ต่อ
^
^
“พี่ฟ้า!”
ยีนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในครัว เรียกชื่อเจ้านายเสียงดัง ผมที่กำลังยื่นถ้วยใบสุดท้ายให้คุณฟ้าต้องหันไปมอง
“มีอะไรยีน”
“พี่นนท์...” มือยีนกุมตัวเครื่องด้านล่างไว้แน่น บอกว่าอีกฝ่ายที่พูดถึงน่าจะอยู่ในสาย
“โทรศัพท์แดนอยู่ที่พี่นนท์ค่ะ แดนอยู่กับพี่นนท์ ยีนจะทำไงดี ขอคุยกับแดน พี่นนท์ก็บอกว่าแดนไม่อยู่ ยีนไม่เชื่ออ่ะพี่ฟ้า ยีนเป็นห่วงแดน พี่ฟ้าคุยกับพี่นนท์ให้ยีนหน่อยสิคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกยีน เมื่อคืนพี่ไปส่งแดนที่บ้านแล้ว สงสัยแดนลืมโทรศัพท์ไว้ที่คอนโดพี่นนท์มั้ง” คุณฟ้าตอบเรื่อยๆ น้ำเสียงเป็นปกติ ยื่นมือไปขอโทรศัพท์จากลูกน้อง ยกโทรศัพท์แนบหู พูดเสียงเบา เดินออกไปข้างนอก ผมเดินตาม คุณฟ้ารู้ตัวหันมาห้ามด้วยสายตา ผลเลยเดินเลี้ยวไปอีกประตูหนึ่ง กลับไปที่คลินิคของตัวเอง
วันนี้วันหยุดของผม พอผมเข้าไปในคลินิก เลยกลายเป็นเป้าสายตาของทุกครั้ง ด้วยไม่ใช่วันทำงานของผม แล้วยังมาทั้งชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น มันเป็นชุดที่ผมเตรียมใส่ไปเที่ยวทะเล
“เฮ้ย...มาไงเนี้ย” นพทักผมก่อนใครเพื่อน หมออีกสองคน (ทรายกับปู) ที่ยืนคุยอยู่กับลูกค้าคนละมุมก็พลอยหันมามองผมด้วย เจ้าเบียร์ที่เดินออกมาจากห้องพักเข้ามาทักผมด้วยอีกคน
“นี่ละเมอมาทำงานป่ะพี่นุ”
“เปล่า บังเอิญผ่านมาแถวนี้เลยแวะมา” ผมบอก
“บังเอิญหรือเพิ่งออกมาจากคอนโดคุณฟ้ากันแน่” เอาแล้วไง พี่กานต์ที่อุ้มเจ้าตัวเล็กขนปุยออกมาจากห้องตรวจ ช่วยเตือนความจำให้ผมว่าแกอยู่คอนโดเดียวกันกับคุณฟ้า
“คุณฟ้าร้านเชิญครับเหรอพี่กานต์” เบียร์หันไปถาม
“จะมีฟ้าไหนอีกล่ะ” พี่กานต์ตอบ
“พี่นุอ่ะ ตัดหน้าผมไปได้ไง ผมก็อดเดะ” เจ้าเบียร์แกล้งทำหน้าเศร้า
“ไอ้ที่มีอยู่ไม่พอหรือไง” พี่กานต์ใช้ตีนน้อยๆ ของลูกหมาที่แกอุ้มอยู่ผลักหัวกลมๆ ของเจ้าเบียร์
“พอแน่ะมันพอ แต่อยากได้เพิ่มไงพี่กานต์ ....พี่นุอ่ะ ผมเซ็งจริงๆ นะเนี้ย”
“ไวไฟนะเพื่อนนุ ได้ข่าวว่าเค้าเพิ่งเลิกกับแฟนไปเมื่อวันก่อนเอง” ไม่แปลกใจที่นพจะรู้เรื่อง เพราะใครๆ ก็รู้กันหมด
“ของอย่างนี้มันช้ากันได้ที่ไหนพี่นพ....เนอะพี่นุ”
“....” ผมไม่ตอบว่าอะไรใคร ยิ้มๆ ถือว่าเป็นคำตอบที่ทุกคนเข้าใจกันดี ถึงได้แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง นพไปดูลูกหมาแรกเกิดตัวเท่ากำปั้นที่เจ้าของมันอุ้มเข้ามาในร้าน เบียร์ไปรับโทรศัพท์ที่ลูกค้าโทรมาถามอาการหมาที่ฝากเอาไว้ก่อนจะทำการฝ่าตัดทำหมัน พี่กานต์ก็อุ้มน้องหมาพาไปกินข้าว ส่วนผมก็เดินเลี่ยงเข้าห้องพัก
อย่าว่าแต่โทรศัพท์ของเด็กแดนอยู่ที่คุณนนท์เลย โทรศัพท์ของผมเองก็อยู่ที่คอนโดคุณฟ้าเหมือนกัน มันอาจจะต่างกันที่เด็กแดนลืม แต่ผมจงใจ....เสื้อผ้าอีกหลายชุดที่ผมทิ้งไว้ที่คอนโดคุณฟ้า (ก็เนียนเอาใส่ไว้ในตะกร้าเดียวกับคุณฟ้า ก่อนออกมาก็หอบไปให้ทิ้งไว้ที่ร้านซักห้างด้านล่างคอนโด) จะได้ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าของคุณนนท์มาใส่ให้เจ้าตัวมายืนทวง
เมื่อคืนเรื่องที่คุณนนท์บอกและเตือนผมมา ทำผมหนักใจได้ไม่น้อย หวั่นใจเหมือนกันว่าสิ่งที่ทำผมยิ้มแก้มจะฉีก สิ่งที่ผมได้จากคุณฟ้า สิ่งที่คุณฟ้าให้มา
มันเป็นแค่ ‘ความสงสาร’ หรือเปล่า
ความใจดีของคุณฟ้า
นิสัยขี้สงสารของคุณฟ้า
มันจะทำให้ผมตกหลุมจนปีนขึ้นมาไม่ได้ แล้วคุณฟ้าเองก็จะไม่โยนเชือกมาให้ผมไต่ขึ้นไป
อะไรจะเกิดมันต้องเกิด ผมไม่อยากกลัวความผิดหวัง ไม่อย่างนั้นผมก็จะพลาดโอกาสดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย สามวันมันอาจเป็นเวลาที่ไม่นานนัก แต่กลับมีเรื่องระหว่างผมกับคุณฟ้าเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ ก่อนหน้านี้กับน้องลม กว่าที่ผมจะกล้าจับมือเล็กๆ นั้นได้ ก็ปาไปห้าหกเดือน ต่างกันลิบลับคุณฟ้า เพียงแค่คืนเดียวที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้....ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่เพราะคุณฟ้า ‘ง่าย’ ผมถึงได้ครอบครอง มันน่าจะเป็นจังหวะที่เหมาะเจาะมากกว่า ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมกับคุณฟ้าจะเริ่มต้นกันด้วยวิธีไหน ผมเขินเกินกว่าจะเข้าไปจีบตรงๆ แล้วผมก็คงไม่มีวิธีการจีบที่ดีกว่าคนอื่นๆ แต่ตอนนี้พออะไรๆ มันเกิดขึ้นไปแล้ว เลยทำให้ผมมั่นใจว่ามีภาษีดีกว่าคนอื่นๆ ที่คิดจะเข้ามาจีบคุณฟ้าหลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งโสด
อย่างน้อยๆ คุณฟ้าก็ยอมให้ผมมากกว่าคนอื่น...
ผมยิ้ม...นึกถึงความน่ารักทุกอย่างที่หลวมรวมเป็นคุณฟ้า เนื้อตัวนิ่มๆ และหอมหวาน เสียงหวานที่เอ่ยเรียกชื่อผมไม่ขาดปาก เวลาที่แทรกผ่านความรู้สึกเข้าไปแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ผมกำลังเพ้อ...หลงรักคุณฟ้าอย่างรวดเร็ว
ผมกำลังตกหลุมรักคุณฟ้า...ผมแน่ใจแล้วว่าผมจะรักคนนี้ให้ดีที่สุด
ผมมั่นใจจะไม่ปล่อยให้คนๆ นี้หลุดมือไป....ผมจะพยายาม แม้จะหวั่นใจบ้างแต่ผมก็จะพยายาม
….กริ๊งง....
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น ผมยกกระบอกเสียงขึ้นแนบหู คิดว่าเป็นลูกค้าของคลินิกคนใดคนหนึ่งที่ผู้ช่วยด้านนอกต่อสายเข้ามาในห้องพักของผม
“สวัสดีครับ หมอนุพูดครับ”
(ตาหนู คุณแม่โทรหาทำไมไม่รับสายล่ะคะ) ไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นคุณหญิงแม่ผม น้ำเสียงกึ่งจะน้อยใจนิดๆ คงโทรเข้ามือถือผมก่อนหน้านี้มาแล้ว
“นุลืมโทรศัพท์ไว้ที่คอนโดเพื่อนครับคุณแม่...คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถาม ปกติผมกับคุณหญิงแม่ไม่ค่อยโทรศัพท์คุยกันหรอก เพราะเราสองคนเจอกันทุกวัน เช้ามาก็เจอ ตกเย็นก็เจอ ยิ่งช่วงนี้ผมเป็นลูกคนโปรดซะด้วย สาเหตุเนื่องมาจากการที่ผมยังโสดสนิท ไม่มีวี่แววว่าจะมีหลานให้ท่านนายพลกับคุณหญิงแม่อุ้มสักที เลยรักที่จะให้ผมเป็นฝั่งเป็นฝาซะที แล้วที่โทรมา ถ้าให้เดาก็คงหนีไม่พ้นเรื่องด่วนที่สุดของคุณหญิงแม่ เรื่องว่าที่ลูกสะใภ้คนกลาง ภรรยาของผมในอนาคต
(คุณแม่จะโทรมาบอกตาหนูว่า พรุ่งนี้เตรียมตัวไปรับน้องเนยกับคุณแม่นะคะ) ว่าแล้วไง เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนเสมอของคุณหญิงแม่ของผม
“ไหนบอกว่ากลับเดือนหน้าไงครับคุณแม่” ผมสงสัย
(น้องเค้าเลื่อนวันกลับน่ะจ๊ะ ตาหนูของแม่จะได้เจอน้องไวๆ ไม่ดีเหรอ) ไอ้คำว่าเจอกันไวๆ คงกินความหมายไปถึงการรักกันไวๆ ด้วยละ
“ดีครับ” ถือว่าเจอไวเคลียร์ไว
(ตาหนู) คุณหญิงแม่ของผมลดเสียงเบา คล้ายลังเลที่จะพูด
“ครับ” ชักกลัวเป็นเรื่องไม่ดี
(เย็นนี้ไปดูแหวนกับคุณแม่นะคะ)
“แหวน” ผมทวนคำ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจที่คุณหญิงแม่พูด เข้าใจแจ่มชัดเลยล่ะว่า ไปดูแหวนน่ะ มันแหวนอะไร
(ตาหนูก็อายุมากแล้วนะ คุณแม่อยากเห็นตาหนูเป็นฝั่งเป็นฝา น้องเนยก็ทั้งสวยทั้งน่ารัก หน้าที่การงานก็ดี เคยเห็นกันตั้งแต่เด็ก คุณแม่ว่าตาหนูกับน้องเนยน่าจะเข้ากันได้ดี แต่งๆ กันเถอะนะตาหนู ทางคุณหญิงวลัยก็ไม่มีปัญหา ส่วนน้องเนยน่ะ รายนั่นยิ่งไม่มีปัญหาใหญ่ ดีใจใหญ่ด้วยซ้ำที่ได้กลับมาหาพี่นุของเค้า)
ฟังคุณหญิงแม่พูดแล้ว ถามนึกเถียงในใจ ผมก็ไม่ได้แก่ขนาดตั้งรีบแต่งงานอะไร ยังไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ เรื่องของน้องเนยที่ว่าทั้งสวยทั้งน่ารัก อันนั้นผมยอมรับ คุณหญิงแม่เอารูปมาให้ดูบ่อยๆ เรื่องหน้าที่การงานก็เห็นว่าจะกลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง ในบรรดาลูกของคุณหญิงแม่ทั้งสามคน คือผม พี่ยะ ยัยภา ผมคือคนที่น้องเนยสนิทด้วยที่สุด เรียกว่าตอนเด็กติดผมแจ ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันก็หอบผ้าห่มหอบหมอนมานอนกับผมประจำ อะไรๆ ก็พี่นุ วันเสาร์อาทิตย์ก็มาเที่ยวเล่นที่บ้านผมเป็นประจำ แต่คุณหญิงแม่คงลืมว่านั่นมันตอนเด็ก ไม่ใช่ตอนนี้ น้องเนยของผมอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ สวยน่ารักขนาดนั้น ไม่มีแฟน มันก็น่าแปลกไปแล้ว
“ผมว่าอย่าเพิ่งเลยดีกว่าครับคุณแม่”
(แต่คุณแม่ใจร้อน คุณหญิงวลัยก็ใจร้อนเหมือนกัน เร่งให้คุณแม่หาฤทธิ์หมั้นฤทธิ์แต่งเลยนะคะตาหนู)
“คุณแม่ก็ปฏิเสธไปก่อนสิครับ”
(ตาหนูจ๊ะ คุณแม่จะปฏิเสธได้ไงล่ะคะ คุณแม่ก็อยากจะได้น้องเนยเป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนเย็นไปดูแหวนกับคุณแม่นะคะ ถ้าเจอที่ถูกใจ ตาหนูจะได้เอาไปเซอร์ไพซ์ขอน้องแต่งานวันนั้นเลย) โอ้...คุณหญิงแม่ผม อะไรจะรีบร้อนปานนั้น
“ให้นุเจอกับน้องดีกว่าไหมครับคุณแม่ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
ผมยังไม่กล้าปฏิเสธความหวังของคุณหญิงแม่ตัวเอง เรื่องของผมกับคุณฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกกันโต้งๆ มันจึงลำบากที่ผมจะพูดอะไรออกไป ถึงครอบครัวของผมจะรับได้กลับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย เพราะกรณีของพี่ชายผม พี่ยะ ที่ยังคงลอยชายคงความโสด (ลูกสาม) ควงสาวควงหนุ่มเป็นว่าเล่น แต่นั่นมันพี่ยะ ไม่ใช่ผม เรื่องนี้เลยต้องอาศัยเวลา
(เอางั้นเหรอตาหนู) น้ำเสียงคุณหญิงแม่ผิดหวังนิดๆ
“ครับคุณแม่”
(อาทิตย์หนึ่งพอไหมคะตาหนู)
“โธ่...คุณแม่ครับ” ผมครางเสียงอ่อนเอากับกำหนดเวลาของคุณหญิงแม่
“อ่ะ เดือนหนึ่ง คุณแม่ให้เวลาเดือนหนึ่งนะคะตาหนู คุณแม่อยากได้น้องเนยมาเป็นสะใภ้จริงๆนะคะ น้องทั้งเก่งทั้งน่ารัก ไม่รีบเดี๋ยวคนอื่นก็แย่งไปหรอกค่ะ”
“ครับๆ” เดือนหนึ่งก็เดือนหนึ่ง เดือนหนึ่งเพื่อผมจะคิดหาคำพูดดีๆ เตรียมตัวเองให้พร้อม พาคุณฟ้าไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าคุณฟ้ายอม...
“เย็นนี้ตาหนูมารับคุณแม่นะคะ เราจะได้ไปดูแหวนด้วยกัน”
“คุณแม่ครับ” ผมครางเสียอ่อนใจอีกครั้ง ความพยายามไม่สิ้นสุดจริงๆ
(คุณแม่พูดเฉยๆ ถ้าตาหนูไม่อยากไป แม่ไปกับคุณหญิงวลัยก็ได้ จะได้ช่วยกันดูแบบที่หนูเนยชอบ) คุณหญิงแม่ของผมเป็นผู้หญิงที่ดื้อคนหนึ่งเลยล่ะ
“ครับ”
(ครับนี่คือตาหนูจะไปกับคุณแม่ใช่ไหมคะ)
“คุณแม่ไปกับคุณหญิงวลัยเถอะครับ วันนี้นุไม่ว่าง แล้วคืนนี้นุไม่กลับบ้านนะครับคุณแม่” ผมบอก
“อ้าว...แล้วจะไปไหนล่ะคะตาหนู”
“ไม่ได้ไปไหนครับ คือนุจะนอนที่คอนโดนเพื่อน”
(ตาอิงเหรอ?)
“ครับ” ผมตอบไป ไม่ใช่ความจริงเท่าไร ผมไม่ได้จะไปนอนกับอิงแต่เป็นคุณฟ้า แต่ถ้าให้บอกว่าคุณฟ้า ซึ่งเป็นคนที่คุณหญิงแม่ไม่รู้จัก กลัวจะถูกซัก ขี้เกียจอธิบายด้วยแหละ
“งั้นฝากบอกตาอิงด้วยนะคะตาหนู ว่าแม่คิดถึง ว่างๆ ก็พาหนูหวานมาเยี่ยมคุณแม่ด้วย ไม่ได้เจอตั้งแต่งานคุณย่าตอนนั้น”
“ครับ”
คุณหญิงแม่วางสายไปแล้ว ทิ้งปัญหาให้ผมต้องคิด ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่หาทางแก้ไม่ได้ ไว้ผมเจอน้องเนยจริงๆ ก่อน เรื่องอะไรๆ คงจะง่ายขึ้น ผู้หญิงสมัยใหม่ บุคลิกมาดมั่นแบบน้องเนยที่เป็นถึงอาจารย์สอนกฎหมาย คงไม่นิยมชมชอบวิธีการคลุมถุงชนเท่าไหร่หรอก
....กริ๊งงงง....
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะผมดังขึ้นอีกครั้ง
“สวัสดีครับ หมอนุพูดครับ” ผมกรอกเสียงลงไป เป็นอิงที่โทรเข้ามา
“ไอ้หมอ” เสียงเพื่อนผมฟังดูเหนื่อยๆ ชอบกล
“เป็นไงบ้าง ฉันกำลังจะโทรหาอยู่พอดี ว่าแต่ตอนนี้อยู่ไหน อยู่ที่จันทร์?” ผมแปลกใจเพราะได้ยินเสียงคลื่นดังเข้ามา
(อืม....)
“ได้คุยกันยัง?”
(อืม...โดนซ้อมมาด้วย)
“คุณชิตเหรอ?”
(อืม...เจ็บสุดๆ แต่คงไม่เจ็บไม่เท่าหนึ่ง....ฉันจะทำไงดีวะหมอ ฉันทำหนึ่งเจ็บอีกแล้ว)
“อย่าบอกนะว่า....” ถ้าผมตีคำพูดของเพื่อนไม่ผิด แปลว่าอิงมันทำอะไรหนึ่งอีกแล้ว
(อืม...นั่นแหละ หนึ่งมันดื้อ ฉันเลยห้ามตัวเองไม่ได้)
“นี่คือเหตุผลที่โดนซ้อมมาใช่ไหม?”
(อืม...) อิงตอบกลับด้วยคำเดิมๆ เหมือนมันไม่มีกระจิตกระใจจะคุยกับผม
“แล้วทำไมไม่ใจเย็นๆ” ผมอดติงมันไม่ได้
(หมอ แกไม่เป็นฉันไม่รู้หรอก)
“ถึงฉันเป็นแก ฉันก็จะอดทน” ผมว่า เป็นผม ผมไม่ทำหรอก มันข่มขืนชัดๆ
(มันอดทนได้ที่ไหน แกรู้อะไรไหม หนึ่งพูดยังไงกับฉัน เค้าบอกฉันว่าจะไม่กลับไปกรุงกับฉัน จะอยู่ที่นี่กับชิต เค้าจะลืมเรื่องทุเรศที่ฉันทำไว้ ถือว่าให้หมามันกิน ต่อไปนี้ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก ต่างคนต่างอยู่ เจอกันก็ไม่ต้องทัก ตายก็ไม่ต้องไปเผาผี เค้าบอกเค้าเกลียดฉัน แล้วจะให้ฉันทนได้ยังไงวะ)
“แกเลยต้องปล้ำหนึ่งอีกรอบ” ผมถาม อ่อนใจ ความจริงก็เข้าใจนิสัยของเพื่อนอยู่ ดูภาพนอกอิงอาจจะเป็นคนสนุกสนาน ใจดี แต่อารมณ์มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เห็น อิงใจทั้งใจร้อนแล้วก็วู่วาม ทำอะไรไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังเท่าไหร่ เอาความต้องการของตัวเองเข้าว่า
(อืม...แต่หนึ่งก็ไม่ได้ขัดขืน....มากเท่าไร)
“ไอ้ที่ว่าไม่ขัดขืนเท่าไร เป็นเพราะหนึ่งไม่มีแรงสู้มากกว่ามั้ง” ฟังมันพูดแล้ว อ่อนใจกว่าเดิม เห็นสภาพอยู่ว่าหนึ่งเดินไม่ได้ด้วยซ้ำต้องให้คุณชิตอุ้มออกจากห้อง แล้วจะไม่แรงอะไรไปขัดขืน
(ไม่รู้ว่ะ) อิงตอบไม่เต็มเสียง คงคิดตามที่ผมพูด
“ทีหลังก็หัดรู้ไว้บ้าง จะได้ไม่ทำอีก” ผมว่า อิงนิ่งไปสักพัก
(หนึ่งจะเกลียดฉันไหมวะ) อิงถามคำถามเดิมที่เคยถามผมตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆ
“ตอบยากว่ะ ลองง้อดูก่อน แต่ให้ง้อนะ ไม่ใช่ไปข่มขืนเค้า” ผมก็ตอบแบบเดิมๆ แต่ก็เตือนคนใจร้อนหน่อย กลัวอิงมันจะทำอะไรหนึ่งอีก
(อืม...แค่นี้นะหมอ ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วว่ะ)
“เดี๋ยวก่อน” ผมรีบห้ามก่อนที่อิงมันจะตัดสาย
(มีอะไร)
“เรื่องน้องหวาน” ผมไม่ได้อยากให้อิงมันไม่สบายใจ แต่ที่ถามก็อยากรู้ว่าอิงจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง อิงเงียบไปพักใหญ่ ถึงได้ตอบคำถามกลับมา
(คุยแล้ว) นิสัยของอิงมันแหละ ไม่ชอบให้เรื่องคาราคาซัง
“แล้ว...”
(ฉันสงสารหวาน หวานเอาแต่ร้องไห้ แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันใจดำเกินไปหรือเปล่า?) เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ อิงเลือกหนึ่ง
“ไม่หรอก ดีแล้วที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด” ผมยอมรับว่าผมเข้าข้างเพื่อน อิงเลือกแล้ว เลือกอย่างไม่โลเล มันดีต่อทุกคน ถึงจะต้องมีคนเจ็บแต่ดีกว่าปล่อยให้มันเรื้อรัง มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดสักที
(ขอบใจว่ะที่เข้าใจฉัน นึกว่าจะโดนแกด่า)
“เพื่อนกันน่า”
(อืม...งั้นแค่นี้ก่อน ฉันจะไปหาหนึ่งแล้ว)
“เฮ้ย เพิ่งโดนซ้อมมาไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก” ผมเตือน รู้ว่าอิงมันไม่เชื่อผมหรอก
(ทนได้น่า แค่นี้นะ ) แล้วเพื่อนผมก็วางสายไป อิงเป็นคนใจร้อนและจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ อย่างเรื่องของหนึ่ง ผมว่าหนึ่งคงหนีไม่พ้นมือเพื่อนผม
...ก๊อก ก๊อก...
ทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับคนที่เป็นประเด็นสนทนาเมื่อครู่เดินหน้าเศร้าจนน่าสงสารเข้ามาหาผม
“พี่หมอ”
“น้องหวาน”
“หวานมีเรื่องอยากคุยด้วย...”
ไม่ต้องเดาเลยว่าอะไรทำให้น้องหวานแบกหน้าตาช้ำๆ มาหาผมถึงที่นี่
>>>>>>>>>>> Happy Na Ka <<<<<<<<<<<<
คนเขียนอยากคุย :: ขอบคุณนะคะที่ติดตามเรื่องรัก...เชิญครับ คาดว่าน่าจะได้ผลสำรวจที่แน่นอน (ณ วันนี้ที่เขียนตอนนี้จบ) ว่า เรื่องต่อไปเป็น อิงกะหนึ่งนะคะ อิอิ
เช่นเคยนะคะ เรื่องนี้อาจจะเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไปบ้าง (แถมเป็นจุดเริ่มต้นของอีก 2 เรื่อง)แต่ก็พยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดนะคะ แล้วจะพยายามเขียนเรื่องให้กระชับมากที่สุด
ไม่ได้ตั้งใจยืดนะคะ Y^Y สุดท้ายก็ขอบคุณที่ติดตาม ไม่ทิ้งกันไปไหนนะคะ ^__^ 