มาต่อแล้วจ้า อาจจะหื่นน้อยหน่อย เอาไว้แก้ตัวเรื่องหน้านะคะ

ศพสยองหลอนหึหึ! 2
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
สองหนุ่มแหกปากร้องมา3 รอบแล้ว แม่สาวนั้นก็ยังยืนจ้องหน้าอยู่เหมือนเดิม อู้ตัดสินใจกระโดดมายืนหราต่อหน้าแอ่นเอวสู้ทั้งที่หน้าซีด ปากสั่น
“ไปนะ ไปเดี๋ยวนี้”
ชิ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
สาวผมยาวมองหน้าอย่างไร้อารมณ์ก่อนแลตามองเบื้องล่างจนคนยืนแอ่นชักเมื่อยเอว ตกลงยังไงกันเนี่ย ไม่ได้ผลกับผีผู้หญิงหรือไง หล่อนชี้นิ้วที่อาวุธเขา
“กุ้งเสียบใช่ไหม”
อู้หน้าถอดสี มองของตัวเองสลับกับแม่สาวนั้นไปมา แม้จะพยายามฮึดสู้ไม่ยอมรับคำวิจารณ์แล้วแต่สุดท้ายก็คอตกสู้หล่อนไม่ได้
“ฮือ....” เขาสะอื้นกลับไปหาโมเมยังกะเด็กโดนตี เด็กหนุ่มกอดปลอบใจ ถึงจะกลัวผีแต่ตอนนี้เขากลับโกรธแทนอู้ เพราะเรื่องนี้สำคัญมากสำหรับผู้ชาย โดนหาว่าเป็นกุ้งเสียบได้ไง ทั้งที่มันใหญ่กว่าตั้งเยอะ
“เมเปิ้ล......” เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น สองหนุ่มถึงรู้สึกตัว มีสาวๆมาเพิ่มตั้งแต่เมื่อไรกัน
“น้องอาย.....”
อู้คว้ามือโมเมวิ่งฝ่ากลางระหว่างสองสาวไปเร็วที่สุดในชีวิตเลย คิดอย่างเดียวว่าต้องหนีไปให้ไกลที่สุด เขาลากร่างเล็กวิ่งออกมาถึงทางเดินไปตึกใหญ่ โมเมยันเท้ากับพื้นเสียงดังเอี้ยดดดดดดด
“พี่อู้!!! เราไม่ได้นุ่งผ้านะ”
เฮ้ยยยย! อู้เพิ่งนึกได้ ตอนนั้นเองที่ญาติคนไข้กลุ่มหนึ่งเดินผ่านหันมามองพอดี
“เหวอ!!” โมเมร้องลั่นตอนถูกกระชากล้มข้ามพุ่มไม้เตี้ยริมทางเดินก่อนที่จะมีคนวิ่งมาดูใกล้ๆ
“มีอะไรเหรอ คุณ”
“ไม่รู้สิ ยังกะเห็นใครแวบๆแถวนี้ ไม่ได้นุ่งผ้าเสียด้วย” เขาเหลียวมองไปรอบๆ แต่เพราะมืดมากเขาไม่มีไฟฉายเสียด้วย
“ตายแล้ว อย่าพูดอะไรออกมานะ รีบกลับห้องได้แล้วคุณ”
“อะไรล่ะ ผมจะดูให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฟาด”
“ตาฟาดสิ ตาฟาดแน่ๆ รีบไปได้แล้ว” ภรรยาลากแขนสามีถู่ลูถู่กังออกไปไกลจากสองหนุ่มมากขึ้น
“อะไรของเธอนะ”
“คุณก็....ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ บางอย่างที่คนทั่วไปไม่เห็นน่ะมีออกเยอะแยะ ยิ่งดึกๆยิ่งน่ากลัว ห้ามพูดถึงอีกนะ”
“เมื่อกี้น้าเขาพูดถึงอะไรน่ะ” เสียงเด็กๆถามแซ่งแซ่ ขณะที่อู้กับโมเมนอนตัวแข็งใจเต้นตึกๆในความมืด เพราะความอายเลยต้องโดดหลบคนอื่น แต่ตอนนี้มันกลับน่าอายมากยิ่งกว่าเก่าเสียแล้ว เมื่อต้องนอนประกบกันแบบไม่มีเสื้อผ้าขวางกั้นเลย
โมเมไม่กล้าวางหัวลงกับไหล่กว้างเลยทั้งที่เมื่อยมาก นั้นไม่เท่าไรไอ้ที่เมื่อยยิ่งกว่าคือเอวที่ต้องโย่งก้นให้สูงเท่าที่จะสูงได้ ไอ้นั้นของพวกเขามันแนบชิดติดกันจนชักจะร้อนวาบๆแล้ว
“ปะ....ไปกันแล้วมั่งครับ”
“เหรอ” อู้เองก็ชักร้อนๆหนาวๆเหมือนกัน ร่างเล็กบอบบางอย่างนี้ ตัวนุ่มทาบอยู่บนตัวเขา ไม่รู้สึกก็ไม่ใช่คนแล้ว แต่สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาไม่สะดวกจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ได้
ทั้งคู่โผล่หัวจากแนวพุ่มไม้แค่ลูกตามองซ้าย มองขวาแน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาแล้ว ถึงหันมามองหน้ากัน
“ไม่มีเสื้อผ้าอย่างนี้จะทำไงดีครับ”
“โมกล้ากลับไปไหม?”
“ไม่ครับ ให้ตายก็ไม่เอาหรอก”
“งั้น....พอรู้ไหมว่าจะหาเสื้อผ้าสำรองก่อนได้ที่ไหน ชุดหมอ พยาบาลหรือคนไข้ก็ได้”
“อ้อ ตึกข้างหน้านี้มีห้องเก็บเสื้อคนไข้อยู่ครับ”
“งั้นไปกันเลย”
อู้ย่องนำไปในความมืด พวกเขาไม่กล้าเดินในที่สว่างกลัวว่าใครจะมาเห็นอีก ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วทางเดินบนตึกนั้นเงียบสงัด วังเวงยิ่งกว่าหนังผีเสียอีก แม้จะมีเสียงเปิดปิดประตู เสียงคนคุยกันลอดจากห้องต่างๆบ้างก็ตาม บรรยากาศก็น่ากลัวตลอดทาง
“ทางนี้ครับ ทางนี้” โมเมชี้ให้เข้าไปในห้องเก็บของที่มีเสื้อผ้าคนไข้เก็บสำรองไว้ แค่เอื้อมมือไปหยิบเท่านั้น
“นั้นใครน่ะ” หัวหน้าพยาบาลเดินผ่านมาเห็นประตูห้องเปิดอ้าอยู่ก็เข้ามากระชากเปิดกว้างทันที “ว้ายยยยย เปรต!!!!”
“เหวอ!!!! ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” โมเมโวยวาย อู่คว้ามือเขาวิ่งหน้าตั้งออกมาทันที ตอนนี้อธิบายไปก็เท่านั้น หนีไปตั้งหลักก่อนดีกว่า
“ช่วยด้วย....เจ้าขาเอ้ย เปรต...อุ้ย! ไม่ใช่ ขโมย!!!! ขโมยๆๆๆ ยามอยู่ไหน” พยาบาลตะโกนลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน คนไข้ตื่นกันหมด ไฟในห้องสว่างพรึ่บกันหมด สองหนุ่มได้แต่วิ่งเข้าหาความมืดเพื่ออำพางตัว จู่ๆก็ปรากฏร่างหนึ่งขวางทาง
“จะหนีไปไหน” หญิงสาวหน้าขาวกว่าส่องด้วยสปอร์ตไลท์นั้นน่ากลัวกว่าโดนจับได้ทั้งที่ล่อนจ้อนอีก
“แว้กกกกกกก”
“ข้างบนๆๆ” โมเมวิ่งตามาได้แต่เลี้ยวกะทันหันโดยไม่ลืมคว้าแขนอู้ให้วิ่งตามมาด้วย ทั้งคู่วิ่งขึ้นไปชั้นที่สอง ขณะที่ชั้นล่างเสียงตะโกนขโมยไล่หลังมา
แฮ่ก....
แฮ่ก....
แฮ่ก....
“ทำไงดี พี่อู้....พวกนั้นคิดว่าพวกเราเป็นขโมยไปแล้ว”
“โมหยิบเสื้อคนไข้มาได้หรือเปล่า”
“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มชูมือให้ดูทั้งสองข้างเลย พวกเขาได้แต่มองหน้ากันในมืดสลัวมีแสงสว่างลอดเข้ามาเล็กน้อย
โครม!!! ประตูเปิดผัวะเข้ามา ทั้งคู่สะดุ้งเฮือกมือเกาะกันและกันแน่น อู้ยกนิ้วแตะริมฝีปากบอกให้เงียบไว้ก่อน
“เจอไหม” ยามถามเสียงดัง
“ไม่เจอ ห้องนี้ว่าง”
“เฮ้ย ไปดูห้องน้ำกับตู้เสื้อผ้าด้วย กูจะดูห้องถัดไปเอง”
“เอ่อๆ” แย่แล้ว โดนเจอแน่คราวนี้ โมเมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เขาหันหน้าเข้าผนังเกาะอู้ไว้เป็นเกราะกำบัง มีหวังเขาได้เป็นตัวตลกโดนเล่าขานเป็นตำนานของโรงพยาบาลแน่ๆ
แอ๊ดดด.... ประตูตู้เสื้อผ้าถูกเปิดออกทั้งคู่ผวากอดกันแน่นจบสิ้นกันแล้ว
“ว้ากกกกกกกก!!!!!” ห้องข้างๆร้องลั่น ยามที่เปิดประตูตู้ตกใจรีบไปดูเพื่อนทันทีโดยไม่ทันมองภายใน
“เฮ้ยย....มีอะไร”
“ผีหลอกกกกกกกกกก....”
“กลับมาก่อนสิเว้ย...เฮ้ย อย่าทิ้งกูไว้คนเดียว” ยามวิ่งตามเพื่อนไม่คิดชีวิตเหมือนกัน ถึงจะทำงานที่นี่มานานแต่ก็รู้ว่าสถานที่นี่มีคนเสียชีวิตมากที่สุด ย่อมมีอะไรที่อธิบายไม่ได้เยอะเหมือนกัน เสียงฝีเท้าวิ่งหายไปเหลือแต่ความเงียบสงัด ในตู้เสื้อผ้าแคบๆสองหนุ่มกอดกันแน่นด้วยความกลัว หัวใจนั้นเหมือนจะหยุดไปหลายวินาทีตอนที่ประตูถูกเปิดออก แต่ก็เหมือนมีสวรรค์ช่วยที่ยามไม่เห็นพวกเขา
อู้สงบจิตสงบใจลงได้แล้วถึงรู้สึกอะไรบางอย่าง ในวงแขนเขานุ่มจัง กลิ่นก็หอมด้วย แป้งเด็กหรือไง
ลองดมดูสิ..
ความคิดนี้ตรงใจเขาที่สุด ชายหนุ่มแอบก้มลงสูดกลิ่นหอมที่ผมนุ่ม อา....หอมจัง หอมกว่าแฟนคนแรกของเขาเสียอีก ชักอยากหอมเนื้อนุ่มๆจัง จะหอมกว่านี้ไหม
กอดแน่นๆกว่านี้ก็ได้
ใช่...แน่นอีกนิด อืม...ตัวเล็กพอดีกอดเลย ชักอยากขย้ำให้มันเขี้ยวจัง อู้รู้สึกหื่นขึ้นไวแบบยั้งไม่อยู่เลย แต่แล้วร่างเล็กก็ขยับดันอกกว้างเบาๆ
“พี่ครับ ผมอึดอัด”
“โทษที”
“เราออกไปข้างนอกดีไหมครับ”
“อย่าเพิ่งดีกว่า หลบอยู่อีกสักพักดีกว่านะ”เมื่อเขาพูดอย่างนี้โมเมก็ไม่เถียง พวกเขาเงียบไม่มีเรื่องพูดคุยกันอีก ได้แต่เงี่ยหูฟังเสียงจากภายนอก อู้เลยหาเรื่องคุยแก้ความอึดอัด
“เอ่อ.....รู้ไหมพี่สงสัยอยู่นะว่าทำไม....ผีพวกนี้ถึงไม่กลัวเราเลย ทีไอ้ผีแก่ยังยอมไปง่ายเลยใช่ไหม” คำถามนี้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าร้อนผ่าวไปหมด เขาไม่ตอบแต่อู้ก็มีคำถามต่อไปอีก
“จริงด้วย ตอนแรกคนที่บอกให้แก้ผ้าไล่ผีก็คือโมนี่นา รู้มาจากไหนล่ะเรา”
“เอ่อ....จากรุ่นพี่ครับ”
“แล้วเขาไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้เหรอ จะไล่ผีไปได้ยังไง”
“บอกครับ....แต่ว่า....ผมไม่กล้าบอก”
“ทำไมล่ะ บอกพี่มาสิ เขาว่ายังไง หา??”
ร่างเล็กตัวร้อนขึ้นจนรู้สึกได้ เขาอาย “คือ....เขาบอกว่า....ถ้าเจอผีก็ให้.....เล่นจ้ำจี้ให้ผีดู ผีจะไม่กล้ามาอีก”
โอ้....ของขึ้นทันทีทันใดโดยไม่ต้องดูหนังปลุกอารมณ์เลย อู้หื่นจับจนกลืนน้ำลายไม่ลง หัวใจเขาเต้นตูมๆ ขอบคุณรุ่นพี่ที่ส่งเสริมได้ดีมั่กๆ
“พี่อู้??....อะไรแข็งๆทิ่มหน้าท้องผมเนี่ย พี่หยิบไรมาด้วย”
“อย่าจับ!!!!” ชายหนุ่มร้องลั่น แต่สายไปแล้ว มือของโมเมจับเข้าไปเต็มมือเลย ทั้งคู่นิ่งค้างราวกับถูกสต้าฟในนาทีนั้น
โมเมไม่ทันจะคิดเรื่องพรรค์นี้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่อีกฝ่ายไม่คิดอย่างนั้น หลักฐานคือของที่ใหญ่กว่ากุ้งเสียบอยู่ในมือเขา มันพองโตและร้อนวาบไปหมด
กอดเลย....กอดเลยๆๆๆๆ
เสียงเชียร์ดังสนั่นในหัวอู้ และเขาก็อยากจะทำเช่นนั้นด้วย เมื่อโมเมเงยหน้าขึ้นมอง แสงไฟลอดผ่านระหว่างประตูเข้ามาเห็นประกายในแววตา น่ารักจนเขาอดใจไม่ไหวแล้ว อู้กระชับวงแขนโอบกอดร่างเล็กขึ้นแนบอก
“พี่...” คำพูดลอดจากปากสีชมพูได้เพียงเท่านี้ มันถูกปิดด้วยริมฝีปากอุ่นประทับหนักหน่วง ลิ้นชอนไชไปสัมผัสลิ้นนุ่มเกี่ยวพันอย่างดุเดือดให้รู้จักรสชาติหวานละมุนละไม ร่างเล็กถึงกับสะท้านวาบหวิวขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“อือ....อืมม..พี่..” พอริมฝีปากเป็นอิสระ เขาถึงกับหอบกระเส่าร้อนวาบไปทั้งตัวโดยเฉพาะตรงกลางท้องน้อย มันร้อนและถวิลหาบางอย่างที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มือที่กุมท่อนกุ้งเสียบนั้นขยับไปมาอย่างเผลอไผล แม้ไม่ต้องมีใครสอนสัญชาติญาณก็สั่งให้ทำอย่างนั้น ยิ่งมันแข็งขืนก็ยิ่งได้อารมณ์ โมถอกมันอย่างมันมือขณะที่อู้ไล้ลิ้นจากริมฝีปากนุ่มลงมาที่ซอกคอ
“พี่....พี่จะทำอะไรผมน่ะ”
“อืม....เล่นจ้ำจี้ไง โมให้พี่ทำนะ” เขาขบกัดที่ยอดอกสีชมพูเบาๆ โมถึงกับผวากอดคอเขาแน่น มือขยุ้มผมย้อมสีน้ำตาลแรงๆ “โมน่ารักมากเลย พี่ชอบโม ชอบจนทนไม่ไหวแล้ว ให้พี่ทำนะครับ นะๆๆๆๆ”
อู้พร่ำบอกปากก็ดูดดื่มยอดอกทั้งสองข้างสลับไปมา ร่างเล็กแอ่นโค้งตัวขึ้นอย่างเผลอไผลราวกับเสนอร่างกายให้อีกฝ่ายอย่างเต็มใจ มิหน้ำซ้ำเรียวขายังยกขึ้นพาดเอวหนาทำให้ส่วนกลางบดเบียดเสียดสีกันรุนแรงด้วย
“พี่อู้.....อ๊ะ” โมเมหลับตาพริ้ม ความเสียวซ่านเสียดแทงเขาแรงจนคิดหาคำพูดห้ามปรามไม่ออก บางอย่างในร่างเขากำลังต้องการ ถวิลหา และคำตอบอยู่ที่สัมผัสของอู้ที่กำลังเลื่อนลงต่ำลงเรื่อยๆ
“อะ ไม่ๆๆ อย่า....” เขาพร่ำร้องห้าม แต่ก็ไม่ขัดขวางเลยตอนถูกยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า ร่างสูงคุกเข่าตรงหน้าและทำรักอย่างหวานซึ้ง ปากนั้นกำลังทำให้เขาละลายกลายเป็นน้ำ “อ๊ะ อ๊ะๆๆๆ ปล่อย....อ๊า พี่...”
อู้ซุกหน้าอยู่อย่างนั้นจนพอใจ เขาถึงปล่อยโมเมเป็นอิสระ ร่างเล็กเข่าอ่อนจะร่วงลงพื้น ดีที่มีร่างแกร่งช้อนขาอีกข้างพันรอบเอวหนาไว้ ก่อนดันเขาขึ้นมาอยู่บนร่าง ผนังตู้ช่วยรับน้ำหนักส่วนหนึ่ง อีกส่วนอยู่ที่เอวแกร่ง โมเมต้องโอบรอบคออู้ไว้เป็นหลัก พวกเขาสบตากันในระยะประชิด จมูกชนจมูก ได้กลิ่นหอมหวานของผิวเนื้อผสมกับกลิ่นของความต้องการอันเหลือล้น
เขาต้องการกันมากเหลือเกิน ความรู้สึกนี้โมเมรับรู้ได้และมันทำให้เขาไม่ปฏิเสธความแข็งขืนที่ค่อยๆแทรกเข้ามา แม้จะรู้สึกเจ็บปวดแต่สายตาที่จ้องประสานกันตลอดเวลา มีถ้อยคำขอโทษ เห็นใจ ขอร้อง อ้อนวอนให้อดทนกับเขาให้มากด้วย อู้เม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์ตอนดันตัวเองขึ้นสูง
“พี่อู้....ผมเจ็บ” โมเมกระซิบบอก
“อีกนิดเดียว” เขากระซิบเช่นกัน ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดใบหน้าปลอบประโลมก่อนดุนดันเข้าไปอีกครั้ง ทุกอย่างถึงเข้าที่เข้าทางได้อย่างพอเหมาะพอดี
“ฮ่า....” อู้ครางกระเส่า เขากัดฟันกรอดๆอดทนไม่ให้ตัวเองกระเหี้ยนกระหือรื้อไปมากกว่านี้ ขณะที่โมเมนั้นรู้สึกตึงเปรี้ยะภายในมากๆ มากจนบอกไม่ถูกว่าเจ็บหรืออึดอัดกันแน่ อย่างเดียวที่รู้คือเขาถูกเติมเต็มฟิสแน่นไปหมด
“โม....ข้างใน...อา....หวานจัง” เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้าอ่อนวัย
“พี่ฮะ....พี่อู้....พี่อย่าทิ้งผมนะ อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว” ความรู้สึกเติมเต็มแน่นซ่านไปทั้งตัว แต่ก็เหมือนจะยังไม่พอ เขายังต้องการมากกว่านี้ และอู้ก็รู้สึกเช่นกันเขาทิ้งจูบนุ่มนวลที่เรียวปาก ก่อนขยับไหวเป็นระลอกคลื่นแห่งความสุขเข้าสาดซัดโมเมเบาๆ ช้าๆก่อน
“ฮ้า...อูวววว....อืมมม พี่ฮะ”
“อืมมม...ดีจัง....ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม โม ไม่เจ็บใช่ไหม”
“ฮะ...ไม่เจ็บเลย....อูวว....แรงอีกหน่อย”
“อืมมม!!!” อู้ครางในลำคอ เขาทำตามคำขอโมเม ร่างแกร่งเสือกไสตัวเองขึ้นจ้วงแทงหนักขึ้น หนักขึ้นจนกลายเป็นความรุนแรง ตู้เสื้อผ้าสั่นกึกๆๆๆบ่งบอกถึงความดุเดือดภายในที่ไม่มีใครมารับรู้ได้ นอกจากคนสองคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งสุขสม
“อืมมม....อ๊า!!! อ๊า....”
“โม....แรงอีกได้ไหม” ไม่ว่าจะยัดเหยียดตัวเองลึกเพียงใดก็เหมือนจะไม่หนำใจ เขากระสันอยากความล้ำลึกมากกว่านี้
“ได้ ได้ๆๆ แรงๆเลยครับ” โมเมรู้สึกเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว เขาถูกกระแทกเร็วและแรงเท่าไรก็เหมือนไม่เต็มอิ่ม ช่องทางคับแคบฉ่ำไปด้วยน้ำจากการเสียดสี มันซาบซ่านรัญจวนใจเหลือเกิน อู้ยกเรียวขาขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้าง ทำให้เด็กหนุ่มสามารถยันเท้ากับผนังตู้ได้ เขาเหนี่ยวตัวกับราวเหล็กแขวนเสื้อเหนือหัว อู้ก็ไม่ต้องรองรับน้ำหนักตัวเขาอีก แค่ประคองสะโพกไว้เท่านั้น
เหมือนร่วมรักกลางอากาศยังไงยังงั้น โมเมแหงนหน้าขึ้น แอ่นสะโพกลงรับการเคลื่อนไหวที่ดุดัน เสียงพวกเขากระแทกกระทั้นกันนั้นฟังแล้วน่าอาย แต่ก็เร้าอารมณ์จนกลั้นไม่ไหวแล้ว
“ฮ้า!!!!!! ถึงแล้ว โอ้ยยยยยยยยย” ร่างเล็กเกร็งเครียดสุดขีดตอนถึงจุดสุดยอด น้ำขาวขุ่นพุ่งกระจายไปทั่ว อู้กอดเอวเล็กไว้แน่นปากเล็มเลียความสุขของโมเมอย่างไม่รังเกียจ เขาโอบอุ้มร่างเล็กออกจากตู้เสื้อผ้า ข้างนอกยังเงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงวางเขาลงบนเตียงที่ว่างอยู่ นี่ถ้าไปเล่าให้ใครฟังคงโดนหัวเราะเยาะแน่ๆ ที่อุตริเล่นจ้ำจี้กันในตู้เสื้อผ้า
โมเมหอบแฮ่กไม่เคยเหนื่อยอะไรมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต เขายังไม่ทันหยุดหอบก็ถูกแยกเรียวขากว้างอีกครั้ง ร่างแกร่งเข้ามาครอบครองเขาอีกครั้ง
“พี่ขออีกครั้งนะ” ชายหนุ่มขออนุญาตก่อนลงมือจากนิ่มนวลไปสู่จังหวะที่โจนทะยานเร็วและแรง เหมือนเรือสปีดโบ้ทที่พุ่งแรงในทะเลคลั่ง มันมุ่งมั่งผ่าคลื่นลมแรงด้วยการทะลวงผ่ากลางคลื่น แหวกน้ำที่สาดซัดมากระจายเป็นหยดเล็กหยดน้อย
โมเมได้แต่สะบัดหน้าไปมา มือจิกหมอนผ้าปูที่นอนแทบขาดเป็นริ้วๆตอนถูกอู้โถมใส่อย่างดุเดือด เตียงคนไข้ไหวยวบยามเป็นจังหวะสปริงใต้เตียงลั่นเอี้ยดอ้าดไม่หยุด
ชั้นล่างลามไปถึงตึกข้างเคียงแตกตื่นกันยกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงสยองแว่วมาเป็นระยะ หัวหน้าพยาบาลคุมยามออกเดินตรวจยังต้องหยุดเมื่อได้ยินบางอย่าง
อูวววววววววววววววววววววววววว
โอ้ววววววววววววววววววววววววววว
อ้า.........................
พี่จ๋า............................
เอาอีกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...
ย้ากกกกกกกกกกกกกกก.....
กูถึงแล้วเว้ยยยยยยยยยยยย
“พี่คะ....พี่” สองพยาบาลวิ่งหน้าตื่นมาหา
“มีอะไร”
“คนไข้โวยวาย ขอออกกันเป็นแถวเลยคะ”
“ไปดูหน่อยเถอะคะ พวกหนูเอาไม่อยู่แล้ว พวกเขาแห่กันออกไปอยู่ที่สนามหน้าตึกแล้ว”
“อะไรกัน?? ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”
“พวกเขาบอกว่าไม่กล้าอยู่ในห้อง ผีมันดุคะ”
“หา??” หัวหน้าพยาบาลกลับมาพบบรรดาคนไข้กับญาติพี่น้องแห่กันมานอนนอกตึกเป็นแถว ขนาดคนไข้ห้อง VIP ก็ไม่เว้นออกมานอนบนสนามหญ้าด้วย
“ทุกคน...ใจเย็นๆคะ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกคะ ที่นี่ไม่มีผีหรอก กลับเข้าห้องเถอะคะ”
ทุกคนโห่ฮ่าไล่หัวหน้าพยาบาลไม่มีใครยอมกลับ ปลอบก็แล้ว ขู่ก็แล้วก็ไม่มีใครกล้ากลับเข้าห้อง แถมมีคนโทรไปตามทีวีมาทำข่าวด้วย
รุ่งเช้า
“อรุณสวัสดิ...” วรวีเวรวันนี้เข้ามาหน้าตาสดใส แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นห้องเต็มไปด้วยเตียงที่มีผ้าคลุม ไม่มีวี่แววเวรเมื่อคืนเลยเดินดูทั่วห้องแล้วก็ไม่เห็นใครเลย
“ เฮ้ยยยย” เขาตกใจเมื่อหันกลับมาเจอคนยืนหน้าซีดอยู่ข้างหลัง แถมยังนุ่งแต่ผ้าขนหนูผืนคืบเดียวอีกต่างหาก “อะไรกันเนี่ย??”
“มาแล้วเหรอครับ งั้นผมออกเวรเลยนะ” อู้เดินตัวแข็งมาเก็บกวาดเสื้อผ้ากับกระเป๋าเป้
“นายเป็นใคร น้องโมล่ะ”
“อยู่ข้างนอก ผม.....จะพาเขากลับบ้านก่อน”
“เมื่อวานทำงานยันสว่างเหรอ หน้าซีดเชียว”
“ครับ.....6 ยก เอ้ย...หนักยันสว่างเลย” เขาเดินอย่างคนอ่อนแรงออกไป ทิ้งให้วรวีมองอย่างไม่เข้าใจ ไหนว่ายันสว่าง...ไม่เห็นทำรายงานหรือชันสูตรเบื้องต้นเลย
อู้แบกโมเมขึ้นหลังพาออกมาข้างนอกจะขึ้นแท๊กซี่แต่ก็เจอกองทัพนักข่าวที่รายล้อมราวกับที่นี่เป็นสมรภูมิรบ
“คุณคะ หน้าตาซีดเซียวอย่างนี้เพิ่งเจอผีมาใช่ไหมคะ”
“ที่นี่มีผีจริงหรือเปล่า”
“มีเยอะไหมครับ กี่ตัว” เขาไม่ตอบได้แต่เดินฝ่าด่านนักข่าวโบกแท็กซี่กลับหอพักให้เร็วที่สุด เหนื่อยจัง ง่วงจนจะทนไม่ไหวแล้ว..
ณ. สถานที่แห่งหนึ่งไม่เป็นที่รู้จัก เฮ่อ......
“อิ่มอกอิ่มใจแล้วสิ” สาวนางหนึ่งว่ากระแหนะกระแหนเพื่อนที่ยิ้มหน้าบานแก้มแทบปริ
“แห๋งสิ ได้ดูจนพอใจแล้ว ฉันก็สุขใจแล้วล่ะ”
“งั้นก็ไปกันได้แล้วสิ” ทุกคนพร้อมใจกันมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง แต่กลับมีคนสุดท้ายที่ช้ากว่าเพื่อน
“น้องอาย”
“ฉันอยากดูอีกรอบ...”
The end
(ติดตามตอนต่อไปค่า)
