ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน
ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ความรัก...
เป็นคำจำกัดความของกับดักที่วาบหวามทว่าอันตรายยิ่งกว่าสิ่งใด ใครที่ติดอยู่กับวังวนนี้ยากที่จะหลุดออกมาโดยปราศจากรอยแผล หลายคนได้รับบาดเจ็บทางกาย แต่หลายคนกลับเจ็บลึกที่ตรงจิตใจ
ถึงอย่างนั้น...คนส่วนใหญ่กลับยอมเจ็บตัวเพียงเพื่อให้ได้รู้จักลิ้มลองกับมันสักครั้ง...
ตัวผมในตอนนั้นก็เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้จักกับพิษสงที่ร้ายแรงของความรัก มัวแต่หลงใหลเมามัวไปกับรสสัมผัสที่น่าลิ้มลอง หลงผิดไปว่าความรักคือความสวยงามของชีวิต ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความวาบหวามที่ไม่เคยได้รับ กว่าจะทันได้รู้ตัวว่าความรักเป็นเพียงอีกหนึ่งใยแมงมุมที่ยึดแมงเม่าแสนโง่อย่างผมไว้เป็นเหยื่อ...
ผมก็ได้รับบาดเจ็บจากมันเสียแล้ว
.
.
แม้ผมจะเป็นเพียง “ฝุ่น” ที่ไม่มีใครสังเกตหรือมองเห็น...แต่ผมก็ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ว่าความรัก มันสวยงามและเจ็บปวดเพียงไร
.
.
.
มีนาคม 2550
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน
ไม่เพียงแค่วันนี้ แต่ในทุกๆ วันตั้งแต่ผมเริ่มเรียนรู้กับคำว่า หายใจ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงสัตว์โลกที่เกิดขึ้นมาและพร้อมจะตายลงในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้า ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครสนใจ เหมือนกับชื่อของผมเอง
ครับ...ผมชื่อ “ฝุ่น” เพียงแค่เศษฝุ่นที่ไม่มีใครสนใจเสมอมา และคงเป็นแบบนี้ตลอดไป
แม้แต่ในงานแต่งงานของผู้หญิงที่เคยเลี้ยงผมมาตั้งแต่ผมเกิดจนถึงก่อนช่วงที่ผมจะไปอเมริกาอย่างน้าอิ่ม ผมก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้น ทุกคนในงานแย้มยิ้มด้วยความยินดีและเปี่ยมสุข เจ้าบ่าวและเจ้าสาวแลดูเหมาะกันอย่างมาก ด้วยความที่ครอบครัวของผมแต่เดิมนั้นนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้เจ้าบ่าวของน้าอิ่มตัดสินใจจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์เพื่อคนที่เขารัก ผู้ชายคนนี้ หรือชื่อที่น้าอิ่มแนะนำผมว่าเขาชื่อลุงสิน อายุมากกว่าน้าอิ่มถึงสิบสองปี แต่กลับดูไม่แก่ตามอายุเท่าใดนัก อาชีพการงานก็ดี เสียแค่ว่าเขาเคยแต่งงานและมีลูกชายวัยไล่เรี่ยกับผมติดมาอีกหนึ่งคน
สถานที่จัดพิธีแต่งงานนั้น เป็นโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในย่านสามเสน มันต้องเข้าซอยไปลึกมากพอสมควรจนผมคิดว่าเราจะไปโผล่ที่ใจกลางโลกกันเสียแล้ว แต่กลับมีโบสถ์ขนาดใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ สองข้างขนาบด้วยโรงเรียนประถมและมัธยม ตามที่น้าอิ่มบอกมาคร่าวๆ ว่า หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีแต่คนนับถือศาสนาคริสต์แบบเดียวกับเราแทบทั้งหมด โบสถ์ที่นี่เลยค่อนข้างใหญ่เพราะชาวบ้านแถวนี้ต่างมีจุดศูนย์รวมที่โบสถ์
หลังจากพิธีทางศาสนาจบลงแล้ว ทุกคนก็เริ่มทยอยกันออกมาที่ด้านนอกซึ่งเป็นลานกว้าง ตัวลุงสินและน้าอิ่มยังยืนอยู่บนบันไดโบสถ์เพื่อเตรียมจะโยนดอกไม้ แน่นอนว่ามีแต่สาวๆ และเพื่อนๆ ของน้าอิ่มเข้าไปยืนออกันเพื่อเตรียมรับ
เท่าที่ได้ยินมา ถ้าใครได้ดอกไม้ช่อนี้ไป จะได้แต่งงานเป็นคนต่อไป...มันก็คงดี ถ้ามีคนที่เรารักอยู่ข้างๆ นะผมว่า แต่ถ้ามองอีกที...อยู่ตัวคนเดียวมันก็อาจจะดีกว่าก็ได้
ตัวผมที่ใส่สูทเป็นกึ่งทางการในตอนนั้นก็ทำได้แค่ยืนเป็นตัวประกอบอยู่ที่มุมหนึ่งเท่านั้น ไม่แม้แต่จะเข้าไปแย่งดอกไม้หรือว่าถ่ายรูปอะไรทั้งสิ้นผมไม่มีความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับพิธีการแต่งงานบ้าบออะไรนี่ มันก็แค่พิธีอีกอย่างหนึ่งที่บอกทุกคนที่มาร่วมงานว่าต่อจากนี้ไป ฉันไม่โสดแล้วนะ
ผมมองเพื่อนของน้าอิ่มที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดด้วยความสุขและสนุกสนานยามเธอได้ดอกไม้ไปครองสมใจ พวกเขายืนถ่ายรูปกันอีกพักใหญ่ กว่าน้าอิ่มจะเริ่มรู้ตัวว่าตัวประกอบในงานแต่งงานของเธอหายไปจากฉาก น้าสาวของผมที่ยังยืนอยู่บนบันไดโบสถ์ข้างๆ ว่าที่สามี หันรีหันขวางจนเธอหันสบตากับผมที่ยืนห่างออกไป ร่างเล็กในชุดเข้าสาวแสนสวยถึงได้วิ่งลงจากบันได
ไม่เกินอึดใจ ข้อมือที่ถูกล้วงไว้ในกระเป๋ากางเกงของผม ก็ถูกนางเอกของงานดึงขึ้นพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข เธอบอกผมว่า
“ฝุ่น! มาถ่ายรูปกับน้าสิ”
ผมนึกอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นเสียจริงๆ ยิ่งทุกคนที่แหวกทางให้เจ้าสาววิ่งตรงเข้ามาดึงผมไปร่วมถ่ายรูปแสดงความยินดีกับเธอนั้น ต่างยิ้มอย่างขำขันให้กับความน่ารักปนซนๆ ของน้าอิ่ม
บอกตามตรง...ผมไม่ชอบการถ่ายรูป เพราะผม...รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่าพอจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของใครทั้งนั้น...
ใช่ว่าผมจะไม่ยินดีที่น้าตัวเองแต่งงาน กลับกัน ผมกลับยินดีมาก ที่จะมีใครสักคนเข้ามาดูแลน้าอิ่มผู้แสนดีของผมอย่างจริงใจ ไม่ว่าเขาจะเคยแต่งงานหรือมีลูกมาก่อนก็ตามที
งานเลี้ยงรับรองแขกหลังจากพิธีสำคัญในโบสถ์จบลงถูกจัดขึ้นในห้องประชุมใหญ่ของโรงเรียนข้างๆ นั่นเอง เพลงรักหวานแหววแบบที่เคยได้ยินจากในละคร หรือภาพยนตร์ถูกเปิดบรรเลงคลอเบาๆ ตลอดงาน น้าอิ่มกับลุงสินเดินถ่ายรูปกับแขกทุกโต๊ะ พร้อมทักทายทุกคนอย่างสนิทสนม เป็นผมอีกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินที่แปลกแยกออกมาจากทุกคน
ผมสะอิดสะเอียนกับความอึดอัดจนทนไม่ไหวถึงได้ลุกออกมาจากงานเสียดื้อๆ และในครั้งนี้น้าอิ่มก็คงออกมาตามผมไม่ได้ เพราะเธอเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำเช่นกัน
ผมล้วงบุหรี่ที่ถือติดมาจากอเมริกาออกมาจุดสูบอย่างไม่คิดจะสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ใกล้ๆ กันมีสุนัขจรจัดอยู่ตัวหนึ่ง มันเดินเข้ามาดมๆ ใจจริงก็นึกอยากจะเตะให้มันไปไกลๆ แต่มันเองก็คงหดหู่ในความเป็นหมาอยู่แล้ว ก็...ช่างมันเถอะครับ โปรดสัตว์บ้าง
“ฝุ่น..ใช่ไหม”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทักอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ทำให้ผมพ่นควันบุหรี่ใส่อากาศเบื้องหน้า แล้วหันกลับไปมอง...ลูกชายของน้าสินนั่นเอง ผมจำไม่ได้ว่ามันชื่ออะไร ทิว? ทิม? ทีม? หรือห่าอะไรนี่แหละ
ที่จริงหน้ามันผมก็เคยเห็นก่อนหน้าวันนี้ก็แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นเอง แต่ที่จำได้ก็เพราะน้าอิ่มชอบพูดถึงมันเสมอ ว่าไอ้เหี้ยนี่จะต้องเป็นเพื่อนที่ดีให้ผมได้แน่ๆ
“มีอะไร” ผมถามออกไป ก็รู้นะครับว่ามารยาทของประเทศไทยเราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่า แต่จากการสังเกตโดยรวมบวกสันดานเหี้ยๆ ของผมแล้ว ต่อให้มันอายุมากกว่าผมก็ไม่ได้มากไปกว่ากันสักเท่าไหร่นัก ผมจะพูดห้วนๆ แล้วมันจะทำไม
“เปล่า ก็เห็นนายเดินออกมาเฉยๆ ข้างในเพิ่งเริ่มเสิร์ฟอาหารหลักเองนะ ยังมีขนมหวานอีก ไม่เข้าไปทานหน่อยเหรอ เห็นน้าอิ่มบอกว่านายชอบกินทับทิมกรอบ เลยสั่งมามากเป็นพิเศษเพื่อนาย” มันยิ้มกว้างตอนบอกผม...นี่มึงพูดติดๆ กันโดยไม่เว้นช่วงหายใจแบบนี้ เอาผิวหนังหายใจรึไงวะ
“เรื่องของกู” ผมตอบไปเนิบๆ เหมือนเป็นประโยคเช่นว่า..ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากกิน แต่ดูจากท่าทางแล้วฝ่ายนั้นก็ไม่ใช่คุณหนูอะไรมาก เพราะมันก็ไม่ได้สะเทือนกับคำหยาบของผมแม้แต่น้อย
“หึ..ก็จริง แต่วันนี้วันดี ก็ยิ้มบ้าง หน้าตาก็ไม่ได้แย่อะไร ทำไมไม่ค่อยยิ้มเลย”
นี่มึงด่าหรือชมกูเนี่ย...
“ไอ้เหี้ย กูบอกว่าเรื่องของกู อยากแดกของหวานก็เข้าไปแดกคนเดียว ปากมึงไม่ได้ดูดอยู่กับปากกู กูจะดูดบุหรี่ อย่ามากวน” ผมพูดยาวๆ ใส่มัน แม่งพูดมากน่ารำคาญจริง
“ฝุ่น...มึงด่ากูเนี่ย รู้จักชื่อกูรึยัง” รู้ทันกูอีก...
“กูต้องจำด้วยเหรอ ชื่อมึงเนี่ย” น้ำจะขุ่นก็ปล่อยมัน อย่าได้แคร์
“มึงจำไม่ได้ก็บอกมา” มันบอกพร้อมหัวเราะ แล้วแบมือมาตรงหน้าผม “ขอบุหรี่มวนนึง”
“เด็กดีเค้าไม่สูบบุหรี่กัน” ผมบอกแล้วกระตุกยิ้มเย็นๆ แต่ไอ้เหี้ยทิว ทิมอะไรนั่นแม่งกลับยังแบมืออยู่ต่อหน้า แล้วกลอกตากลับไปกลับมา ระหว่างมือมันกับหน้าผมอยู่อย่างนั้นจนผมรู้สึกเซ็ง เลยกระแทกซองบุหรี่พร้อมไฟแช็คใส่มือมันอย่างจำใจ
“มึงดีใจมั้ย ที่ได้กลับมาไทย” อยู่ๆ มันก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น เป็นรถนี่คว่ำแล้วนะ ไอ้ห่า
“ทำไมกูต้องบอกเรื่องของกูกับคนที่กูไม่รู้จักชื่อด้วย” กร๊ากก หลุดปาก
“หึหึ กูชื่อทีม...จำไว้นะฝุ่น กูจะบอกมึงแค่ครั้งเดียว” มันยิ้มกว้าง ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นจดปาก แล้วพ่นควันออกมาช้าๆ “มึงยังไม่ตอบกูเลย ว่าดีใจมั้ย ได้กลับมาบ้านที่ไทย”
“ถ้ามึงหมายถึงกูดีใจมั้ยได้เปลี่ยนที่ซุกหัวนอนใหม่...กูตอบมึงไม่ได้หรอก ไว้ให้กูลองไปซุกหัวนอนที่บ้านแสนสุขของมึงก่อนนะ แล้วกูจะบอกอีกที”
ผมจบบทสนทนาแค่นั้น แล้วหันไปใส่ใจกับมวนบุหรี่ต่อ ไอ้คนข้างๆ ก็แค่หัวเราะเบาๆ กับคำตอบของผม มันคงพอใจแล้วหรือไม่ก็คงรู้ว่าผมไม่คิดจะตอบอะไรมันอีก ถึงได้เลิกทำตัวเป็นนักข่าว ยุติการซักถามเอาไว้แค่นั้น
พิธีแต่งงานตลอดจนงานเลี้ยงฉลองจบลงด้วยรอยยิ้มของทุกคน ตอนท้ายงานผมถูกไอ้เหี้ยทีมกับน้าอิ่มลากเข้าไปถ่ายรูปรวมกับแขกเหรื่อที่เหลือกว่าครึ่งอีกครั้ง อันที่จริงมันควรจะจบอยู่แค่นั้นแต่ลุงสินกลับเอ่ยปากบอกช่างกล้องและทุกคนในที่นั้นว่า
“ผมขอถ่ายรูปกับว่าที่ภรรยา และลูกชายทั้งสองของผมเป็นความทรงจำนิดนึงนะครับ” ...ไอ้เหี้ยทีม มันมีพี่น้องด้วยเหรอวะ ทำไมน้าอิ่มไม่เคยบอกผม??
แต่ผมก็ได้คำตอบในนาทีต่อมา เมื่อไอ้ทีมมันลากผมเข้าไปถ่ายรูปกับพ่อมัน
“ทีม มึงจะลากกูไปไหน พ่อมึงบอกว่าจะถ่ายรูปกับลูกชายของเค้า ไม่ใช่กู” ผมบอกพอให้ได้ยินกันสองคน ทีมมันขมวดคิ้วฉับทันทีแล้วบอกผมกลับมาว่า
“พ่อกูหมายถึงมึงนั่นแหละ”
ไม่รู้ทำไม แต่ผมกลับรู้สึกคล้ายๆ ว่าหัวใจมันพองโตขึ้นนิดหน่อยเพราะคำพูดสั้นๆ นั้น แต่ปากก็ยังไวเกินที่จะห้าม ผมพึมพำกลับไป
“....กูไม่ใช่คนในครอบครัวของมึง”
กว่าเที่ยงคืนแล้วที่ผมกับครอบครัวใหม่ของน้าอิ่มกลับมาถึงบ้าน
ความจริงแล้วบ้านของลุงสินก็เรียกได้ว่าใหญ่พอสมควร ตัวบ้านเป็นอาคารสองชั้น ออกแบบได้สมกับที่ลุงสินแกทำงานเป็นสถาปนิก มีสวนขนาดย่อมอยู่ด้านหน้า ทันทีที่ประตูบ้านใหญ่เปิด ก็มีเสียงหมาเห่าดังแทรกขึ้นมา...นี่บ้านนี้คงเลี้ยงหมาด้วยสินะ ครอบครัวแสนสุขเหมือนในละครจริงๆ...
ผมสะพายกระเป๋าเป้ที่บรรจุเสื้อผ้าเอาไว้บนไหล่ เพราะตั้งแต่กลับมาถึงไทย ผมก็นอนโรงแรมมาตลอดเกือบสัปดาห์ ที่จริงน้าอิ่มก็อยากให้ผมย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของเธอตั้งแต่วันแรกที่ผมเหยียบแผ่นดินสยามนี้ แต่เพราะผมอ้างว่าผมไม่อยากเก็บของเพื่อย้ายบ้านหลายๆ รอบ น้าอิ่มเลยต้องยอมจำนน
ผมคิดว่าน้าอิ่มเองก็รู้ ว่าผมอึดอัดใจกับการย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของคนที่ผมไม่คุ้นเคย มันเป็นสันดานเก่าของผมอยู่แล้วที่ไม่ชอบสุงสิงกับคนแปลกหน้า แต่ผมเองก็ไม่มีทางเลือก เงินเก็บที่มีไม่ได้มากพอที่จะทำให้ผมเลือกที่อยู่ของตัวเองได้ ตัวเลือกสุดท้ายที่ได้รับก็คือบ้านของลุงสินนั่นเอง
ถัดจากประตูบ้านเข้ามาก็เป็นห้องรับแขก พื้นกระเบื้องสีขาวแลดูสะอาดตา แม้จะเป็นเวลากลางดึกแล้ว แต่เพราะไฟที่ถูกเปิดขึ้นทำให้ผมเห็นบรรยากาศรอบตัวได้ชัดเจน การตกแต่งแม้มันจะดูเรียบง่ายแต่ก็สะอาดตาไปอีกแบบ บันไดบ้านอยู่ขยับไปทางซ้ายมือของห้อง ติดกันเป็นทางเดินโล่งๆ ที่ผมคาดว่ามันน่าจะเป็นห้องครัวอยู่สุดปลาย
น้าอิ่มจูงมือผมให้ไปนั่งที่โซฟาก่อน เธอเดินไปหยิบน้ำมาทั้งหมดสี่แก้ว วางลงบนโต๊ะตรงกลาง ตรงข้ามผมเป็นลุงสินที่นั่งอยู่เคียงข้างภรรยาคนใหม่ของเขา ไม่ต้องแปลกใจว่าโซฟาเดี่ยวข้างๆ ผมจะเป็นใคร..ไอ้เหี้ยทีมนั่งหน้าแป้นแล้นพร้อมยกน้ำขึ้นดื่ม
“ไง บ้านกู พอที่จะเป็นที่ซุกหัวนอนของมึงได้มั้ยวะฝุ่น” มันพูดขำๆ พร้อมทำท่าแบบกูพราวด์ลี่ทูพรีเซ้นต์
ห่านี่ ลามปาม...
“ทีม” ลุงสินแกเรียกลูกชายด้วยเสียงปรามๆ ก่อนจะหันมาสนใจเอากับผมที่แม้แต่แก้วน้ำก็ยังไม่ได้แตะ“ฝุ่น ห้องเราอยู่ชั้นสองนะ เดี๋ยวให้ทีมพาไปก็แล้วกัน”
ลุงสินบอกผมอย่างเอ็นดู ถ้าทำได้เขาคงเอามือมาลูบหัวผมแล้วมั้ง
“ต่อจากนี้ให้คิดว่าที่นี่คือบ้านอีกหลังของเรานะฝุ่น ลุงไม่ได้บังคับให้ฝุ่นคิดว่าลุงเป็นพ่อของฝุ่น แต่ลุงอยากให้ฝุ่นคิดว่าที่นี่คือบ้าน อยากให้ฝุ่นรู้สึกว่าถ้าวันไหนฝุ่นเหนื่อย ท้อแท้ก็กลับมาที่นี่...บ้านของฝุ่น”
“ขอบคุณครับ...แต่ผมขึ้นไปนอนได้รึยัง” ผมตัดบทห้วนๆ แบบนั้น น้าอิ่มหน้าเสียไปนิดหน่อย แต่ลุงสินแกก็ไม่ได้ถือสาเอาความอะไร กลับบอกให้ไอ้ทีมมันพาผมขึ้นไปบนห้องนอน ฝ่ายนั้นก็ดีเสีย ตอบรับอย่างว่าง่าย เดินนำผมขึ้นไปบนห้องนอน มันบอกผมว่า
“ห้องกูกับมึงติดกัน ตรงกลางมีห้องน้ำคั่น แต่ประตูที่อยู่ในห้องมันเชื่อมถึงกัน ล็อคไม่ได้ด้วย ที่จริงพ่อกูก็ไม่ได้กะจะมีลูกชายเพิ่มอีกคนหรอก แต่เค้าคงสร้างไว้เผื่อกูมีเมียน่ะ ฮ่าๆๆๆๆ” ดูแม่ง...ดึกป่านนี้ยังจะมีอารมณ์มาขำ เดี๋ยวกูก็ศอกตกบันไดซะนี่
“ฝันดีนะมึง ฝันถึงกูด้วย” มันสั่งผมแบบนั้น เมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องที่มันบุ้ยใบ้ทำท่าว่านี่คือห้องนอนใหม่ของผม
“ฝันถึงมึง เค้าเรียกฝันร้าย” ผมบอกมันไปอย่างนั้น แล้วเปิดประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงบ่นหงุงหงิงของมัน..ทำตัวแอ๊บแบ๊วนะมึง
ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่แน่ใจในอายุที่แน่นอนของไอ้ทีมเท่าไหร่ แต่อย่างที่บอกว่าจากหนังหน้าและท่าทาง อายุมันกับผมก็คงไม่มากไปกว่ากันเกินสองปีหรอกครับ
เท่าที่สมองมึนๆ ของผมจะจำได้ น้าอิ่มเคยเปรยให้ผมฟังในเอ็มเอสเอ็น ตอนก่อนที่ผมจะกลับมาไทยว่าลูกชายของลุงสินเป็นนักเทควันโดมาตั้งแต่สมัยประถม ดังนั้นภาพที่ผมนึกจินตนาการเอาไว้สำหรับไอ้ทีมก็คือ ผู้ชายไทยรูปร่างเหมือนหมีป่าตัวใหญ่ๆ ดำถึกและเถื่อน แต่พอมาเจอตัวจริงก็ยอมรับว่าผิดคาดไปมาก
ไอ้เหี้ยทีมตัวจริงสูงกว่าผมก็จริง หุ่นมันหนากว่าผู้ชายปกติแต่ก็ไม่ได้บึ้กแบบนักกีฬาทีมชาติอย่างที่ผมคาดการณ์เอาไว้ หน้ามันคมคาย ตายาวรี จมูกสวย อ่อ มีเขี้ยวเล็กๆ ด้วย แล้วตัวมันก็ไม่ได้ดำ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่แน่ใจว่ามันถึกและเถื่อนแน่รึเปล่าก็ตามที
ผมเหวี่ยงกระเป๋าสะพายที่เอาติดกลับมาแค่ไม่กี่ชุดลงบนพื้นแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันที ห้องที่ลุงสินเตรียมไว้ให้ ใหญ่กว่าห้องเก่าของผมที่อเมริกาเสียอีก สะอาดกว่า น่าอยู่กว่า ถึงแม้มันจะเป็นห้องสี่เหลี่ยมเรียบๆ ธรรมดา แต่การวางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่เข้ามุม และการฝังพวกตู้เสื้อผ้า เข้าไปในผนังก็ทำให้มันดูหรูไม่น้อย กระจกหน้าต่างที่สูงจรดเพดานมองออกไปก็เห็นสวนด้านล่างได้รางๆ ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง
ประตูที่คาดว่าน่าจะเปิดไปเป็นห้องน้ำที่ไอ้ทีมมันบอกเมื่อกี้อยู่ทางด้านซ้ายมือ แต่แน่นอนว่าผมยังไม่คิดจะเปิดเข้าไปหรอก เพราะอีกฝ่ายต้องเข้าไปทำความสะอาดร่างกายแน่ๆ ส่วนผมน่ะหรือ...วันนี้ขอเน่านอนทั้งเสื้อตัวนี้เลยก็แล้วกัน
To be continued in บาป...หวาน ตอน ๒
สวัสดีค่ะทุกท่าน!!
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราเพิ่งเข้ามาใหม่ และ “บาป..หวาน” ก็เป็นเรื่องแรกที่ลงที่นี่เลย
ถึงจะเคยสอดส่องอยู่ที่บอร์ดนี้มาซักพักแล้ว แต่ในที่สุดก็ เอ้า...เอาวะ ลองลงนิยายดูบ้างดีกว่า ฮี่ๆ
ฝากตัวด้วยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่า~~ ฝากบาป..หวาน ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยน้า~~

ตอนแรกอาจจะยังงงๆ กันอยู่บ้างว่าทำไมน้องฝุ่นดูเกรี๊ยนเกรียน (ฮา) ก็ดูกันต่อไปเรื่อยๆ นะคะ ฮี่ๆๆ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ!