คนโพสต์โพสต์ช้ามากๆ
เมื่อไหร่จะอ่านไปถึงตอนที่เราล่ะเนี่ย
สงสัยหลายเดือนแหงๆ
โพสต์วันละสองตอนทุกวันไม่ได้เหรอ อิอิ ชอบเรื่องนี้นี่นา แต่ไม่เคยได้อ่านตอนแรกซะที ดีใจมากที่มีคนเอามาโพสต์ให้
ครับผมเข้าใจนะครับว่าผมลงช้า
แต่คนโพสก็ต้องการกำลังใจเหมือนกันนะครับ
มาลงวันนึงได้กำลังใจคนรีพาย แค่ 2-3คนบางครั้งมานก็น่าคิดนะ
ถ้าอยากให้ลงเยอะๆๆรีพายมาซัก 10 รีพายจิผมจะลงให้วันนึงทีละ 2ตอนเลยเอา

มาลงให้อีกตอน คับ
13 Was it good or bad day?
“วุธ......เราขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าบอกใครว่ามาค้างบ้านเรา.....ขอแค่นี้....ได้มั๊ย” วุธเงียบไป มองหน้าผมนิ่ง
“ได้สิ......แต่เราก็มีเรื่องจะขอเอ้เหมือนกัน”
“อะไรเหรอ” ผมแกล้งเขินให้มันขำ แต่มันไม่ขำด้วย
“ถ้าเราทำอะไรผิดไป แล้วเราสำนึกผิดขอโทษเอ้.......เอ้ต้องยกโทษให้เรานะ” อะไรของมันวะ ตอนนั้นผมคิดเลยเถิดว่ามันจะข่มขืนผมด้วยซ้ำ
“แล้วนายจะทำอะไรผิดกับเราล่ะ” ผมขยับตัวออกห่าง มันดึงแขนผมเข้าไปหา ผมยิ่งตกใจ
“ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น......ดูหนังมากไปป่าว” มันขำ
“เราจะไว้ใจนายได้ยังไงล่ะ”
“สัญญา เราสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเอ้......จนกว่าเอ้จะพร้อม” คำสุดท้ายมันพูดขมุบขมิบเสียงเบา “เอ้ยังไม่รับปากเราเลยนะ เรื่องที่เราขอน่ะ” มันเขย่าแขนผม
“เออ.....คนขอโทษก็ต้องยกโทษให้ดิ.......ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ......เราน่ะโกรธยาก หายยากด้วย ถ้าเราโกรธหรือเกลียดใคร......คนนั้นมันต้องเลวสุด ๆ แล้วหล่ะ”
“หวังว่าเอ้จะไม่มองเราเลวขนาดนั้นนะ” วุธพูดเสียงอ่อย ผมไม่ได้สนใจอะไรกับคำขอของมันนัก เพราะมันฃอบแหย่ให้โกรธแล้วก็ขอโทษตั้งหลายครั้งแล้วนี่ ผมยิ้มแล้วนอนหันหลังให้มัน
*
*
“เอ้ชอบไอ้เด็กมอปลายนั่นจริง ๆ เหรอ” อยู่ดี ๆ มันก็ถามขึ้นมา ผมต้องพลิกตัวกลับไปคุยกับมันอีก
“เค้าชื่อโย” ผมบอกเสียงแข็ง “ถามทำไม.......ชอบดิ มีคนพูดดี ๆ ด้วยเป็นใครก็ต้องชอบ”
“แล้วถ้าเค้าหลอกเอ้......ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่คิดจะยังชอบอยู่มั๊ย” มันมองตาผม ผมหลบวูบ
“เราไม่มีอะไรให้หลอกซะหน่อย” ผมหลับตาคุยกับมัน “อยากได้อะไรก็บอก....ถ้าให้ได้ เราก็ให้”
“ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น” มันอึกอัก
“แล้วนี่นายมายุ่งอะไรกะแฟนเราอ่ะ” ผมเริ่มง่วงแล้ว อาจจะเพราะเพลียด้วย
“เออ ๆ ไม่มีอะไรแล้วนอนเถอะ” ผมทำท่าจะพลิกหันหลังให้มัน แต่มันดันรั้งตัวผมไว้
“ขอกอดหน่อย” ตอนนั้นทำไมผมให้มันกอดก็ไม่รู้ บรรยากาศมันเป็นใจมั้ง แค่กอดอย่างเดียวนะครับ แต่ช่วงที่ผมกำลังเคลิ้ม ๆ เหมือนมีอะไรชื้น ๆ มาแตะที่หน้าผากผมด้วย ไม่ได้ฝันแน่นอน อยากจะลืมตาดูแต่มันง่วงอ่ะครับ
*
*
..........ตื่นมาตอนเช้า แทบกระเด้งออกจากเตียงไม่ทัน นี่ผมนอนซบไอ้วุธมันทั้งคืนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ภาพแรกที่เห็นคือคางมัน ผมนอนเกยไหล่ไอ้วุธ ไม่ซบอย่างเดียวแถมยังกอดมันไว้อีก ห่มผ้าผืนเดียวกันด้วย อารมณ์ดูหนังไทยมากไปนิด ผมเปิดผ้าห่มดูว่ามีอะไรสึกหรอหรือเปล่า เสื้อผ้ายังอยู่ครบมั๊ย โล่งอกผมกับมันไม่ได้มีอะไรกันเหมือนในหนัง ผมขยับตัวลุกขึ้น วุธรู้สึกตัวลืมตาแล้วยิ้มนิด ๆ ผมอายมาก รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องวิ่งออกมาใหม่เพราะเสือกลืมเสื้อผ้าที่จะเอาเข้าไปเปลี่ยน เห็นไอ้วุธนอนหลับสบายผ้าห่มหลุดลุ่ยลงมาข้างเตียงด้วยความที่ผมรีบร้อนเมื่อกี้นี้ ผมค่อย ๆ ย่องเข้าไปกะจะห่มผ้าให้มัน แต่ก็อดที่จะสำรวจตอนมันหลับไม่ได้ โอ๊ย....อยากจะกรี๊ด ๆ ๆ ให้บ้านแตก คนอะไรวะขนาดหลับยังหล่อ มันนอนหงายไม่รู้เรื่องรู้ราว กางเกงนอนบาง ๆ ตัวนั้นไม่ได้ซ่อนอะไรได้เลย ผมต้องกลั้นใจเอาผ้าห่มคลุมตัวมันถึงอก แล้วเดินย่อง ๆ เข้าห้องน้ำเหมือนเดิม
*
*
........กว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว ทำธุระอะไรในห้องน้ำเสร็จก็นานอยู่ ออกมาอีกคิด เห็นไอ้วุธยืนเหม่ออยู่ที่ระเบียง แสงแดดอ่อน ๆ ลอดทะลุเสื้อผ้ามันเข้ามาทำให้เห็นรูปร่างเพรียว ๆ แต่แอบมีกล้ามนิด ๆ ของมัน ผมทำเป็นไม่มองเรียกมันไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าว เพราะผมต้องออกจากบ้านไปเรียนตอนแปดโมง วุธหันมายิ้มให้ ผมแทบละลาย มันเดินไปแกะกระดุมเสื้อไป พอถึงตรงที่ผมยืนมันก็ถอดเสื้อมายัดใส่มือผม ผมหายใจไม่ทั่วท้องเลย ยังดีที่มันไม่อุตริถอดกางเกงต่อหน้าผม เพิ่งสังเกตว่ามันเก็บที่นอน พับผ้าห่ม ดึงผ้าปูเตียงซะเรียบร้อย แอบชมมันอยู่ในใจว่าเวลามันไม่กวนตีน มันก็น่ารักดี
ผมลงไปข้างล่างก็ไม่เจอใครแล้ว แม่เตรียมข้าวต้มหมูสับไว้ให้ ผมอุ่นนิดหน่อยก็กินได้ สักพักได้ยินเสียงวุธเรียกชื่อผม พอโผล่หน้าไปจากห้องครัวก็เห็นมันเดินใส่ผ้าขนหนูตัวเดียวเลิกลั่กมองหาผมอยู่ ตายแล้ว นี่ถ้าใครมาเห็นเข้าจะคิดยังไงเนี่ย ผ้าที่ผูกตัวไว้มันก็เลื่อนต่ำลงจนจะเห็นไปถึงไหน ๆ
“อยู่นี่.....มีอะไร” มันหันมาตามเสียงผม
“ขอยืมเสื้อผ้าใส่กลับบ้านหน่อย” มันเดินตรงเข้ามา ผมยกมือห้ามไว้แล้วชี้ขึ้นไปข้างบน
“เสื้อผ้าอยู่ในตู้ อยากใส่ตัวไหนก็เลือกเอา” มันพยักหน้ารับ “แล้วทำไมไม่ใส่ชุดเมื่อวานกลับล่ะ” ผมสงสัย
“เหม็น” อะไรของมัน เท่าที่ผมเคยอยู่ใกล้ ๆ มัน ผมไม่เคยได้กลิ่นเหม็นจากตัวมันเลย ขนาดเพิ่งตื่นนอน ผมซุกอยู่กับไหล่มัน ก็ไม่มีกลิ่นแปลก ๆ มีแต่กลิ่นแป้งอ่อน ๆ หอมจะตาย
“มันก็ไม่ได้สกปรกอะไรนี่หว่า” ผมตะโกนถาม
“ก็อยากใส่เสื้อเอ้.....วันหลังจะได้เอามาคืนไง” นี่แหละที่ผมกลัวที่สุด ถ้ามันมาบ้านผมอีกครั้งพ่อแม่ผมจะคิดยังไงเนี่ย ผมเดินตามมันขึ้นไปแต่ดันลืมเคาะประตู ก็มันห้องผมนี่นา
“เฮ้ย” มันร้อง ผมก็ร้องเหมือนกัน ไอ้วุธมันใส่แค่กางเกงในตัวเดียวยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่หน้าตู้ ผมปิดประตูปัง สักพักมันก็เปิดออกมาในชุดเสื้อยืดเก่า ๆ ของผมกับกางเกงขาก๊วยสีบานเย็นที่ผมเอาไว้ใส่เล่นอยู่บ้าน (ไม่กล้าใส่ออกไปไหนด้วย) มันยิ้มแฉ่ง ผมเห็นที่หน้ามันทาแป้งเด็กของผมด้วย โอ๊ย อยากจะกรี๊ด ๆ ๆ อีกรอบ ไอ้วุธนี่มันเข้าสเปกผมทุกอย่างเลย มีไอ้โยคนเดียวเท่านั้นที่ผมเคยบอกว่า ผมชอบผู้ชายใส่กางเกงขาก๊วย หรือไม่ก็กางเกงบอล แล้วชอบผู้ชายทางแป้งเด็กเวลาอาบน้ำเสร็จ
“ไปกินข้าวเถอะ.....หิวแล้ว ทำอะไรกินอ่ะ หอมจัง” ผมตกใจ ตายห่า เตายังไม่ได้ปิด ผมวิ่งจู๊ดลงไป น้ำซุปเดือดพลั่ก ๆ เลย วุธมันเดินตามมา หาถ้วยหาชามเตรียมไว้ให้ผม
*
*
“เสื้อผ้าเอาเก็บไว้ในรถนั่นแหละ.....ยังไม่ต้องรีบคืนนะ” ผมบอกกับวุธหลังกินข้าวเสร็จ
“ไม่อยากให้เรามาหาเหรอ” ผมไม่อยากเห็นสายตาอย่างนี้ของมันเลย เพราะมันจะทำให้ผมใจอ่อนอีกแล้ว
“.....อืม….” ผมตัดใจตอบ
“ถ้าเราเป็นนายโยอะไรนั่น......เอ้จะรังเกียจเราอย่างนี้มั๊ย” มันตัดพ้อ
“เฮ้ย....คิดมาก เราไม่ได้รังเกียจอะไรวุธนะ....แต่ว่า.......” แต่ว่าอะไรดีล่ะ “แต่ว่ามันแปลก ๆ ไง เราไม่เคยมีเพื่อนมาบ้าน พูดง่าย ๆ ก็คือเรามีความลับที่ต้องปิดพ่อกับแม่เยอะอ่ะ” ผมบอกเหตุผล
“รู้แล้ว” เอ๊ะมันรู้ได้ไงวะ “ แต่เราเก็บความลับเก่งนะ” มันอ้อน
“นายเป็นผู้ชาย” อยู่ดี ๆ ผมก็พูดเหตุผลนี้ขึ้นมา
“เอ้ก็เป็นผู้ชาย ทำไมจะมีเพื่อนผู้ชายไม่ได้” มันขำ
“โอ๊ย.....ปวดหัว.....ไม่คุยด้วยแล้ว ไปเรียนดีกว่า” ผมขึ้นไปหยิบกระเป๋า ใส่หนังสือที่ซื้อมาตั้งแต่วันลงทะเบียน ไอ้วุธก็เดินตามมาเก็บเสื้อผ้าของมันม้วน ๆ แล้วเดินไปที่รถ ส่วนผมพอปิดประตูเช็คความเรียบร้อยทุกอย่างเสร็จก็เปิดประตูใหญ่ให้รถวุธมันออกไป แต่มันดันจอดรถผมซะนี่
“มีอะไรอีก” ผมเปิดประตูถามมัน
“ขึ้นรถดิ....ให้เราไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไร วุธกลับบ้านเหอะ แถวนั้นรถมันติด”
“เออน่า.....ขึ้นมาเถอะ ถือว่าตอบแทนที่ให้ซุกหัวนอนเมื่อคืน” ผมก็คิดว่าดีเหมือนกันไม่ต้องโหนรถเมล์ไปเรียน อีกอย่างเช้าวันเสาร์รถคงไม่ติดเท่าไหร่
“จริง ๆ แล้วเอ้น่าจะขับให้เรานั่งมั่งนะ” มันกวนทันทีที่ผมขึ้นรถมัน
“อะไรนะ”
“เมื่อคืนใครก็ไม่รู้มานอนซุกอยู่บนไหล่เนี่ย เมื่อยไปหมดเลย” ผมอายมาก
“เมื่อยนักก็กลับบ้านไปเลยไป” ผมแกล้งงอน
“โอ๋.....พูดเล่น….เพิ่งรู้ว่าเอ้ขับรถเป็น ทำไมไม่ขับไปโรงเรียนล่ะ”
“ขืนขับไปพ่อก็ตามมาแหกอกดิ......ใบขับขี่ก็ไม่มี พ่อบอกว่ารอให้สอบทำใบขับขี่ได้ก่อนแล้วจะเอารถไปไหนก็ไป ......ที่จริงเค้าไม่อยากให้ขับรถเป็นหรอก ทั้งมอไซค์ทั้งรถยนต์นั่นแหละ......แต่มีอยู่ช่วงนึงเราเที่ยวเก่งไง เค้าเลยหากิจกรรมมาดึงความสนใจเราไว้ แต่พอเราขับแข็งเราก็ออกไปเที่ยวเหมือนเดิม.....พ่อเค้าคงปลงแล้วหล่ะ” ผมเผลอตัวเม้าธ์ยาว
“ดูพ่อจะหวงเอ้เนอะ”
“แน่นอน มีลูกหน้าตาดี ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา” มันอมยิ้ม
“ยิ้มอะไร” ผมต่อยแขนมันเบา ๆ
“เปล่า....พ่อหวงอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะมีลูกเขยล่ะ”
“คงอีกนาน.....เราจะอยู่เป็นโสดให้คนเสียดายเล่น” มันอมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ
*
*
.........รถไม่ติดจริง ๆ ด้วย ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงเรียนแล้ว วุธขับมาถูกทางโดยไม่ต้องถามผมเลย ผมงงอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าโรงเรียนนี้มันคงดังมั้งไอ้วุธเลยรู้จัก ผมยืนมองรถวุธขับไปจนลับตาก่อนขึ้นไปนั่งรอเวลาเรียน......ยอมรับเลยครับว่าที่นี่สอนดีมาก ใครมาเป็นคู่เป็นกลุ่มอาจารย์จับแยกหมด ทุกคนต้องได้คุยกัน ต้องรู้จักกัน เรียนกันแบบเมืองนอกจริง ๆ ให้เราได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งผมชอบมาก แต่ติดนิดเดียวตรงที่ต้องพูดภาษาอังกฤษทั้งวัน แรก ๆ ก็อายอยู่หรอกครับพูดผิดพูดถูก แต่พอเห็นคนอื่นขำก็เกิดแรงฮึด อีกอย่างอาจารย์บอกว่าไม่ต้องอาย LEARN FROM MISTAKE กินข้าวเสร็จมีแรง หายง่วงแล้วด้วย ตลอดคาบกลางวันผมเลยมั่นใจมากขึ้น เริ่มเป็นตัวของตัวเอง จนตอนแรกจากที่แนะนำตัวว่าชื่อเอ้ อาจารย์บอกว่าเรียกยากให้เปลี่ยนชื่อให้ฝรั่งเรียกง่ายขึ้น รู้มั๊ยครับ อาจารย์ตั้งชื่อผมว่าอะไร “เอมี่” คิดได้ยังไงเนี่ย แต่ผมชอบนะครับ
........การเรียนวันแรกของผมผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไอ้ที่กลัว ๆ ว่าจะเรียนคนเดียวไม่ได้ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดกลัวเลย ผมรู้สึกสนุกมาก ได้เพื่อนใหม่ ๆ หลายคน แต่ละคนมาจากโรงเรียนมัธยมที่ดี ๆ ดัง ๆ กันทั้งนั้น ทุกคนให้ความสนใจกับผม และคงรู้สึกแปลก ที่เด็กพาณิชย์มาเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ตอนแรกว่าจะกลับบ้านทันทีที่เรียนเสร็จ แต่เพื่อนใหม่ชวนไปเดินเที่ยวซะก่อน ผมเลยเสนอให้ไปห้างที่เพื่อนผมทำงานกันอยู่ ผมจะได้ไปทักทายเพื่อน ๆ ด้วย พวกเราจับกลุ่มไปกันได้สี่คน นั่งแท็กซี่ไปนะครับ พวกนั้นบอกว่าไม่ชอบนั่งรถเมล์ ผมก็เออออไปตามเรื่องตามราว
*
*
“อีเอ้....กูบอกตรง ๆ กูไม่ชอบเพื่อนใหม่มึงเลยว่ะ” อีอ๋าลากผมไปกระซิบกระซาบ
“ทำไมวะ.....เค้าก็คุยกะพวกมึงดี ไม่ใช่เหรอ” ผมงง
“มันดูดัดจริตดีดดิ้นยังไงไม่รู้”
“แต่เค้านิสัยดีนะโว้ย” ผมแก้ตัวให้เพื่อนใหม่ มันก็จริงอยู่ที่พวกเค้าดูดัดจริต แต่ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผมนี่นา
“Hey, we’ll be waiting for you at Mc on the ground floor OK?” เพื่อนใหม่ตะโกนพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมพยักหน้าแล้วตอบ
“Ok, I’ll be there in 10 minutes” หลังจากที่เพื่อนใหม่ผมเดินไปแล้ว ผมยิ้มแหย ๆ ให้เพื่อนทุกคน
“หวังว่ามึงคงไม่ดัดจริตตามอย่างอีนั่นนะ” อีนัทพูดเสียงต่ำเชียว
“แหม....มึง พูดภาษาอังกฤษบางทีมันก็ต้องดัดจริตมั่งแหละ” ผมอธิบาย
“แล้วมึงต้องเรียนอีกนานแค่ไหนเนี่ย”
“เปิดเทอม ก็จบคอร์สพอดี”
“แล้วเทอมหน้ามึงจะทำงานกับพวกกูปะวะ” อีแจนถาม
“ดูก่อน.....ได้ยินพ่อกูบอกให้เรียนเลขเพิ่มด้วย” อีพวกนั้นพยักหน้าเบา ๆ “แต่ปีใหม่กูไปห่อของขวัญกับพวกมึงแน่” ผมหมายถึงงานห่อของขวัญตามห้างหลังเลิกเรียน
“เออ....มึงไปเที่ยวเหอะ พวกกูต้องทำงานต่อแล้ว” พูดจบพวกมันก็พากันเดินไปเลย ผมยืนเหวอ รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเพื่อน ๆ
ผมเดินเหม่อ ๆ ไปจนเกือบจะถึงแม็ค หางตาผมเหลือบไปเห็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาคุ้น ๆ ไอ้โยนี่หว่า ผมแทบจะวิ่งไปหามัน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นมันชัด ๆ ว่ามันยืนคุยอยู่กับเกย์สาวนางนึงดูท่าทางสนิทสนมกันมากด้วย......ผมตัดสินใจไม่ทักเดินเลี่ยงไปเข้าประตูแม็คอีกทาง รู้สึกแย่มาก ไปถึงโต๊ะผมนั่งได้แป๊บเดียวก็ขอตัวเพื่อนใหม่กลับบ้าน.....อ้างว่าปวดหัว แต่จริง ๆ แล้วผมกลัวเจอไอ้โยมันต่างหาก
.......ตลอดทางกลับบ้าน ผมคิดมากจนปวดหัวจริง ๆ ซะแล้ว นึกเสียดายอยู่ทีไม่เดินเข้าไปทัก เผื่อผู้ชายคนนั้นอาจจะเป็นแค่เพื่อนกันเพราะมันเรียนโรงเรียนชายล้วน คงไม่แปลกที่จะมีเพื่อนอย่างนั้น แต่ดูยังไงก็ไม่ใช่......คิดมา คิดไป ดันไปคิดถึงไอ้วุธซะนี่ เมื่อคืนมันน่ารักมาก อยากให้มันเป็นโยจริง ๆ
ถึงบ้านแล้วผมไม่คุยกับใคร เดินขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัว ล้มตัวลงนอน กะจะนอนเล่น ๆ แต่ดันเผลอหลับไป ตื่นมาอีกที่ห้องมืดตึ๊ดตื๋อ ควานหานาฬิกามาดู เกือบสองทุ่มแล้ว ไม่ดีเลยนอนตอนเย็น ๆ เนี่ย ตื่นมาแล้วปวดหัวชิบเป๋ง.....ผมเดินไปล้างหน้าล้างตา เดินกระเซอะกระเซิงลงไปกินข้าว ได้คุยกับพ่อแม่บ้างค่อยรู้สึกดีขึ้น ผมเล่าให้พวกท่านฟังเรื่องที่เรียนพิเศษสนุกแค่ไหน แต่ผมไม่ได้บอกเค้าหรอกนะครับเรื่องที่อาจารย์และคนอื่น ๆ ในคลาสเรียกผมว่า “เอมี่”
*******************************TBC*************************************************************
ถ้าต่อจากนี้รีพายเยอะผมก็จะมาลงตามรีพายแล้วกัน
รีพายน้อยก็ลงน้อยรีพายเยอะก็ลงเยอะ
ขอบคุณพี่เอ้ นะครับสำหรับนิยายสนุกๆๆ ไปทำงานต่อและ