- 2 -
พอกูมาถึงเห็นไอ้พี่พรตมันนั่ง อยู่แล้วเรียบร้อย พร้อมกับจัดการเอาใบตอง
ที่กูหอบมาปูเรียงซ้อนกันไว้นอนอีกตะหาก รู้งานด้วยหนะนั่นใช้ได้แสดงว่าวิชาลูกเสือที่เรียนมา
มันคงทำให้ไอ้พี่พรตเข้าใจว่ากูเอาใบตองมากองไว้ทำไม
นอกจากนั้น ข้างตัวมันยังมีท่อนฟืนที่มันไปลากมาอีกขนาดเท่าขากูเนี่ยะ
ยาวเป็นเมตรสองเมตรอยู่สองสามท่อน พร้อมกับพวกกิ่งไม้เล็กๆวางอยู่ใกล้กัน มันส่งยิ้มมาให้
เมื่อเห็นกูหิ้วปลาเข้าไป พร้อมกับทำตาโต
“
โห!..ตะเกียงไปจับมาได้ไงเนี่ยะ ยังเป็นๆอยู่เลย ตัวบ๊ะเอ๊กขนาดนี้
ตะเกียงใช้อะไรจับมานี่?” มันสงสัยไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตอนนี้ปลาทุกตัวมันกำลังดิ้นกัน
กระแด่วกระแด่ว หลังจากจุดที่กูสกัดไว้คลายตัวลง กูยิ้มให้มันก่อนตอบไปว่า
“ใช้เทคนิคนิดหน่อยพี่ ถูกฝึกมาตั้งแต่เล็กเรื่องแค่นี้ซำบายมาก ว่าแต่พี่เหอะ
หิวไม่ใช่เหรอ กินกล้วยรองท้องไปก่อนนะ เสร็จแล้วพี่อยากจะอาบน้ำก็จัดการได้เลย ทางที่ดีที่สุด
อย่าให้เสื้อผ้าเปียกถอดออกให้หมดแล้วอาบ มันจะได้ไม่ชื้น เราพักใกล้กับน้ำตกสวมเสื้อผ้าที่ชื้น
จะเป็นปอดบวมเอาได้” พูดจบมันยิ้มมาให้กู พร้อมกับบอกกูว่า
“เรื่องกล้วยพี่ซัดไปแล้วกว่าสิบลูก เห็นว่ามันมีเยอะเลยไม่ได้รอตะเกียง
ส่วนเรื่องอาบน้ำตกลงให้พี่ไปอาบเลยหรือ แน่ใจว่าไม่ให้พี่ช่วยอะไรอีก พี่แก้ผ้าจนหมดอย่าไปแอบดู
เชียวหละ แล้วน้ำที่เรากินหละเอาที่ไหน?” มันถามกูมาเป็นชุด กูยิ้มให้มันก่อนตอบมันไปว่า
“เดี๋ยวตะเกียงจัดการเองพี่ ไปอาบน้ำเถอะ..ไม่ต้องกลัวแอบดูหรอก
ว่าแต่พี่เหอะ..ระวังเหยี่ยวน้อยจะโดนปลาตอนเอานะ...ฮ่าๆๆๆ!!” กูขำซะมันหน้าแดง พูดจบมันก็ว่าง่าย
ลุกไปทันที กำลังเขินด้วยหละ กูจัดการเอาปลาที่จับได้วางไว้ ฉีกใบตองติดมือไปพอประมาณ
ก่อนจะเดินไปตรงริมตลิ่งใช้หินขูดเอาดินเหนียวบริเวณนั้นใส่ใบตองมา จัดการจี้จุดตายปลาทุกตัว
เพราะจำเป็นต้องฆ่ามันแล้ว ไม่ลืมสวดสัพเพสัพตาขออโหสิกรรมกับพวกมันด้วย
เอาดินเหนียวที่นำมาโป๊ะลงบนตัวปลาทุกตัวจนมิดมองไม่เห็นว่าเป็นปลาเลยหละ
นำกิ่งไม้แห้งมากองรวมกัน โดยนำเอาท่อนฟืนเข้าสุมแทยงไว้เป็นสามมุม
หยิบใบตองแห้งที่มีอยู่มาขยำบนฝ่ามือ ก่อนจะนั่งรวบรวมเดินลมปราณวรเวทย์อัคดี
แผ่ความร้อนไปยังฝ่ามือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งใบตองเริ่มร้อนจนเกิดเป็นควัน
วรเวทย์อัคนีชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไฟ การใช้พลังจี้สกัดจุดก็คือพุ่งพลังความร้อน
ออกจากปลายนิ้ว เข้าหยุดการไหลเวียนของเลือดในจุดสำคัญต่างๆ ของร่างกายคนเราทำให้ร่างกาย
รู้สึกชาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หากส่งพลังเข้าจุดตายตัดเส้นเลือดสำคัญต่างๆ ก็ทำให้ตายได้
สรุปคือพลังชนิดนี้เป็นธาตุไฟ ในขณะที่ไทเก็กเป็นธาตุน้ำ สองอย่างผู้ฝึกต้องฝึกควบคู่กัน
หากฝึกแต่วรเวทย์อัคนีเพียงอย่างเดียวจะไม่สำเร็จถึงขั้นสูงสุด เพราะธาตุไฟจะเข้าแทรกลมปราณแตก
เสียก่อนไม่ตายก็เสียสติ เพราะฉะนั้นทีนี้รู้กันแล้วสินะ ว่าทำไมกูถึงฝึกวรเวทย์อัคนีได้สำเร็จขั้นสูง
เพียงคนเดียว ก็เพราะกูฝึกไทเก็กสำเร็จมาก่อน ในขณะที่คนอื่นๆ ฝึกไทเก็กได้แค่พื้นฐาน
ทำให้ไม่สามารถฝึกวรเวทย์อัคนีขั้นสูงได้ แม่แต่พ่อเกริกเองก็ตาม คุณทวดทั้งสองท่านที่คิดค้น
รวบรวมวิชานี้ขึ้นเป็นเคล็ดลับของตระกูล ท่านเข้าใจถ่องแท้ถึงหลักการนี้ ทั้งสองท่านจึงเขียน
กำชับเตือนไว้ในวิชาว่า ห้ามฝึกวรเวทย์อัคนีโดยไม่มีพื้นฐานไทเก็กเป็นอันขาด
ไม่งั้นชีพจรในร่างกายจะขาดสะบั้น ธาตุไฟเข้าแทรกไม่พิการสติฟั่นเฟือนก็ถึงตายได้ในที่สุด
เอาหละ...เมื่อจัดการก่อไฟจนติดแล้ว กูก็นำปลาทั้งหมดที่พอกดินเหนียวไว้
เอาเข้าไปย่างในกองไฟทันที วิธีนี้จะทำให้ได้เนื้อปลาสดๆ ไม่คาวและหอมหวานอร่อยแบบธรรมชาติสุดๆ
เพราะดินเหนียวจะดูดซับความคาวของปลา ตลอดจนเวลาที่เราจะกินก็สามารถลอกเกร็ดปลาที่
ไม่ได้ขอดเกร็ด ติดออกมากับดินเหนียวอีกด้วย ข้อดีอีกอย่างคือเราจะรู้ได้ทันทีว่าปลาสุกได้ทีหรือยัง
สังเกตุดินเหนียวที่เปียกชื้นจะแห้งเมื่อโดนไฟเผาแล้วมันจะแข็งเหมือนดินเผา หอมกลิ่นดินเผาที่ซึมซับ
เข้าไปในตัวปลา ไอ้หยา!...พูดแล้วชวนน้ำลายสอ สูตรนี้แหละ...รับประกันอาหารฮ่องเต้
ยังสู้ไม่ได้...หึหึหึ!!!
กูจัดการเดินสำรวจโดยรอบระหว่างรอปลาสุก ไม่ลืมหยิบกล้วยสองสามลูกแกะกิน
ไปด้วยเพื่อประทังความหิว มาถึงใต้ต้นมะพร้าวจัดการลากทางมะพร้าวแห้งมาเพื่อสุมไล่ยุงป่าในคืนนี้
ตอนนี้พระอาทิตย์ลับหายไปจากขอบฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความสว่างวอมแวมที่เห็นอยู่ตอนนี้
ได้จากแสงไฟที่กูสุมไว้นั่นแหละ ที่กูเลือกพักตรงเนินหินข้างหลังม่านน้ำตก เพราะเป็นทิศเหนือลม
เมื่อเราอยู่เหนือลมควันไฟก็จะไม่รบกวนเราตอนหลับ ที่สำคัญกลิ่นสาปมนุษย์ของพวกเราก็จะไม่ไปแตะ
จมูกสัตว์จำพวกกินเนื้อ หนำซ้ำยังเป็นมุมอับทำให้ไม่ต้องกลัวหนาวในเวลากลางคืน ไออุ่นจากกองไฟ
จะทำให้ร่างกายอบอุ่น ทั้งหมดนี้คือศาสตร์แห่งการพักแรมกลางป่า ไม่ลืมหยิบมะพร้าวแห้งที่หล่นจาก
ต้นมาด้วยสองลูก ไม่คิดจะปีนขึ้นไปเอาบนต้นหรอก เหนื่อยพอแล้วหละวันนี้
กลับมาเห็นไอ้พี่พรตมันนั่งแอ่งแม่ง จ้องมองปลาเผาที่พอกดินในกองไฟอย่างทึ่งๆ
ทำจมุกฟุตฟิตไปมา คงหิวแน่ๆ เพราะกินหอมซะขนาดนั้น
“ตะเกียง...ทำได้ไงหนะ ทั้งก่อไฟเผาปลา..สุดยอดเลยตะเกียงน้องรัก
มีอะไรอีกเนี่ยะที่พี่ไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถของตะเกียง บอกกันบ้างได้เปล่า?” มันถามกูด้วยสายตาทึ่ง
แบบจริงใจ กูยิ้มให้ก่อนตอบไปว่า
“เป็นเรื่องพื้นๆ พี่พรต หากศึกษาจากตำรับตำรา และฝึกทำซะหน่อยก็ทำได้
เอาหละ..ทีนี้พี่พรตแสดงความสามารถให้ตะเกียงดูหน่อยดิ ได้ข่าวคาราเต้ขั้นเทพมิใช่หรือ
จัดการปลอกมะพร้าวให้หน่อยได้ป่าว?” กูบอกมันไปแหละ
“
เห้ย!...ไม่ถึงขั้นนั้นนะ ขืนเอาสันมือไปฟันมะพร้าว ไอ้ที่แตกหนะ
มือพี่แน่นอน สับก้านคอคนอะพอได้ แข็งเป็นมะพร้าวแห้งยังงี้ไม่สามารถจริงๆ ไมตะเกียงอยากกิน
น้ำมะพร้าวไม่เลือกลูกอ่อนมาหละ เอามาทำไมลูกแก่ๆ เค้าไว้ใช้ขูดกะทิมิใช่นิ” เอ่อ!...รู้เหมือนกันเนอะ
นึกว่าจะไม่รู้ซะอีกไอ้คุณชาย
“ตะเกียงต้องการกะลามาต้มน้ำกินด้วยไงเล่า น้ำตกถึงจะกินได้ แต่อย่าเพิ่งแน่ใจ
ว่ากลางคืนมันจะกินได้นะ เพราะกลางคืนต้นไม่จะคลายคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ออกมา ต้นไม้บางชนิด
จะปล่อยพิษออกมาด้วย อาจปะปนมากับน้ำตก ไม่แน่พิษอาจถึงตายหรือไม่ก็มึนเมา เหมือนพวก
เห็ดเมานะพอรู้ใช่ไหม? ” กูอธิบายมันไป มันพยักหน้าให้เหมือนเข้าใจที่กูพูด จัดการเขี่ยปลาออก
จากกองไฟเพราะดูแล้วสุกได้ที่จนกินได้แล้วหละ กลิ่นดินเผากับกลิ่นเนื้อปลาทำให้หอมกรุ่นเรียก
น้ำย่อยในกระเพาะได้เป็นอย่างดี
กูจัดการใช้หินกระเทาะดินแตกออก เกร็ดปลาที่บอกลอกติดดินไปด้วย
เผยให้เห็นเนื้อปลาสุกขาวจั๊วน่าเจี๊ยะซะจนไอ้พี่พรตที่นั่งมองอยู่กลืนน้ำลายดังเอื้อก...ก่อนจะส่งปลา
ที่กระเทาะเปลือกให้มันไป ไม่ลืมย้ำมันด้วยว่า
“อ่ะพี่...ค่อยทานช้าๆนะ มันกำลังร้อนอยู่ ที่สำคัญปลาตะเพียนก้างมันเยอะ
ไม่ต้องรีบมีอีกหลายตัวกินจนอิ่มเลยหละ ปลากระทิงตัวเบ่อเริ่มนั่นขอบอกโอชายิ่งกว่าอะไรอีก
เคยกินหรือเปล่า?” มันส่ายหน้าพรืดทันที ก็แน่หละ บ้านมันออกจะเศรษฐีไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่จะไม่เคยกิน กูเลยลากปลากระทิงมากระเทาะดินออก ก่อนจะแบ่งให้มันชิม พอเนื้อปลาเข้าปาก
ยิ้มร่าถูกใจกับรสชาดโดยไม่ต้องโฆษณา บอกแล้วไม่มีผิดหวังการันตรีคุณภาพ
จากโภชนาการมือหนึ่ง
กูใช้หินที่ลับเหลี่ยมค่อยๆ เฉาะปอกเปลือกมะพร้าวหลังจากที่เรากินปลากัน
จนเป็นที่เอร็ดอร่อย รวบรวมก้างห่อใส่ใบตองไว้ให้สัตว์อื่นกินพรุ่งนี้ ตอนนี้ต้องกำจัดเสียก่อน
หากทิ้งไว้เรี่ยราดจะกลายเป็นพาหนะนำสัตว์ต่างๆ มารบกวนตอนหลับได้ ไอ้พี่พรตมันเห็นวิธีของกู
เลยแย่งเอามาทำซะเอง หลังจากเข้าใจหลักการแล้ว เพราะมันถือว่ามันข้อมือแข็งและแรงดีกว่าเยอะ
บอกกูว่างั้น กูเลยปล่อยพี่เค้าเป็นพระเอกซะบ้าง หลังจากเฉาะเปลือกเรียบร้อย ก็เฉาะให้กะลาแตก
จนน้ำมะพร้าวกระฉอก ก่อนจะยกดื่มแบ่งให้มันกิน ทีแรกมันจะไม่กินเพราะมันบอกเคยกินแต่น้ำ
มะพร้าวอ่อน ไม่เคยกินน้ำมะพร้าวแก่เลยงั้น หารู้ไม่น้ำมะพร้าวแก่รสชาดก็หอมหวานไม่ต่างกันนักหรอก
พอลองกินทีนี้เอาใหญ่ล่อซะน้ำมะพร้าวหมดลูก ไมหละบอกแล้วคนเราบ้างครั้งต้องรับรู้เรื่อง
บางอย่างไว้ด้วย น้ำมะพร้าวเนี่ยะแหละถือเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องกลัวมีพิษเจือปน
จากนั้นกูก็ขยายรูที่เฉาะ ก่อนจะนำไปรองน้ำตกมาวางแหมะข้างๆ กองไฟเหมือนการอุ่นต้มไปในตัว
พรุ่งนี้จะได้มีน้ำไว้กิน
เรียบร้อยแล้วก็นำทางมะพร้าวแห้งที่ลากมาด้วย สุมควันห่างออกไปอีก
กองหนึ่งไว้สำหรับไล่ยุง ทำให้มันเป็นลักษณะไฟสุ่มขอนไม่ให้ลุกเป็นไฟ เพราะจะไม่มีควัน
แต่จะไหม้แทน ควันที่พวยพุ่งกระจายตอนนี้ไล่ยุงได้ชะงัดนักแล กลับมาเตรียมตัวลงนอน
โดยไม่ลืมนำไอ้พี่พรตไหว้พระสวดมนต์ขอพรจากเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทางปกปักษ์รักษาพวกเราด้วย
บทสวดสุดท้ายคือพระคาถา ‘ชินบัญชร’ เป็นพระคาถาที่กูสวดได้ตั้งกะอายุห้าขวบ อย่าลืมไอ้ตะเกียง
ไอคิวอัจฉริยะไม่ใช่เรื่องแปลกที่กูสามารถท่องชินบัญชรได้อย่างแคล่วคล่อง เพราะพระคาถาของ
สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เป็นเหมือนปราการแก้วที่จะครอบเราตั้งแต่กระหม่อม
ลงมาจนล้อมรอบตัว ไม่ให้ภยันตรายต่างๆ ทั้งที่เห็นตัวหรือไม่เห็นตัว สิ่งเร้นลับทั้งหลายไม่สามารถ
ผ่านเข้ามากร่ำกลายเราได้ในเวลาที่เราหลับสนิท ไอ้พี่พรตมันก็สวดตามกูจนจบ ก่อนจะพากัน
ล้มตัวนอนลงข้างกันนั่นแหละ จู่ๆไอ้พี่พรตมันพูดขึ้นว่า
“ตะเกียง คืนนี้พี่นอนกอดตะเกียงได้ไหม? กอดเฉยๆบอกตรงๆพี่เคยฝันอยาก
นอนกอดตะเกียงมานานแล้วแหละ ที่ไหนได้พอนอนจริงๆดันเป็นกลางป่าซะนี่” กูเหลือบขึ้นมองตามัน
ไม่มีแววหื่นในตามันเลย จึงถามมันไปว่า
“ทำไม..พี่ถึงอยากกอดตะเกียง?..” ถามไปแหละ
“ไม่รู้ดิ...อยากปกป้องบ้างอ่ะ มีแต่ตะเกียงดูแลพี่หมดทุกอย่าง เวลานอน
พี่ตัวโตกว่า ก็อยากกอดตะเกียงเอาไว้ มีอะไรเกิดขึ้นพี่โดนก่อนก็ยังดี จริงป่ะ!.” ฟังดูดี
โคตรแมนอีกตะหาก
“อืม!..เอาดิ...พี่น้องกันไม่เป็นไร ผมไม่คิดมากหรอก แต่หากเรื่องนี้รู้ถึงหู
พี่รันกับพี่โต๋ เราทั้งคู่ตายหยังเขียดแน่ ว่าไงยังอยากกอดอีกป่าว?” กูถามย้ำมันไปแหละ
“เอ่อๆ..นั่นดิ...ไอ้รันไม่เท่าไหร่ พี่พอจัดการได้...เด็กในโอวาทพี่ซะอย่าง
ไม่มีปัญหาหรอกมันหงอพี่อยู่แล้ว แต่ไอ้โต๋นี่ดิ..ตายแน่นอนยิ่งหวงตะเกียงยังกะจงอางหวงไข่
เปลี่ยนใจแล้วไม่เอาดีกว่า..” พอฟังมันพูดกูอดขำไปกะมันไม่ได้ แน่ใจนะว่าไอ้พี่รันเด็กในโอวาท
เชื่อตายละมึงไอ้พี่เหยี่ยวรั่วเอ้ย!....แต่ก็ไม่ได้เบรคไรมันให้รู้สึกเสียหน้าหรอก ปล่อยมันได้ยืดซะบ้าง
จู่ๆมันดันถามขึ้นมาอีกว่า
“ตกลง ตะเกียงว่าเราค้นพบน้ำตกนี่เป็นคนแรกหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้นเรามา
ตั้งชื่อกันไว้ก่อนดีกว่าไหม?...พอเราออกไปได้จะได้ดังไง ว่าพวกเราเป็นคนเจอก่อนใครเค้า”
มันยังติดใจไม่หายอีก เรื่องค้นพบน้ำตกนี่นะ ช่างไม่สังเกตุไรเลย กองขี้เถ้าเก่าที่มีคนเค้าก่อไฟทิ้ง
ร้างมานานมันก็ไม่ยักรู้ ดันเสือกคิดว่าตนค้นพบก่อนเค้าอีกซะงั้น เล่นไปตามน้ำกะมันหน่อยละกัน
“อืม..เอาดิ..พี่พรตจะตั้งชื่อว่าอะไรดีหละ?” ถามมันกลับ
“นั่นดิ...เอ้!...พี่ว่าเอาชื่อเราสองคนมาตั้งกันดีกว่า พี่ชื่อจริงว่าวรพจน์
ส่วนตะเกียงชื่อสกลเกียง ชื่อนี้เลยเป็นไง ‘วรเกียง’ น้ำตกวรเกียง เป็นไงเพราะดีไหม?” เป็นเอามาก
ไอ้พี่พรตรั่ว กูทั้งขำทั้งหน่ายกับความคิดเป็นเด็กของมัน คิดได้เนอะน้ำตกวรเกียง ตัดปัญหาก่อนจะ
ไม่ได้หลับได้นอน ตอบมันกลับไปว่า
“ตามนั้นพี่ น้ำตกวรเกียงก็วรเกียง แต่ตอนนี้หลับได้รึยัง พรุ่งนี้ต้องเดินป่า
อีกนะ พักผ่อนเก็บแรงไว้กันดีกว่า หลับเถอะพี่ลงตัวแล้วนี่” พูดจบกูพลิกตัวหันหลังให้มัน
หลับตาลงทันที แต่
“เดี๋ยวๆ..ตะเกียง แหมๆ..เล่นหันหลังให้พี่แบบนี้คิดไรกะพี่หรือเปล่าเนี่ยะ....
พาให้คิดนะเรา” บ๊ะ!...ดูมันยังมีทะลึ่งปิดท้ายอีก
“อืม..ทางที่ดีตะเกียงว่าพี่ก็หันหลังมาชนกับตะเกียงด้วยดีที่สุด เพราะข้าศึกบุก
เราจะได้ตั้งรับทันทั้งซ้ายขวา หากหันหน้ามาประกบหลังตะเกียง ผมมีคนคุ้มหลังให้ปลอดภัยชัวร์
แต่ตัวพี่ไม่แน่..เสือคาบไปแดกไม่รู้ด้วยน๊า” กูขู่มันไปทันทีเพราะมันกลัวเสือ ได้ผลเกินคาด
“
อึ้ยยย!!!..จริงด้วยขอบใจมากที่เตือนพี่ แต่พี่ว่ามันยัง
รู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี แล้วข้างบนกะข้างล่างหละ มันมาเราจะรู้ได้ไง” เป็นไงหละ มนุษย์เจ้าปัญหา
ข้างบนก็ติดกำแพงหินยังจะกลัวอีก ปลายตีนก็กองไฟ มันไม่คิดสักนิดสักแต่จะถาม
ตัดความรำคาญกูตอบมันไปว่า
“หากเป็นเช่นนั้น....ตัวใครตัวมันเลยพี่...” ก่อนจะแอบอมยิ้มขำกะมัน
เพราะมันรีบขยับตูดมาชิดกูทันที ตัวสั่นหงกๆ พูดเสียงเบาแทบกระซิบ ไม่รู้จะกระซิบทำไม
เมื่อกี้ก็ยังพูดปกติอยู่เลย ยังกะกลัวใครจะได้ยินซะงั้น
“ไม่น๊า..ตะเกียงอย่าทิ้งกันเป็นอันขาด เสือมาต้องพาพี่วิ่งด้วย
เพราะพี่คงก้าวขาไม่ออกแน่ๆ” น่าสงสารจริงงงงๆๆๆ....ไอ้พี่เหยี่ยวรั่ว กูเลยแหย่กลับไปว่า
“พี่พรตคร๊าบบบๆๆ!!...ไม่ต้องกลัวจนขี้ขึ้นหัวขนาดนั้นหรอก ต่อให้เสือมาจริง
มันคงไม่กล้ามางาบพี่ไปแดกหรอกคร๊าบบ” กูทิ้งท้ายไว้ ไงมันต้องถาม ได้ผลมันรีบลุกนั่ง
ชะโงกหน้ามามองกูพร้อมกับถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า
“
อ้าว!..ทำไมเล่าตะเกียง ทำไมถึงมั่นใจว่าเสือมันจะไม่คาบพี่ไปกิน?.”
เป็นไงกะไว้ไม่ผิด กูตอบกลับไปทันที
“พี่ลืมไปแล้วหรือ ว่าพี่มีกลิ่นสิงห์อยู่กับตัว เสือที่ไหนมันจะกล้ามากินพี่
ไม่ใช่สิงห์ธรรมดาซะด้วยนะ แต่เป็นสิงห์รันขั้นเทพ เสือมีแต่หมอบกระแตสยบให้อีกตะหาก..ฮ่าๆๆๆ!!!”
ได้ผลไอ้พี่พรตมันรีบผลุบตัวลงนอนหันหลังให้กูทันที หุบปากไม่โต้ตอบ จบบทสนทนา
กูจะได้หลับซะที ไม่ยักรู้ว่าไอ้พี่รันมันเทพถึงขนาดแค่ชื่อก็พาให้ไอ้พี่พรตหุบปากหลับลงได้
เยี่ยมจริงมึง.....กร๊ากกกกๆๆๆๆ!!!!
มาต่อให้แล้วนะค่ะ...อย่าเพิ่งโวยกันเด้อ....ช่วงนี้งานเยอะสาดดดด....
Luk. 