมาเลย”
หนูยกมือเอานิ้วเกาแก้มเบาๆ แบบนึกไม่ออกว่าอี “น้องฐาคนเดิม” นี่เป็นยังไง
“หนูก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าน้องฐาคนเดิมที่พี่พูดถึงเป็นยังไง แต่ถ้าน้องฐาคนนี้ที่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าพี่ ทำให้พี่พอใจ หนูก็ดีใจ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่นิสัยหรือแม้แต่การแสดงออก น้องฐาคนเดิมของพี่คือคนที่พี่รัก และเค้าก็รักพี่มากต่างหาก น้องฐาคนนี้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า?”
หนูชะงักไปนิดหนึ่ง...
นั่นสินะ ตั้งแต่หนูลืมตาขึ้นที่โรงพยาบาล ก็ผ่านไปนานสองเดือนกว่าแล้ว พี่โต้งคอยเฝ้าดูแล ห่วงใย และบอกรักหนูหลายต่อหลายครั้ง เหมือนกับกลัวว่าหนูจะไม่เชื่อ แต่จนป่านนี้แล้ว หนูยังไม่ได้พูดอะไรให้เขาได้มั่นใจเลยสักนิด ถึงความรู้สึกของหนู...
“หนูก็เคยบอกพี่ไปแล้วนี่ ว่าพี่ดีกับหนูมากขนาดนี้ ถ้าหนูไม่มีแฟน หนูต้องรักพี่แน่ๆ เลย”
“แสดงว่าตอนนี้น้องฐาลืมไอ้หมอนั่นไปแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ได้ลืมค่ะ แต่จำได้ต่างหาก พี่รู้ไหมคะว่าตอนที่หนูกลับบ้านไป ความทรงจำบางส่วนของหนูกลับมาแล้ว ความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับคนที่หนูเคยรักและซื่อสัตย์ต่อเขามาตลอด แต่มันกลับไม่มีค่าอะไรเลย คนที่ไม่ได้เกิดมาเป็นนางเอก ต่อให้รักมากแค่ไหน ทำดีมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่คนที่คนถูกเลือก มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะเกิดมาคู่กับผู้ชาย สำหรับเค้ากะเทยอย่างหนูก็เป็นได้แค่ตัวสำรอง หรือของแก้ขัดเท่านั้น...” หนูยิ้มขื่นๆ พอได้พูดก็เพ้อเจ้อเหมือนคนสติหลุด...
หมับ.... พี่โต้งเลื่อนมือมากุมมือหนูที่วางไว้บนโต๊ะ แล้วบีบแน่น
“แต่พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้นนะ”
“ค่ะ หนูเชื่อ ว่าพี่คือคนที่หนูตามหา ถ้าพี่ไม่ได้ชอบผู้หญิงจริงๆ พี่ก็จะไม่ทำให้หนูรู้สึกเจ็บปวดแบบเดิมอีกแล้ว... พี่ยังจำได้ไหมว่าบอกกับหนูว่ายังไงก่อนที่หนูจะกลับบ้าน พี่บอกจะไม่เห็นใครดีกว่าหนู จะไม่ให้หนูต้องเสียใจอีกแล้ว”
“จำได้ แล้วก็แน่ใจด้วยว่าทำได้”
.
.
.
.
.
จบทริปขึ้นเหนือแล้ว หนูกับพี่โต้งก็กลับมาที่ม. ด้วยบรรยากาศรื่นเริงชื่นมื่น ตามประสาคนรักที่เพิ่งปรับความเข้าใจกันสำเร็จ ยืนหน้าห้องรอให้พี่ไขกุญแจแต่เมื่อหมุนลูกบิดพี่โต้งก็ขมวดคิ้วชะงักไม่ยอมเปิดประตูเข้าไป
“มีอะไรเหรอคะ?”
“เปล่า รู้สึกเหมือนห้องไม่ได้ล็อกเลย”
“จริงเหรอคะ หรือว่า.....ขโมย!!” หนูทำเสียงตื่นเต้นทันที
“ไม่มั้ง อาจจะเป็นไอ้ซาก็ได้” พี่โต้งตอบเหมือนจะปลอบให้คลายกังวลทั้งๆ ที่ตัวแกเองก็ไม่ได้พรวดพราดเข้าไปทันทีแต่ค่อยๆ เปิดประตูแง้มออกช้าๆ เราค่อยๆ เดินตามกันเข้าไปข้างในอย่างตื่นเต้น...และแล้ว....
“กลับมาแล้วเหรอครับ” คำถามที่ดังขึ้นทำเอาหนูสะดุ้งแล้วหันไปมองด้วยสายตาเหมือนจะไม่พอใจ
ทายซิใครเอ่ย....
พี่ซาเหรอ...... ผิด
แฟนพี่ซาตะหาก!! ก็อีพี่เอตัวดีไง เห็นหน้าแล้วหงุดหงิดขึ้นมาเลยทีเดียวเชียว ณ จุดจุดนี้!!!!
“เราน่ะเอง ตกใจหมด” พี่โต้งทัก แต่ก็ค่อยสบายใจขึ้นเมื่อไม่พบบุคคลแปลกหน้าอย่างที่กังวล “แล้วมาทำอะไรล่ะ?”
“อ๋อ... ก็แวะมาให้อาหารปลาทองไงครับ ลืมไปแล้วเหรอ?”
“อือ.... แต่พี่จำได้ว่าพี่ใช้ไอ้ซาต่างหากนะ ไมได้ใช้เรา”
“ผมก็แค่อยาก....พอดีพี่ซาเค้าไม่ว่างก็เลยใช้ให้ผมมาแทนน่ะครับ ถ้าพี่อยากให้ผมตอบแบบนั้น”
กวน...... สรุปว่าอยากตอบอย่างอื่นแต่เพราะพี่โต้งไม่อยากให้พูดเลยต้องโกหกใช่ไหมที่ต้องการจะสื่อ?
เห็นกันชัดๆ เลยว่าอยากยุให้แตกกัน....
อร๊ายยยยยยยยยย ทำไมหมั่นไส้ขนาดนี้นะ อยากจะเดินพรวดๆ เข้าไปจิกหัวนางมาตบสักทีสองทีให้หายแรด เมื่อไรจะเลิกวุ่นวายกะแฟนชาวบ้านซะทีนะอยากรู้.... คิดแล้วของขึ้น.. แต่คนอย่างหนูน่ะ ไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบออกมากรี๊ดกร๊าดอาละวาดแบบนางร้ายหรอก เสียภาพพจน์ น้องฐาน่ะเป็นได้แค่ “นางฟ้า” เท่านั้นแหละเวลาอยู่ต่อหน้า “ผู้ชาย”
“เอ... แล้วตอนนี้เสร็จธุระแล้วใช่ไหม?” เสียงพี่โต้งเริ่มฟังดูไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเหมือนกัน
“ครับ ถ้าพี่อยากไล่ให้ผมกลับ...ผมกลับก็ได้” พูดเพื่อ?.....
คนอุตส่าห์อารมณ์ดีๆ กลับมาทำเอาอารมณ์เสียเลยอ่ะขอบอก... หนูถอนใจเฮือกแล้วขยับตัวไปขวางทางตัวปัญหาเสียก่อนที่เขาจะได้เดินออกจากห้อง
สายตาแสดงคำถามส่งมาทันทีเมื่อหนูแบมือยื่นไปตรงหน้า
“อะไร?”
“ขอกุญแจคืนด้วยค่ะ”
“คงให้ไม่ได้หรอก ของพี่ซาไม่ใช่ของพี่ซะหน่อย”
“กุญแจของใครไม่สำคัญนอกจากห้องนี้เป็นห้องพี่โต้ง หนูเห็นว่าไม่เป็นการสมควรที่พี่จะมีกุญแจห้องนี้ไว้ ถ้าพี่ซาอยากได้ค่อยมาเอาทีหลังก็แล้วกัน ส่วนปลาทองนี่ก็ไม่ต้องห่วงนะคะ ต่อไปหนูจะดูแลมันเอง ไม่ต้องรบกวนคนอื่นมาดูแลให้”
“ทำไม? กลัวว่าพี่จะแอบเข้ามาหาพี่โต้งตอนน้องไม่อยู่หรือไง”
“คงไม่ขนาดนั้น แต่กันไว้ดีกว่าแก้”
“รอบคอบเหลือเกินนะ”
“หนูก็แค่ทำตามคำเตือนผู้ใหญ่เท่านั้น.....อะไรที่เป็นของเรา ถ้าหากดูแลไว้ไม่ดี ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจจะไม่ใช่ของของเราก็ได้” เขาชะงักมองหน้าหนูนิ่ง เพราะคำพูดนี้เขาเคยพูดกับหนูเอง
“ดีแล้วแหละที่คิดได้แบบนั้น....” เขาว่าแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ มือล้วงกุญแจส่งให้ทันที
หนูเหลียวหลังมองตามพี่เอที่เดินออกจากห้องไปด้วยความสับสนมึนงงอย่างที่สุด ไม่รู้แกจะดีหรือจะร้ายด้วยกันแน่ ช่างเป็นคนที่เข้าใจยากชะมัดเลย
“เอาเรื่องเหมือนกันนะเราน่ะ” อยู่ดีๆพี่โต้งก็พูดลอยๆ ขึ้นมา
“คะ?”
“นานๆ จะเห็นน้องฐาหึงสักทีน่ะ เห็นแล้วรู้สึกดีเหมือนกัน”
“พูดเหมือนอยากให้หนูหึงบ่อยๆ”
“ก็ปกติมีแต่พี่ที่ขี้หึงเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว บางทีก็น้อยใจเหมือนกันว่าแฟนเรานี่ไม่รักไม่หวงเราบ้างเลย” มีทำหน้าน้อยใจประกอบ
“คนรักกัน จะไม่หึงไม่หวงแฟนตัวเองเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ แต่นิสัยขี้งอน ง้องแง้ง ขี้โวยวาย อาละวาด มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละค่ะที่ทำออกมาแล้วน่ารัก ถ้าหนูทำบ้าง คงน่ารังเกียจแล้วก็น่ารำคาญ”
“ทำไมชอบว่าตัวเองอยู่เรื่อยเลย น้องฐาออกจะน่ารักขนาดนี้ ใครจะไปรำคาญลง”
“จริงเหรอคะ”
“จ้ะ” ตอบรับแล้วดึงร่างหนูเข้าไปกอดลูบหัวเบาๆ อย่างอ่อนโยน....
แม้จะรู้ว่าก็เป็นเพียงแค่ลมปากหวานๆ ของผู้ชายยามรัก แต่มันก็ทำให้หนูยิ้มได้อยู่ดี
พี่โต้งไม่รู้หรอกว่า ความจริงหนูก็ขี้หึงเหมือนกัน แค่ไม่แสดงออกพร่ำเพรื่อเท่านั้นแหละ เดี๋ยว” ไก่” จะตื่น
อย่าให้หนูได้ร้ายบ้างแล้วกัน หนูร้ายได้มากกว่าที่พี่จะคาดคิดเสียอีก...
…….ว่าไปนั่น ถึงยังไงหนูก็ไม่คิดว่าพี่โต้งจะทำให้หนูต้องเป็นแบบนั้น เพราะเขาสัญญาแล้วว่าจะไม่เห็นคนอื่นมาสำคัญกว่าหนู ส่วนพี่เอ ก็เห็นชัดเลยว่าพี่โต้งไม่ได้สนใจใยดี หนูยังจะต้องกังวลอะไรอีกล่ะ จริงไหม
หนูยิ้มอยู่ในอ้อมกอดของเขา อ้อมกอดแสนหวานที่นุ่มนวลและอบอุ่นเหมือนหมอนนุ่มและผ้านวมหนา
รู้สึกสุขใจมากจนไม่อยากขยับไปไหน.... และไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แม้กระทั่งความทรงจำ
หนูไม่คิดจะไปหาหมอโรคจิตอีกแล้วทั้งๆ ที่หมอนัด ความทรงจำก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว ในเมื่อต่อให้ไม่มีมัน พี่โต้งก็ยังเป็นคนที่หนูรัก อยู่ด้วยแล้วมีความสุขอยู่ดี
เครดิตตามภาพ
จบแบบนี้ก็เท่ดีนะ ว่าไหม??
แต่ขออภัย มันยังไม่จบ!!!
TBC.