ตลอดทางกลับบ้านมันไม่พูดอะไรกับผมเลย เอาแต่ฮัมเพลงบ้าบออะไรก็ไม่รู้ กูอยากได้เอ็มพีสามแบบชาร์จไฟโว้ย ไม่ใช่เอ็มพีสามชาร์จด้วยข้าวแบบมึง!!
จนถึงตอนที่หักเลี้ยวรถสุดสวาทขาดใจเข้าไปจอดในรั้วบ้าน มันดับเครื่องปุ๊บ ผมก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้หัวเสียมากไปกว่าเดิมจึงเตรียมจะเปิดประตูรถลงไป แต่ไอ้เหี้ยที่นั่งเป็นใบ้มาเกือบหนึ่งชั่วโมงกลับตวัดลิ้นห้าแฉก เอ้ย ยื่นมือมาจับประตูเอาไว้ไม่ยอมให้ผมทำตามใจ
“เล่นไรมึง” ถามก่อนได้แต้มครับ
“โกรธไรกู”
“กูควรจะถามมึงมากกว่านะ คำนั้น” อยากตวัดตาใส่มัน แต่มันดูแต๋วไปนิด ผมเลยต้องหันไปมองหน้ามันตรงๆ ด้วยความไม่สบอารมณ์
“กูไม่ได้โกรธ กูแค่งอน” เออะ....ตรงไปมั้ย!!!
“อะไร แค่นี้ทำอึ้งเหรอ ไม่ง้อกูหน่อยเหรอฝุ่น”
“กูทำไรผิด” ผมถามหน้าตาย ไอ้ทีมแกล้ง(รึเปล่าไม่รู้) ถอนหายใจดังเฮือก คอตกแล้วบอก
“เออๆ กูง้อเองก็ได้”
พูดจบ มันก็เอื้อมไปหยิบถุงจากร้านไอสตูดิโอที่เบาะหลังมาส่งให้ผม
“กูไม่อยากได้ซิลิโคนหลากสี” ผมบ่นก่อนที่จะเปิดถุงเสียอีก ไอ้ทีมทำเสียงจิ๊ปากแล้วบุ้ยใบ้ให้ผมดูของในถุง ผมก็บ้าจี้ทำตามที่มันสั่ง
มันอาจจะเป็นอย่างที่หลายๆ คนคาดเดา หรือพระเจ้าไม่มีอะไรจะทำถึงได้เขียนชีวิตผมให้โคตรจะละคร...ใช่ครับ กล่องไอพ็อดทัชวางอยู่ในนั้นพร้อมกล่องซิลิโคนอีกสี่ห้าอันตามที่มันหยิบสั่วๆ เลือกมานั่นแหละ
“มึงซื้อมาทำไม” ถามไปงั้นแหละครับ ในใจก็ดีใจแหละ ได้ของใหม่แล้ว อิอิ
“กูหมั่นไส้มึง”
“เกี่ยวไร”
“ไม่รู้แหละ กูจะมึนซื้อให้ เดี๋ยวค่อยไปเก็บดอกเบี้ยเอากับเซ็กส์ซี่ก็ได้” แล้วอีหมาเซ็กส์เสื่อมมันจะจ่ายมึงด้วยอะไรวะ เพ็ดดิกรีเรอะ!!
นั่นแหละครับ ไอ้ห่านป่ามันพูดแค่นั้นก็ลงจากรถไปเลย แต่พอมันเห็นผมยังนั่งงงๆ อยู่ในรถก็เดินมาเคาะกระจกข้างผมเบาๆ พร้อมเปิดประตูออกแล้วบอก
“ลงมาจากเบบี๋ของกูได้แล้ว หวานใจกูยางจะแตกแล้วเนี่ย”
นี่เพราะบรรยากาศเปลี่ยนไป สถานที่เปลี่ยนแปลงรึเปล่า อารมณ์ไอ้เหี้ยทีมถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้ เมื่อกี้มันยังทำหน้าแบบพร้อมจะรบกับกองทัพสปาต้าร์ด้วยมือเปล่าได้ แต่อยู่ดีๆ มันก็ยิ้มให้ผมเหมือนเดิม...
กูโง่หรือมึงบ้าบ้าวะ..??
ตลอดช่วงเย็นที่เหลือผมจัดการขังตัวเองอยู่ในห้อง นั่งลงเพลงและแอพพลิเคชั่นต่างๆ ใส่ไอพอดเครื่องใหม่อย่างเมามันส์ ไม่สนใจแม้กระทั่งไอ้เหี้ยทีมที่เดินเข้ามาง๊องแง๊งอะไรบางอย่างในห้องผม มันเข้ามากลิ้งบนเตียงก็แล้ว กัดมะม่วงอยู่ข้างหูผมก็แล้ว แต่ตอนนี้กูเห่อของใหม่โว้ย ของเก่าอย่างมึงกลับห้องไปทำใจก่อนไป!
กว่าจะเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ได้ก็เกือบทุ่มนึงแล้ว พอดีกับที่เสียงเคาะประตูหน้าดังขึ้น ผมจึงต้องจำใจลุกไปเปิดด้วยความขี้เกียจ
“ฝุ่น ลงไปทานข้าวกัน” ผิดคาดนิดหน่อยที่เป็นน้าอิ่มขึ้นมาตามผมทานข้าว เพราะช่วงนี้อย่างที่บอกไปว่าคู่แต่งงานใหม่เขาเตรียมจะไปฮันนีมูนกันสองอาทิตย์ทำให้ต้องช่วยกันเคลียร์งาน ไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก
“น้าอิ่มกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ผมไม่เห็นได้ยินเสียงรถ”
“น้ากลับมาสักพักแล้ว มัวแต่ฟังเพลงรึเปล่าน่ะเรา ทีมก็บ่นๆ อยู่ว่าวันนี้ฝุ่นเอาแต่ฟังเพลงไม่สนใจที่พี่เขาพูดเลย” น้าอิ่มพูดยิ้มๆ ผมเลยตัดบทด้วยการหันไปปิดไฟห้องแล้วเดินตามน้าสาวที่ตัวเล็กกว่าผมเกือบคืบลงไปชั้นล่าง ไอ้เหี้ยทีมกับลุงสินนั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว ผมเลยยกมือไหว้
“ไงเรา ชินกับกรุงเทพฯ รึยัง” ลุงสินทัก
“ก็...ดีมั้งครับ” ผมตอบพลางนั่งลง แล้วรับจานข้าวมาจากป้าแจ่ม
“ประมาณวันพุธที่จะถึงนี้ ลุงกับน้าเราจะออกเดินทางกันแล้วนะ” ลุงสินพูดพลางยิ้มกว้าง ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความสุขจนแทบจะสำลักรอบๆ ตัวเขาและน้าของผม ไอ้เหี้ยทีมได้ทีก็ปากเปราะแซวพ่อมัน
“โหยพ่อ ทำเป็นเด็กรุ่นๆ เลย เห่อไปป่ะเนี่ย”
“ไม่ได้เห่อโว้ย เค้าเรียกคนกำลังมีความสุข” ดูพ่อลูกเขาหยอกล้อกัน ผมก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในอก...เหมือนกับเห็นภาพตัวเองในสมัยเด็ก....
ผมเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็เคยนั่งอยู่แบบนี้ หยอกล้อกับพ่อ เราหัวเราะกัน ยิ้มให้กัน ก่อนที่อะไรๆ มันจะเปลี่ยนแปลงไปจนยากจะกลับไปเหมือนเดิม สิบปีในอเมริกาสอนให้ผมเติบโตและเรียนรู้ว่าโลกใบนี้โหดร้ายกว่าที่เคยวาดภาพไว้ สุดท้ายคนที่จะอยู่กับเราก็คือตัวเราเอง ใครหน้าไหนที่เคยพูดเสียดิบดีว่ารักเรา ผ่านไปไม่นานมันก็เป็นแค่ลมปากที่ไม่มีตัวตนและไม่ได้สำคัญอะไร...
ความรัก...
“ฝุ่น..เป็นอะไรรึเปล่า”
สัมผัสอุ่นๆ ที่จับลงที่ข้อมือผม ทำเอาสะดุ้งเฮือก เสียงหัวเราะของสองคนนั้นเงียบลงไปในบัดดล น้าอิ่มเลื่อนมือจากข้อมือผมไปที่หน้าผากพลางถามอย่างเป็นห่วง “ไม่สบายรึเปล่าเรา หน้าซีดๆ นะ”
“ผมสบายดี แค่เริ่มหิวแล้ว” ผมปัดไปเป็นเรื่องอื่น ไอ้เหี้ยทีมเลยรีบกุลีกุจอคีบกระดูกไก่ทอดชิ้นโตใส่ในจานผม
“แทะกระดูกเยอะๆนะมึง ได้แคลเซียมดี” ......ปากระดูกไก่ใส่หน้ามันตอนนี้ ผมจะโดนลุงสินเตะออกจากบ้านรึเปล่าครับ..?
“สองคนนี้นี่ กัดกันจริงๆ เอ้า เลิกเล่นแล้วทานข้าวได้แล้ว” ลุงสินพูดยิ้มๆ แล้วตักไก่ทอดที่เป็นเนื้อก้อนโตๆ ให้ผมแทน ส่วนกระดูกเหรอครับ นู่น ใส่จานลูกชายตัวเองแทน คริคริ
“อ้าวพ่อ ทำไมใส่เนื้อให้ฝุ่น แต่ตักกระดูกให้ผมล่ะ” ไอ้ห่านป่ามันโวยวายทันทีครับ
“เห็นอยากให้น้องได้แคลเซียมไม่ใช่เหรอ ก็กินเองก่อนสิ ถ้าดีจริง ฝุ่นมันจะได้กินตาม” มาอยู่บ้านเขาได้อาทิตย์กว่า ผมก็มีพรรคพวกแล้วครับ ฮ่าๆ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างชื่นมื่น ไอ้เหี้ยทีมกวนตีนผมเป็นระยะ แน่นอนว่ามันก็โดนผมด่ากลับอย่างถึงใจ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่คนในครอบครัวนี้มีให้กันนั้น สร้างความสุขให้ผมจนล้น..แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เขี่ยปากแผลบางอย่างในใจผมให้ค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ...ทว่าชัดเจน
สุดท้ายความรัก..ก็เป็นแค่บ่วงผูกคอเราเท่านั้น....
ผมใช้เวลาช่วงดึกไปกับการนอนฟังเพลงจากไอพอดทัชเครื่องใหม่ สุขจริง ของฟรีดีๆ เนี่ย
“ฝุ่น หลับยัง” ... แม่ง ให้กูมีความสุขอยู่คนเดียวซักพักมึงจะตายรึเปล่าวะไอ้ห่านป่า
“หลับแล้ว”
“อ่าวเหรอ งั้นตื่นก่อน กูอยากเล่นกีต้าร์” ว่าแล้วมันก็เดินมาหาผมที่เตียงอย่างไม่เกรงใจเลยครับ ทิ้งตัวลงนั่งจนเตียงยุบ แล้วตบกีต้าร์โปร่งในมือดังปั่บๆ ก่อนจะหันมาเขย่าตัวผมเมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ
“มึงอ่า ลุกมาเล่นกีต้าร์กับกูก่อนเลย”
“กูไม่เคยฟังเพลงไทย ร้องไม่เป็น” แก้ตัวไปแบบนั้นแหละครับ แต่ที่จริงผมก็ไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยเท่าไหร่ เพลงฝรั่งเองก็ต้องให้ยูลเป็นคนเซฟไฟล์มาให้ถึงจะเปิดฟัง ไม่ค่อยหาฟังเองหรอกครับ
“กูเล่นเพลงฝรั่งได้” มันทำท่ามั่นใจหันมามองหน้าผมที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง
“มึงเล่นเพลงไรได้” ถึงจะกวนตีนแต่ก็อยากรู้เหมือนกันครับ
“Jingle Bell”
“หึหึ ค-ย” ผมด่ามันเต็มปากเต็มคำแล้วลุกขึ้นนั่ง ดึงสายเอียร์โฟนออกจากหู จัดการปิดเครื่อง พอดีกับที่ไอ้ห่านป่ามันไปลากเก้าอี้ในห้องผมมานั่งใกล้ๆ ผมเลยขยับตัวไปนั่งห้อยขากับริมเตียงเพื่อรอดูว่ามันจะร้องเพลงห่าอะไร
“เดี๋ยวกูร้องแล้วมึงจะต้องอึ้ง”
“ในความอุบาดของเสียงมึงน่ะเหรอ”
“กูร้องเพลงเพราะ”
“เพราะอะไรถึงร้องรึเปล่า” ไม่เลิกครับ ผมจะกวนตีนมันต่อไปเรื่อยๆ ไอ้เหี้ยทีมได้แต่ทำท่าฮึดฮัดแล้วบอกแค่ว่า คอยฟังละกัน จากนั้นมันก็เริ่มตบกีต้าร์ให้จังหวะตัวเอง แล้วเริ่มเล่น
คลิกเพื่อฟัง “....สมมุติโลกนี้เหลือเราอยู่เพียงแค่สองคน
อยากรู้จริงๆ ว่าคนอย่างฉันจะมีสิทธิ์ไหม
หากฉันขอวอนฟ้าให้ครั้งนึง
เราได้ใกล้ เคียงคู่ไปด้วยกัน
แล้วถ้าสมมุติฟ้ายอมให้ฉันได้คู่เธอ
อยากค้นความจริงในใจว่าเธอจะรังเกียจไหม
หากเธอพบว่าฉันไม่ได้เพรียบพร้อม
เป็นอย่างคนที่เธอเคยวาดไว้
ยังเป็นคำถามที่ติดอยู่ในหัวใจ
ฉันรู้ว่าความเป็นจริง เราอาจเป็นไปไม่ได้
เพราะสิ่งที่ฉันคิดเราต่างคนก็รู้
ว่าฉันควรเก็บมันไว้ในใจ
ทั้งหมดเพียงเรื่องสมมุติที่ฉันอยากให้เป็นเรื่องจริง
ฝันเล็กๆ ของคนที่คิดพาเธอไปไกล
ได้อยู่ในความฝัน ให้ใจยังมีหวัง
ก็เพียงพอแล้วที่ฉันต้องการ
ได้กอดเธอ ในจินตนาการก็สุขใจเท่าไร
ฉันรู้แล้วว่าชีวิตนี้เฝ้าคอยอะไร เธอคือปาฏิหาริย์
และฉันจะรอวันนั้น ที่เธอเสกเราให้เป็นเรื่องจริง
เสกเราให้เป็นเรื่องจริง....”
(เรื่องสมมติ – playground)
เนื้อหาของเพลงผมรับรู้ได้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เลยไม่ค่อยซึ้งเท่าไหร่นัก มัวแต่หลงไปกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มไหลลื่นพร้อมกีต้าร์โปร่งที่ให้จังหวะคลอไปเบาๆ นักร้องสมัครเล่นตรงหน้าเขาร้องสดแบบไม่ลิปซิงค์ให้เสียเครดิต...ยอมรับเลยครับ เสียงเหี้ยทีมดีมาก ยิ่งมันอมยิ้มนิดๆ พร้อมสายตาวิบวับที่สบกับผมอยู่นั้นทำให้ผมยิ่งรู้สึกคล้ายๆ ว่าตัวเองกลายเป็นสาวน้อยที่กำลังถูกจีบยังไงก็ไม่รู้....กูบ้าไปแล้วสินะ
ผมมัวแต่เพ้ออยู่คนเดียวจนดนตรีจบไปแล้วก็ยังเอาแต่นั่งนิ่งสบตากับเจ้าของเพลงเมื่อครู่อยู่อย่างนั้นจนเจ้าตัวทนไม่ได้ทำลายความเงียบลง
“นี่...กูร้องได้แย่มากเลยเหรอ” มันถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลนิดหน่อย
“ก็...แย่ แต่ก็ดีกว่าที่กูคาดไว้” ผมเรียกสติคืนมาแล้วแกล้งเบะปากใส่ ทีมมันเลยยิ้มกว้าง วางกีต้าร์ลงกับพื้นแล้วหันมาทิ้งตัวลงเบียดผมแทน นับว่าโชคดีที่เตียงใหญ่พอที่จะให้ผู้ชายตัวควายๆ สองคนนอนเบียดกันได้ ไม่งั้นผมคงกลายเป็นจิ้งจกไส้ไหลติดอยู่กับข้างฝาล่ะครับ ไม่กล้าสู้ห่านป่าอย่างมันหรอก เดี๋ยวแม่งจิกเอา
“มึงมานอนเบียดกูทำไม กลับไปนอนห้องมึง ไอ้เหี้ย” ผมด่า มันก็ไม่สนใจอะไร พูดแค่ว่า
“กูร้องเพลงเพราะจนมึงเคลิ้มก็พูดมาเถอะ”
“ดีกว่าควายออกลูกหน่อยนึง”
“ที่เมกามีควายให้มึงนั่งดูมันออกลูกด้วยเหรอ” ป้าดดดดดด มุขนี้คิดนานมั้ยคร้าบบบบบบ
“เหี้ย กูอึดอัด ร้อนด้วย ออกไปจากเตียงกู” ผมไม่สามารถยกเท้าขึ้นมาถีบมันให้ตกจากเตียงไปอย่างที่ต้องการได้ เพราะไอ้ห่านป่าตัวใหญ่แม่งเอาน่องซ้ายมาก่ายขาผมไว้แบบไม่สนใจอะไร ทั้งยังคว้าไอพอดผมไปดูเหมือนเป็นของตัวเองอีกด้วย
บ้านมึงเคยเอาสมบัติผู้ดีให้กินรึเปล่าวะ!!
“มึงร้อนเหรอ กูเร่งแอร์ให้เอามั้ย”
“กูไม่อยากทำลายโอโซน มึงแค่ขยับตูดลุกไปจากเตียงกูก็พอแล้ว” ผมเอื้อมมือไปจะตบหัวมัน ทว่าไอ้นักเทควันโดสายดำมันกลับรู้ทันคว้าข้อมือผมเอาไว้แน่น แล้วบอกแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ฝุ่น มึงชอบวงนี้เหรอ วงโปรดกูเลยเนี่ย” มันยื่นหน้าจอไอพอดทัชคืนกลับมาให้ผมดู เป็นเพลงของ Simple Plan ครับ เป็นวงที่ผมชอบมากนะ ดนตรีเจ๋ง และไม่แสบหูด้วย แต่มาอัลบั้มหลังๆ เริ่มแอบป๊อปมากกว่าร็อคนะ ฮ่าๆ
“กูลงไปงั้นๆ แหละ” ผมพูดพลางดึงมือออกจากที่ไอ้เหี้ยทีมมันกำ ซึ่งคราวนี้มันก็ยอมปล่อยแต่โดยดี แต่มันยังเอาน่องก่ายผมไว้อยู่ครับ แม่ง น่องห่านหรือขาหมูวะ โคตรหนัก!!
“ฝุ่น ตอนมึงอยู่เมกา เคยมีแฟนมั้ยวะ” ห่าน อยู่ๆ ก็หักโค้งเปลี่ยนเรื่องอีกละ ไอ้ห่านป่าแม่ง แรงกว่าโค้งหักศอกอีกนะมึงน่ะ
“เรื่องของกู”
“เอาดีๆ มึงเคยมีแฟนรึเปล่า” น้ำเสียงมันจริงจังมากขึ้น ไอ้เหี้ยทีมมันขยับตัวแล้วจัดหมอนให้เข้าที่กว่าเดิมเพื่อที่จะได้เอนตัวพิงได้สบายๆ หน่อย
“กูไม่เคยคบใครจริงจัง กูไม่ชอบความสัมพันธ์ยุ่งยาก” ผมตอบไปตามความจริง...แต่ไม่หมด
“อ่าว จริงดิ แล้วยูลอะไรนั่นกับมึงอะ ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบคนรักเหรอวะ”
“ไม่รู้ กูอธิบายไม่ได้” ผมแอบเห็นไอ้ห่านป่ามันขมวดคิ้วนิดหน่อย เลยยอมอธิบายเพิ่ม “กูไม่เคยเรียกคู่นอนคนไหนว่าคนรักหรอกนะเชี่ยทีม กูพอใจกูก็มีเซ็กส์ด้วย ไมได้เสียหายอะไร”
ผมตอบเรียบๆ เหมือนกับการบอกใครสักคนว่าวันนี้อากาศดีจัง แต่กับไอ้เหี้ยนี่คงไม่ใช่ คิ้วมันมุ่นเข้าหากันมากกว่าเดิม น้ำเสียงดูเรียบนิ่งจนยากจะคาดเดาว่ามันอยู่ในฟีลไหน มันเม้มปากเข้าหากันและคลายออกอยู่สองสามรอบ ก่อนจะถามออกมา
“งั้น...ถ้าวันนึง มึงเจอคนที่มึงรักมาก มึงจะไม่เสียใจเหรอวะ ที่เคยทำตัวเหลวแหลกมาก่อน”
“หึหึ...กูไม่ใช่ผู้หญิงนะทีม กูท้องไม่ได้ กูไม่มีเยื่อพรหมจรรย์ แล้วอีกอย่าง...คนอย่างกูน่ะ ไม่มีคนดีๆ มารักหรอก” ผมพูดไปก็ยิ้มออกมาบางๆ ไม่ใช่ยิ้มเพราะประชด หรืออะไรทั้งนั้น แต่ผมกำลังรู้สึกตลกกับชะตาชีวิตตัวเอง ไม่เคยคิดว่าวันนึงจะมีไอ้ห่านป่าที่ไหนไม่รู้ มาถามเรื่องที่ไม่เคยมีใครถามผมแบบนี้
“มึงกำลังดูถูกตัวเองมากไปนะฝุ่น” น้ำเสียงมันกระตุกนิดๆ
“หรือมึงจะเป็นคนดีที่เข้ามารักกูล่ะทีม” ผมพูดประชดไปอย่างนั้นแหละครับ ไม่ได้หมายความตรงตามนั้น แค่อยากตัดบททุกอย่าง อยู่กับไอ้เหี้ยทีมไม่เคยมีวันไหนที่ผมอึดอัด แต่พอเริ่มคุยเรื่องนี้ผมกลับรู้สึกแย่ขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่อยากพูดต่อ ไม่ใช่ว่ากลัวว่าจะไม่มีใครมารัก แต่ผมแค่รู้สึกไม่ดีที่กำลังเอ่ยปากเล่าความสำส่อนของตัวเองให้มันฟังราวกับเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันที่ผ่านมา
“ถ้าเป็นอย่างนั้นมึงจะว่าไง...” มันถามแต่ไม่รอคำตอบ ก้มลงมาปิดปากผมด้วยจูบร้อน
ไม่อยากเสียหน้าเลยต้องจูบตอบกลับไป ไอ้ทีมมันเอื้อมมือไปวางไอพอดลงที่พื้นข้างเตียงก่อนจะใช้มือข้างนั้นลูบแถวๆ สันกรามผมแล้วไล่ลงไปที่ลำคอ มันถอยหน้าออกนิดหน่อยเพื่อให้ผมหายใจแต่ก็ไม่ได้ห่างไปไกล ยังคงไล่เล็มขบริมฝีปากทั้งบนและล่างอยู่เบาๆ กระตุ้นผมด้วยฝ่ามือร้อนที่ลูบไล้เข้าไปใต้เสื้อยืด
กว่ามันจะยอมถอนจูบอีกครั้งผมก็โดนปอกเปลือกไปแล้วกว่าครึ่งตัว ริมฝีปากร้อนละจากใบหน้าผมลงไปไซร้ที่ลำคอ ก่อนจะระเรื่อยแถวๆ หน้าอก..หน้าท้อง..และสะดือ มันไม่ได้เลื่อนปากต่ำไปกว่านั้น แต่มือมันสิครับ รูดซิปกางเกงผมช้าๆ ให้เป็นเสียงครืดเบาๆ กระตุ้นอารมณ์ให้ยิ่งเตลิดไปไกล
“มึง..จะแกล้งกูทำไม” ไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีอารมณ์มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงผมสั่นเหลือเกิน...
“กูไม่อยากมีเซ็กส์ แต่กูอยากทำรักกับมึง”
ตัด......ฉับ......!!!!!!!!! เจอกันในบาปหวานตอนที่ 6 ค่ะ ฮิฮิ
Eiizes’s talk
โว้ววว ขอโทษที่หายไปหลายวัน เพิ่งได้พักเอง จะปีใหม่แล้วเนอะ
สวัสดีปีใหม่เลยแล้วกันค่ะ
ขอให้ผู้อ่านทุกๆ ท่านของไอซ์มีความสุขมากๆ คิดอะไรก็สมปรารถนา ร่ำรวยมีเงินทองใช้ตลอดปี(มีเผื่อจองฟิคเราด้วย คริคริ)
สุขภาพแข็งแรงค่ะ
ท่านไหนจะเดินทางไปต่างจังหวัดก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ ขับรถระวังๆ กัน ใจเย็นๆค่ะ ช้าหน่อยแต่ถึงที่หมายเหมือนกันเนอะ
อะไรที่ไม่ดีของปีเก่าก็ทิ้งมันไปนะคะ เริ่มต้นกับคุณกระต่ายกันดีกว่า
ตอนหกคงลงปีหน้าเลย(เหมือนนาน) แต่ตอนพิเศษที่สัญญาไว้จะรีบเอามาลงค่ะ ฮี่ๆๆ
เอาเป็นว่า ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ ห่านป่าทีมกับน้องฝุ่นเป็นยังไงบ้างตอนนี้ อย่าลืมพูดคุยกันนะคะ
ความเห็นของทุกคน เราอ่านทุกอันนะ แค่ไม่ได้ตอบเฉยๆ แหะๆ บางอันก็ขำอะ อยากตอบแต่กลัวโดนหาว่าลำเอียง 55555
Eiizes