“ไงวะ....ไอ้เสือไบ” ผมยกยิ้มมุมปากอย่างกวนประสาทที่สุดให้ไอ้หนุ่มผมยาว
แม่ง... คนกำลังเดินออกมาหาซื้อข้าวกลับไปกินที่คณะ ไม่คิดว่าจะมาเจอภาพบาดตาอะไรแบบนี้เลย อยู่ ๆ ก็เห็นแฟนตัวเองชะโงกหน้าเข้าไปใกล้หน้ามัน! ไอ้ผมยาว... ไอ้เหี้ยนี่แม่งเป็นอะไรมากมั้ย ทำไมชอบมายุ่งวุ่นวายกับคนของผม ถึงจะรู้อยู่ว่ามันมีแฟนใหม่แล้ว แต่กูก็เกลียดมึงอยู่ดีวะ ระหว่างที่ผมจ้องหน้ามันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ไอ้ไปป์ที่โดนปิดตาก็พยายามแงะ ๆ มือออก
“ชอบยุ่งกับของคนอื่นซะจริงนะ” ผมเกาะไหล่ไปป์แน่นขึ้นแล้วตอกย้ำ “แฟนมึงไม่ว่ารึไง”
“เขาไม่ได้หึงหน้ามืดตามัวเหมือนมึงนี่หว่า” หึ... ปากดีนักนะมึง มันเองก็กวนตีนพอควร ยักไหล่ไม่ยี่หระใส่ผม เห็นแล้วมันน่าต่อยแบบคืนนั้นจริง ๆ
“ภคิน” ไปป์เขย่าแขนผม พูดเสียงลนลาน “เสียงดังไม่อายเค้ารึไงวะ”
“อายน้อยกว่าพวกชอบยุ่งกับแฟนชาวบ้านล่ะวะ”
“พวกมึงจะตีกันทำไมเนี่ย พอๆ ทำตัวเป็นปัญญาชนบ้าง”
“คงยากหน่อยว่ะ” ผมแสยะยิ้มอย่างเกลียดชัง “เพื่อนมึงมันพวกไม่มีปัญญา”
“ใครกันแน่ที่ไม่มี ทำตัวเหมือนพวกหมาหวงก้างไปได้ หรือกลัวว่า... จะไม่มีปัญญาดูแลของตัวเอง”
“มึงอยากโดนรึไง” กูอยากจะอัดปากเน่า ๆ นั่นเต็มทนแล้ว
“ก็ดี... เอาคืนที่มึงเล่นกูไว้คราวก่อนไง”
ผมจ้องตากับมันเหมือนสงครามประสาทที่รอให้อีกฝ่ายใช้กำลังก่อน แล้วตอนนั้นเอง...
“กูจะไปเรียนแล้ว!” ไปป์กระแทกจานอย่างอารมณ์เสีย แล้วเดินออกไปจากโต๊ะ ยังไม่ลืมที่จะโบกมือลาไอ้เหี้ยผมยาวนั่น อะไรกันวะ... มันโกรธผมเพราะเรื่องไอ้เหี้ยนี่อีกแล้วเหรอ? เห็นแบบนั้นผมก็รีบวิ่งตามอย่างไม่ลดละ จนมาจับแขนไว้ได้ทัน...
พอเห็นมันโกรธแบบนี้ จากที่หึง จากที่หวง กลายเป็นว่าความรู้สึกผิดมันประดังประเดเข้ามาในใจผมแทนซะแล้ว
ผมตกใจมาก เพราะไปป์แทบไม่เคยโกรธผมเลย ถึงมันจะปากเสีย แต่ผมรู้ว่ามันอดทนกับนิสัยแย่ ๆ ของผมได้ทุกเรื่อง เว้นเสียแต่เรื่องนี้... เรื่อง ‘เพื่อน’ ของมัน ถ้าผมเข้าไปแตะต้องแม้แต่นิดเดียว มันก็พร้อมที่จะต่อยหน้าผมสวนกลับเหมือนคืนนั้น พอคิดแบบนี้แล้วยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปกันใหญ่ สำหรับไปป์แล้ว ผมอยู่ตรงไหนในชีวิตมันกันนะ?
“ไปป์” ผมกระตุกแขนเสื้อมันเบา ๆ “โกรธกูเหรอ”
“เปล่า แค่คิดว่ามึงงี่เง่าไปหน่อย กูคิดว่าตอนนั้นเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”
“ขอโทษ...”
ขอโทษที่งี่เง่าใส่ ไม่อยากให้โกรธ ไม่อยากให้เกลียด แต่ก็ไม่อยากให้มันเห็นใครสำคัญกว่าตัวเอง เห็นแก่ตัวจริง ๆ กู... ผมรู้ว่าตัวเองผิดที่หึงหวงมากไป มันเป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นจากความกลัว กลัวที่จะต้องสูญเสียมันไป แต่เอาเถอะ ในเมื่อไปป์บอกว่าไม่มีอะไร ผมก็จะเชื่อ จะพูดอะไรมา ต่อให้เป็นคำโกหก ผมก็จะเชื่อ ขอแค่มันไม่ทำสายตาแบบนั้นใส่ผมก็พอ
ผมไม่เคยชนะมันได้จริง ๆ ถึงไปป์จะบอกว่าผมเป็นพวกชอบเอาชนะ แต่มันไม่เคยรู้หรอกว่า... มันเป็นคนเดียวที่ผมยอมแพ้
พอเห็นอีกฝ่ายแอบหันไปอมยิ้มทางอื่น ผมก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง มันตอบผมสั้น ๆ “เออ...”
“เฮ้ย! คิน!”
ก่อนที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรก็มีเสียงเรียกมาขัดซะก่อน เราหันไปทางต้นเสียงโดยไม่ได้นัดหมาย ไอ้ตุ้ย อดีตเพื่อนร่วมห้องของผมวิ่งออกมาจากโรงอาหาร “ว่าแล้วต้องเป็นมึง เห็นหลังไว ๆ”
“ทำไมช่วงนี้กูเจอมึงบ่อยจังวะ ไอ้ตุ้ย” ผมไม่พอใจเท่าไหร่ที่มันโผล่มาขัดจังหวะแบบนี้
“กูมีเรียนแถวตึกเรียนรวมว่ะ อ้าวเฮ้ย! เจอมึงอีกแล้วไปป์” ไอ้ตุ้ยชี้หน้าไปป์ด้วยสีหน้าตื่นเต้นเสียเต็มประดา ซึ่งไปป์ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“เออ... หวัดดี” อีกแล้ว... มันยิ้มให้คนอื่นอีกแล้ว...
ผมถึงขั้นเก็บอารมณ์ไม่มิด และตอนนี้พยายามแผ่รังสีอาฆาตไล่ไอ้คนขัดจังหวะ แต่เหี้ยนี่ก็แม่งหน้าหนาชิบ ผมยกมือกอดอกขมวดคิ้วแล้วถามออกไปอย่างไร้มารยาท “แล้วที่เรียกนี่มีเหี้ยไร”
“อ๊อ! เกือบลืมเลย” มันเสือกฉีกยิ้มอารมณ์ดี “พวกมึงอยู่ด้วยกันพอดีเลย... ดีเหมือนกัน”
“มีอะไรเกี่ยวกับไปป์ด้วย?”
“ก็นิดนึงน่ะ” ไอ้ตุ้ยคว้ากระเป๋าสะพายด้านหลังมาเปิดแล้วล้วงเข้าไปหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ซึมรอยหมึกสีน้ำเงินนิดหน่อย แล้วยื่นมันมาให้ผม “เพื่อนที่คณะกูฝากมาให้ว่ะ มันแอบชอบมึงตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว คราวก่อนมันก็ให้กูมาถามว่ามึงเลิกกับแอมแล้วจริงมั้ย”
“เพื่อนมึง?”
“เออ... สวยนะเว่ย คนที่เป็นหลีดคณะกูตอนปี 1 อะ ถ้าเห็นรูปรับรองมึงจำได้แน่ ๆ” ไอ้ตุ้ยโบกกระดาษตรงหน้าเป็นเชิงรบเร้าให้รับไปซะ
“กูไม่เคยจำหน้าใครได้หรอก” ผมคว้ากระดาษตรงหน้าไว้ แล้วจงใจกำแน่น ๆ จนแทบเรียกได้ว่าขยำมันอย่างไม่สบอารมณ์ ผมไม่ค่อยชอบไอ้พวกที่มาวุ่นวายกับชีวิตแบบนี้เลยว่ะ และมันก็มีเข้ามาในชีวิตผมบ่อยมากซะด้วย ควงกันในมหาลัยอวดหน้าตาไปวัน ๆ แล้วยังไง? เจอคนหน้าตาดีก็นึกจะอยากได้เป็นแฟนขึ้นมา แบบนี้น่ะเหรอความรัก? มันเริ่มกันง่าย ๆ แบบนี้เลยสินะ ขนาดตอนผมคบแอม ผมยังพยายามที่จะ ‘รัก’ เธอเลย ถึงมันจะไม่สำเร็จก็เถอะ... ผมชักสีหน้าถามมันกลับ “ให้เบอร์กู ทั้ง ๆ ที่มึงก็รู้ว่ากูมีแฟนใหม่แล้วเนี่ยนะ”
ไอ้ตุ้ยหัวเราะแหะ ๆ “ก็เผื่อมึงเบื่อแฟนมึงไง”
มือขวากำกระดาษนั่นแน่นขึ้นจนอยากจะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ แล้วตั๊นหน้าไอ้ตุ้ยแรง ๆ สักที ผมละสายตาจากหน้ามันมาจ้องหน้าไปป์ที่ยืนเงียบอยู่ด้วยสายตาจริงจัง เบื่องั้นเหรอ? ชาติหน้าเหอะมึง “ไม่เบื่อเว่ย!”
“โอเค ๆ เข้าใจแล้ว กูจะถือว่ากูให้เบอร์มันไปแล้วนะ มึงจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่มึงเหอะ” เหมือนว่ามันจะรับรู้ถึงรังสีอำมหิตเลยรีบตัดบท ไอ้ตุ้ยกลับมาฉีกยิ้มเหมือนเดิม มันเป็นคนอารมณ์ดีตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้วล่ะครับ เพราะงั้นผมเลยหมั่นไส้มันนิดหน่อย
“แล้วที่บอกว่ามีอะไรจะถามเกี่ยวกับไปป์นี่คือ?”
“อ๊อ!” มันชี้หน้าพวกผมสองคน “กูได้ยินข่าวลือแปลก ๆ มา... เขาบอกว่ามึงเลิกกับแอมมาคบกับไปป์เหรอวะคิน?”
ไปป์สะดุ้งเฮือกเหมือนโดนเข็มแทง มันจะตกใจอะไรนักหนากับคำถามนี้ ในเมื่อคำตอบมันก็เห็นอยู่ทนโท่ ดีเหมือนกัน ไอ้ตุ้ยมันจะได้เอาไปบอกคนอื่นให้เลิกมาวุ่นวายกับกูซะที... ผมยักไหล่แล้วตอบไปตามตรง “ก็เห็นอยู่ว่า...”
“บะ... บ้าแล้ว! จะเป็นไปได้ไงวะ กูกับภคินเนี้ยนะ” คนที่เงียบอยู่นานโพล่งออกมาเสียงดังลั่น ผมตาเบิกกว้างมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อหู... อะไรนะ? ไม่ได้เป็นอะไรกันงั้นเหรอ? แล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นคืออะไร? ทั้ง ๆ ที่ผมมีผู้หญิงมาให้เบอร์ต่อหน้าขนาดนี้แล้วแท้ ๆ
ไม่เคยคิดจะหึง จะหวงกันบ้างเลยสินะ... มีแต่ผมฝ่ายเดียวที่คิดว่าตัวเองมีค่าขนาดนั้น
“เออ นั่นสิเนอะ กูก็ไม่น่าถาม... เฮ้ย! คิน! มึงจะไปไหนวะ”
ผมเดินออกมาจากตรงนั้นไม่อยากได้ยินอะไรจากปากมันอีก โกรธจนเลือดขึ้นหน้าไปหมด แสบคอ... แสบตา... ขอบตามันร้อนผ่าวไปหมด ไปป์วิ่งตามผมออกมาและใช้แรงเฮือกสุดท้ายคว้าแขนรั้งผมไว้ แล้วเรียกเสียงดัง “ภคิน!”
“......” ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น ผมหลบสายตาไปมองทางอื่น... ถ้ามองหน้ามันตรง ๆ ผมอาจจะร้องไห้ออกมาตรงนี้ก็ได้ ความรู้สึกปวดร้าวทั้งอกมันตีกันไปมา ทั้งโกรธ... เสียใจ... ผิดหวัง... ทำให้เกิดคำถามผุดขึ้นในใจ
ในขณะที่ผมรักมันมากที่สุดในชีวิต... มันเคยรักผมบ้างไหมนะ?
“หันมาคุยกันก่อนสิ...” ไปป์เอ่ยด้วยเสียงสั่น ๆ กลัวเหรอ? ผมมากกว่ามั้งที่ต้องเป็นฝ่ายกลัว... ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่คอลงไป แล้วเค้นเสียงถาม
“อายมากเหรอ?”
“หา?”
ผมพลิกตัวกลับมาจ้องมันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน “อายมากสินะ ที่มีแฟนอย่างกู”
ตะโกนใส่หน้ามันเสร็จผมก็ไม่เหลือแรงจะทำอะไรแล้ว ไปป์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่คงเป็นคำตอบสินะ... ผมก้าวขาเร็ว ๆ ออกไปจากตรงนั้น ไม่อยากอยู่แล้ว ขืนอยู่ต่อไปผมต้องร้องไห้ออกมาแน่ ๆ ผมเกลียดน้ำตา เกลียดความอ่อนแอในใจตัวเอง
สุดท้ายก็ต้องก้มหน้าเดินไป ปล่อยให้น้ำที่ดวงตากลั่นตัวหยดลงมาเท่านั้น...
..........................................................................
....................................................
..................................
...............
ควันบุหรี่ที่ลอยเอื่อยตรงหน้าค่อย ๆ จางหายไปในอากาศ เหลือไว้เพียงกลิ่นนิโคตินที่ปลายจมูก ซึ่งไม่ได้ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งขึ้นเลย ผมบี้ก้นบุหรี่ลงกับเศษกระดาษจนมันขึ้นสีไหม้เกรียม ก่อนจะหงายหลังลงบนพนักพิงอย่างหมดแรง... บางทีก็เหนื่อย บางทีก็ท้อ ทำไมนะ? ผมมันแย่มากเลยใช่มั้ย ทั้ง ๆ ที่คิดว่าอะไร ๆ มันเป็นไปด้วยดีแล้วแท้ ๆ
หรือมันจะเป็นแค่ความคิดเข้าข้างตัวเองของไอ้หน้าโง่ตัวนึง...
หึ... ไม่น่าด่าว่ามันโง่เลย ไอ้โง่ตัวจริงมันผมเนี่ยแหละ! บังคับไปป์มาตลอด บางทีผมก็ยังนึกสงสัยว่าที่เราเป็นแฟนกันแบบนี้ มันเกิดจากความดันทุรังของตัวเองฝ่ายเดียวใช่มั้ย... ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ปฏิเสธมาตลอดแท้ ๆ
ที่เคยอยากจะถามว่าผมมีค่าแค่ไหนน่ะ? คงไม่จำเป็นอีกแล้วล่ะ... หลักฐานมันก็เห็น ๆ กันอยู่
พอคิดแบบนี้ขอบตาผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว... ตอนนี้ตาคงแดงไปหมดจนหลอกใครไม่ได้แล้วล่ะ ความรู้สึกเจ็บที่อกซ้ายเป็นตัวตอกย้ำได้ดี ว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ต้องมารู้ความจริง ว่าผมเองก็ไม่ได้มีค่ามากมายไปกว่าคนอื่น ๆ ในชีวิตไปป์สักเท่าไหร่หรอก... กับมันที่พร้อมจะยิ้มให้คนทั้งโลกแบบนั้น ผมจะมีความหมายสักแค่ไหนกัน? ความห่วงใยที่ผมได้มา มันไม่ได้แตกต่างจากที่ไปป์ให้คนอื่นเลย...
มันแคร์คนทั้งโลก... แต่มันทำเหมือนไม่แคร์ความรู้สึกผม...
ผมกลับมานั่งอัดบุหรี่ในห้องเขียนแบบตั้งแต่ที่เดินออกมา งานที่ทำค้างไว้อย่างไรอย่างยังอยู่อย่างนั้น... ผมมันพวกแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกเสียด้วย หลายชั่วโมงก่อนมีใครคนหนึ่งในหัว ตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน... ส่วนเพื่อน ๆ ที่อยู่ในห้องก็นั่งกันเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรออกมาดังไปกว่าเสียงกระซิบ ไอ้อาร์ทก็ไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหนของมัน เออ... มันอินเลิฟนี่ ไม่ได้เป็นอย่างผม แม่งเอ๊ย
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงง
ผมถีบเก้าอี้ตรงหน้าไปไกล ๆ ให้พ้นสายตา ทุกอย่างมันดูรกโลกไปหมดเลย แม้กระทั่งตัวเองก็อยากจะให้หายไปจากโลก ผมควานเอากระดาษบนโต๊ะยัดลงกระเป๋าอย่างไม่กลัวว่ามันจะยับเลยสักนิด ผมโกรธ... โกรธมัน... แต่มากกว่านั้นคือโกรธตัวเอง! ไอ้กันกับไอ้โจ้ได้แต่นั่งมองนิ่ง ๆ รอจนยกกระเป๋าขึ้นคล้องคอนั่นแหละ กันถึงได้เอ่ยปากถาม
“กลับแล้วเหรอวะคิน”
“อืม... วันนี้กูกลับบ้านนะ” ผมตอบก่อนจะเดินออกห้องมา ฟ้าด้านนอกมืดสนิท เห็นสีดำนั่นแล้วอยากจะพ่นควันออกมา อยากอัดบุหรี่ให้มันตายไปเลย จะมีคนมาสนใจผมบ้างไหม? ยังไงคนที่อยากให้เลิกบุหรี่ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนี่
วันนี้ผมยังไม่พร้อมจะเจอหน้าไปป์ ผมเลยเลือกที่จะบิดกุญแจรถและมุ่งหน้าออกสู่ถนนเส้นที่ต่างออกไปจากทุกวัน บ้านผมอยู่ค่อนข้างไกลจากมหาลัยนิดหน่อย โชคดีที่ถนนเส้นนั้นรถไม่ติดมาก ใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาทีในการเดินทาง กว่าจะถึงปากซอยก็ล่อไปสามทุ่มกว่า
เพราะนั่งอัดบุหรี่อยู่ที่ห้องเขียนแบบนานไปหน่อย เลยมาถึงมืด ๆ ค่ำ ๆ แบบนี้ บ้านผมยิ่งอยู่ลึก ๆ เสาไฟฟ้าแต่ละต้นก็ตั้งห่างกันเหลือเกิน หนีงานที่เซเว่นด้วยแฮะวันนี้ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว...
น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกไม่ชินกับการขับรถคนเดียว... ทำไมกูต้องคิดถึงสัมผัสอุ่น ๆ จากมันตลอดเวลาวะ ขับรถคนเดียวมันเบา แถมไม่ต้องคอยระวังเข่าคนข้างหลังไปชนรถคันอื่นก็จริง ไม่ต้องกลัวว่าขับเร็วเกินแล้วคนข้างหลังจะกลัวก็จริง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้อง ‘เป็นห่วง’ ใครทั้งนั้นก็จริง
แล้วทำไมกูต้องรู้สึกเศร้าขนาดนี้วะ... ก่อนหน้าที่จะได้เจอมัน นับครั้งได้ที่ผมจะปล่อยน้ำตาออกมา ด้วยความที่นิสัยไม่ดีเท่าไหร่ ในชีวิตผมเลยถูกคนอื่นผลักให้ล้มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผมเองก็พร้อมจะลุกขึ้นยืนโดยไม่เสียน้ำตาให้มันสมเพชหรอก ถ้าไม่รู้จักยืนด้วยตัวเองก็เท่ากับเราตายไปแล้ว แต่พอได้เจอกับมัน ผมกลับเสียน้ำตาให้มันเห็นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง... รู้สึกพิเศษทุกครั้งที่มีมืออีกคู่ช่วยกอดในยามที่ถูกผลักลงมา ทำไมกันวะ พอคิดว่าไปป์เองก็ทำแบบนี้ให้กับทุกคน มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรที่พิเศษไปกว่าคนอื่นเลย...
ผมค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงเมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยแคบ ๆ เผื่อว่าจะมีรถสวนออกมา เพราะมันมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็น แล้วตอนนั้น...
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงง
แรงอัดจากด้านข้างทำให้ผมเกือบกระเด็น แต่โชคดีที่จับไอ้เน่าได้ทัน เลยแค่ล้มลงไปกองกับพื้น แขนขวาเต็มไปด้วยรอยถลอกสีขาวเป็นปื้น ๆ รอเวลาที่เลือดจะไหลซิบออกมา ผมรีบเงยหน้ามองคนที่ถีบรถผมเมื่อกี้...
“ไงมึง... ไม่เจอกันนานเลยนะ” ไอ้ผู้ชายหัวล้านพร้อมด้วยรอยสักเต็มแขนเหยียดยิ้มมาให้ มันยกเท้าขึ้นเหยียบแล้วกดลงมาแรง ๆ จนรถอัดตัวผมแรงขึ้น แต่ผมยังคงจ้องหน้าพวกมันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าหวังว่าคนอย่างกูจะร้องโอดครวญ “กว่าจะจับได้นะมึง เล่นวนเวียนอยู่ถิ่นคนเยอะ หึ ๆ ๆ กว่าจะกลับมาบ้านได้ พวกกูรอแทบแย่”
“คันตีนอยากกระทืบใจจะขาดว่ะ ลูกพี่” มีตัวเหี้ยทั้งหมดสี่ตัว หมาหมู่ตามสันดาน... พวกมันแสยะยิ้มเหมือนรอเวลานรกนี้มานานแล้ว
“เฮ้ย! ไอ้หน้าหล่อ” ไอ้โล้นกระชากคอเสื้อผมขึ้นมาแล้วลากตัวผมออกมาจากซากไอ้เน่า “หล่อเหี้ยไรไม่มีตังมาคืนลูกพี่กูวะ หน้าอย่างมึงไปขายตัวให้อีพวกป้า ๆ สามสี่รอบก็ได้แล้ว”
ถุย!
ผมถุยน้ำลายใส่หน้ามัน แสยะยิ้มทุเรศ ๆ คืนไป แล้วกระโจนอัดใส่แก้มขวามันอย่างจัง จนไอ้หัวโล้นลงไปนอนกับพื้น “แล้วพวกมึงล่ะ ไอ้ห่า ไม่ลองขายตูดให้เสี่ยมึงมั่งเรอะ จะได้ไม่ต้องทำงานที่ใช้แต่แรงงานไม่พึ่งสมอง เหมือนควายเลยว่ะ... มึงว่ามั้ย?”
“ไอ้เหี้ย ปากดีนักเหรอมึง!” ลูกน้องมันคนนึงเตะอัดชายโครง แต่ผมกระโดดหลบได้หวุดหวิดเลยโดนแค่ถาก ๆ พอลูกพี่มันตั้งตัวได้ ก็ต่อยเข้ามาที่แก้มซ้ายผมทันที เชี่ยเอ๊ย... เจ็บสุด ๆ ไปเลยว่ะ ผมถุยน้ำลายเปื้อนเลือดลงบนพื้นถนน แล้วเตะคืนเข้าไปที่ท้องมัน
ต้องหนี... ต้องหนี... สัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่ใช้มาตลอดชีวิตบอกผม ถึงพวกมันจะไม่ค่อยมีฝีมือนัก แต่แม่งเล่นหมาหมู่ สู้กันยังไงกูก็แพ้แน่ ๆ ผมพลิกตัวแล้วออกวิ่งทันที แต่ลูกน้องมันดันรู้ทัน เลยถูกเตะอัดเข้าที่น่องอย่างจัง... กลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งในปากเริ่มทำให้เวียนหัว ผมกัดฟันสวนมันกลับ ในขณะที่โดนสารพัดเท้ารุมเหยียบที่ขาและหน้าท้อง
เขาว่าเมื่อเข้าใกล้ความตาย คนเราจะมีพลังขับเคลื่อนมหาศาล แม้ว่าจะหอบหายใจออกมาเป็นเลือด แต่กูยังไม่ยอมตายตรงนี้หรอกโว้ย! ผมใช้โอกาสที่พวกมันจิกหัวเอาแต่พร่ำด่าเหี้ยอะไรสักอย่างที่โสตประสาทผมไม่รับรู้ โขกหัวเข้ากับคางมันอย่างจังจนไอ้เหี้ยนั่นล้มตึงไปกับพื้น แล้วเหวี่ยงตีนอัดหน้าแข้งไอ้ห่าที่สะเออะมาเหยียบขาผมไว้ ผมรีบคลานไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง ตามองแทบไม่เห็นอะไรแล้ว นอกจากเลือดสีแดงข้น ๆ ที่ไหลเยิ้มลงมา อ่า... หัวคงแตกไปแล้วสินะ
“เหี้ยนี่! ฤทธิ์เยอะนักใช่มั้ยมึง!” ส้นเท้าหนึ่งกดขยี้ลงบนหลัง ก่อนที่คนอื่น ๆ จะมาช่วยเตะซ้ำ ไม่ไหว... ตามองอะไรไม่เห็นแล้ว จากที่เห็นแต่เลือด ตอนนี้มันกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด ถึงแม้ว่าดวงตาจะพร่าเลือนสักแค่ไหน หูจะไม่ได้ยินอะไร แต่ถ้อยคำเหล่านั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวผม...
‘บะ... บ้าแล้ว! จะเป็นไปได้ไงวะ กูกับภคินเนี้ยนะ’
บางทีผมก็คิดนะ... โลกของผมมีแต่ไปป์คนเดียว แล้วโลกของไปป์ที่เต็มไปด้วยคนมากมายล่ะ
ถ้าคนคนนี้หายไปสักคน... มันจะสังเกตเห็นมั้ยนะ...
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่วาบขึ้นมาในหัว ก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบไป
TBCก่อนอื่นต้องขอโทษที่หายไปนานมากๆค่ะ จากที่บอกว่าสอบเสร็จวันที่12แต่กว่าจะมาต่อก็ล่อไปนานขนาดนี้แล้ว ขอโทษจริงๆค่ะ
คนเขียนไม่ได้อู้นะคะ ตอนนี้เขียนตั้งแต่สอบเสร็จแล้วแต่เป็นตอนที่แก้เยอะมาก เขียนลบๆมาหลายวันแล้วค่ะ ผู้จัดการไม่ให้ผ่านสักที(โยนความผิด)
ตอนที่แล้วทำให้เรารู้ว่ากระแสคู่รองมันมาแรงมาก ไว้เดี๋ยวจะเขียนกัญชา*เห็ดขี้ควายอีกนะคะ ไม่ได้ลดบทนะมีคนเข้าใจว่าจะไม่เขียนคู่รองแล้ว คนเขียนแซวเล่นค่ะ 555
PS.ตอนหน้าจะมาต่อให้เร็วขึ้นค่ะ ปิดเทอมแล้วมีเวลาแน่นอนค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันมาตลอดนะคะ หายไปนานคิดถึงคนอ่านมาก
