มาเรื่องใหม่แล้วจ้า สนุกปนสยองนองเลือดถึงใจแน่นอน แต่ไม่รู้จะมีใครอยู่อ่านหรือเปล่านะ สงกานต์เราได้อยู่บ้าน อดเที่ยว เฮ่อ.....เหงาจัง ใครอยู่รายงานตัวด้วยเด้อ
เรื่องสั้น ตอนที่ 3 ศพสยองหลอน หึหึ!
ณ.ห้องดับจิตโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง สถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครกล้ามาเยือนโดยเฉพาะกลางคืนอันเงียบสงบ เมื่ออาทิตย์ลาลับที่ขอบฟ้าสถานที่แห่งนี้ก็เหมือนอยู่ในแดนสนทยา คนที่มาอยู่ที่นี่ได้คือคนที่ใจแข็งและคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีเท่านั้น และนี่เป็นเรื่องของคนสองคนที่ต้องเกี่ยวข้องกันในห้องดับจิต
เห้อ.......
เห้อ.......
เห้อ.....
“300 ว่าไง”
“แค่นี้เองเหรอ” ประณต หรือ อู้ ทำหน้าไม่ค่อยอยากเท่าไรตอนไอ้อ่ำเพื่อนซี้เสนอเงินแลกกับการทำงานแทนคืนหนึ่ง เขาที่ตอนนี้กำลังแห้งกรอบยิ่งกว่าข้าวเกรียบก็ต้องลังเล เพราะคืนเดียวได้ถึง 300 บาทก็ถือว่าเยอะแล้ว ซื้อข้าวกินได้ตั้งหลายมื้อ
“น่า...ช่วยๆกันหน่อย กูต้องไปง้อเมียจริงๆ ไม่งั้นมันเอาลูกไปด้วยแน่ๆ นะๆๆๆ”
“แต่กูไม่เคยเป็นอาสาหน่วยกู้ภัยเลย หัวหน้ามึงจะไม่ว่าเอาเหรอ”
“เอ่อน่า....เฮียแกเป็นคนจำหน้าคนไม่เก่ง มึงตู่ไปว่าเป็นกู แกก็ไม่รู้หรอก”
“แล้วพวกเพื่อนๆมึงล่ะ ไม่ถามเอาเหรอ”
“คืนนี้กูต้องเฝ้าห้องดับจิต ไม่ต้องไปกับรถ มึงไม่ต้องห่วงไปหรอก เตรียมหนังสือไปอ่าน เตรียมเพลงไปฟังดีกว่า มึงได้นั่งว่างทั้งคืนแน่ อ๋อ...ลูกอมกาแฟก็ดีนะ จะได้ไม่ง่วง ไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวกูก็รีบไปเหมือนกัน”
“แล้ว 300 กูล่ะ”
“กลับมาแล้วกูมาจ่ายน่า” ไอ้อ่ำรีบแจวไปไม่เหลียวหลังเลย เบื่อมันจริงๆ มีอะไรก็ชอบมากวนอยู่เลย อู้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะไปทำงานแทนเพื่อน
อีกด้านหนึ่ง
“เข้าใจงานทั้งหมดไหมครับ โม” ผจญ รุ่นพี่สอนงานเสร็จหันมาถาม นัฐพลหรือโมเมทำหน้าสยองไม่เลิก เขาส่ายหน้าดิกเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว ยิ่งเห็นเขาทำหน้าแบบนี้ใครเห็นเป็นอยากแกล้งให้ร้องทุกที “เป็นอะไรครับน้องโม”
“ผมต้องทำอย่างที่พี่บอกจริงเหรอ พี่ก็รู้นะว่าผมกลัวผี กลัวเลือดที่สุด”
“ฮะฮะ โมไม่ต้องกลัวหรอกครับ พี่อยู่ที่นี่มานานบางทีไม่มีศพมาเป็นอาทิตย์ก็มี โมอยู่แทนไอ้ปานแค่คืนเดียวไม่ต้องกลัวครับ ไม่ต้องกลัว” ผจญถือโอกาสโอบไหล่รุ่นน้องที่แสนน่ารักแน่นๆทีหนึ่ง
“แล้วถ้าเผื่อคืนนี้มีมาล่ะครับ”
“ไม่มีหรอกน่า รอบๆนี้ก็ยังมีโรงบาลใหญ่ๆตั้งอยู่รอบๆเยอะมาก กว่าจะมีศพมาถึงที่นี่น่ะก็ต้องมีเป็นร้อยศพโน่นแหละถึงจะหลุดมาได้ เชื่อพี่เถอะ คืนนี้โล่ง....น้องโมเอาหนังสือกับเอาหนังมาดูได้เลย รับรอง” ผจญหัวเราะร่าหยิบกระเป๋าส่วนตัวจะออกไปแล้ว
“เอ่อจริงสิ น้องโม”
“ครับ”
“โบราณเขาว่าไม่เชื่ออย่าลบลู่นะ ก่อนหน้าพี่จะประจำอยู่นี่มีลุงที่ทำงาน แกบอกเเคล็ดลับไล่ผีให้พี่ฟัง”
“ครับ เขาว่าไง”
“เขาบอกว่า ถ้าเห็นผีล่ะก็.....”
“ครับ??”
“แก้ผ้าให้ผีดูซะ”
“หา??”
“จริงนะ ถ้าโจ๊ะพรึ่มพรึ่บให้ผีดูด้วยยิ่งดีใหญ่ ผีไม่กล้าโผล่มาให้เห็นเลย”
“พี่ล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย” โมเมหน้าแดงไปหมด
“อึ่ย ไม่ได้ล้อเล่น พูดจริงนะแต่เพราะพี่ไม่เคยเจอผีเลยไม่ได้พิสูจน์ นี่ฝากไว้เผื่อเจอ....ลุงเขาบอกว่าใช้ได้ผลนะ ผีมันไม่ชอบเรื่องอุจาดบาดตา ถ้ารู้สึกไม่ดีละก็แก้ผ้าเลยนะ ไปล่ะ”
“พี่นี่ก้อ...” เด็กหนุ่มอยากหาอะไรขว้างจริงเชียว ล้อมาได้คนยิ่งกลัวๆด้วย แต่พอรุ่นพี่ไปแล้วทั้งห้องก็เหลือเขาอยู่คนเดียว โมเมมองไปรอบๆห้องที่เย็นเฉียบ รู้สึกขนลุกจริงๆ เสียงแอร์ยังดังเสียกว่า ตอนนี้เพิ่งทุ่มหนึ่งเอง ทำอะไรดีนะ อ้อ...ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า
โมเมล้วงเอามาม่าคัพออกจากกระเป๋าเป้ กำลังจะออกไปอีกคนก็พรวดพราดเข้ามา
“โอ๊ะ ขอโทษ”
“ครับ....” โมเมมองคนแปลกหน้าตาโต หนุ่มอายุมากกว่า ตัวโต หน้าตาดีมีแววขี้เล่น ดูแล้วลักษณะแบบพี่ชายในอุดมคติจริงๆ เขายิ้มกว้างทักทาย “มีอะไรหรือครับ”
“เอ่อ...ผมเป็นอาสา....อยู่เวรคืนนี้”
“อ้อ..ผมก็อยู่เวรคืนนี้เหมือนกัน”
“จริงเหรอ โฮ่...โชคดีจังนึกว่าจะได้อยู่คนเดียวเสียแล้ว เอ.....แล้วนี้” อู้ ยิ้มร่ารีบเอากระเป๋าเป้วางที่โต๊ะเวร หันมาเห็นมาม่าคัพในมืออีกฝ่าย
“อาหารเย็นผม”
“เหมือนกันเลย งั้นไปด้วยนะ” เขาล้วงเอามาม่าคัพออกมาเหมือนกัน
“ห้องครัวทางนี้ครับ กลางเดือนอย่างนี้ลำบากเหมือนกันเลยนะครับ”
“ใช่....ของผมนะเดือนชนเดือน บางทีก็ไม่ถึงกลางเดือนด้วยซ้ำ เอ่อ...ผมชื่อ อู้ แต่ไม่ใช่คนชอบอู้นะ”
“ผมโมเมครับ เรียกโมเฉยๆก็ได้ แล้วก็ไม่ใช่คนขี้โมเมเหมือนกัน”
“อืม...โมอายุเท่าไรเหรอดูเด็กจังไม่เหมาะกับงานเฝ้าห้องนี้เลย”
“ผมมาแทนพี่ชายครับ ผม 19 แล้ว”
“ผม 25”
“เอ๊ะ...เบญจเพสพอดี ไม่กลัวเหรอครับพี่อู้”
“กลัวสิ....แต่มันเป็นงานนี่นา” ทั้งคู่กดน้ำร้อนกลับมานั่งทานในห้อง คุยกันสนุกจนลืมเวลาไปเลย ยิ่งมีหนังมาดูก็ยิ่งสนุก อู้กับโมเมนั่งเก้าอี้ตัวติดกันหลังโต๊ะเวรดูหนังแอกชั่นระทึกใจจนจบ เวลาล่วงไปถึง 3 ทุ่ม
“สนุกเน้อะ ดูเรื่องอะไรต่อดี หนังผีไหม”
“ไม่เอา พี่อู้ หนังผีไม่เอา ผมกลัว”
“เรื่องนี้ไม่น่ากลัว แค่เสียวเป็นพักๆ” อู้กดเปิดไม่ถามอีก เขามานั่งชิดๆไหล่ติดไหล่ เด็กหนุ่มหน้าตาแบ๊วแบบนี้ใครเห็นเป็นต้องอยากแกล้ง เขาเองก็เหมือนกัน โมเมนั่งกอดเข่ามองจอทีวีผ่านร่องระหว่างหัวเข่าเท่านั้น อู้อดขำไม่ได้เขาถือโอกาสโอบไหล่เล็กนั่งดูเป็นเพื่อน
“อูยยย...น่ากลัวง๊ะ”
“ไม่เห็นน่ากลัวเลย” เขาหัวเราะมือกระชับไหล่เล็กเข้ามาแล้วรู้สึกว่าไหล่เล็กจัง กลิ่นก็....
ปัง!!! “มีศพมาแล้ว....”
ประตูห้องเปิดผ่างออกมา ทั้งคู่โดดดึ๋งลุกขึ้นด้วยความตกใจ ไหนว่าไม่มีอะไรไง
“อ้าว พี่ผจญไปไหน” อาสาหันมาถาม
“ลาพักครับ อาทิตย์หน้ากลับ”
“แล้วเรามาแทนเหรอ” เขาถามตอนนี้เองที่มีรถเข็นศพเข้ามาเรื่อยๆ
“แค่คืนนี้ครับ พรุ่งนี้พี่วรวีก็จะมาแล้ว”
“ก็ดี งั้น....ถ้าเราทำไม่เป็นก็เอาไว้ก่อน รอพี่วรวีก็ได้”
“ครับๆ...แล้วนี้เป็นอะไรมาหรือครับ ทำไมเยอะจัง” โมเมมองเตียงเข็นเข้ามาถึง 5 เตียงด้วยกัน ถึงจะมีผ้าคลุมมาเรียบร้อยก็เถอะน่ากลัวทั้งนั้น
“ป้ายโฆษณาโดนลมพัดล้มใส่สายไฟฟ้าขาดลงไปในสระน้ำของบ้านหลังหนึ่งเข้านะสิ น่าเสียดาย สาวๆทั้งนั้น เห็นว่ามาปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนด้วยแต่ดันมาดับพร้อมกันอีก” อาสากำลังเซ็นชื่อลงบันทึกไว้
“มาอีกรายแล้วจ้า...” เพื่อนอีกคนเข็นเข้ามาอีกเตียง
“อะไรกันเนี่ย วันนี้หวยออกหรือไงถึงมาครึ้กครืนกันที่นี่” อู้บ่นอุบเลย
“ช่วยไม่ได้ บ้านลุงแกอยู่ถัดไปซอยเดียวเอง นี่หัวใจวายมาหมาดๆเลย” สองหนุ่มได้แต่มองตาปริบๆ ทั้งหมด6 ศพอัดเข้ามาในห้องดับจิตภายในคืนเดียว ทุกคนเซ็นชื่อลงบันทึกเสร็จสรรพก็แยกย้ายไปกันหมด เหลือเขาสองคนที่ได้แต่ยืนมองเงียบจนได้ยินเสียง ชิ้งงงงงงงงงงง.......อย่างในการ์ตูนเลย
“เรา.....เราต้องทำอะไรไหม” อู้ถาม
“เอ่อ....ถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือแล้ว....เอ่อ.....ผมจำไม่ได้แล้ว” โมเมทำหน้าจะร้องไห้จนอู้ต้องดึงให้มาอยู่หลังโต๊ะเวร
“ไม่เป็นไรนะ พี่ๆเขาบอกแล้วนี่ ถ้าทำไม่ได้ก็รอพี่ที่เข้าเวรพรุ่งนี้ทำนะ”
“ครับ”
สองหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งตัวติดกันยิ่งกว่าเก่า ตาก็มองข่าวในทีวีให้หายกลัว จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึง 5 ทุ่ม จู่ๆหลอดไฟในห้องก็กระพริบปริบๆ
“พี่อู้!!!” โมเมร้องลั่นเขากอดแขนอีกฝ่ายแน่น
“ไม่มีอะไรหรอก ใจเย็นๆ แค่.......”
เฮ่ออออออออออออ............เสียงลมหายใจเบาๆแต่ชัดเจนแว่วมาได้ยินถนัดถี่ทั้งสองหู ชวนให้ขนลุกขนพองเหลือเกิน สองหนุ่มหันมามองหน้ากันพยายามยิ้มปลอบใจกันและกันสุดฤทธิ์
“หูฟาดใช่ไหม พี่อู้”
“ใช่...คงเป็นเสียงลมแหละ ไม่ก็เสียงแมลง พี่ว่า..เรามาร้องเพลงกันดีกว่าไหม” เขาชวนแต่โมเมเอาแต่จ้องนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ผนัง “มีอะไร?”
“จะเที่ยงคืนแล้ว...เขาว่ายิ่งดึก.....มันก็ยิ่งดุ” เด็กหนุ่มสะอื้น
“เฮ่ย ไม่จริงหรอกน่า โมอย่าคิดมาก มาเถอะ ร้องเพลงกันดี....ก่า” อู้พูดไม่จบ เขานิ่งไปโมเมถึงหันมามองทำไมถึงเงียบไปล่ะ
ผ่าง!!!!!
ความรู้สึกเหมือนมีเสียงฆ้องจีนดังลั่นไปทั่วห้อง หัวใจของโมเมร่วงไปอยู่ตาตุ่มทันทีที่เห็นร่างผอมซีดเซียวของชายแก่ผมขาวยืนตรงข้ามมีโต๊ะเวรกั้นระหว่างพวกเขา ลุงยืนนิ่งจนไม่รู้สึกถึงการมีชีวิตเลย โดยเฉพาะดวงตาที่จ้องมองมาอย่างน่ากลัว สองหนุ่มยืนตัวแข็งแทบไม่กล้าหายใจ คน...หรือว่า...?? ทั้งคู่มองเตียงที่ยังอยู่ครบ 6 เตียงแล้วลุงแกมาเมื่อไร ทำไมถึงไม่ได้เสียงเปิดประตูล่ะ
“พี่อู้ออออออ” โมเมกอดร่างสูงแน่น
“ลุง.....ลุงครับ” อู้ถามเสียงสั่น
“บ้า......น” เสียงเย็นยะเยือกลอดจากปากแกช่างน่ากลัวจนพวกเขาหลับตาปี๋ “ชา...น...อยู่...หน่ายยย”
“บ้านลุง....ผมไม่รู้”
“ว่าไงนะ!!!!” แกถลึงตาใส่
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ทั้งคู่ร้องลั่น ผวากอดกันตัวชิดติดกำแพงเลย
“พี่อู้ๆๆๆๆๆ แก้ผ้าเร็ว”
“ว่าไงนะ”
“แก้ผ้าเร็ว....ผีไม่ชอบเห็นของอุดจาด แก้เร็ว!!!” โมเมถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว
อู้เห็นก็รีบถอดบ้าง ทั้งคู่หันมาโชว์ตัวหราต่อหน้าผีแก่ “ไปให้พ้นนะ....ไปเดี๋ยวนี้”
“ไปสิ ไปเร็วๆ ไปซะ” อู้ตะโกนใส่ ตาแก่นิ่งเงียบสุดท้ายแค่กระพริบตาปริบๆ ชายหนุ่มหน้าเสียเห็นขนาดนี้ยังไม่ยอมไปอีกเรอะ เขาขึ้นไปยืนบนโต๊ะ แยกขาออกกว้างและแกว่งสะโพกควงตอปิโดแทนเข็มนาฬิกาซะเลย “เป็นไง!!! อุดจาดพอรึยัง.....ไปซะที ไปได้แล้ว”
ลุงแกพ่นลมหายใจเฮือกพลางส่ายหน้า “ทุเรศชะมัด”
แกเดินผ่านประตูหายออกไปเลย สองหนุ่มได้แต่ยืนมองอึ้งกิมกี่ ผี....ใครว่าไม่มีจริง
“พี่อู้” ชายหนุ่มเพิ่งได้สติ เขารีบลงจากโต๊ะ ร่างเล็กโผเข้ากอดทั้งที่ยังโป้ด้วยกันทั้งคู่ “ผมกลัว”
“ไม่เป็นไรแล้ว.....ไม่เป็นไรแล้ว” ไม่รู้ว่าเขาปลอบใจตัวเองด้วยหรือเปล่า เพราะยังขนหัวลุกไม่หาย เขาดันร่างเล็กออกห่างเล็กน้อย “คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เรื่องที่เราเห็นเมื่อกี้....ตาฟาดชัดๆ เน้อะ”
“กอดกันให้ดูอีกทีได้เป่า” เสียงบุคคลที่สามดังขึ้นมา พวกเขาหันไปมองสาวผมยาวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าหน้าซีดเป็นกระดาษ ยืนแสยะยิ้มให้ ตรงจุดเดียวกับที่ตาลุงเมื่อครู่ยืนอยู่
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
จบตอนที่ 1
(ติดตามตอนต่อไปจ้า)