9
หญิงสาว ผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นแนบต้นคอขาวระหง เดินกระแทกเท้ากลับมาที่เตียงผ้าใบริมหาดที่หล่อนนั่งเมื่อครู่ ปากเป็นสีแดงจัดเหมือนเดิม แม้ว่าจะนั่งอยู่ชายทะเลก็ตาม ชุดว่ายน้ำตัวเล็กลายทางแบบม้าลายนั้น ปกปิดส่วนที่ไม่ให้อุจาดตาไว้เพียงเล็กน้อย เรียกได้ว่าถ้านั่งไม่ดีละก็เห็นอะไรต่อมิอะไรหมด แว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่สวมทับอยู่ทำให้ไม่เห็นดวงตา และคิ้วที่ขมวดแน่นอยู่ข้างใต้ด้วยอารมณ์ฉุนจัด
“เป็นอะไรครับฟ้า” ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ พูดทักขึ้นก่อน เขาเป็นชาวไทยลูกครึ่งฝรั่ง หากแต่บอกไม่ได้ว่าเป็นชาติไหน เพราะหน้าตาดูคล้ายคนไทยมากกว่าฝรั่ง มีเพียงการพูดการจา และรูปร่างสูงใหญ่เท่านั้น ที่ทำให้ดูออกว่าไม่ใช่คนไทย
ชายหนุ่มรูปร่าง หน้าตาคล้ายนายแบบฝรั่งออกไปทาง ละติน นิดๆ ตรงที่จมูกโด่งเป็นสัน ตาคมขนตายาวงอน เสียยิ่งกว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ผมสีน้ำตาลไหม้ หยักศก ทำให้ใครๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น ต้องหันมามองสองคนนี้กันให้คอเคล็ด ส่วนที่สวยที่สุดในร่างกายของคนคนนี้ คือตาสีเขียวมรกตที่จับจ้องอยู่ที่หญิงสาวข้างๆ
“ก็คุณชายภาสกรนะซีคะ” หล่อนพูดเสียงเบา แบบร้อนอกร้อนใจ เพราะถึงอย่างไร หล่อนก็ยังไม่ต้องการให้ใครต่อใครรู้ว่า หล่อนคือทิฆัมพร นางร้ายสาวดาวรุ่งในขณะนี้ และที่สำคัญ หล่อนกำลังอยู่กับผู้ชาย ที่ไม่ใช่ภาสกรเสียด้วย เป็นข่าวขึ้นมาเมื่อไหร่ จบเห่เมื่อนั้น
“ทำไมหรือ ฟ้าเห็นคุณชายหรือจ๊ะ”
“ใช่ซี อีริค ละก็ถามได้ ฟ้าเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แหมหัวร่อต่อกระซิก ไม่ได้อายฟ้า อายดิน ทีอยู่กะฟ้านะ ยิ้มยังไม่เคยได้เห็นเลย ” หล่อนแทบจะตวาดด้วยเสียงกระซิบ ฟังดูน่าขันในความรู้สึกของ อีริค กอนซาเลซ เพื่อนชายของทิฆัมพร เขาอดขำขึ้นมาไม่ได้ที่หล่อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตอนนี้ เรื่องภาสกรอยู่กับผู้หญิงอื่น ก็ในเมื่อตอนนี้หล่อนก็อยู่กับผู้ชายอื่นเหมือนกันนี่นะ
“ฟ้าละก็ไปโกรธคุณชายเขา ฟ้าไม่ได้กำลังอยู่กับชายอื่นหรือครับ” เขาทำเสียงยียวน พร้อมยักคิ้วให้ “แล้วเมื่อคืนนี้ฟ้าเองก็หัวร่อต่อกระซิกกับผมเหมือนกัน นะครับ เพียงแต่คุณชายนั่นไม่มีโอกาสได้เห็นเท่านั้นเอง”
หญิงสาว คลายคิ้วที่ขมวดกันออก แต่ก็ไม่ถึงกับยิ้มด้วยอารมณ์ดี เพียงทุบที่ต้นแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามของเพื่อนหนุ่มเบาๆเท่านั้น
“อีริคละก็ บ้าจริงพูดตรงนี้ เดี๋ยวใครได้ยินเข้า”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไปคุยกันในโรงแรมก็ได้จ้ะ” ชายหนุ่มโดนเข้าอีก ตุ้บ ใหญ่ๆ ก่อนที่ทิฆัมพรจะพึมพำออกมาด้วยความสงสัย
“แล้วยังห่ออาหารกลับบ้านอีก... อะไรกันนะ หรือว่ายังมีอีกคนที่บ้าน” ลมเพชรหึงพัดเข้าใส่จนหล่อนหน้ามืดไปหมดเมื่อคิดว่า ภาสกรอาจมีสาวๆ ไว้นอน กกที่บ้านก็ได้ ในขณะที่ฝ่ายนั้นไม่เคยไยดีหล่อนเลยว่าหล่อนจะไปไหนกับใคร หรือนอนกกใครคนอื่น ภาสกรไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง
ถึงอย่างนั้น หล่อนก็ไม่เคยรักภาสกร เพียงแต่คิดว่า ในเมื่อผู้ใหญ่ก็จะจับคู่ให้เขากับหล่อนอยู่แล้ว การแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนิดๆก็ดูสมเหตุสมผล อย่างไรเสียหล่อนกับเขาก็ต้องได้เป็นสามีภรรยากัน
ส่วนหนุ่มละตินข้างๆนี่ พอคบฆ่าเวลาไปพลางๆ ก็ดีไม่ใช่น้อย ช่วยคลายเหงาได้บ้างเวลาที่ภาสกรไม่เอาอกเอาใจ ไม่เอาใจใส่หล่อนแบบนี้ ที่หล่อนมาพัทยา ก็เพื่อมาหาหนุ่มนายแบบคนนี้เท่านั้น แล้วจะไปคิดเรื่องภาสกรทำไมเล่า
แต่คนอย่างทิฆัมพร ลองว่าได้เห็นภาพที่ปวดใจอย่างนี้ หล่อนไม่ทนปวดใจคนเดียวแน่ หญิงสาววาดแผนอยู่ในใจ ขั้นแรกต้องสืบให้ได้ว่าภาสกรแอบมีเมียไว้ที่พัทยาจริงๆหรือเปล่า ขั้นที่สองแบ่งเอาแผลในใจของหล่อนไปให้หม่อมวิไลวรรณ แม่ของภาสกร ได้แบกรับบ้างแล้วขั้นที่สามก็จะสัมฤทธิผล คือภาสกรจะต้องพ่ายแพ้
ผู้หญิงคนนั้น และ อีกคนที่แอบซุกไว้ที่บ้าน จะไม่มีทางได้ผู้ชายที่หล่อนหมายมั่นจะแต่งงานด้วยเด็ดขาด
ทำตามแผนขั้นแรกเสียก่อน
แหล่งข้อมูลหาได้ไม่ไกลนัก เพียงนั่งรถไป สามสี่บล็อกก็ถึง ร้าน รชตานันต์ อัญมณี หล่อนมั่นใจว่าดลนภาจะตอบคำถามทุกข้ออย่างแน่นอน
แต่ก่อนจะต้องไปเหนื่อยกับแผนการเหล่านั้น ขอเสวยสุขกับพ่อหนุ่มละตินก่อนก็แล้วกัน
“อีริคว่า เราจะไป ‘คุย’ อะไรกันที่ โรงแรมนะคะ”
พอ ภาสกรมาถึงโรงพยาบาล นายแพทย์มิ่งเมืองก็ตรวจอาการของนทีเสร็จพอดี คลาดกันไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ดังนั้นในห้องตอนที่ภาสกรเข้ามา จึงมีเพียงนที และ ปุยฝ้ายที่กำลังดูโทรทัศน์กันอยู่เท่านั้น
“มาแล้วครับ อาหารทะเล ผมซื้อมาฝาก”
ปุยฝ้าย มองหน้านทีครั้งหนึ่งก่อนจะหัวเราะแก้เก้อ เดินเข้ามาหาชายหนุ่ม ทำเป็นช่วยจัดของยังไม่กล้าที่จะบอกสิ่งที่จำเป็นต้องบอกเขาตอนนั้น
“ แหม คุณ ช... คุณ ภาสกรก็ เดี๋ยวทางโรงพยาบาลก็จัดของมาให้แล้ว ฝ้ายกับไอ้น้ำ เกรงใจแย่เลยค่ะ” ปุยฝ้ายพูดไป ยิ้มแหยๆไป
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมไปทานมากับลูกค้า ก็เลยสั่งกลับมาฝากคุณฝ้ายกับคุณนทีด้วยเลย ไม่รู้ว่าชอบอะไรกัน เท่าที่ซื้อมาก็มี ข้าวผัดปูกุ้ง โป๊ะแตก แล้วก็ปลาทอด ไม่รู้ว่าจะชอบกันหรือเปล่า”
“ไอ้น้ำชอบกินข้าวผัดนี่นา”
ชายหนุ่มบนเตียงส่งยิ้มแหยๆมาให้ ก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณ
“ขอบคุณ คุณภาสกรมากครับ แต่คราวหน้าผมขอแค่อาหารของโรงพยาบาลก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ลำบาก พอดีแวะไปทานมาอยู่แล้ว ก็เลยซื้อมาฝาก คุณฝ้ายกับคุณนที ตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ชายหนุ่มยิ้ม ให้นทีที่มองเหมือนว่าตัวเองทำผิดอะไรไว้ จะลงมาช่วยแกะอาหารใส่จานก็ทำไม่ได้จึงได้แต่มองให้กำลังใจเท่านั้น
ปุยฝ้ายและภาสกรจึงแกะอาหารใส่จานชามกันอย่างขะมักเขม้น จานชามพวกนี้ ภาสกรเป็นคน ขนมาจากบ้านที่พัทยานี้เอง มันจึงเป็นจานกระเบื้องสีขาวขลิบทอง ที่ขอบมีลายดอกกุหลาบสีทองสวยงาม ไม่ใช่จานชามพลาสติกแบบที่ใช้กันวันแรกๆ จานชามของภาสกรพวกนี้ ในความเห็นของนทีน่าจะเอาไปใส่ตู้โชว์มากกว่ามาใส่ของกิน
เขาเป็นคนฐานะปานกลางถึงยากจนมาเสมอ เขาจึงไม่ชอบนักที่คนรวยพวกนี้ใช้ของฟุ่มเฟือย กันราวกับผลิตเงินทองใช้เอาเอง เงินซื้อจานหนึ่งใบของภาสกร นทีสามารถซื้อข้าวกินได้เป็นอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ
ปุยฝ้ายตักข้าวผัด และแกะปลาให้เพื่อนหนุ่ม นทีลุกขึ้นนั่งอย่างลำบากเพราะเขาไม่สามารถใช้มือซ้ายยันตัวขึ้นนั่งได้เพราะแขนหักอยู่ ภาสกรจึงเข้าไปช่วยประคองให้ ภาสกรเห็นเด็กหนุ่มหลบตาเขา ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ ก็เห็นว่านที เป็นเด็กขี้เกรงใจเสียเหลือเกิน
เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากเขาสองคนเจอกันในสถานการณ์อื่นๆละก็เด็กหนุ่มก็คงจะเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ดีคนหนึ่งได้
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณ ราวกับเป็นคำพูดติดปากของเขาไปแล้ว ภาสกรยิ้มให้ก่อนที่จะเดินออกมานั่งที่ชุดโซฟารับแขก มองปุยฝ้ายและ นทีกินอาหารเย็นไป ก็ชวนคุยอย่างคนที่ทนความเงียบไม่ได้นานนัก
“แล้ววันนี้ คุณหมอมาตรวจว่าอย่างไรครับ”
ปุยฝ้าย และ นทีมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกครั้ง ปุยฝ้ายไม่กล้าจะพูดออกมาก่อน ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงตัดสินใจพูดขึ้นมาเอง
“คุณหมอบอกว่า ตอนนี้อาการของผมดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่ายังไม่แน่ใจว่าที่หัวกระแทกจะมีผลอะไรกับสมองหรือเปล่า ก็เลยอยากให้ผมไปนอนที่ห้องแล็บ อะไรสักอย่างผมไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกครับ แต่ถ้านอนที่แล็บหนึ่งคืน คุณหมอก็จะตรวจได้ทุกอย่างตั้งแต่สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ อะไรทำนองนั้นแหละครับ จะได้ไม่ต้องรอตรวจไปทีละอย่าง”
“ก็ดีนี่ครับ แล้วต้องเข้าตรวจวันไหนล่ะครับ ผมจะได้คุpกับคุณหมอเรื่องรายละเอียด แล้วก็ค่าใช้จ่าย”
“คือ..” นทีมองหน้าปุยฝ้ายอีกครั้ง เหมือนจะเรียกหาความมั่นใจอยู่กลายๆ แล้วก็พูดต่อประโยคจนจบได้ “ผมปฏิเสธไปแล้วครับ ค่าใช้จ่ายมันสูง คืนละหลายหมื่น แล้วผมว่าผมก็ไม่เป็นอะไรแล้วอีกไม่กี่วันผมก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ก็เลยคิดว่า...”
“ไม่ได้นะครับคุณนที คุณต้องเข้ารับการตรวจซีครับ ตอนนี้ดูเหมือนคุณไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเกิดสมองคุณมีปัญหาขึ้นมา คุณก็ต้องกลับมารักษาใหม่อยู่ดี สู้ตรวจอาการอะไรให้ละเอียดที่สุดว่า ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ แล้วก็รักษาตัวให้สบายแน่ๆก่อน แล้วค่อยกลับไปไม่ดีกว่าหรือครับ”
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆครับ อีกอย่าง ค่าใช้จ่ายก็สูงมากผมไม่อยากรบกวนคุณ ถ้าหากว่า..”
“เรื่องค่าใช้จ่ายผมว่าคุณอย่ากังวลเลยนะครับ” ภาสกรเริ่มพูดไปขมวดคิ้วไป เขาจะยอมให้เด็กคนนี้ออกจากโรงพยาบาลไปก่อนไม่ได้แน่ๆ หากไปเป็นอะไรข้างนอกเข้าจริงๆ เขาก็คงไม่รู้อะไรด้วย แล้วเขาก็จะต้องรู้สึกผิด รู้สึกบาปไปจนตาย “...ถ้าคุณกลัวผมจะลำบาก ผมไม่ลำบากอะไรเลยนะครับผมยินดี....”
“ผมทราบครับว่าคุณไม่ลำบาก” ชายหนุ่มเริ่มมีอารมณ์หนักใจแบบเด็กถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่ชอบแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ จนต้องเถียงคอเป็นเอ็นอยู่นานเผื่อว่าจะได้อย่างที่ตัวเองต้องการบ้าง “แต่ผมหามาคืนคุณไม่ได้ งานผมก็ไม่มี พ่อแม่ผมก็ไม่มี ผมเองก็ยังเรียนไม่จบ เงินเก็บยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมจะหามาคืนคุณยังไง เงินเยอะแบบนี้ คุณเองก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาให้ผมฟรีๆได้”
ชายหนุ่มเกือบหลุดคำว่า คุณเองก็ไม่ใช่พ่อใช่แม่ใช่ญาติพี่น้องผมด้วย จะมาเป็นห่วงเป็นใยผมทำไม แต่ก็ยั้งปากเอาไว้เพราะถือว่าอย่างไร ภาสกรก็เป็นผู้มีพระคุณของเขา
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่สบายใจละก็ คุณมาทำงานกับผมก็ได้ ผมมีบริษัทของผมอยู่ คุณมาทำงานใช้เงินผมก็แล้วกัน” แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ภาสกรก็พูดคำนี้ออกไปแล้ว อย่างน้อยก็ให้ชายหนุ่มหัวดื้อคนนี้ สบายใจขึ้นบ้าง
ปุยฝ้ายกินเสร็จแล้ว หล่อนจึงเดินไปล้างจานที่บาร์ไปพลางฟังบทสนทนาของสองหนุ่มไปพลาง ยังไม่กล้าออกความเห็นอะไรทั้งนั้น
“ถึงคุณจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...” นทีทำท่าจะบ่น ปุยฝ้ายจึงแทรกขึ้นมา
“แกก็ได้ยินที่คุณภาสกรเขาพูดแล้วนี่ นที แล้วหมอก็บอกแล้วด้วยว่าถึงจะฟังดูแพง แต่วิธีนี้ก็ประหยัดกว่า แถมยังเร็วกว่าไปเข้าตรวจทีละอย่าง สองสามวันรู้ผล... แล้วก็ไม่ต้องบอกด้วยว่าแกจะไม่ตรวจ เกิดแกออกไปเป็นอะไรข้างนอก ฉันจะส่งแกเข้าโรงพยาบาลทันไหม ตรวจไปทีเดียว รักษาไปทีเดียว แล้วก็ไปทำงานใช้เงินคุณชายที่บริษัท ฉันจะช่วยออกเงินอีกแรง โอเคไหม... จบ”
เท่านั้น ชายหนุ่มก็ยอมจำนน แม้ว่าจะอยากเถียงแทบตาย แต่ก็ยังดีที่มีคนเป็นห่วงและใส่ใจในตัวเขา ทั้งเพื่อนสนิท และคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแบบภาสกร... อย่างน้อยมันก็รู้สึกอบอุ่นใจแปลกๆ
กินอิ่มแล้ว ปุยฝ้ายก็ช่วยเก็บจานชามไปล้าง ส่วนภาสกรก็ยังพูดเรื่องเดิม ไม่เปลี่ยนหัวข้อ
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะคุยกับอาหมอพรุ่งนี้ เขาบอกไว้หรือเปล่าครับว่าถ้าจะเข้าตรวจ จะได้ตรวจวันไหน”
“เห็นคุณหมอบอกว่าจะเป็นวันอาทิตย์นี้ค่ะ” ปุยฝ้ายเป็นคนตอบ
วันอาทิตย์ หรือ? ...วันนี้ วันพฤหัส ก็อีกสามวันพอดี ดีละ เดี๋ยววันรุ่งขึ้นเขาก็เพียงแต่โทรคุยกับอาหมอ พอตรวจวันอาทิตย์นี้ ก็เป็นสัญญาณนัยๆว่า นทีกับเขาก็คงจะแยกย้ายกันไปภายในอาทิตย์หน้า ... เรื่องวุ่นๆนี้จะได้จบลงเสียที
ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจชายหนุ่ม หากแต่ทุกครั้งที่จ้องมอง ดวงตากลมสีดำสนิท และคิ้วเข้มที่ดูหนาเฉียงลงคล้ายใบหน้าของคนอมทุกข์ตลอดเวลา ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ และ เสียใจกับการกระทำของตนทุกครั้งไป
เสียงของปุยฝ้าย ปลุกเขาขึ้นจากความคิดของตัวเอง
“คุณภาสกรคะ” หล่อนรียกเขา พอชายหนุ่มหันไป ก็พบว่าหญิงสาวล้างจานชามเสร็จแล้ว ในมือถือเสื้อผ้าสองสามชิ้น พอดูออกว่าเป็นชุดหนึ่งชุด ที่จะเปลี่ยนออกไปข้างนอก “คือเมื่อตอนกลางวัน คุณพ่อโทรมาค่ะ บอกว่ามีธุระเรื่องญาติๆ ทางพังงา คือ ฝ้ายต้องไปด้วยน่ะค่ะ ไป ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ กลับ จันทร์เช้า วันนี้ ฝ้ายต้องไปจัดกระเป๋าที่แฟลต แล้วกลับไปนอนบ้านพ่อน่ะค่ะ ตลอดวีคเอนด์นี้ ฝ้ายรบกวนคุณชายอยู่เป็นเพื่อนไอ้น้ำมันได้ไหมคะ”
ด้วยเหตุผลที่หล่อนกล่าวมานี้เอง เวลานี้ ภาสกรจึงอยู่กับนทีในห้องเพียงสองคน เขายกเก้าอี้จากโต๊ะทานข้าวมาอยู่ข้างๆเตียงของเด็กหนุ่ม เพื่อไม่ให้รู้สึกห่างเหินกันจนเข้าหน้ากันไม่ติด แต่ อีกคนกลับจ้องโทรทัศน์ราวกับว่าสารคดีชีวิตสัตว์ที่กำลังฉายอยู่น่าสนใจมากเสียเหลือเกิน แม้ว่ามันจะน่าเบื่อมากก็ตาม เขารู้ เด็กคนนี้รู้สึกเกร็งเท่านั้น คง ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา มากกว่าสนใจสิ่งที่อยู่ในโทรทัศน์จริงๆ
ภาสกรจึงต้องเป็นฝ่ายสร้างบรรยากาศอีกครั้ง
“นที สนใจเรื่องสัตว์ในแอฟริกามากหรือครับ”
“หือ” เด็กหนุ่มหันมา ในใจคงนึกแปลกใจอยู่มากที่จู่ๆ นายภาสกรก็พูดโพล่งออกมาแบบนี้ เจ้าของคำถามหน้าแดง เมื่อรู้ตัวว่าคำถามที่ถามออกไปนั้น ฟังดูแย่แค่ไหน
“ก็ผมเห็น คุณจ้องโทรทัศน์อยู่ได้นานๆ ผมไม่ค่อยชอบดูอะไรพวกนี้ แต่เห็นคุณตั้งใจดู ก็เลยสงสัยว่าจะสนใจมากหรือเปล่า”
นทีหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่เขาไม่ลืม
มันไม่ใช่หัวเราะเสียงดังๆแบบของปุยฝ้าย ไม่ใช่แม้แต่เสียงแหลมๆ เสแสร้งแบบของทิฆัมพร แต่ก็ไม่ถึงกับเสียงนุ่มๆหัวเราะลงลูกคอแบบไม่เปิดปากของคุณหญิง ดาริกา เสียงหัวเราะของนที จะว่าสดใสก็สดใส จะว่าเศร้าก็เศร้า มันฟังเหมือนคนอมทุกข์ที่พยายามทำตัวให้ร่าเริงอย่างนั้น
เด็กคนนี้จะทุกข์อะไรหนักหนา ภากรคิด
เสียงเสียงหนึ่งในใจของเขาตอบกลับมาว่า ก็เพราะนายไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เด็กคนนี้ ต้องทุกข์หนักถึงขนาดนี้
ภาสกรดึงตัวเองกลับมาในความเป็นจริง เมื่อได้ยินเสียงตอบของเด็กหนุ่ม เสียงนุ่มๆ แต่ทุ้มต่ำฟังดูไม่ค่อยเต็มใจตอบ
“ผมไม่ได้ชอบเรื่องสัตว์อะไรนักหรอกครับ เพียงแต่ผมชอบท่องเที่ยว ชอบเห็นอะไรใหม่ๆ แปลกตา ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ คงเป็นเพราะพ่อละมังครับ” ภาสกรรู้สึกว่าคำว่าพ่อ ฟังดูสั่นเครือแปลกๆ กระนั้น ประโยคที่ตามมาก็เป็นประโยคที่เจือด้วยอารมณ์สุข แบบคนที่นึกถึงเรื่องอดีต แล้วอดเล่าแบบสนุกปากไม่ได้
“ก่อนที่คุณพ่อมาเป็นมัคคุเทศก์ แกชอบพาผมกับแม่ไปเที่ยว เที่ยวในไทยที่แหละครับไปทะเลบ้าง น้ำตกบ้าง ไม่ก็ขึ้นดอยไปถึงแม่ฮ่องสอน แกมักจะหากิจกรรมสนุกๆมาให้เรา สามคนพ่อแม่ลูก ทำด้วยกันเสมอ บางครั้งเราเอาขนมปังไปนั่งปิกนิกกันกลางป่าบ้าง ไปวาดรูปวิวจากบนดอยบ้าง หรือไม่ก็ไปถ่ายรูปกัน บ้างผมเลยติดนิสัยชอบวาดรูป ชอบถ่ายรูป มาตั้งแต่นั้น พอพ่อเริ่มเป็นมัคคุเทศก์แล้วก็มีเวลาให้เราแม่ลูกน้อยลง
แต่ผมยังจำได้นะ ผมยังชอบที่สุดเลย เวลาไปเดินป่ากับพ่อ พ่อเก่งนะครับ จำสัตว์ป่า จำนกได้ทุกตัว เจออะไรก็เล่านู่น เล่านี่ให้ฟังได้หมดผมถึงไม่เบื่อเลย เวลาดูสารคดีท่องเที่ยว เวลาคนพากย์สารคดีเขาเล่าเรื่องนก เรื่องสัตว์ ก็จะอดนึกถึงพ่อไม่ได้เลย”
พอชายหนุ่มพูดจบ ก็หันมามองคนข้างๆ ภาสกรนั่งมองหน้าเขาอยู่อย่างตั้งใจ เมื่อพินิจดีๆ ใกล้ๆแบบนี้ นทีก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นที่หน้า ภาสกรเหมือนดารา เหมือนนักร้องที่หน้าตาดี จนหาริ้วรอย สิว ฝ้า หรือตำหนิใดๆบนใบหน้าไม่ได้ นอกจากไรหนวดเครา เขียวครึ้มที่ต่อให้โกนอย่างไร ก็ยังทิ้งรอยไว้แบบนั้น ดวงตากลมโต และคิ้วสวยได้รูป ยามมองมาแบบเพลิดเพลิน ไม่ต่างอะไรกับรูปวาดของพระเอกในวรรณคดี
จะเป็นขุนแผน หรือ พระลอ ก็ว่าไม่ใช่
คงเป็นอิเหนาละมัง ที่หล่อเหลาเสียจน จรกาที่เป็นผู้ชายแท้ๆ เห็นหน้าแล้วยังสลบไป… พอรู้ตัวว่านั่งจ้องกันอยู่นานแล้ว นทีก็ดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ รีบพูดแก้เก้อแทบไม่ได้หายใจ
“เอ่อ ฟังผมพล่ามเสียเบื่อแย่เลย”
“ไม่หรอกครับ” เขายิ้มที่มุมปาก ราวกับว่าหากยิ้มเห็นฟันอย่างสดใสจะทำลายบรรยากาศซึ้งๆ ยามลูกนึกถึงพ่อไปได้อย่างนั้น “ผมอิจฉาคุณนะ ที่อย่างน้อยคุณก็ยังได้สนิทกันกับพ่อ”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเป็นคำถาม พอรู้ตัวว่าเสียมารยาท ก็เปลี่ยนมาเป็นใช้คำพูดถามออกไปแทน
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็ ผมน่ะไม่ค่อยสนิทกับพ่อเท่าไหร่ คือ ท่านน่ะเป็น...” ชายหนุ่มเกือบหลุดคำว่า เป็นหม่อมเจ้า ออกไป แต่ก็เปลี่ยนคำพูดได้ทันเสียก่อน “เป็นคนเข้มงวด แล้วก็น่าเกรงขาม ถึงจะไม่เคยดุผมเลยก็เถอะ แต่ก็อดกลัวคุณพ่อไม่ได้”
“แต่คุณพ่อก็ยังอยู่นี่ครับ”
“ใช่ครับ ท่านยังอยู่ ถึงจะ ประ.. เอ้อ.. ป่วยมากก็ตาม” เกือบแล้วไหมล่ะ พอพูดถึงพ่อก็ต้องพูดเป็นราชาศัพท์ทุกครั้งจนเป็นนิสัย เพราะถ้าเผลอไม่พูดหรือพูดผิด หม่อมวิไลวรรณก็จะแหวออกมาทันที
“แต่ก็ยังดีไม่ใช่หรือครับ ที่ยังมีท่านอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร” ดวงตาของเด็กหนุ่มเริ่มจะมีน้ำตาคลอออกมาแล้ว หากเมื่อพูดประโยคต่อไป มันก็เริ่มเอ่อ ไหลช้าๆจากหางตา มาตามแก้มจนเด็กหนุ่มต้องยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างช่วยไม่ได้ “ดูแลท่านดีๆเถอะครับ อย่าให้ต้องมาร้องไห้เสียใจ คิดถึงท่านเหมือนผม มาเสียดายว่า ตอนอยู่ด้วยกันไม่สนิทกันเท่าที่ควรจะเป็น”
ภาสกรเอื้อมมือไปบีบไหล่ชายหนุ่มเบาๆเป็นเชิงปลอบ แต่แล้วก็รีบยกมือออกมาทันที เพราะรู้สึกเขินว่ายังไม่รู้จักกันดีพอ
“ขอโทษนะครับที่พูดอะไรแบบนี้ คุณภาสกรอย่าถือสาเลยนะครับ”
“ไม่หรอกครับ” เขายิ้มให้หนุ่มน้อยอย่างอ่อนโยน “อยากพูด อยากระบายอะไรก็เอาเถอะ ผมเข้าใจ”
เด็กหนุ่มบนโต๊ะยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เต็มใจ และจริงใจที่สุด เท่าที่ภาสกรได้เห็นจากเขา ชายหนุ่มยิ้มกลับ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายหาววอด ขึ้นเหมือนเด็กๆ ก็อดนึกเอ็นดูไม่ได้
“ง่วงแล้วหรือครับ” ภาสกรถาม
“ครับ จริงๆ ก็ง่วงทั้งวันเลยละครับ เพราะนอนนานไปหน่อยนอนไปกี่วันไม่รู้ เลยชินเสียแล้วทำอะไรไม่เป็นนอกจากนอน” เขาพูดทีเล่นทีจริง
“เอาเถอะครับ ถ้าง่วงก็นอนเสีย สักพักผมเองก็จะนอนแล้วแต่คงต้องขอตัวอาบน้ำเสียก่อน เหงื่อออกมาทั้งวัน”
“เอ้อ...” ชายหนุ่มพูดขึ้นอายๆ “ผมอยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน จะแปรงฟันด้วยเมื่อกี้เพิ่งทานข้าว... เอ่อ คุณ...”
“ครับเดี๋ยวผมช่วยพยุง”
กว่าภาสกรจะเอาตัวเด็กหนุ่มลงจากเตียงได้ก็งานหนัก เพราะแขนซ้ายที่หักของนที ทำให้ไม่อาจยันตัวลุกได้เอง ส่วนขาขวาก็ขยับไม่ได้ แทบจะต้องอุ้มกันเลยทีเดียว กว่าภาสกรจะโอบเอวของเด็กหนุ่ม มีมือขวาของนที พาดอยู่บนไหล่ ค่อยๆเดินกันไปถึงห้องน้ำได้ก็เหนื่อยเอาการ
แม้จะบอกว่าเหนื่อยมาทั้งวันจนเหงื่อโชก แต่ภาสกร ก็มีกลิ่นหอมจางๆของน้ำหอมยี่ห้อดี ขวดละหลายพัน โชยมาให้นทีได้กลิ่นตลอดทางจากเตียงไปห้องน้ำทำเอาหน้าแดงซ่านเพราะไม่เคยมีใครดีกับเขา ใกล้ชิดกับเขามากเท่านี้มาก่อน ภาสกรบีบยาสีฟันใส่แปรงของโรงพยาบาลให้ รองน้ำไว้ให้บ้วนปาก บริการทุกอย่างเสร็จสรรพ ด้วยข้ออ้างว่า “ก็คุณมีมือเดียวจะถนัดหรือ”
พอกลับไปที่เตียง นทีก็แทบจะหลับไปตรงนั้น ภาสกรปิดทีวี ปิดไฟให้ เด็กหนุ่มที่อยู่บนเตียงแทบจะไม่ต้องทำอะไรนอกจากนอนมองเพดานทีขาวสะอาด ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมจะนอนด้วยเช่นกัน
“คุณภาสกรครับ” นทีเรียกในนาทีสุดท้ายก่อนที่ภาสกรจะทันได้เดินเข้าห้องอาบน้ำ ชายหนุ่มหันมาก็พบว่า นทียังคงมองเพดานสีขาวอย่างมีความหมายบางอย่าง
“ว่าอย่างไรครับ”
“คุณ...” เขาค่อยๆ หันหน้ามามองชายหนุ่มช้าๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดประโยคต่อไปอย่างไรไม่ให้น่าเกลียด ภาสกรไม่ทันได้รบเร้า เด็กหนุ่มก็พูดประโยคคำถามที่มีอยู่ในใจ นับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ออกไปเสียก่อน “คุณมาช่วยผมไว้ทำไมหรือครับ”
เงียบ เป็นความเงียบที่นานที่สุด นับตั้งแต่เริ่มคุยกันมา ภาสกรเงียบเพราะตอบไม่ถูก นทีเงียบเพราะลุ้นกับคำตอบ อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่าน่าเกลียดหรือเปล่าที่ถามไปอย่างนั้น จึงเป็น นทีที่พูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“คือ ผมไม่ได้จะว่าอะไรคุณ ที่คุณช่วยผม ออกค่าใช่จ่ายมากมายขนาดนี้ให้ ผมนับว่าเป็นพระคุณมาก เพราะผมเองคงไม่มีปัญญา จ่ายทั้งหมดนี้ เพื่อรักษาตัวเอง พ่อแม่ ผมก็ไม่มีจะช่วยค่าพยาบาล ที่ผมไม่เข้าใจคือ คุณเองก็ไม่รู้จักผม ผมก็ไม่รู้จักคุณ เราไม่ได้เป็นญาติ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไม...”
“จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” ภาสกรแทรกขึ้นมา ตัวเขาพิงผนังก่อนถึงประตูห้องน้ำ มองมาที่เด็กหนุ่มที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง คำตอบไม่ได้เรียบเรียงมาอย่างดี ไม่แม้แต่คิดก่อนจะพูด แต่มันไหลผ่านปากเขาไปอย่างนั้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทำไมคนถึงช่วยสุนัขจรจัด ทำไมคนถึงบริจาคเงินช่วยเด็กกำพร้า ทำไมต้องมีคนไปดูแลผู้สูงอายุ ที่บ้านบางแค เขาก็ไม่รู้จักกัน เหมือนกับเราสองคน การที่คนช่วยคน การที่คนช่วยสิ่งต่างๆรอบตัว ...มันต้องมีเหตุผลด้วยหรือครับ ก็เราเกิดมาร่วมโลกกันแล้วนี่ครับ ยังไงเสียก็เป็นญาติพี่น้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมผมต้องโทรเรียกรถพยาบาลนำคุณมาส่งที่นี่ ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อรู้จากคุณฝ้ายว่าคุณไม่มีญาติ ไม่เหลือพ่อแม่แล้ว ผมถึงต้องช่วยออกค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดนี่ให้คุณ ... ผมรู้แต่ว่าคืนนั้น ผมต้องช่วยคุณให้ได้ ผมจะปล่อยให้คุณตายไม่ได้เด็ดขาด”
นทีนิ่ง รับรู้คำตอบอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“ราตรีสวัสดิ์ครับ นที” ภาสกรว่าก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป แล้ว นทีก็หลับไปก่อนที่เขาจะกลับออกมาอีกครั้ง ภาสกรจึงไม่มีโอกาสเห็นน้ำตาที่ไหลรินช้าๆอาบแก้มด้วยความซึ้งใจของนที... ซึ้งใจที่คนดีๆ ยังไม่หมดไปจากโลกนี้
***********************************************************************
หวังว่าจะเริ่มๆชอบตอนนี้กันแล้วนะครับ คุณชายยังไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองชอบนที
แต่นทีก็กำลังจะประทับใจคุณชายแล้วครับ
สำหรับคนที่รอคุณอดิสรณ์ อย่าเพิ่งให้เขามาเลยครับ
เขาจะมาในเวลาที่เหมาะสม อิอิ ซึ่งยังไม่ถึงเวลาคร้าบ
วันพุธผมไม่อยู่ ไปต่างจังหวัดยาว ฮี๊ววว พรุ่งนี้ดึกๆอาจจะมาต่อนะครับผม ไม่งั้นก็อีกทีวันเสาร์เลย
บายครับ : )