เจ้าสาว(?) ของเหวินสี่
พยัคฆ์ร้ายคำรามลั่นสนั่นเมฆา
แว่วเสียงโศกกาโหยหวน
ร้องเรียกถวิลหาคู่แสนอาดูร
สายลมพัดไหวกลิ่นไอมลายหาย
เดือนห้าอากาศเริ่มแปรปรวนแล้ว ท้องฟ้ามีเสียงคำรามแว่วมาเป็นระยะ มีก้อนเมฆสีเทารวมตัวคล้ายจะมีเค้าฝนแต่ไม่นานก็จางหาย บรรยากาศอึมครึมชวนให้หดหู่ใจไม่น้อย บุรุษวัยฉกรรจ์มองท้องฟ้าที่ไม่แจ่มใสนี้ก่อนเดินไปตามทางที่ทอดยาวไปถึงห้องหนังสือ เปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบกับความว่างเปล่า ซือหม่าเจิ้งงุนงงลูกศิษย์เขาหายไปไหนหมด ก่อนจะทันเห็นร่างเล็กนอนซุกตัวอยู่บนเก้าอี้หวายหลังม่านบังตา
“อาสี่.....อาสี่” เขาก้าวเข้ามาปลุกเบาๆ
“อ้อ....อรุณสวัสดิขอรับ อาจารย์ซือ” เด็กหนุ่มงัวเงียลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ทำไมมานอนอยู่นี่ล่ะ ยังเช้าอยู่แท้ๆ”
“อากาศมันชวนง่วงน่ะขอรับ เมื่อเช้าข้าฝึกวรยุทธหนักไปหน่อยเลยเผลอไป”
“ฝึกคัดลายมือหรือเดินหมากรุก็ได้นี่นา อย่าเกียจคร้านสิ...แล้วคนอื่นๆล่ะ”
“พี่ใหญ่ค้างที่บ้านเฉินขอรับ พี่รองก็อยู่บ้านโจว ส่วนพี่สามเดินทางไปเล่อเจียงยังไม่กลับ”
“เฮ่อ...แต่ล่ะคนนะ” ซือหม่าเจิ้งถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ลูกศิษย์เขาโตแล้วก็แยกย้ายไปดำเนินชีวิตของตัวเองหมด ถึงจะน่ายินดีแต่ก็น่าเศร้าด้วย “เอาล่ะ..เรามาเรียนกันต่อจากเมื่อวานเถอะ”
“ขอรับ” เหวินสี่กางตำรา ถึงจะมีเขาคนเดียวก็ไม่คิดจะเกียจคร้านประการใด วิชาความรู้เป็นสิ่งที่ต้องแสวงหา เป้าหมายคือเป็นกำลังสำคัญของบ้าน สร้างความภาคภูมิใจให้บิดามารดา
เพล้ง!!! ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก เสียงถ้วยแตกไม่ได้ดังมาจากในครัว แต่เป็นห้องโถงที่อยู่ใกล้ๆ เขามองหน้าอาจารย์แว่บหนึ่งก่อนลุกออกไปดู ซือหม่าเจิ้งตามไปดูด้วยเช่นกัน
“เจ้าพูดเช่นนี้ไม่คิดจะไว้หน้ากันเลยรึไร” เสียงตวาดนั้นคุ้นหูยิ่ง เหวินสี่เกาะบานประตูหลังของห้องโถงมองเห็นหน้าแขกในวันนี้อย่างชัดเจน จางหย่งตี้ เถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่งของเมืองนี้ มีญาติเป็นถึงผู้ว่าอยู่อีกเมืองหนึ่ง กำลังอาละวาดใส่บิดาเขา
“เถ้าแก่จางใจเย็นๆหน่อยเถอะคะ” เสียงนั้นมารดาของเขา
“ใจเย็นอะไรกัน จะบอกให้นะ หลี่ต้าโหย่ว...สัมปทานเย็นเสื้อกันหนาวให้ทหารที่ชายแดนเป็นของบ้านข้ามาถึง 5 ปีแล้ว เจ้าจะมาชุบมือเปิบไม่ได้เด็ดขาด”
“พี่หย่งตี้....งานนี้ท่านอ๋องจ้าวมีบัญชามาเอง ถ้าท่านไม่พอใจก็ไปต่อว่าท่านอ๋องเองสิ”
“เจ้า!!!” เถ้าแก่จางชี้หน้า หน้าแดงก่ำ “นี่มันเกินไปแล้วนะ”
“เกินไปยังไงมิทราบ ถึงงานนี้จะเป็นของท่านมานาน แต่ถ้าไม่มีข้อบกพร่องใครเขาอยากจะเปลี่ยนมือให้ง่ายๆ เท่าที่ข้าทราบมาก็เป็นเพราะมีหนังสือร้องเรียนจากทหารชั้นผู้น้อยมิใช่หรือที่ว่าเสื้อกันหนาวของท่านน่ะไม่มีคุณภาพ”
“หลี่ต้าโหยว!”
“จะตะโกนไปถึงไหน ต่อให้ท่านไม่พอใจอย่างไร ข้าก็ช่วยไม่ได้หรอก มีหนังสือแต่งแต่งมาแล้ว ถ้าข้าไม่รับก็มีโทษถึงตาย ชีวิตคนในบ้านข้าหลายคน ท่านจะรับผิดชอบหรือไร”
มาถึงตรงนี้จางหย่งตี้ถึงเงียบไป ทว่าสีหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เอาเถอะๆ อย่าโมโหไป นั่งลงก่อน ท่านก็พูดจากันด้วยเหตุผลเถอะคะ” หลี่ฮูหยินพยายามเอาน้ำเย็นลูบ มือถือพัดโบกลมเย็นๆให้เถ้าแก่จาง เขาถึงใจเย็นลงยอมนั่งลงจิบน้ำชาผ่อนคลายอารมณ์
“ข้ามีเหตุผลเสมอ.....ที่มาวันนี้ก็จะพูดให้เจ้าเข้าใจอย่างหนึ่ง” เถ้าแก่จางตั้งสติใหม่ หันมาพูดจาดีๆ “ต้าโหย่ว ข้าน่ะทำการค้ามาก่อนเจ้า รู้ดีว่าจะประหยัดต้นทุนนั้นทำอย่างไร เจ้าน่ะไม่มีโรงงาน ไม่มีกำลังคน แต่ข้าสิมีทั้งโรงงาน มีทั้งลูกจ้าง ให้ข้าเย็บเสื้อก็แล้วกัน ส่วนเจ้าก็นำส่ง เจ้าได้หน้า ข้าไม่ต้องปิดโรงงาน อย่างนี้เราถึงจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่....ข้าต้องลงทุนเรื่องผ้ากับแรงงานดังนั้น เจ้ารับแค่ 20% เท่านั้นก็กำไรโดยไม่ต้องลงแรงเลย”
“พี่หย่งตี้ ข้าน่ะนับถือท่านมาตลอดนะ แต่งานนี้เข้าไม่จำเป็นต้องใช้ท่านหรอก”
“ว่าไงนะ”
“ครั้งนี้ท่านอ๋องได้ให้ความไว้วางใจมอบงานให้สกุลหลี่โดยตรง ข้าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องผิดหวังเด็ดขาด เสื้อกันหนาวจะต้องเย็บอย่างดี ใช้ผ้าทบหนายัดไส้ด้วยนุ่นทั้งผืน จะทำให้เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เบากว่ายัดด้วยฟาง ต้นทุนต่อผืนสูงแน่นอน ดังนั้นข้าจะร่วมทุนกับเฉินเหวินติงพ่อตาของลูกชายข้า ทำเสื้อกันหนาวเอง ท่านไม่ต้องห่วงหรอก”
“นี่เจ้าบ้าหรือเจ้าโง่กันแน่ ถ้ายัดด้วยนุ่นต้นทุนต่อผืนก็เกือบตำลึงแล้ว”
“ชายแดนนั้นทุรกันดาร หน้าหนาวยาวนานหิมะตกทั้งวัน ถ้าใช้เสื้อยัดด้วยฟางจะทำให้หนัก ขาดง่าย ไม่อบอุ่นพอด้วย”
“ก็ช่างประไรเล่า คนใส่ไม่ใช่เจ้านี่นา”
“พี่หย่งตี๋! พูดอะไรออกมาน่ะ”
“ข้าพูดความจริง เจ้าจะเป็นพ่อค้าได้อย่างไรหากทำการค้าขาดทุน คนจีนเรามีเป็นล้านๆ ทหารชายแดนแค่แสนคน ต่อให้มันตายไปเราก็มีทหารใหม่เข้าไปอีกมากมาย เย็บเสื้อยัดไส้ฟางให้ใส่ก็ดีถมไปแล้ว”
ปัง!
“พอได้แล้ว” หลี่ต้าโหย่งทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นด้วยความโกรธ “ ทหารชายแดนเป็นกำลังสำคัญคอยปกป้องชาติให้คนอย่างท่านอยู่ดี มีสุข ท่านไม่ละอายใจเลยหรือที่พูดจาไร้น้ำใจเช่นนี้ ข้าล่ะหมดความนับถือท่านจริงๆ....คำพูดเมื่อครู่ข้าจะถือว่าไม่ได้ยิน เราไม่มีเรื่องอันใดต้องสนทนากันอีก เชิญกลับไปได้แล้ว”
“หลี่ต้าโหย่ว”
“ข้าไม่ส่งนะ” ว่าแล้วก็ลุกเดินกลับเข้าไปในบ้าน จางหย่งตี้ได้แต่มองด้วยความโกรธจนหน้าแดงไปหมด
“หลี่ต้าโหย่ว....จำไว้เลยนะ ข้าจะเล่นงานเจ้าแน่คอยดู” เขาทิ้งความอาฆาตไว้ก่อนจากไป เหวินสี่ชมดูถึงกับใจเต้นตึก เขาไม่เคยเห็นคนทะเลาะวิวาทใกล้ๆขนาดนี้มาก่อน น่ากลัว แต่ก็น่าทึ่งด้วย มืออุ่นๆวางบนไหล่เล็กเบาๆ
“บิดาเจ้าเป็นยอดคนจริงๆ” อาจารย์เอ่ยปากชมทำให้เด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิ
“ขอรับ....ท่านน่าชื่นชมจริงๆ”
“มาเถอะ ไปเรียนหนังสือต่อดีกว่า หาความรู้ใส่ตัวมากๆ แล้วเดินตามรอยอย่างบิดาเจ้านะ”
“ขอรับ”
************
เพล้ง!!!! ถ้วยน้ำชาเขวี้ยงลงพื้นใบแล้วใบเล่าเป็นการระบายอารมณ์ เท่านั้นยังไม่พอเขาหันไปคว้ากระถางต้นไม้ประดับห้องทุ่มลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ว่าจะทำอย่างไรอารมณ์เดือดในอกก็ยังไม่ลดลง เขาหันไปคว้าแจกันราคาแพง
“ท่านเจ้าคะ พอเถอะ...พอได้แล้ว” จางฮูหยินยืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก สาวใช้กับบ่าวไพร่ได้แต่หลบไปยืนหลังเสาไม่กล้าเสนอหน้าจนกว่าเจ้านายจะอารมณ์ดีขึ้น ทั้งบ้านเหมือนตกอยู่ในนรกก็ไม่ปานจนภรรยารองและบรรดาลูกเล็กๆออกมาดูกันเต็มห้อง
“พี่ใหญ่ เกิดอะไรคะ ทำไมท่านพี่....” ภรรยารองเข้ามาประคองจางฮูหยินที่ทำท่าจะเป็นลมแล้ว
“จะอะไรเสียอีกล่ะ โดนคนอื่นขัดใจก็มาอาละวาดน่ะสิ” ทั้งสองสะดุ้งโหยงเมื่อแจกันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระเด็นมาเฉียดใกล้ จางฮูหยินทนไม่ไหวเข้าไปห้ามปราม “พอเถอะ ท่านพี่ พอได้แล้ว”
“หุบปากนะ” จางหย่งตี้อารมณ์เสียหันตบฮูหยินของตนเองฉาดใหญ่ ซ้ำยังเอาด้ามไม้ขนไก่เฆี่ยนตีนางอีก
“ตายแล้ว หยุดนะ ท่านพี่!” ภรรยารองสะดุ้งนางรีบเข้ามาปกป้องพี่สาวร่วมสามี แต่กลายเป็นว่าตัวเองก็โดนตบตีไปด้วย ยิ่งโดนตีลูกเด็กเล็กแดงก็เข้ามาช่วย ยิ่งทำให้หัวหน้าครอบครัวเดือดดาลลงมือแบบไม่เลือกหน้าว่าใครเป็นใคร จนหมดแรงทิ้งไม้ขนไก่ นั่งลงกับพื้นเหนื่อยหอบ ภรรยาและลูกๆสะอื้นไห้ต่างประคับประคองกันออกไปทิ้งให้เขานั่งเงียบๆเดียวดาย จางหย่งตี้ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
“หลี่ต้าโหย่ว....ข้าจะล้างแค้นเจ้า”
**********
ปลายสัปดาห์ท้องฟ้าใสลมเย็นๆพัดแรง เหวินสี่ว่างจากการเรียนก็ค้นตำราเก่าๆในกล่องเก็บหนังสือของพี่ๆ เขาพบว่าวนกฮูกตัวแรกที่ทำเองกับพี่ๆทั้งสาม อารามดีใจจึงเลิกสนใจตำราหิ้วว่าวออกจากห้อง ตั้งใจจะไปเนินนอกเมืองสถานที่เล่นว่าวของพวกเขา เดินมาถึงห้องโถงก็เจอใครคนหนึ่ง
“อ้าว? พี่ใหญ่”
“อาสี่” พี่ชายใหญ่ที่หายหน้าไป หลายวันจะกลับบ้านทีก็ยากมาก
“ดีใจจังที่ท่านกลับมา ดูนี่สิ” เขาชูว่าวให้ดู
“เอ๊ะ....นี่ว่าวที่พวกเราทำเองนี่”
“ใช่ไหม ข้าเพิ่งเจอในกล่องหนังสือเลยว่าจะเอาไปลองเล่นหน่อย พี่ไปด้วยกันนะ”
“ไว้คราวหน้าเถอะ พี่ต้องคุยกับท่านพ่อเรื่องโรงงานเย็บเสื้อน่ะ” เหวินหลงบอกปัดทำให้เด็กหนุ่มหน้าหงอย เขาเห็นใครคนหนึ่งยืนตัวลีบอยู่ข้างหลังพี่ชาย “อาสี่...มารู้จักเพื่อนใหม่สิ นี่เฉินหยกน้อย น้องภรรยาของพี่เอง”
วงแขนแข็งแรงโอบร่างเล็กมาข้างหน้าอย่างสนิทสนม เหวินสี่มองคนที่ตัวไม่โตไปกว่าเขาเท่าไร อายุอานามก็พอๆกัน แต่ไฉนทำหน้าตื่น ราวกับกำลังเดินเข้าถ้ำเสือก็ไม่ปาน
“เอ่อ..อะ...อรุณสวัสดิ”
“อรุณสวัสดิ”
“ขะ...ข้า...คือ พี่เขยจะให้ข้ามาช่วยทำบัญชีน่ะ”
ใครเขาถาม? เหวินสี่มองอย่างสงสัย พี่ใหญ่จะให้คนอายุเท่าเขาอย่างนี้มาคุมบัญชี ไม่หนักไปหน่อยหรือ ยิ่งโดนจ้องหยกน้อยยิ่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มเหมือนวัวสันหลังหวะไม่มีผิด
“เจ้าไปเล่นเถอะ ข้าจะพาหยกน้อยเดินดูอะไรสักหน่อย” เหวินหลงยิ้มกว้างโอบไหล่เล็กพาไปเรือนหลัง เด็กหนุ่มมองตามอย่างขุ่นเคือง รู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย พี่ชายของเขาโอบร่างเล็กยังกะประคบประงมคนขี้โรค เห็นแล้วมันเดือดดาลจริงๆ
“เราจะไปไหนกันขอรับ” หยกน้อยถามเสียงสั่น
“ห้องของข้า” เหวินหลงตอบสั้นๆ ใบหน้าอ่อนวัยร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“พะ พี่เขย...ไหนว่าจะให้ข้าช่วยทำงานไม่ใช่หรือ ไม่ต้องไปห้องของท่านก็ได้...มั่ง”
“เราจะค้างที่นี่ 2-3 วันนะ ถ้าไม่พาไปดูไว้ก่อนเดี๋ยวเจ้าก็หลงทางหรอก”
“พี่เขย....พี่เขย มันไม่ดีนะขอรับ” ร่างเล็กพยายามจะผืน แต่ก็สู้แรงที่โอบรัดได้ที่ไหน เหวินหลงแทบจะหิ้วเขาขึ้นอยู่ร่อมร่อ ทั้งคู่เข้าไปในห้องปิดประตูแน่น เหวินสี่มองอยู่ห่างๆรู้สึกไม่ชอบใจเลย เฉินหยกน้อย....เป็นแค่น้องเมียที่หนีไปของพี่ชาย คิดจะประจบออดอ้อนเอาใจแย่งพี่ชายไปจากเขาหรือไร เช้อะ! คอยดูเถอะ จะไล่ให้เตลิดเปิดเปิงแน่
เด็กหนุ่มพกพาอารมณ์ขุ่นเคืองออกไปเล่นตามลำพังที่เนินนอกเมือง ที่นี่ลมแรงว่าวขึ้นได้ดีมาก มันลอยนิ่งและโฉบเฉียวไปมาเป็นที่ถูกใจยิ่ง เขาเล่นอยู่นานจนลืมเรื่องเวลาไป กระทั่งแดดเริ่มแรงและลมบนท้องฟ้าเบาลงแล้ว ท้องก็เตือนให้รู้ว่าเลยเวลาอาหารกลางวันแล้ว เหวินสี่เก็บว่าวลงก็รู้สึกเหนอะหนะไปทั้งตัว ลงจากเนินมาเล็กน้อยมีต้นพุทราและทางน้ำเล็กๆที่ทางการขุดขึ้นมาเองเป็นที่ค่อนข้างเงียบปลอดผู้คน ร่างเล็กปลดเสื้อผ้าออกกองไว้ใต้ต้นไม้เหลือแต่กางเกงบางๆตัวเดียวลงไปแช่น้ำเหมือนดั่งสมัยวัยเยาว์พร้อมพี่ๆ หากเวลานี้เหลือแต่เขาผู้เดียวแล้วที่หวนคิดถึงวันวาน พวกพี่ๆทำอะไรอยู่นะ....
เหวินสี่ทอดกายนอนเหยียดยาวปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายไป สัมผัสแผ่วเบานั้นสบายจนเกือบเคลิ้มหลับไปแล้วถ้าน้ำอุ่นกว่านี้ล่ะก็ เด็กหนุ่มนอนหลับตาอยู่นาน จนกระทั่งรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวบางอย่าง เขาลืมตาโพลงแล้วต้องสะดุ้งเฮือก ร่างสูงยืนเหนือศีรษะเขาคล่อมทางน้ำที่ไม่กว้างนัก แสงแดดส่องเยื้องไปด้านหลังทำให้ไม่เห็นหน้าคนผู้นี้นอกจากเงาสีดำ และชายผ้าผูกผมที่ปลิวไสว
เคร้งงง....เสียงดาบที่ชักออกจากฝักคมดาบสะท้อนแสงวาววับ หัวใจของเหวินสี่เต้นตึกรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก เขาจะทำอะไรน่ะ...เขาจะ.... อ๊า!!!!!
เด็กหนุ่มหลับตาปี๋เมื่อคมดาบจ้วงแทงลงมา หัวใจนั้นเย็นวาบราวกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขาตายหรือยัง?? ไม่! ยัง....ร่างเล็กตัวสั่นน้ำรอบกายเย็นกะทันหันจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ดาบ?? เขาเอี้ยวตัวมองดูดาบปักลงข้างๆเอวเขา สีแดงคลุ้งนั้นทำให้ใจหายอีกคำรบก่อนพบว่าเป็นเลือดของงู มันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน??
เหวินสี่ตะลีตะลานลุกขึ้นจากทางน้ำ ตรงรี่มาหากองเสื้อผ้าของตนเอง น่ากลัว....น่ากลัวจริงๆเลย เขาตั้งสติก่อนหันกลับไปมองคนผู้นั้น ลมพัดกิ่งต้นพุทราไหวเปิดเผยใบหน้าบุรุษลึกลับ เป็นชายสูงวัยกว่าเขาไม่มากไม่น่าเกิน 20 เศษ ใบหน้าคมคายดูเป็นลูกผู้ดี หากดวงตาเย็นชาเหลือเกิน เด็กหนุ่มจ้องมองจนลืมเรื่องอาภรณ์ไป
“เจ้าคือ หลี่เหวินสี่ใช่ไหม” จู่ๆคนผู้นั้นก็ถามขึ้นมา นั้นทำให้รู้ว่า ไม่ถูกต้องแล้ว เด็กหนุ่มหน้าถอดสี ร่างสูงก้าวเข้ามาหาใบหน้าน่ากลัวยิ่งกว่ายักษ์ “มากับข้าเดี๋ยวนี้”
ร่างเล็กวิ่งสุดกำลังในมือกอบเสื้อผ้าไว้แน่นไม่มีเวลาสวมใส่แล้วเขาต้องหนีก่อน แต่ไปไม่ทันพ้นแนวร่มเงาของต้นพุทรา เท้าก็ต้องจิกพื้นหญ้าสุดกำลังเมื่อถูกขวางด้วยคนอีกผู้หนึ่ง บุรุษร่างสูงใหญ่ในมือถือไหเหล้าใบเล็กขึ้นพาดบ่า ก้าวมาขวางทางเขาเต็มตัว เหวินสี่งุนงงคนข้างหลังมาดักหน้ารวดเร็วปานนี้ได้อย่างไร หันกลับไปมองอีกที คนข้างหลังเพิ่งตามมาถึง ใบหน้าพิมพ์เดียวกันทุกกระเบียดนิ้ว ฝาแฝดหรือนี่??
จบตอนที่ 1
ตอนหน้า 3P จ้า