ตอนที่ 38
แสงไฟหน้ารถส่องอยู่ไม่ไกลตาในตอนที่อิทธิกำลังควบคุมสติไม่อยู่จากสิ่งที่กำลังเผชิญตอนนี้ เด็กหนุ่มวางร่างที่แน่นิ่งของเพื่อนลงแล้วรีบวิ่งออกไปเพื่อโบกรถคันนั้นให้จอดพลางตะโกน
“ช่วยด้วยครับ! ช่วยด้วย!”
อาทิตย์ใจเต้นตึกตักในตอนที่แสงไฟหน้ารถตัวเองส่องไปให้เห็นร่างเปื้อนเลือดของอิทธิที่กำลังยืนโบกไม้โบกมืออยู่กลางถนนอย่างไม่เกรงกลัวว่ารถเขาจะพุ่งชน ชายหนุ่มชะลอความเร็วรถลงเมื่อขับไปจะถึงร่างนั้น ในใจก็ภาวนาว่าให้ตัวเองตาฝาดที่เห็นว่าร่างของอิทธิโชกเลือด มันต้องไม่ใช่สิ เขาต้องไม่เจออิทธิในสภาพแบบนี้ เพราะนั่นหมายถึงว่าอาทีน้องชายเขาก็จะต้องตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เพราะสองคนนี้ไม่เคยตัวห่างกันเลยสักวินาที หากว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับอิทธิ ก็เป็นไปไม่ได้เลยว่าน้องชายเขาจะปลอดภัย
กว่าที่จะมาเจออิทธิได้ตอนนี้อาทิตย์เพิ่งจะขับรถออกมาจากไร่ลำไยที่เคยไปส่งน้องชายเพื่อตามหาเจ้าตัว เพราะมารดาร่ำร้องให้ตนเป็นคนออกตามหาตอนฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติ นึกถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็สะเทือนใจกับภาพที่มารดาร่ำไห้ปากคอสั่นว่าน้องชายตนตามมาหลอกมาหลอนอีกแล้ว
“อาทิตย์น้องอยู่ที่ไหน น้องอยู่ไหน ลูกไปตามน้องกลับมาที่ไร่นะ มันน่ากลัว มันน่ากลัว น้องมาหลอกแม่อีกแล้ว น้องมาหลอกแม่ ไม่จริง ไม่จริง น้องยังไม่ตาย แม่ไม่เชื่อว่าน้องตาย น้องแค่มาเตือนว่าตกอยู่ในอันตราย อาทิตย์ไปตามน้องกลับมานะ ไปตามน้องกลับมา แม่ให้อภัยน้องแล้ว แม่กลัว แม่กลัวว่าน้องจะตาย อาทิตย์ไปนะ ไปตามน้องกลับมา ไปตามน้องกลับมา ฮือๆ” นั่นคือถ้อยคำที่มารดาเอ่ยออกมาทั้งหมดในตอนนั้น ชายหนุ่มเห็นอาการก็รู้สึกใจไม่ดีตามไปด้วยจึงตัดสินขับรถไปยังไร่ลำไยนั่นเพื่อดูให้แน่ใจว่าน้องชายตนไม่ได้เป็นอะไร แต่แล้วก็ใจหายเมื่อพอไปถึงก็พบเพียงแต่แม่นางที่ร่ำไห้กระวนกระวายอยู่ไม่ต่างจากมารดาตน ฝ่ายนั้นพอเห็นตนในตอนแรกที่แสดงออกถึงท่าทีตกใจ แต่สุดท้ายก็เข้าโผเข้าใส่รายงานปากคอกันว่าบุตรชายของนางและน้องชายของตนยังไม่กลับเข้าไร่มาจนป่านนี้ และนางยังบอกอีกว่าเมื่อคืนนั้นฝันเห็นสองคนนั้นหลงป่ากันอยู่ก่อนร้องไห้ออกมาอย่างน่าเห็นใจ
“คุณอาทิตย์ตามหาอิทกับคุณอาทีทีนะคะ ดิฉันเป็นห่วงพวกเขาเหลือเกิน นะคะ ดิฉันขอร้อง ดิฉันขอร้อง” ฝ่ายนั้นร่ำไห้บอกพลางยกมือไหว้ขอร้อง ชายหนุ่มจึงเอ่ยบอกว่าตัวเองจะต้องออกตามหาทั้งอิทธิและอาทีอย่างแน่นอนเพราะก็รู้สึกห่วงใยสองคนนั้นอย่างสุดหัวใจไม่ต่างจากนางเลย
ชายหนุ่มขับรถออกมาจากไร่และขับตะเวนตามหาทั้งอิทธิและอาทีไปทุกซอกของมุมเมืองเขตนั้น แต่แล้วก็ไม่พบวี่แววว่าจะเจอจนคิดว่าลองขับรถออกมาตามป่าไร่รอบนอกของเมืองดู ระหว่างขับรถก็ได้แต่ภาวนาให้ทั้งน้องชายและอิทธิอยู่รอดปลอดภัย แต่แล้วสุดท้ายก็ต้องมาเจอกับอิทธิในสภาพโชคเลือดแบบนี้ มันทำให้หัวใจหวิวไหวหวั่นวิตกไปต่างๆ นานาๆ
“คุณอาทิตย์ คุณอาทิตย์จริงๆ ด้วย คุณอาทิตย์ช่วยไอ้อาทีด้วย ช่วยไอ้อาทีด้วย”
อิทธิโผวิ่งเข้าหาอาทิตย์ในตอนปัจจุบันเมื่อเห็นคนนั้นลงจากรถเดินมาหาตน
“น้องฉันเป็นอะไร แล้วน้องฉันอยู่ไหน” อาทิตย์เอ่ยถามคนตรงหน้ารู้สึกเครียดจัดกับภาพที่ฝ่ายนั้นร้องห่มร้องไห้อย่างคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อาทีถูกแทง คุณต้องรีบช่วยมันนะ ตอนนี้มันแน่นิ่งไปแล้ว คุณต้องช่วยมันนะ”
อิทธิรีบเอ่ยบอก อาทิตย์ได้ฟังก็ใจหาย ชายหนุ่มรีบจับร่างอิทธิตะคอกถามทันที
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วอาทีอยู่ไหน อาทีอยู่ไหน”
“อยู่นั่นครับ คุณอาทิตย์ช่วยมันก่อนนะครับ แล้วผมจะเล่าเรื่องให้ฟังทีหลัง” อิทธิชี้มือไปทางร่างเพื่อนที่นอนจมกองเลือดแน่นิ่งอยู่ อาทิตย์มองตามไป เอ่ยเรียกชื่อน้องชายลั่นก่อนจะวิ่งไปอุ้มร่างเจ้าตัวมายังรถที่อิทธิคอยเปิดประตูให้ สองคนช่วยกันวางร่างแน่นิ่งของอาทีไว้บนเบาะหลังก่อนที่ต่างคนจะต่างวิ่งขึ้นรถพอขึ้นได้สำเร็จอาทิตย์ก็ไม่รอช้าที่จะบึ่งรถออกไปด้วยความเร็ว
“อาทีมันยังไม่ตาย นายหยุดร้องไห้แล้วตั้งสติเล่าให้ฉันฟังได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
อาทิตย์พยายามควบคุมสติเอาไว้ให้มั่นไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปอีกคน ชายหนุ่มตรวจดูชีพจรน้องชายแล้วตอนอุ้มขึ้นรถพบว่าเจ้าตัวยังไม่ได้จากเขาไปไหน น้องเขายังมีลมหายใจอยู่
“จริงเหรอครับ อาทียังไม่ตาย” อิทธิเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น เด็กหนุ่มหันมองร่างเพื่อนที่หลับใหลอยู่อย่างนั้นก็เผลอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ก่อนจะหันมาเล่าเรื่องราวให้อาทิตย์ฟังตั้งแต่เริ่มต้น
“ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าให้ใจเย็นๆ ทำไมนายไม่ฟังฉันอิทธิ นายไปเริ่มระรานยัยส้มแบบนั้นผลสุดท้ายมันเป็นยังไง มันเป็นยังไง”
อาทิตย์เอ่ยขึ้นเสียงดังเมื่อฟังเรื่องราวที่อิทธิเล่าให้ฟังว่าโดนสมุนนายศรและนายสินอุ้มมาเพื่อฆ่าทิ้ง สาเหตุนั้นฝ่ายนั้นบอกอาจเป็นเพราะตนได้ลงมือทำร้ายยัยส้มหลังจากที่โดนก่อกวนอยู่ตลอด
“ใจเย็น ใจเย็นแล้วยังไง คนที่คุณควรจะตำหนิจะว่ามันควรจะเป็นครอบครัวอันธพาลนั่นไม่ใช่ผม แล้วเรื่องที่คุณบอกว่าผมเริ่มระรานยัยส้มคุณพูดมาได้ยังไง พวกมันต่างหากที่ระรานผมก่อน รวมถึงแม่คุณด้วย”
อิทธิเอ่ยเถียงขึ้นเมื่อรู้สึกเสียใจและน้อยใจกับท่าทีของอาทิตย์ที่ควรจะชิงชังครอบครัวนายศรแต่กลับกลายเป็นว่ามาตำหนิและต่อว่าตนแทน
“ครอบครัวนั่นหากตามสืบว่าพวกเขาเป็นคนเลวว่าจ้างอันธพาลมาทำร้ายน้องชายฉันจริงฉันก็ไม่เก็บเอาไว้แน่ นายไม่ต้องมาขึ้นเสียงใส่ฉัน” อาทิตย์ตอบกลับไป อันที่จริงใช่ว่าจะไม่เห็นใจอิทธิ เพียงแต่นึกโกรธที่เจ้าตัวไม่ได้ฟังคำทัดทานของตนเลย ในเรื่องที่บอกว่าให้ใจเย็นรอคอยที่จะจัดการนายศรนายสินตามวิธีที่ควรจะเป็น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง
“ตามสืบเหรอ นี่หมายความว่าคุณไม่เชื่อสิ่งที่ผมบอกใช่มั้ย คุณกำลังคิดว่าผมใส่ร้ายครอบครัวนายศรใช่มั้ย” อิทธิเอ่ยถามอย่างเจ็บปวด เมื่อคำพูดเมื่อครู่ของอาทิตย์มันช่วยตกย้ำความคิดที่ว่าเจ้าตัวไม่เคยหวังดีกับตนอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอาเถอะขืนพูดกันต่อนี้ก็ไม่วายที่นายกับฉันจะมาทะเลาะกัน” อาทิตย์เอ่ยสรุปยุติข้อถกเถียงก่อนจะรีบเร่งความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเพื่อส่งน้องนายให้ถึงโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด
***********************************************
ค่อนคืนแล้ว หญิงสองคนแม้จะอยู่ต่างไร่กัน แต่ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั้งคู่เหมือนกันคืออาการหวั่นวิตกนึกเป็นห่วงบุตรชายที่ต่างพากันหายตัวไปทั้งคู่
ที่ไร่ส้ม จิตรายังคงนั่งเหม่อน้ำตาซึมนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันกับสิ่งที่หล่อนเคยทำกับบุตรชายคนเล็กนับตั้งแต่ที่รู้ว่าเจ้าตัวลดตัวลงไปคลุกคลีกับเด็กชายที่หล่อนตราหน้าว่าเป็นลุกขี้ข้าตั้งแต่กำเนิด
“ถอยออกไปจากลูกคนชั้นไพร่อย่างเด็กนั่นตาอาที”
“นี่แกจะไปปกป้องมันทำไมตาอาที เดี๋ยวเถอะสักวันมันจะจองหองพองขนกะแก ที่โรงเรียนแกมีลูกผู้รากมากดีตั้งหลายคน ทำไมแกไม่คบ แกมาคบทำไมกะอีแค่ลูกคนงานในไร่ที่สะเออะเกิดมาพร้อมแก หา!”
“แกไม่ต้องมาประชดฉัน แล้วก็อย่าพาลถึงพี่ชายแก พี่ชายแกน่ะฉลาดและมีความคิดที่จะเป็นเจ้าคนนายคนมากกว่าแก่หลายเท่านัก เขาไม่เคยที่จะคบหากับคนชั้นต่ำชั้นไพร่ให้ฉันต้องระอาใจเหมือนอย่างแกจำไว้ และฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าแกยังไม่ถอยตัวของแกออกห่างไอ้ลูกขี้ข้านั่น แกเป็นหลังลายแน่ หนึ่ง!”
“ไอ้อาทีไอ้ลูกไม่รักดี แกท้าทายฉันนักฉันใช่มั้ย แกนึกว่าฉันจะไม่กล้าทำโทษแกงั้นเหรอ วันนี้ฉันเอาแกหลังลายแน่ มานี่”
“ฉันสั่งอะไรแกไม่เคยฟังเลยใช่มั้ย บอกกี่ครั้งว่าอย่าไปเข้าใกล้กับไอ้เด็กเวรนั่นทำไมแกไม่ฟังฉัน เรือนหลังนี้มันเล็กนักหรือไร แกถึงต้องดั้นด้นไปค้างอ้างแรมที่เรือนคนงาน แกเป็นถึงหลานเจ้าของไร่ จะทำอะไรทำไมไม่คิดถึงฐานะตนบ้าง”
“แกไม่ต้องมาเถียงฉัน ฉันเป็นแม่แกฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำ เอาอย่างพี่ชายแกหน่อยสิ เขาไม่เคยขัดใจอะไรฉันแล้วผลที่เขาได้รับมันเป็นยังไง ตอนนี้กำลังจะได้ดิบได้ดี เรียนจบชั้นสูงเหมาะที่จะเป็นเจ้าคนนายคน ซึ่งต่างกับแกนัก ตะลอนๆ ใช้ชีวิตอยู่กับอีพวกเด็กไร้อนาคตให้มันได้อะไร”
ถ้อยคำในส่วนที่หล่อนนึกได้ในตอนนี้เป็นถ้อยคำบางส่วนที่หล่อนเคยใช้ดุด่าต่อว่าบุตรชายกระทั่งเกิดเหตุให้ต้องทะเลาะกันหลายครั้ง หล่อนเองก็รักบุตรชายคนนี้ใช่ว่าหล่อนจะไม่รัก แต่เพราะความเกลียดชังไอ้อีสองแม่ลูกอย่างอิทธิและแม่นางทำให้หล่อนพาลขัดใจในการกระทำของเจ้าตัวจนเกินที่จะแสดงความรักความเอาใจใส่ออกมาเฉกเช่นที่หล่อนทำกับบุตรชายคนโต แต่วันนี้ทำไมหล่อนถึงรู้สึกโหยหาที่จะแสดงความรักความห่วงใยให้กับเจ้าตัวเหลือเกิน หล่อนอยากจะกอด อยากจะหอม อยากจะเอ่ยคำว่าแม่รักลูกให้เจ้าตัวได้ยิน ขอให้คืนนี้หล่อนได้มีโอกาสได้แสดงออกสิ่งเหล่านี้ด้วยเถิด ขอให้สิ่งที่หล่อนเห็นเมื่อช่วงหัววันเป็นเพียงภาพหลอนที่หล่อนคิดไปเอง อาทีกลับมาหาแม่นะลูก กลับมาหาแม่นะ
น้ำตาที่เอ่อซึมตั้งแต่ต้นร่วงหล่นอาบแก้มในตอนท้ายของความคิดคำนึง เพลินพิศซึ่งตอนนี้กลับมารับใช้เจ้านายแล้วตามปกติ เห็นอาการก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้เพราะหล่อนไม่ชินเอาเสียเลยกับท่าทีเหม่อๆ เศร้าๆ ของผู้เป็นนาย
ส่วนที่ไร่ลำไย แม่นางนั้นได้ลงมานั่งพนมมืออ้อนวอนสิ่งศักดิ์ให้คุ้มครองบุตรชายหล่อนและหลานชายผู้มีพระคุณให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง
“เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าคะขอให้สิ่งที่พี่ดวงทำช่วยปัดเป่าเงาดำออกจากชีวิตของคุณอาทีได้จริงๆ ด้วยเถิด และก็ขอให้บุตรชายของลูกช้างอยู่รอดปลอดภัยด้วยอีกคนนะเจ้าคะ”
ในตอนท้ายที่พนมมือเหนือหัวแม่นางเอ่ยภาวนาให้พิธีกรรมที่หญิงเจ้าของไร่ลำไยทำให้คราที่หล่อนเห็นภาพของอาทีไร้ซึ่งศีรษะช่วยปัดเป่าบรรเทาเคราะห์กรรมให้กับเจ้าตัวได้จริง ก่อนจะหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
“ว้าย!”
“เพล้ง!” เสียงร้องว้ายตามด้วยเสียงถ้วยชามตกลงบนพื้นแตกกระจาย แม่นางทรุดลงกับพื้นใจเต้นตัวสั่นอย่างตกใจกับภาพที่นางเห็นว่าร่างของหนุ่มน้อยอาทีที่เดินคู่ร่างบุตรชายหล่อนไปไร้ซึ่งศรีษะ
“แม่นาง เป็นอะไร ร้องเสียงหลงเชียว ตกใจอะไรรึ” เสียงหญิงเจ้าของไร่ดังทักมาก่อนเจ้าตัวจะวิ่งมาช่วยฉุดให้ลุกยืนนางจึงบอกอย่างละล่ำละลั่ก
“ผะ พี่ดวง เมื่อกี้ฉันเห็น ฉันเห็น”
“เห็นอะไร ไหนบอกฉันมาซิ แล้วนี้จะเป็นลมหรือเปล่าหน้าซีดเชียว”
“ฉันตกใจน่ะพี่ดวง คือเมื่อกี้ฉันมองเห็นคุณอาทีไม่มีหัว!”
“หา! นี่เธอเหนื่อยมากไปหรือเปล่าเลยมองอะไรฝ้าฟาง”
“ฉันก็อยากให้เป็นอย่างนั้นนะพี่ดวง แต่ภาพมันชัดมากเลยพี่ดวง ฉันกลัว ฉันกลัว”
“เธอแน่ใจนะว่ามันชัดมาก และเธอก็ไม่ได้ตาฝาด”
“จ๊ะ ฉันมั่นใจว่าฉันไม่ได้ตาฝาด”
“อืม มันก็พอมีเค้านะ เพราะบอกตามตรงว่าแวบแรกที่ฉันเห็นหน้าเด็กหนุ่มนั่นฉันก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังมีเคราะห์”
“พี่ดวงหมายความว่ายังไงคะ”
“คือฉันพอจะรู้เรื่องดวงเรื่องเคราะห์อยู่บ้าง เธอรู้วันเดือนปีเกิดของหนุ่มนั่นมั้ย เดี๋ยวฉันจะช่วยดูเรื่องเคราะห์กรรมและหาทางปัดเป่าให้มันทุเลาลง”
แม่นางยอมบอกวันเดือนปีเกิดของอาทีให้กับหญิงเจ้าของไร่ผู้นั่น ที่นางรู้เพราะจำได้ไม่ลืมว่าอาทีกับบุตรชายหล่อนคลอดออกมาในวันเดียวกัน
หญิงเจ้าของไร่หาที่นั่งทำสมาธินับนิ้วหลับตาเอ่ยมุมมำๆ ไปสักระยะ ก็ลืมตาขึ้นหันมามองด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางจึงเอ่ยถามขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้างคะพี่ดวง”
“ก็อย่างที่ฉันบอกแหละแม่นางว่าเด็กหนุ่มนี่กำลังมีเคราะห์ มันเป็นเวรเป็นกรรมที่เจ้ากรรมนายเวรตามมารังควานตั้งแต่ชาติภพที่แล้ว”
“ผะ พี่ดวงดูได้ขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“หากเคราะห์ไม่แรงกรรมไม่ซัดหนักๆ ฉันก็คงมองไม่เห็นหรอก แต่กับเด็กหนุ่มนี่ถึงขั้นชะตาขาด”
“ชะตาขาด! พี่ดวง พี่ดวงพูดจริงๆ หรือคะ งั้นแสดงว่าสิ่งที่ฉันเห็นเมื่อครู่มันคงลางบอกเหตุอย่างนั้นหรือคะ”
“มันก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยนะ เดี๋ยวฉันจะทำพิธีปัดเป่าบรรเทาเคราะห์ ฉันก็ไม่สามารถรับรองได้ว่ามันจะได้ผล แต่มันก็ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย”
“ยังไงหรือคะพี่ดวง”
“ลำพังฉันคงไม่มีปัดเป่าได้มากมายนัก ฉันจะลองเอาดวงของพ่อหนุ่มนี่ไปให้กับหมอเวทย์ที่ฉันนับถืออยู่ทำพิธีให้ มันก็อาจจะพอช่วยได้แต่ยังไงซะหนุ่มน้อยรายนี้ก็ต้องรับเคราะห์รับกรรมอยู่ดี แต่อาจจะเบาบางลงจากชะตาขาดอาจจะแค่เจ็บหนัก”
“หากได้อย่างนั้นก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะค่ะ ได้ยินแบบนี้ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรืออะไรดี”
แม่นางเอ่ยออกมาอย่างคิดหนัก นึกเป็นห่วงในชะตากรรมในวันข้างหน้าของหลานชายผู้มีพระคุณเหลือเกิน
“ท่าทางเธอรักเด็กคนนี้มากนะ ฉันเข้าใจแต่กรรมของใครก็ของมัน ในโลกนี้ไม่มีใครฝืนกรรมได้หรอก เธอกับลูกเองก็เหมือนกันนั่นแหละ การที่พวกเธอระเห็ดกันมาที่นี่เพราะกรรมเก่ามันก็ยังตามรังควานอยู่ ไปตักน้ำในตุ่มมาให้ฉันสักขันใหญ่ๆไป ฉันจะทำพิธีปัดเป่ากรรมให้ตามวิธีที่ฉันพอจะทำได้เมื่อเวลาที่ฉันรู้สึกว่าชีวิตมันเหมือนโดยรังควาน”
น้ำขันใหญ่ถูกยกมาตั้งลงบนหน้าหญิงเจ้าของไร่ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะนั่งหลับตาเอ่ยอะไรมุมมำๆ อีกสักพักก็จับขันน้ำขึ้นยกเหนือหัวเอ่ยมุมมำๆ ต่อไปจนเสร็จจึงวางลงตรงหน้าแม่นางเอ่ยบอก
“เอาน้ำนี่ให้หนุ่มน้อยนั่นดื่มก่อนนะ มันจะช่วยปัดเป่าเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดในช่วงนี้ได้บ้าง ส่วนเรื่องชะตาชีวิต ฉันจะเอาดวงชะตาของเจ้าตัวไปทำพิธีให้อีกที ตอนนี้เธอก็อย่าคิดมาก ทำใจสบายๆ ยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นเถอะ”
ถึงตอนนี้แม่นางยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณหญิงผู้นั้น แม้จะไม่ได้ปักใจเชื่อเรื่องพิธีกรรมไปเสียหมด แต่อย่างน้อยนางก็ก็นึกขอบใจที่ฝ่ายนั้นพยายามทำให้นางคลายความกังวลใจ นางพูดคุยกับหญิงผู้นั้นต่อสักพักก่อนที่บุตรชายกับคนมีเคราะห์จะวิ่งเข้ามาหา
“มาเหนื่อยๆ กินน้ำกินท่าซักหน่อยนะพ่อหนุ่มน้อย” นางเห็นหญิงเจ้าของไร่ยื่นขันน้ำให้อาทีเป็นคนแรก หนุ่มน้อยนั่นรับมาดื่มแล้วส่งต่อให้บุตรชายของนางดื่มตาม แล้วบุตรชายก็เป็นคนยื่นขันน้ำคืนให้กับหญิงเจ้าของไร่พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ
“ลูบหัวผิดคนหรือเปล่าแม่ นั่นมันหัวไอ้อาทีหลานคุณจันทร์นะไม่ใช่ผม” เสียงบุตรชายนางเอ่ยว่าในตอนที่นางเผลอยกมือขึ้นลูบเส้นผมของคนที่นางนึกห่วงในชะตากรรม
“แม่นางนี่จะแช่งผมให้ตายเร็วๆ ใช่มั้ยเนี่ย ไหว้ผมจัง” ถ้อยคำต่อมาเป็นประโยคที่หลุดออกมาจากปากของอาทีเองตอนนางเผลอจะยกมือไหว้ขอโทษ
“อย่าพูดแบบนี้สิคะคุณอาที ฟังดูไม่ดีเลยนะคะ” นางจำต้องเอ่ยบอกออกมาเมื่อฟังถ้อยคำจากปากหนุ่มน้อยตรงหน้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนที่หญิงเจ้าไร่จะเอ่ยปลอบอีก
“เด็กมันก็พูดไปอย่างเองแหละแม่นาง อย่าคิดอะไรมากน่า สบายใจเถอะนะ เออ แล้วฉันขอตัวกลับก่อนล่ะ เดี๋ยวจะแวะเอาสเบียงมาส่งให้ใหม่ แรกๆ ก็อย่างนี้ล่ะนะ ต่อไปเดี๋ยวฉันจะให้คนงานมาต่อเติมที่ทางสำหรับทำครัวให้เผื่อแม่นางอยากจะทำกับข้าวกินเองบ้าง”
สายลมเย็นพัดมากระทบใบหน้าในตอนที่ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นหายไปจากห้วงความคิด แม่นางอดขนลุกไม่ได้กับสายลมเย็นที่พัดผ่านจึงยกมือพนมไหว้อีกครั้งแล้วลุกเดินกลับขึ้นเรือน
**************************************************
อาทิตย์พาอาทีเข้าโรงพยาบาลเดียวกับที่ผู้เป็นป้ารักษาตัวอยู่ ชายหนุ่มนึกสงสารสภาพร่างกายที่โชกด้วยเลือดสีแดงสดของน้องชายขณะโดนเหล่าพยาบาลเข็นเข้าห้องไอซียู ในมุมหนึ่งอิทธิได้ยังคงนั่งร่ำไห้อยู่เพราะยังหวาดกลัวว่าเพื่อนรักจะเป็นอะไรไป อาทิตย์หันไปมองสักพักจึงเดินลงไปนั่งข้างๆ เจ้าตัวตัดสินใจดึงเจ้าตัวเข้ามากอดปลอบ
“อาทีมันต้องรอดมันถึงมือหมอแล้วอย่าร้องเลยนะ”
อิทธิชะงักในตอนแรกตอนโดนกอดปลอบ ต่อมาก็ไร้เรี่ยวแรงขัดขืนเพราะยังจมอยู่กับความรู้สึกสะเทือนใจอยู่จึงยอมปล่อยให้ร่างซบอยู่บนอกอาทิตย์อยู่เช่นนั้น สักพักสองคนจึงผละร่างออกจากกันลุกยืนตอนที่มีพยาบาลเดินมาบอกและถาม
“ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผู้บาดเจ็บเสียเลือดมากและกำลังอยู่ในขั้นโคม่า ทางเราต้องการเลือดด่วนเพราะที่มีอยู่คงไม่เพียงพอต่อการยื้อชีวิตคนเจ็บ ไม่ทราบว่าใครมีเลือดกรุ๊ป O และพอจะให้เลือดกับเราได้มั้ยครับ”
“ผมครับ ผมเป็นพี่ชายเขาเองเราเลือดกรุ๊ปเดียวกันครับ” อาทิตย์รีบเอ่ยบอกทัน แล้วหันมากำชับอิทธิ
“นายรอฉันอยู่ที่นี่ก่อนนะ เสร็จแล้วฉันจะมาหา ทำใจดีๆ อาทีต้องรอดเชื่อฉัน”
ชายหนุ่มเดินจากไปเมื่อบอกเสร็จ อิทธิยืนมองตามหลัง ค่อยๆ คลายอาการสะอื้นเมื่อเมื่อร่างของอาทิตย์หายเข้าไปในห้อง เรื่องนี้ระหว่างที่พาร่างอาทีมาที่นี่ฝ่ายนั้นบอกว่ายังไม่คิดจะบอกใคร และก็ขอร้องว่าให้ตนอย่าเพิ่งผลีผลามทำอะไรบุ่มบ่ามอีก รอให้ฟ้าสางแล้วเจ้าตัวจะดำเนินการเรื่องราวเองทั้งบอกกับจิตราและแจ้งความกับตำรวจ คำว่าแจ้งความทำอิทธิกังวลอยู่ลึกๆ เพราะไม่แน่ใจนักว่าหนึ่งวายร้ายที่ตายต่อหน้าต่อตาจะเกิดจากคมมีดที่ตนกระหน่ำแทงหรือลูกกระสุนที่สาดเข้าร่าง
หนุ่มน้อยนั่งลงตรงที่เดิมพยายามทำใจให้นิ่งและสงบที่สุด แต่พยายามเท่าไหร่เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เผชิญและรุมเร้ามาตั้งแต่จำความได้ก็ตีวนเข้ามาในห้วงความคิดทั้งภาพที่ตัวเองกับอาทีโดนวาจาดุด่าจากจิตรา ทั้งภาพที่มารดาของโดนโดนรังแกทั้งทางคำพูดและการกระทำจากหญิงผู้นั้น ทั้งนาทีที่โดนอาทิตย์กลั่นแกล้งและข่มเหง แต่ภาพความร้ายกาจของคนๆ นี้มันจางลงบ้างแล้วเมื่อสักครู่ที่เจ้าตัวได้กอดปลอบตัวเอง ส่วนภาพที่ฉายชัดขึ้นมาแทนที่จนจิตใจเริ่มกรุ่นขึ้นอีกครั้งคือวาจาและการกระทำที่สุดอันธพาลจากทั้งนายศร นายสิน และส้ม
เด็กหนุ่มนั่งกำหมัดแน่นเม้มริมฝีปากเข้าหากันเมื่อในสมองนึกประมวลถึงภาพต่างๆ ที่ตนได้ปะทะกับครอบครัวนั้น ซึ่งแต่ละครั้งคนเหล่านั้นช่างน่าขยะแขยงเหลือเกินกับการกระทำของสันดานอันธพาลที่ส่งผ่านจากผู้เป็นพ่อถึงคนเป็นลูกทุกกระเบียดนิ้ว และที่น่ารังเกียจมากขึ้นยิ่งกว่าคือการที่พวกมันทั้งสามเล่นสกปรกด้วยการลอบกัดตนอย่างไร้ซึ่งสำนึกความเป็นคน พวกมันกะคร่าเอาชีวิตเขา กะคร่าเอาชีวิตอาทีแต่ไม่คิดลงมือเอง แบบนี้หากว่าเรื่องถึงมือกฏหมายแล้วพวกมันทั้งสามดิ้นจนหลุดแล้วใครกันจะพิพากษาพวกมัน
“นายรอฉันอยู่ที่นี่ก่อนนะ เสร็จแล้วฉันจะมาหา ทำใจดีๆ อาทีต้องรอดเชื่อฉัน”
อิทธินึกถึงคำพูดสุดท้ายของอาทิตย์ที่ทิ้งไว้ให้ก่อนแยกไป ในใจตอนนี้ขอรับฟังเพียงแค่ประโยคหลังที่บอกว่าอาทีต้องรอด ใช่ เขาภาวนาให้เพื่อนรักเป็นเช่นนั้น แต่ประโยคแรกที่อาทิตย์บอกให้รอ รอแล้วได้อะไรล่ะ รอแล้วเขาได้อะไร?
เด็กหนุ่มตั้งคำถามนี้ขึ้นในใจ ไหนๆ ก็เคยตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่าจะตามทวงความยุติธรรมให้ตนและมารดาถึงตอนนี้ขอเหมารวมถึงการทวงแค้นคืนให้เพื่อนรักมันเลยละกัน อาทิตย์ไม่ได้อยู่ที่ไร่เท่ากับที่เขาอยู่ ชายหนุ่มผู้นั้นยังไม่รู้ถึงความปลิ้นปล้อนของคนพวกนั้นถึงได้บอกว่าใจเขาใจเย็น และรอจัดการเรื่องราวเมื่อฟ้าสาง รอเวลาขนาดนั้นก็เท่ากับว่าให้เวลาคนพวกนั้นมันเตรียมแผนรับมือน่ะสิ
“คุณจะรอคุณก็รอไปคุณอาทิตย์ แต่ผมคงไม่ขอรอกับคุณ ครอบครัวนั้นมันร้ายเกินกว่าที่จะใช้การพูดจาดีๆ ให้มันรู้สำนึก ในเมื่อมันร้ายมาผมก็จะร้ายกลับเช่นกัน”
หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นมาเมื่อภายในใจร้อนกรุ่นได้ที่ ก่อนจะตัดสินใจก้าวออกจากเขตโรงพยาบาลเพื่อย้อนกลับไปยังไร่อัปยศนั้นที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวทุกอย่าง มันคาราคาซังมาเนิ่นนานเกินไปแล้วกับเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้น ถึงเวลาแล้วที่มันจะจบลงเสียที
โปรดติดตามตอนต่อไป