๘
อาทิตย์เดินทางถึงเมืองเชียงใหม่ในตอนเกือบหกโมงเย็น ชายหนุ่มไม่ได้ติดต่อให้คนที่ไร่ส่งรถมารับเพราะตั้งใจจะกลับไปสร้างความประหลาดใจให้กับมารดาและป้าของตน เวลานี้ยังพอมีรถรับจ้างวิ่งเข้าไร่อยู่บ้าง จึงจัดการเดินไปยังสถานีออกรถ
ที่ไร้ส้ม เรื่องราวคราที่จิตราตามไปพิพากษาสองแม่ลูกอย่างแม่นางกับอิทธิยังไม่จบสิ้นลงง่ายๆ เมื่อคืนก่อนโน้นที่อาทีลงจากเรือนหลังใหญ่แล้วได้ไปพบกับสภาพของสองคน นึกเห็นใจปนโกรธแค้นสองพี่น้องที่สร้างเรื่องโกหกให้มารดาตนกระทำสิ่งที่แย่ๆ แบบนี้ได้
เด็กหนุ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง พอทุกอย่างหลุดออกจากปากอิทธิก็รีบผลีผลามออกไปยังเรือนนายศร ลงมือชกต่อยกับสินอย่างไม่ฟังคำทัดทานของใคร นายศรเองพอเห็นลูกชายเพลี่ยงพล้ำ จึงคว้าปืนยาวขึ้นมาขู่ หยุดสถานการณ์ไว้ได้ ส้มถือโอกาสนั้น วิ่งกลับไปรายงานเรื่องราวให้กับจิตราและจันทร์จวงได้ทราบ จิตราจึงตามมาดูเหตุการณ์ให้เห็นกับตา โดยที่จันทร์จวงตามมาด้วยไม่ได้ พอถึงเรือนนายศร ก็ต้องตกใจที่เห็นสภาพของสินโชกเลือดในขณะที่อิทธิเพียงแค่ฟกช้ำนิดหน่อย นาทีนั้นแม่นางกับอาทีตามมาสมทบด้วยพอดี ซึ่งก็ตกใจในภาพที่เห็นไม่ต่างกัน สองคนยืนเคียงข้างอิทธิ ในขณะที่จิตราเดินไปเข้าข้างนายสิน ชี้หน้าด่าอิทธิอยากหยาบคายพร้อมไล่ให้ออกจากไร่ภายใน 24 ชั่วโมง อาทีช่วยโต้แทนเพื่อนเพื่อเรียกความยุติธรรมทั้งหมด เด็กหนุ่มโดนมารดาตราหน้าว่าเป็นลูกเนรคุณ เห็นผิดเป็นชอบ จึงหลุดปากโต้กลับมารดาว่าเป็นคนหูเบา เชื่อคนง่าย สองแม่ลูกโต้เถียงกัน จิตราตบหน้าบุตรชาย เมื่อเห็นเจ้าตัวเถียงคำไม่ตกฟาก สถานการณ์เลวร้ายหนักขึ้นเมื่ออาทีหลุดปากว่าในเมื่อมารดาไม่เคยรักตน ตนก็พร้อมจะหนีออกจากไร่นี้พร้อมแม่นางและอิทธิ จิตราได้แต่ยืนอึ้งที่บุตรชายผูกพันกับอิทธิและให้ความเคารพแม่นางมากกว่าตน หล่อนยืนมองคนสามคนเดินหนีหายไปในความมืดด้วยความรู้สึกชิงชัง เช้ามาจึงตัดสินโทรศัพท์ตามตัวบุตรชายคนโตอย่างอาทิตย์ให้กลับมาที่ไร่จริงๆ โดยอ้างว่าตนและพี่สาวไม่สบายหนัก แต่จริงๆ แล้วหล่อนต้องการมีผู้ช่วยมาเพื่อกำราบคนที่หล่อนเกลียดนักเกลียดหนาอย่างยัยแม่นางและไอ้อิทธินั่นเอง ก็ตอนที่หล่อนกลับมารายงานเรื่องราวทุกอย่างให้พี่สาวฟัง แทนที่พี่สาวจะเข้าข้างหล่อน นางกลับเชื่อว่าอิทธิมีเหตุผลพอที่จะอาละวาดหนักอย่างนั้น โดยนางบอกว่านางเห็นนิสัยเด็กคนนั้นมาตั้งแต่เด็ก จึงพอจะดูออกว่าเจ้าตัวไม่ใช่อันธพาลโดยนิสัย
ตอนสายหน่อยหลังจากโทรศัพท์ให้บุตรชายคนโตรีบกลับมาแล้วหล่อนจึงออกไปยังเรือนสำนักงานเพื่อจัดการกับแม่นางต่อ คราวนี้ไอ้เด็กบ้าอย่างอิทธินั่นไม่อยู่หล่อนจึงทำอะไรได้สะดวกนัก ซึ่งหลังจากด่าทอฝ่ายนั้นให้ได้อายสมใจก่อนจากไปจึงไม่ลืมลงไม้ลงมือตบสั่งสอนอีกฉาดสองฉาด โดยมีนายศรคอยสนับสนุนยุแหย่อยู่ตลอดเวลา
เรื่องราวทั้งหมดถึงหูอิทธิในตอนบ่ายที่เจ้าตัวเลิกเรียนแล้วก็ตรงกลับไร่โดยไม่แวะที่ไหน เพราะรู้สึกเป็นห่วงมารดา เด็กหนุ่มตรงมาที่เรือนสำนักงานหามารดาก่อนกลับเรือน พอเห็นสภาพมารดานั่งทำงานทั้งน้ำตาจึงถามไถ่หาสาเหตุ ในตอนนั้นนายศรออกไปตรวจไร่พอดี พนักงานคนอื่นๆ จึงรายงานสถานการณ์ เด็กหนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงตามมาทวงความยุติธรรมให้มารดาที่เรือนหลังใหญ่ ซึ่งเหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลาในช่วงปัจจุบัน
“เมื่อไหร่คุณจิตรจะเลิกรังแกแม่นางซะที อยู่ดีๆ ทำตัวให้น่าเคารพอย่างผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ เขาทำกันจะเป็นมั้ย” อิทธิเปิดปากสั่งสอนอย่างไม่กลัวบาปกรรมเมื่อสุดจะทนกับพฤติกรรมใจยักษ์ใจมารของน้องสาวเจ้าของไร่
“แกไม่ต้องมาสั่งสอนฉันไอ้เด็กไม่มีพ่อ เห็นก็เห็น รู้ก็รู้ว่าฉันใจร้ายแล้วทำไมแกสองคนยังหน้าด้านหน้าทนอยู่อีก”
“ก็ได้ ในเมื่ออยากให้ผมกับแม่ไปจากที่นี่นัก ผมสองคนก็จะไป”
“เออ ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ”
“มึงจะไปไหนได้ยังไงไอ้อิท มึงยังเรียนไม่จบนะ” อาทีที่ยืนอยู่ในสถานการณ์ด้วยเอ่ยแย้ง
“นั่นน่ะสิตาอิท ใจเย็นๆ นะ กลับเรือนไปก่อนไป ทางนี้เดี๋ยวฉันจัดการปรามน้องสาวฉันเอง” จันทร์จวงที่ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรมาตั้งแต่ต้น สั่งให้สาวใช้พยุงตัวมาดูสถานการณ์ทันพอได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่จึงบอกออกไป
“พี่จันทร์ออกมาทำไมคะ กลับเข้าไปนอนพักเถอะค่ะ เรื่องทางนี้จิตรจัดการเอง” จิตราหันไปบอกพี่สาว
“จัดการให้เรื่องมันใหญ่โตน่ะ เธอนี่นะจิตรา ทำตัวให้เด็กมันมาถอนหงอกเอาได้” จันทร์จวงว่าน้องสาว บ่าวไพร่ที่ไม่ชอบนิสัยต่างหัวเราะคิกคัก คนโดนว่าจึงตวาดลั่น
“ไอ้อีคนไหนมันหัวเราะ ฉันจะเฉดหัวออกไปให้หมด”
เสียงหัวเราะเงียบลง พร้อมคนออกคำสั่งก้าวฉับๆ เดินเข้าห้องของตนไป จันทร์จวงถอนหายใจ มองภาพที่หลานชายคนเล็กของตนตบไหล่เพื่อนเชิงปลอบโยน
“พาเพื่อนกลับเรือนก่อนไปอาที” นางเอ่ยออกคำสั่ง แล้วเดินกลับเข้าไปเพื่อพูดคุยกับน้องสาวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
อาทีพาอิทธิกลับถึงเรือน เด็กหนุ่มอยู่พูดคุยกับเพื่อนอย่างไม่อยากกลับเรือนหลังใหญ่เพราะรู้สึกเห็นใจในเรื่องที่เจ้าตัวเผชิญ
“มึงจะไปจากที่นี่จริงๆ เหรอไอ้อิท” เด็กหนุ่มเอ่ยถามถึงคำพูดที่ตนได้ยิน
“อยู่ไปก็โดนแต่จะมีเรื่อง” อิทธิบอกเป็นเชิงว่าอาจจะจริง แม่นางที่ฟังอยู่ได้ยินจึงเข้าร่วมวงสนทนาด้วยการต่อว่าบุตรชาย
“เหลวไหลน่าอิท เรียนก็ยังเรียนไม่จบ จะไปไหนได้ยังไงกัน”
“แล้วเราจะอยู่ให้คุณจิตรรังแกแบบนี้เหรอแม่” อิทธิถามมารดา
“ทนมาได้ตั้งนาน ทนอีกนิดจะเป็นไรไป” มารดาว่ากลับซึ่งอาทีก็เห็นด้วย
“จริงของแม่นาง รอให้มึงเรียนจบก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิด”
“แต่กูทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย แม่มึงชักจะร้ายขึ้นทุกวัน ไหนจะนายศร นายสิน และก็ยัยส้มอีก” อิทธิก้มหน้านิ่งไม่อยากนึกคิดต่อว่าตนกับแม่จะต้องเผชิญอะไรอีกบ้างหากต้องทนอยู่ในไร่นี้ต่อไป
“นายลืมนับฉันไปอีกคนหรือเปล่า” หนึ่งเสียงดังขึ้นมา สามคนที่นั่งกันอยู่หันไปมองพร้อมกัน ต่างคนต่างอ้าปากค้าง เมื่อเห็นร่างสูงที่จากไร่นี้ไปนานยืนอยู่ต่อหน้า
“พี่อาทิตย์” ในที่สุดคนที่เรียกชื่อฝ่ายนั้นออกมาก็เป็นอาที เด็กหนุ่มยืนขึ้นถามพี่ชายเมื่อผ่านอาการตะลึงไปได้
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่” คำนั้นนั้นห้วนนัก อาทิตย์พอจะเดาออกว่าน้องชายไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับการมาเยือนของตนนัก แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเปิดใจคุยกับน้องชาย ที่เขาตรงมาที่นี่หลังจากเจอหน้ามารดาและป้าได้ไม่นานเพราะต้องการมาสะสางเรื่องราวที่มารดาบอกว่าลูกคนงานในไร่อย่างนายอิทธิยโสหนักกว่าแต่ก่อนเป็นสิบเท่าด้วยการยืนถอนหงอกหล่อนต่อหน้าคนงานในไร่นับสิบ นายนี่เป็นใครถึงได้ไปยืนด่าว่ามารดาของตนฉอดๆ อุตส่าห์คิดว่านิสัยจะดีขึ้นจากเมื่อก่อน ที่ไหนได้ พอก้าวเข้าเขตไร่ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องมารับรู้ว่านิสัยยโสอันธพาลยังคงไม่หลุดออกจากตัว เสียความรู้สึกจริงๆ ให้ตายสิเอา
“มาถึงเมื่อไหร่ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่ามืดป่านนี้แล้วทำไมนายยังมาอยู่ที่นี่” อาทิตย์ต่อว่าน้องชาย แล้วหันไปมองยังร่างสองแม่ลูกที่กำลังยืนชิดกันอยู่ ชายหนุ่มมีมารยาทพอที่จะยกมือไหว้แม่นางซึ่งดูชราขึ้นบ้างแล้วจากครั้งที่สุดท้ายที่เขาได้เจอ การให้ความเคารพหญิงผู้นั้นไม่ใช่เกิดจากการแกล้งทำ แต่เขาโดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจากป้าจันทร์ว่าให้ถือว่าแม่นางเป็นญาติผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มก็ปฏิบัติตามคำสั่งมาด้วยดี จะมีก็แค่ครั้งนั้นที่รวมหัวกับมารดาให้ร้ายเจ้าตัวว่าใช้งานคนงานเกินกำลัง ซึ่งมันก็ผ่านมานานหลายปี เป็นไปได้หากมีเวลาก็อยากแสดงความขอโทษ แต่ตอนนี้ขอจัดการลูกชายนางซะก่อนเถอะ ได้ฟังเรื่องราวที่มารดาบอกแล้ว เลือดในกายมันสูบฉีดจนนึกอยากกำราบให้สำนึก
ร่างของอิทธิตอนนี้โตเป็นหนุ่มซึ่งฉายแววหล่อเหลาออกมาไม่น้อย ร่างนั้นบางกว่าเขาแต่ความสูงนั้นเกือบจะเท่ากัน สงสัยเจ้าตัวน่าจะรับเชื้อมาจากบิดา เพราะดูแม่นางก็ตัวไม่สูงเท่าไหร่นัก ผิวของเจ้าตัวที่อยู่ภายใต้หลอดไฟนีออนนั้นสว่างตาให้เห็น บ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนผิวขาว ถือเป็นพัฒนาการส่วนดีของคนกำลังโตเป็นหนุ่ม
“ไหว้คุณเขาหรือยังตาอิท” เสียงแม่นางเอ่ยขึ้น อาทิตย์ได้สติเลิกมองสำรวจร่างที่อยู่ตรงหน้า กลับมาให้ความสนใจว่าเด็กนั่นจะทำความเคารพตนตามคำสั่งมารดาหรือไม่
“พ่อก็ไม่ใช่ ญาติก็ไม่เกี่ยว ทำไมต้องไหว้” จากอารมณ์แค้นเคืองที่ติดอยู่ในใจเรื่องจิตรา คำพูดที่หลุดออกมาจึงไร้ซึ่งการเคารพ อาทิตย์ที่ฟังอยู่อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงแขวะ
“เด็กๆ เป็นยังไง โตขึ้นก็ยังไม่เปลี่ยนนะนายอิทธิ”
“แล้วคุณล่ะครับ เปลี่ยนไปแค่ไหน ที่วิ่งมานี่คงจะตามมาราวีผมกับแม่ตามคำสั่งแม่จอมฟ้องของคุณใช่มั้ย” อิทธิเอ่ยว่าอย่างรู้ทัน อาทิตย์หน้าชาหน่อยๆ ที่โดนจับทางถูก ด้วยทิฐิที่ไม่อยากยอมรับจึงเฉไปเรื่องอื่น
“ฉันมาตามน้องชายฉันกลับเรือน ไม่ได้มาตามราวีใคร”
“ผมยังไม่กลับหรอก มีเรื่องคุยกับไอ้อิทอีกเยอะ” อาทีชิงปฏิเสธ พี่ชายจึงหันมาหมั่นไส้น้องชายแทน
“ทำยังกะไม่เจอกันเป็นปี ฉันนี่ที่นายควรจะให้เวลาด้วยไอ้อาที ไปกลับเรือน” ชายหนุ่มฉุดมือน้องชายลากเดินหนี แต่โดนสะบัดออกจนหลุด
“บอกแล้วไงผมไม่กลับ อย่ามาทำนิสัยเหมือนแม่กับผมนะ” อาทีตวาดพี่ชาย อาทิตย์นึกฉุนที่น้องชายไร้ความเคารพ จึงโต้กลับ
“นิสัยอันธพาลแบบนี้นายไปเอามาจากไหนอาที”
“อย่ามาว่ากระทบจะด่าก็ด่ากันตรงๆ คุณอาทิตย์” อิทธิชิงว่าขึ้นเมื่อคิดว่าคนมาใหม่ต้องการด่าน้องชายกระทบตน
“อย่าทำแสนรู้ให้มากนักอิทธิ” อาทิตย์หันมายั่วโมโห ซึ่งทำสำเร็จ เมื่ออิทธิโต้กลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ผมไม่ใช่หมา”
“ไม่ใช่ก็เลิกเห่า ฉันจะคุยกับน้องฉัน” อาทิตย์มองจ้องหน้า เป็นครั้งแรกที่สองคนมองสบตากันตรงๆ
แม่นางกับอาทีมองสบตากันเมื่อเห็นคนสองคนตรงหน้าจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายหนึ่งในนั้นจึงเอ่ยขึ้น เพื่อหย่าสายตาคนทั้งคู่ให้เลิกจ้องกัน ซึ่งก็คืออาที
“ผมกลับก็ได้” พูดจบเด็กหนุ่มก็เดินหายไปก่อน เมื่อเห็นพี่ชายละสายตาจากเพื่อนของตนแล้ว
“ฝากไว้ก่อน นายกับฉันเจอกันอีกยาวแน่” อาทิตย์หันมาเอ่ยคาดโทษกับอิทธิ
“คิดว่าผมกลัวนักหรือไง” อิทธิเอ่ยท้าทาย
“ปากดี รอให้ฉันจัดการน้องชายฉันก่อนเถอะ คิวต่อไปเป็นนายแน่” อาทิตย์ชี้หน้าส่งสายตาดุๆ เอ่ยกำชับก่อนเดินหายไปอีกคน
“ทำตัวไม่น่ารักเลยนะอิท” แม่นางติงบุตรชาย เมื่อหลานชายเจ้าของไร่เดินหายไปแล้วทั้งสองคน
“จะให้อิททำตัวน่ารักใส่คนร้ายกาจน่ะเหรอแม่ อิททำไม่ลงหรอก” อิทธิหันมาตอบ แม่นางลอบถอนหายใจ ก็เห็นล่ะนะว่าคนที่เดินจากไปเมื่อครู่เอ่ยคาดโทษบุตรชายตนยังไง แต่ในสายตาของคนเป็นผู้ใหญ่ พอจะดูออกว่าคนๆ นั้นมีเหตุมีผลพอที่จะไม่ทำตัวร้ายๆ อย่างใครคนอื่นที่กระทำกับตน ดูอย่างเมื่อครู่ที่เจ้าตัวยกมือไหว้ตน เล่นเอาทำตัวแทบไม่ถูก อิทธิเอ้ย จะดูออกมั้ยล่ะนั่นว่าคุณอาทิตย์ไม่ได้จงใจร้ายกาจใส่เราอย่างที่ลูกคิดหรอก
โปรดติดตามตอนต่อไป