ตอนที่ 17 ณ มุมหนึ่งของใจ
ครืดๆ ๆๆ
เสี่ยงสั่นของไอโฟน เรียกสติผมออกจากภวังค์ได้ในที่สุด เหลือไปมองนาฬิกาบนผนัง ผมนั่งใจลอนมาเกือบ 20 นาทีบนเตียง ผมเอื้อมมือไปกดรับโทรศัพท์
“ครับแม่”
“เซอร์ เอนท์ติดที่ไหนลูก”
“ที่มหาลัย …. ครับ”
“ว้าว คณะดังซะด้วย ไปฉลองกันมั้ยเราไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันนานแล้วนะ” บ้านผมพ่อแม่ไม่ค่อยว่างกันแต่ก็ไม่ได้รู้สึกขาดเหลืออะไร เพราะถึงจะยุ่งแค่ไหนแต่ทุกๆเดือนก็จะแบ่งเวลามาอยู่กับลูกชายคนเดียวแบบผมเสมอมา
“แล้วแต่แม่ครับ”
“เป็นอะไรไป ซึมๆนะเราหรือไม่ได้อยากเรียนมหาลัยนี้ หื้มม”
“เปล่าครับ พอดีเครียดๆจากสอบน่ะแม่”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้ทำตัวให้ว่างจะพาไปทานข้าวโอเคนะ”
“ครับ”
“รักลูกจ้ะ”
“เช่นกันครับ” หลังจากวางสายจากแม่ ผมก็มองไปรอบๆห้อง ทำไมมันดูว่างๆแบบนี้นะ ผมละสายตาไปที่ขาตั้งวาดรูป มีภาพๆหนึ่งที่ลงสีไปแค่ 70% รูปเห็ด … เห็ด คือเห็ดจริงๆ ผมไม่รู้ทำไมถึงวาดรูปเห็ด ต้นเห็ดต้นน้อยๆ ที่ลงสีโทนร้อน ติดใจอะไรกับเห็ดนักหนาวะ
หรือเป็นเพราะ
คนที่พึ่งยืนยันในความสัมพันธ์อันชัดเจน ….
ยอมรับ … ว่าเสียดายวันเวลา
แต่ไม่อาจยอมรับได้ว่า
เสียใจ …
มันไม่ใช่
รัก
มันเป็นแค่
เหงา
นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้หลังจากวันนั้น
หรือ อีกฝ่ายก็คงคิดได้เหมือนกัน
คำว่าชอบที่เริ่มก่อ
แต่ไม่ได้รับการสานต่อ
ให้มากกว่านั้น
มันก็แค่ถอยลงๆ
จนเหลือเป็นศูนย์
สามเดือนที่ผ่าน
ไม่ใช่ว่าไม่มีเวลา
แต่เหมือนจงใจให้มันผ่านไป
ด้วยเจตนา …
ทั้งสองฝ่าย
นี่คงเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว
ความสัมพันธ์ถ้ายังต้องดำเนินต่อ
คงกลายเป็นคำว่า
ดันทุรัง
ขอให้มันเป็นแค่ความทรงจำดีๆ
ณ มุมหนึ่ง
ของหัวใจ …
ผมทรุดตัวลงที่เก้าอี้นั่ง ผสมสีใส่จานสี ก่อนจะตวัดพู่กันระบายสีเห็ดต้นเดิม … ให้มีสีสันมากขึ้นๆ …
มันก็เหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
ที่มีช่วงที่เริ่มจากศูนย์
กลายเป็นรูปเป็นร่าง
เพิ่มสีสันต์ให้กับชีวิต
เพิ่มคำว่าสดใส
แต่สุดท้าย
ก็จบลง ราวปิดไฟ
ผมกระชากรูปนั้นออกจากเฟรม ขยำๆแล้วโยนทิ้งถังขยะ
นี่แหละนะ การกลับมาเป็นศูนย์ล่ะนะ
ผมคว้าไอโฟนกับกระเป๋าตังค์เดินออกจากห้องนอนไปในที่สุด ไม่แม้แต่จะเหลือบแลกระดาษที่ถูกปาทิ้งลงถังขยะ
ความรู้สึกที่ควรละทิ้งไปสินะ ?
“แฮตๆ ตื่นเด้ ตื่นๆๆๆ”
“อื้อออ คนจะนอนนนน”
“ตื่นๆๆ”
“พี่เฮซอย่าพึ่งดิ ขอนอนก่อนน่า” ผมเอามือปัดๆออกไป คนจะนอนว้อย
“โธ่ แฮตตี้ขี้เซา งั้นก็นอนด้วยนี่แหละ” ผมรู้สึกมันมีอะไรหนักๆทับผม แต่ผมก็ไม่สนใจ นอนเบียดๆไอ้ที่หนักนั่นๆแหละ
ก๊อกๆๆ
“เด็กๆทำอะไรกันอยู่ อุ้ย” จากสายตาผู้มาใหม่ เห็นภาพพี่ชายตัวโตกอดน้องชายไว้แนบอก หลับสนิทกันไปทั้งคู่
“ทำอะไรคุณ”
“ดูสิคะ เด็กๆนอนน่ารักกันดี”
“ไหนๆ อื้อหือ อย่างกับเด็กห่วงขอแน่ะไอ้พอยท์”
“น่าดีใจนะคะที่พวกแกเข้ากันได้”
“คุณนี่ก็คิดมาก ไปทำงานกันดีกว่า เดี๋ยวตื่นเด็กๆคงมาหาอะไรกินกันเอง”
แล้วทั้งสองก็เดินออกไป
คนสองคนยังคงนอนแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว
จนกระทั่ง
เพล้ง !
“เฮ้ย ใครตายวะ” เสียงสบถ จากยอดชายนายเห็ดแฮต ตะโกนดังลั่น ส่วน คุณชายติสแตก ยังคงหลับไม่แคร์โลก
“เฮ้ย มานอนนี่ได้ไงพี่พอยท์ แล้วมันเกิดไรขึ้นวะเนี่ย” มองไปก็เห็นเศษกระจกหน้าต่างแตกละเอียดไม่เหลือสภาพ พร้อมกับลูกบาสสีส้มที่กลิ้งหยุดมุมห้อง
“ฮ้าววว มีอะไรหรอ”
“มีคนปาบาสใส่ห้อง”
“หืมม เฮ้ย กระจกแตก”
“เออเดะ ใครวะ”
“ใครวะห่าเรื่อง พ่อจับทำลูกบาสแม่ง” พี่พอยท์เริ่มอารมณ์เสีย (ช้าไปมั้ย) ลากแขนคนตัวเล็ก วิ่งลงไปด้านล่าง พอดีกับ ออด ดังขึ้นพอดี
“อะไร” พี่ติสของเราเปิดประตูรับแขกด้วยหน้าตากวนเบื้องล่างสุดๆ แต่ก็ปะทะกับ ชายที่สูงกว่าในชุดนักบาส
“มาขอโทษครับ เรื่องกระจก”
“ขอโทษแล้วมันหายมั้ย ถ้าน้องผมเป็นอะไรขึ้นมาทำไง” ว่าแล้วหนุ่มติส ก็กระชากคอน้องชายออกมาโชว์คู่กรณี
“อ่าว … เห็ด”
“แหะๆๆ สวัสดีครับพี่ไผ่”
“รู้จักกันหรอไง” ชายพอยท์ยังไม่หายอารมณ์เสีย
“ก็ นิดหน่อยอ่ะพี่พอยท์”
“ตกลงเรื่องกระจกจะเอายังไงครับ” พี่ไผ่ถามด้วยความสุภาพ
“ก็ชดใช้มาแล้วกัน” พี่พอยท์ออกจะหงุดหงิดแต่เริ่มอารมณ์ลัลล๊า มากขึ้น พวกติสนี่อารมณ์เปลี่ยนไวชะมัด
“โอเค ก็ตามนั้นเดี๋ยวมาวัดกระจกนะครับอีกสักครู่จะได้สั่งช่างมาทำให้ถูกขนาดหน่อย”
“พี่ไผ่บ้านอยู่แถวนี้หรอครับ” ผมถามด้วยความ งง
“อ๋อ บ้านหลังติดกันนี่ไง” พี่แกชี้ไปด้านขวา อ้ออ หลังนี้นี่เอง
“แต่เห็ดห้ามเดินผ่าน หรือ เข้าไปใกล้รั้วบ้านพี่นะครับ”
“ทำไมอ่ะ” ชายพอยท์ถามด้วยความ งง
“พอดีฉุดคนมาเป็นเมีย แล้วบังเอิญเมีย เคยจีบน้องเห็ดนี่ไง”
“อ้ะ … อ้อออ คนที่ชื่อซีอ่ะนะ” ผมเริ่มนึกออกเลือนๆ
“เยส ดังนั้นห้ามนะครับ เด็กเห็ด ไปละ ไว้ซื้อมาคืนนะ บาย”
“วู้ววว โลกกลมดีเนอะ” พี่พอยท์กระโดดไปรอบบ้านๆก่อนจะทิ้งตัวลงบ่นโซฟาหน้าทีวี แล้วกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ พร้อมทำเสียง ปิ้วๆๆๆ ประดุจปืนเลเซอร์ก็ไม่ปาน
“วันนี้ไปเที่ยวกัน”
“หะ”
“ไปเที่ยวกัน”
“ไปไหนอ่ะ”
“เด็กกรุงเทพ ก็ต้องไปอะไรที่มันเทรนด์ๆ”
“สยามสินะ”
“ถูกต้องนะก๊าบบบบบบบบบบบ ป่ะๆ กินข้าว เดี๋ยวเฮียพาไปร่อน” พี่พอยท์แกก็กระดี๊กระด๊า ไล่ผมกินข้าวอาบน้ำแต่งตัว
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมต้องยอมรับว่าพี่พอยท์เป็นอะไรที่ดูดีมาก และมีเซนส์เรื่องการแต่งตังออกมาดูดีสุดๆ ผมพี่แกถูกขยำๆ เป็นทรงด้วยเยล เสื้อยืดสีขาวขาดๆ ข้างในมีเสื้อกล้ามสีดำ กับเกางเกงยีนต์สั้นเสมอเข่าสีเข้มขาดๆพับขึ้นทบหนึ่ง กับรองเท้าคอนเวิร์สสีเหลืองสดใส รับกับหมวกแก๊บสีเหลืองในมือ ต่างหูลวดลายแปลกๆอีกเต็ม ที่สำคัญเขียนขอบตา ทำให้ดูเปลี่ยนลุคไปจากเดิมเลย กลายเป็นหนุ่มขี้เล่นทะเล้น แทนที่หนุ่มตี๋ซะงั้น แต่ที่เห็นตะเหมือนเดิมคือรีเทนเนอร์สีแดง กับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์
“เป็นไง พี่หล่อยัง”
“สุดๆเลยว่ะ ผมเลยดูเชยเลยเนี่ย” ผมสำรวจเสื้อผ้าตัวเองที่มีแค่ เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงยีนเสมอเข่าพับทบนึง แล้วก็รองเท้าผ้าใบไร้ยี่ห้อ คิดแล้วอนาถว่ะ
“เชยไร ปกติดีนี่หว่า”
“เดินกับพี่ผมดูเชยหน่า”
“เฮ้ยๆไม่หรอก คิดมากว่ะ มันอยู่ที่คนชอบ จะแคร์สายตาคนอื่นทำไม อย่างนายบอกว่าพี่ดูดี แต่เพื่อนพี่บางคนก็บอกพี่ว่าเด่นเกินไปก็มี อย่าคิดไรมากเลย”
“แต่ …”
“คนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ย่อมชอบอะไรที่แตกต่างกัน ไม่งั้นโลกคงเหมือนเมืองโรบอร์ตที่มีทุกอย่างไปตามแบบแผนของมันไปแล้ว”
อื้อหืออ พี่พอยท์แกเข้าใจเปรียบว่ะ แต่มันทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย
“ป่ะ เว่ยไปกันได้แล้ว”
ผมไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่เจอกันเมื่อวาน แต่อยู่กับพี่พอยท์แล้ว …
โคตรมีความสุขเลยว่ะ !
แต่ในแวบหนึ่งขณะนั้น
มันทำให้ผมหวนนึกไปถึงใครอีกคน …
ผมสลัดความคิดตัวเองออกไป
ให้มันเป็นเรื่อง …
ที่เก็บไว้ในมุมหนึ่งของหัวใจ ก็แล้วกัน …
-----------------------------------
ก็มาแบบเรื่อยๆ เมื่อคืนตกใจนึกว่าบอร์ดล่ม TT ชอคมากค่า แบมเข้าไม่ได้ ฮือออ มาลงให้แล้วเนะ