เพราะรัก....จึงเปลี่ยนได้
Part 42
ชีวิตที่บ้านผม...
.
.
.
.
ผมกับกลเราใช้ชีวิตที่บ้านผม สองอาทิตย์กว่าแล้วครับ ขออนุญาตไล่ชื่อพี่น้อง
ให้ได้รู้จักสักนิดนะครับ บ้านผมตระกูล
‘ว’ พี่สาวคนโต๋ทำงานร้านถ่ายรูป ชื่อพี่หวั่น
ตามมาด้วยพี่ชายไว,วิน,วัน,พี่สาวที่อยู่นครสวรรค์ชื่อวาด แล้วมาผมวี..น้องชายอีกสองคน
วิวกับวุ้นครับ..แปดพี่น้องเต่าทอง
กลมันไปช่วยเดินไฟกับพี่ชายผม ไปทำสามวันแล้วครับ พี่ผมทั้งสามคนรับสร้างบ้าน
อยู่อีกอำเภอหนึ่ง ไปเช้าห้าโมงเลิกงาน หกโมงกว่าก็กลับถึงบ้าน จังหวะช่างไฟฟ้าที่เคยทำด้วยกัน
เขาติดงานศพญาติมาช่วยไม่ได้ ลางานกันเป็นอาทิตย์นั่นแหละ กลมันถึงอาสา
ไปช่วยเดินระบบไฟฟ้าให้เอง มันเรียนมาทางนี้..มันพอทำได้...ผมไม่ได้ไปด้วยกันหรอกครับ
ไปก็ไม่สามารถช่วยไรได้มาก เพราะผมไม่ถนัดงานช่าง อย่างดีคงไปยืนส่งเครื่องมือให้แค่นั้น
ซึ่งงานพวกนี้เค้ามีจับกังทำอยู่แล้ว สู้อยู่ช่วยแม่ทำงานที่บ้านได้ประโยชน์กว่าอีก
ไหนจะเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่..ทำสวนฯลฯ ปล่อยมันไปกับพี่ๆ นั่นแหละ
ตอนนี้มันสนิทกับทุกคนเป็นอย่างดี....
แผลฟกช้ำตามหน้าตาพวกผมหายดีแล้วครับ ส่วนแผลที่ฝ่าเท้าก็ตกสะเก็ดแห้งหมดแล้ว
เดินได้สะดวกเหมือนเดิม กลเองแผลที่มือหายดีแล้วเหมือนกัน ช่วงแรกๆผมกับกลก็ช่วยงานในบ้าน
ว่างๆผมก็พามันไปเที่ยวไหว้พระทำบุญตามวัด เที่ยวน้ำตกใกล้ ๆไม่ไกลมาก
เอามอเตอร์ไซค์ขับไปกันสองคน ส่วนใหญ่ผมขับให้มันซ้อน ถึงมันจะดื้อขอผมขับ
ผมไม่เคยตามใจมันเลย เพราะถนนต่างจังหวัด ไม่เหมือนในกรุงเทพฯ
กรุงเทพฯถึงรถจะเยอะใช่ว่าจะขับกันเร็ว..ถนนไม่โล่งเพราะรถเยอะเค้าถึงขับรถไม่เร็วมาก
แต่บ้านผมรถรามีไม่เยอะถนนโล่ง คนมักขับรถเร็วกันเป็นนิสัย หากไม่คุ้นเคย
หรือไม่ระวังอาจเกิดอุบัติเหตุเอาได้ ผมจึงไม่ค่อยยอมให้มันขับ นอกเสียจากว่า..
ขับแถวๆบ้านผมถึงปล่อยให้ขับบ้าง เช่นแม่ใช้ไปซื้อของที่ร้านขายของชำ
หรือไปตลาดสดในหมู่บ้านมักให้กลมันเป็นคนขับ
บ้านใกล้เรือนเคียง..ลุงป้าน้าอาที่รู้จักคุ้นเคย ผมก็พามันแวะไปกราบสวัสดี
เพราะสามปีผมถึงได้กลับมา ผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านก็อยากเห็นหน้าในฐานะที่เราเป็นเด็ก
เมื่อกลับมาบ้านก็ต้องไปแวะทักทายพวกท่านหน่อย
ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ รูปหล่อคมเข้มมาเที่ยว เป็นธรรมดาที่สาวรุ่นแถวนั้นจะสนใจถามไถ่ที่มาที่ไป
เป็นพิเศษ ดังนั้นขึ้นบ้านไหน..กลมักเป็นพระเอกของงานไปโดยปริยาย ยิ่งเพื่อนเก่าๆสมัยเรียนประถม
ก่อนผมเข้ากรุงเทพฯไปเรียนต่อด้วยแล้ว บางคนก็ไปเรียนต่อ..บางคนก็ไม่เรียน..ออกมาช่วยทางบ้าน
ทำไร่ทำนาตามประสาครอบครัวชนบท หลายคนแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว หลายคนยังไม่แต่ง
ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ สมัยนั้นผู้หญิงเค้าแต่งงานกันไว 18-19 ก็มักแต่งงานกันแล้ว
คนสมัยก่อนถึงมีลูกมากไง เพราะเค้าอยากมีลูกเขยช่วยทำสวนทำไร่ให้พ่อตาแม่ยาย
ชีวิตบ้านนอกชนบทก็ประมาณนี้ หลายคนเข้ากรุงเทพฯหางานทำ แต่ส่วนน้อย...
ไม่เยอะเท่าภาคอิสาน สมัยก่อนคนเหนือมาหางานทำในกรุงเทพฯไม่ค่อยมากเหมือนสมัยนี้
ส่วนใหญ่อยู่ทำมาหากินแถวบ้านมากกว่า เพื่อนผู้ชายก็มี...แต่เหลือไม่กี่คน
นอกนั้นไปทำงานกันที่ตัวจังหวัด นานครั้งถึงกลับมาบ้าน
พูดถึงกลสิทธิ์ ก็อย่างที่บอก..ออร่าของเสน่ห์ที่มีต่อเพศตรงข้าม ทำให้กลสิทธิ์เป็นจุดสนใจ..
เกิดคำถามมากมายจากสาวๆ ซึ่งผมก็ต้องทำหน้าที่ให้ข้อมูลพื้นฐานไปตามระเบียบ
ไม่ได้ให้รายละเอียดไรไปมากนักหรอก แค่คร่าวๆ ว่าเป็นเพื่อนมาจากกรุงเทพฯ
กำลังเรียนมหา’ลัยปีสอง ลืมบอกอีกเรื่อง สมัยนั้นใครเรียนปริญญา..ถือว่าน่าภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
เพราะคนส่วนใหญ่จบม.3 มากที่สุดก็ม.6 หรือ ปวช. ปวส. ปริญญาตรีนี่นับคนได้เลย
ดังนั้นผมกับกลจึงเป็นท็อคออฟเดอะทาวน์กันเลยก็ว่าได้
ทำไมถึงต้องทำหน้าที่ให้ข้อมูลแทนนะหรือ ก็เพราะสาวๆส่วนใหญ่เค้าถามผ่านผมกันทั้งนั้นนะสิ
สาวบ้านนอกต่อให้กล้ามากแค่ไหน ก็ไม่กล้าถึงขนาดคุยกับหนุ่มแปลกหน้าได้ง่ายๆหรอก
มีแต่อายม้วนต้วนกันซะก่อน อีกอย่างคุยกับผมเราใช้ภาษาถิ่นเป็นหลัก นี่แหละคือเหตุผล
ที่นายกวีต้องทำหน้าที่เป็นทนายหน้าหอให้กับยอดชายกลสิทธิ์เค้าโดยปริยาย
แต่ก็ไม่มีอะไรมาก ต่อให้หลายคนแสดงออกจนดูรู้ว่าสนใจกลมัน มันก็ทำท่าทางเฉยๆ
ดังนั้นระยะเวลาสองอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา..จึงไม่มีอิสาวนางไหนทำให้กลสิทธิ์ไขว้เขวได้
ช่างแปลกพิลึก...เสือผู้หญิงตัวพ่อ..ยอมถอดเขี้ยวเล็บจริงๆ กระมั้ง
ขนาดสาวเหนือแต่ละนางงามพิลาศอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมโนมพรรณ แต่ไหนแต่ไรมา
เค้าก็การันตรีให้สาวเหนือมาอันดับหนึ่งทั้งนั้น ดูอย่างนางสาวไทย ทำสถิติตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน
สาวเหนือครองมงกุฎมากที่สุด นั่นแหละ...หญิงเหนือถึงขึ้นชื่อ..เรื่องความสวยความงาม
แบบธรรมชาติมาแต่อดีต....
กิจวัตรประจำวันของผมกับกล นอกจากที่เล่าให้ฟัง ก็ยังมีเอาข้าวให้หมู
พูดง่ายๆ เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ รถน้ำแปลงผักพรวนดิน...ตักน้ำใส่ตุ่มใส่โอ่งไว้ใช้ คือที่บ้านใช้น้ำบาดาล
เราต้องปั้มขึ้นมาใส่ถังหิ้วไปใส่โอ่งต่างๆ นอกจากรองน้ำฝนไว้กินแล้ว ชีวิตเรียบง่ายแบบชนบท
มีไฟฟ้าแต่ยังไม่มีน้ำประปา เข้าใจเนอะ...
กลสิทธิ์..เข้ากับพี่ๆ น้องๆ และเป็นที่รักของคนในครอบครัวผมทุกคน
อาจเพราะกลสิทธิ์ไม่ใช่คุณชายสำรวยหยิบโย่ง พื้นฐานที่เคยอยู่กับตายายที่สุพรรณฯ มาก่อน
ทำให้กลสิทธิ์รู้จักวางตัวกับผู้หลักผู้ใหญ่ และช่วยงานอย่างที่พูดมาข้างต้นได้คล่องแคล่ว
ไม่เงอะง่ะงุมง่าม ยกเว้นซักผ้าทำกับข้าว กลสิทธิ์ไม่ถนัดเสียเลย
ความสามารถด้านการทำอาหารนั้น นับจากอดีตถึงขณะนี้ ต้องขอบอกว่าเจียวไข่ กับต้มมาม่า
สองอย่างนี่แหละ..ยอดเยี่ยมที่สุดไม่อดตายแล้ว...สำหรับกลสิทธิ์..
ส่วนนิสัยที่ไม่ชอบกินผัก กลสิทธิ์ฝืนทำเป็นเอาใจแม่ผม กลัวเค้ามองไม่ดีที่มันไม่ชอบกินผัก
บ้านผมกินผักเป็นเมนูหลัก ทุกมื้อต้องมีผักสดผักสุกทำอาหารกว่า 70-80% ที่เหลือถึงเป็นพวกหมู
ปลา ไก่ ฯลฯ.....
เงื่อนไขตรงนี้ ทำให้กลสิทธิ์ปั้นหน้าขรึม พยายามกินผักให้ได้มากที่สุด
บัดนี้ขอบอกว่ากลสิทธิ์กินผักได้มากกว่าแต่ก่อนแล้วครับ..ผักชีต้นหอม ผักกาด ผักคะน้า ผักบุ้ง
กะหล่ำปลี ผักกาดหอม มะเขือเทศ มากที่สุดแค่นี้ นอกนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรกลสิทธิ์ไม่เอาเลย
กระทั่งปัจจุบันก็ได้เท่านี้จริงๆ
อาหารเหนือหลายอย่างถูกปากกลสิทธิ์เค้ามาก โดยเฉพาะขนมจีนน้ำเงี้ยว น้ำพริกอ่อง
น้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว แกงฮังเล ผักกาดจอ ลาบหมู จำพวกนี่หละ..ทำให้กลสิทธิ์กินข้าวได้เอร็ดอร่อย..
มีอยู่มื้อหนึ่ง...แม่ผมแกงอ่อมหมูใส่น้ำปลาร้า ผมไม่บอกมันว่าในน้ำแกงมีปลาร้า กลสิทธิ์ตักกินปุ๊ป..
รีบลุกไปอย่างเร็ว ก่อนจะปล่อยทุกสรรพสิ่งให้ออกกระเพาะประจานตัวกลางวงข้าว
โชคดีมันวิ่งไปชานหลังบ้านได้ทัน....พวกเราจึงได้รู้อีกอย่างว่า กลสิทธิ์ไม่ถูกโรคกับปลาร้าอย่างแรง.
ผมยังไม่มีโอกาส ที่จะบอกเรื่องของเราทั้งคู่ให้แม่และพี่ๆได้รู้ เคยคิดจะบอกครั้งหนึ่ง
หลังกินมื้อเย็นเสร็จ นั่งผ่อนคลายอยู่กันพร้อมหน้า ดูข่าวทีวีอย่างมีความสุข บังเอิญข่าว..
ดันรายงานเรื่องกระเทยถูกฆ่าตายในห้องพัก เพราะพาผู้ชายมานอนด้วย
ข่าวเค้าบอกอีกว่าคนตายคือพวกรักร่วมเพศ ตรงทวารหนักมีการพบว่าผ่านการร่วมเพศ
ก่อนเสียชีวิตมาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง ทรัพย์สินมีค่าไม่เหลือ คาดว่า
น่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์จากคู่ขา แล้วพี่วินพี่ชายผมก็พูดออกมาว่า
“เฮ้อ!..เห็นมันฆ่ากันอย่างนี้ จะสงสารก็สงสารไม่ลง เกิดมาเป็นผู้ชายทั้งที...
ดันมาเป็นกระเทยซะงั้น...แถมโดนหลอกมาฆ่าทิ้งอีก สมเพชว่ะ!...ตายไปดีแล้ว..มันจะได้ไปเกิดใหม่
ให้ดีกว่านี้” ได้ยินแบบนั้น ผมกับกลเราสบตากันแบบไม่ต้องนัดกันเลย
สุดท้ายความคิดที่จะสารภาพ ก็ถูกพับเก็บเข้ากระเป๋าไปโดยปริยาย หมดความกล้าที่จะพูด...
ที่สำคัญ...ผมพร้อมแล้วแน่หรือ?..กับทุกความรู้สึกที่จะย้อนกลับมาหาเราทั้งคู่อีกครั้ง...
หากมันเลวร้ายขึ้นมาหละ?...ผมจะแบกรับไหวไหม?...แล้วกลมันจะเป็นยังไง?...
คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอด ดีที่สุดปล่อยให้เป็นอย่างที่เป็นก็มีความสุขไม่ใช่หรือ...
เรายังได้รับรอยยิ้มและความรู้สึกดีดีจากแม่และพี่ๆน้องๆอย่างอบอุ่น
ผมจึงไม่ได้บอกไป...และคิดว่าจะไม่บอกอีกเลย...เพราะผมคิดว่าพวกเค้าคงรับไม่ได้....???
เฮ้อ!
....ตอนหน้า...เตรียมซับน้ำตากันอีกแล้ว.. 
Luk.