ตอนที่ 34
อาทิตย์ขับรถมาส่งน้องชายและอิทธิที่ไร่ลำไยก็ตอนพลบค่ำ ตอนแรกชายหนุ่มอยากจะพบและพูดคุยกับแม่นางถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่มองดูเวลาแล้วก็นึกเป็นห่วงมารดาที่อยู่คนเดียว จึงรีบตีรถกลับไร่อย่างเสียไม่ได้ กลับถึงไร่ก็ค่ำมากนักแล้ว พารถเข้าจอดได้ก็รีบขึ้นเรือนเพื่อไปพบมารดา เห็นเจ้าตัวนั่งหน้าตึงอยู่ชานเรือนพร้อมบ่าวไพร่ผู้หญิงอีกสองสามนาง
ชายหนุ่มบอกบ่าวไพร่ไปพักผ่อนกันซะ อาสาว่าตนจะเป็นคนดูแลมารดาเอง พอบ่าวไพร่ลงจากเรือนไปหมด สองแม่ลูกจึงได้พูดคุยกัน
“ทานข้าวมาแล้วรึ” จิตราเอ่ยถามก่อน หล่อนรู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่เห็นบุตรชายคนโตกลับมาเพียงลำพัง ตอนแรกตรงหน้าหล่อนมีสำรับกับข้าวหลายอย่างที่เป็นของโปรดของบุตรชายคนเล็ก หล่อนสั่งให้บ่าวไพร่ทำมาแล้วนำมาจัดวาง หวังสร้างความประหลาดใจให้บุตรชายที่หล่อนคิดว่าจะมาให้หล่อนเห็นหน้า ตอนได้ยินเสียงรถวิ่งข้ามาจอดหล่อนได้สั่งบ่าวไพร่ลุกไปชะเง้อมองว่าเจ้าตัวนั่งมาในรถพร้อมพี่ชายด้วยหรือเปล่า สักพักพอบ่าวไพร่กลับมารายงานว่าไม่เห็นมาหล่อนจึงสั่งให้บ่าวไพร่บางส่วนรีบยกสำรับไปเก็บเพราะรู้สึกผิดหวัง และสุดท้ายก็มานั่งหน้าตึงอยู่แบบนี้
“ทานแล้วครับ” อาทิตย์ตอบ ไม่รู้จะเริ่มต้นบอกมารดายังไงดีว่าตนไม่สามารถบังคับให้น้องชายกลับมาพร้อมกันได้ จึงนั่งเงียบๆ สังเกตดูอาการมารดาก่อน
“น้องล่ะ” ที่สุดจิตราก็เอ่ยถามขึ้น การได้อยู่เงียบๆ เพียงคนเดียวบนเรือนหลังใหญ่มันสร้างอารมณ์เหงาหงอยให้หล่อนโหยหาทั้งพี่สาวและบุตรชายคนเล็กอีกครั้ง หวังเอาไว้มากมายว่าพี่ชายจะพาน้องชายกัลบมาได้แต่แล้วเจ้าตัวก็กลับมาเพียงลำพัง หล่อนเกิดอาการชอกช้ำอยู่นิดๆ แต่เพราะทิฐิที่ล้นอยู่ก่อนหน้าทำให้หล่อนไม่อาจแสดงท่าทีออกมาให้บุตรชายคนโตเห็น
“น้องสบายดีครับ น้องบอกว่าจะกลับมาในวันหยุดครับ” อาทิตย์จำใจโกหกถึงวันที่อาทีจะมาที่นี่ เขายังไม่แน่ใจนักหรอกว่าอิทธิจะพาเจ้าตัวบุกมาจริงๆ หรือเปล่า แต่ที่ต้องบอกมารดาออกไปเพราะพอจะดูออกว่ามารดานั้นคล้ายคนกำลังผิดหวังแต่ไม่แสดงออกมา
“ไม่รอให้แม่มันตายก่อนล่ะค่อยมา” จิตราอดประชดประชันไม่ได้ เมื่อรับรู้ว่าสองพี่น้องได้เจอหน้าพูดคุยกันจริงๆ หากอาทิตย์ตอบว่าไม่เจอหน้าน้องชายหล่อนก็คงจะไม่เอ่ยประโยคประชดประชันเช่นนี้ แต่นี่อะไร บุตรชายคนเล็กของหล่อนตัดขาดหล่อนได้ลงคอเลยเชียวหรือ
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับแม่ อาทีมันก็คิดถึงและห่วงแม่อยู่แหละครับ แต่มันขอมาวันหยุด ผมก็ไม่อยากจะบังคับน้อง” อาทิตย์พยายามเอ่ยปลอบ แต่จิตราเมื่อได้ประชดแล้ว มีหรือหล่อนจะกู่กลับ ทันทีที่บุตรชายเอ่ยปลอบหล่อนก็สวนกลับทันทีเช่นกันว่า
“ไม่ต้องมาทำให้แม่รู้สึกดีหรอกอาทิตย์ แม่รู้นะว่าที่มันไม่มาเพราะมันโดนลูกชายอีข้าแม่นางรั้งเอาไว้ สิ่งที่นังส้มมันมาบอกคงเป็นเรื่องจริงสินะ น่าสมเพชนักที่อีนังแม่นางมันมีลูกชายเพียงคนเดียวก็ดันเกิดมาเป็นพวกวิปริตผิดเพศ แม่ว่าแล้วเชียวว่าทำไมมันถึงตามเกาะตามแกะไอ้อาทีนัก”
อาทิตย์น้ำลายเหนียวฝืดคอ มารดาจะรู้มั้ยนะด่าว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นเปรียบไปก็เป็นดั่งด่าว่าตัวเขาเอง
“ทุกอย่างมันอาจไม่เป็นอย่างที่ส้มพูดนะแม่ แม่อย่าเพิ่งตีโพยตีพายว่าอิทธิเลยนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยบอก จิตราหันมองหน้าเอ่ยว่าเสียงดุ
“ทำไมแม่จะว่าไอ้ลูกขี้ข้านั้นไม่ได้ ลูกอย่ามาทำเป็นเข้าข้างมันหน่อยเลย โดนมันเป่าหูอะไรมาล่ะ”
“อิทธิไม่ได้เป่าหูผมหรอกแม่ แต่ตอนนี้เราฟังหูไว้หูถึงสิ่งที่ครอบครัวนายศรมาบอกกับเราบ้างก็ดีนะครับ” อาทิตย์เริ่มโน้มน้าว หวั่นอยู่ว่ามารดาจะไม่พอใจและก็เป็นดังคาด เมื่อมารดาถามกลับมาเสียงเขียว
“ลูกหมายความว่ายังไง”
“ผมกำลังคิดว่าบางทีบัญชีเล่มนั้นที่มันผิดเพี้ยนไป นายศรอาจจะเป็นคนแก้ตัวเลขเองเพื่อยักยอกรายได้ของไร่อย่างที่เคยทำน่ะครับ” อาทิตย์บอกออกไปตรงๆ ถึงตอนนี้จิตราลุกขึ้นเอ่ยเสียงลั่น
“นายศรเป็นคนที่แม่เอาเข้ามาทำงานเองกับมือ เป็นคนสนิทที่คอยช่วยเหลือไร่เราทุกอย่าง ทำไมลูกถึงมาพูดแบบนี้ พูดแบบนี้เท่ากับลูกดูถูกว่าแม่โง่นะอาทิตย์ แม่ล่ะอยากจะรู้นักว่าไอ้อีสองแม่ลูกนั้นมันมีอะไรดีทำไมมันถึงเป่าหูคนรอบข้างแม่ได้ขนาดนี้ แม่เคยคิดว่าอาทิตย์จะไม่เป็นไปกับน้องกับป้า แต่สุดท้ายอาทิตย์ก็กำลังจะไปเข้าข้างศัตรูของแม่ แม่ผิดหวังในตัวลูกมากนะอาทิตย์”
“ใจเย็นๆ นะแม่ ฟังผมอธิบายก่อน ผมแค่สงสัยยังไม่ได้ปักใจเชื่อเสียทีเดียว ยังไงแม่ก็คือแม่ ผมไม่เคยเห็นใครดีไปกว่าแม่หรอกนะครับ” อาทิตย์ลุกขึ้นตามพยามอธิบายให้มารดาเข้าใจ แต่ก็ต้องใจหายเมื่อมารดาไม่พูดไม่จาเอาแต่ส่งสายตาที่เจือด้วยความตัดพ้อมาให้ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีหายกลับเข้าห้อง
“โว้ย! ทำไมเป็นแบบนี้วะ” อาทิตย์ร้องระบายออกมาเมื่อรู้สึกเครียดหนัก พยายามเกลี้ยกล่อมอิทธิก็ไม่ได้ผล กลับมาอธิบายทางมารดาก็ทำท่าจะพังราบตั้งแต่ประโยคแรก แล้วปัญหานี้มันจะยุติลงยังไง ชายหนุ่มนึกเห็นใจคนเป็นป้าที่ก่อนหน้านี้คงจะต้องทนอยู่กับความแตกแยกที่ไม่มีทางบรรจบกันได้ระหว่างมารดากับคนของนางอย่างแม่นางสินะ
“ป้าจันทร์ ผมจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่ป้าจะฟื้นขึ้นมานะครับ ป้าต้องกลับมาพบไร่ของป้าที่สงบสมกับเป็นแผ่นดินที่ป้ารักป้าหวง เอาใจช่วยผมด้วยนะครับป้าจันทร์” พอนึกถึงป้าชายหนุ่มก็เริ่มมีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้ง นี่มันเพียงยกแรกเท่านั้น เขาจะมาท้อแท้ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้ เขาจะต้องทำให้สถานการณ์ในไร่นี้ดีขึ้นโดยไร้ซึ่งเหตุรุนแรง เขาต้องทำให้ได้ เข้าต้องทำให้ได้
ที่เรือนของนายศร ขณะนี้สมาชิกทั้งหมดก็ไม่ยอมหลับยอมนอนกัน สามคนพ่อลูกนั่งพูดคุยปรึกษากันถึงแผนการร้ายๆ ตามปกติของครอบครัวอันธพาล
“ต่อไปนี้ผู้ชายที่ส้มรักเหลือเพียงคนเดียวคือพี่อาทิตย์ ส่วนพี่อาทีส้มขอเลิกเป็นห่วงเป็นใยนับตั้งแต่วินาทีนี้ พ่อกับพี่สินจะทำอะไรก็ทำเลยตอนนี้ส้มไม่ขัดแล้ว”
ส้มเอ่ยบอกบิดาและพี่ชายทั้งน้ำตาหลังจากที่เล่าเรื่องราวที่หล่อนได้เผชิญมาตอนอยู่ที่โรงเรียน นายศรนั้นขบกรามแน่น แสดงสีหน้าและแววตาเหี้ยมเกรียมออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนนึกอยากจะเห็นหน้าคนที่มาตราหน้าว่าตนเป็นผู้ชายหน้าตัวเมียเสียเลยตอนนี้ จะได้จัดการฆ่าทิ้งหมกป่าซะให้หายแค้น ชายหน้าเหี้ยมหันไปเอ่ยกับบุตรชายเมื่อกำลังเคืองแค้นอย่างได้ที่
“ไอ้สิน สมุนเอ็งมันจะลงมือกันเมื่อไหร่ รีบๆ จัดการเลยนะก่อนที่กูจะอดทนรอไม่ไหวลุกไปจัดการไอ้เด็กปากกล้านั่นเอง”
“พวกมันเริ่มแผนการแล้วล่ะพ่อ วันนี้เมื่อตอนเย็นพวกมันก็ไปดักซุ่มดูไอ้อิทธิกับไอ้อาทีแล้วล่ะ แต่พวกมันบอกเห็นใครก็ไม่รู้ไปดักรอเด็กสองคนด้วยเช่นกัน เลยไม่กล้าลงมืออะไร” สินเอ่ยรายนงานส้มจึงเอ่ยเดา
“คงจะเป็นพี่อาทิตย์น่ะแหละ”
“น่าจะจริง เพราะมันบอกลักษณะมาว่าเป็นผู้ชายตัวสูง รูปร่างดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน หน้าตาก็หล่อเหลา” สินเอ่ยสมทบคำบอกน้องสาว ส้มเผลอเคลิ้มตามคำที่พี่ชายบรรยาย คนที่มีพร้อมสรรพทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติอย่างอาทิตย์ หากผู้หญิงคนไหนได้ไปครอบครองคงมีบุญไม่น้อย แต่อย่าหวังเลยว่าหล่อนจะปล่อยให้ใครได้ไปง่ายๆ หล่อนพลาดหวังจากคนเป็นน้องแล้ว คนเป็นพี่ที่เหลืออยู่หล่อนจะต้องจับให้อยู่หมัด ต่อไปนี้ผู้หญิงหน้าไหนที่คิดจะเข้าใกล้ผู้ชายคนนี้ของหล่อนเป็นเห็นดีกับหล่อนแน่
“อีส้ม เคลิ้มเลยนะมึง” สินเอ่ยตวาดน้องสาวเมื่อเห็นอาการเคลิ้มฝันของเจ้าตัว ส้มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ย่นหน้าใส่พี่ชายแล้วเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบิดากับพี่ชายปรึกษาว่าจะหาทางอุ้มเด็กปากกล้าสองคนนั่นไปจัดการยังไงดี หากว่าอาทิตย์ไปดักเจออยู่เช่นนี้
“ให้ส้มไปแยกพี่อาทิตย์ออกจากพวกมันมั้ยล่ะ ส้มว่าส้มทำได้นะ”
นายศรกับสินหันมองส้มเมื่อฟังประโยคเมื่อครู่จบ แววตาชายอันธพาลทั้งวัยหนุ่มวัยแก่เป็นประกายชัดให้เห็น สื่อถึงว่าถึงเวลาปลิดชีพสองเด็กปากกล้าอย่างอาทีกับอิทธิเสียที