๗
ที่เรือนแม่นาง ขณะอิทธิกำลังนอนหนุนตักมารดาอยู่ชานเรือน แม่นางลูบศีรษะบุตรชายอย่างเอ็นดูในตอนตอบคำถามเรื่องต่างๆ ที่เจ้าตัวนึกอยากรู้
“พ่อผมเป็นใครเหรอแม่” จู่ๆ บุตรชายก็หลุดคำถามนี้ออกมาทำให้มือที่กำลังลูบเส้นผมสะดุดลง
“อิทอย่าเพิ่งถามแม่เรื่องนี้เลยนะ เอาไว้ให้แม่พร้อมจะเล่าแม่จะบอกลูกเอง” นางเอ่ยบอกออกไป จังหวะนั้นบุตรชายลุกนั่งจับมือพร้อมเอ่ย
“อิทขอโทษนะแม่ อิทไม่ได้ตั้งใจทำให้แม่ไม่สบายใจ” เอ่ยจบร่างเด็กหนุ่มก็โผซบลงบนอกมารดา ซึ่งได้รับการสวมกอดกลับมาอย่างอบอุ่น แต่แล้ววินาทีแห่งการแสดงความรักก็พลันสะดุดลงเมื่อมีหนึ่งเสียงดังแหวกอากาศมาให้ได้ยิน
“หนอย มานั่งสวมกอดกันสุขใจจริงนะอีพวกขี้ข้าจอมอวดดี”
“คุณจิตร” สองแม่ลูกที่ผละร่างออกจากกันมองไปทางต้นเสียง เอ่ยเรียกคนชื่อพูดแทบจะพร้อมกันเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ใช่ฉันเอง ตกใจล่ะสิ นึกไม่ถึงใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงตามมาพิพากษาแกสองคนเร็วขนาดนี้” จิตราเหวเสียงใส่ สองขาก้าวขึ้นเรือนอย่างคนมีโทสะโดยมีเพลินพิศตามสนับสนุน
“พิพากษาอะไรกันหรือคะ” แม่นางเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ก่อนจะหน้าหงายเสียหลักล้มลงไปตามแรงนิ้วมือที่จิ้มลงหน้าผากสุดแรง
“แม่!” อิทธิร้องเรียกมารดาด้วยความตกใจ กำลังจะโผเข้าไปพยุงให้ลุกขึ้น ร่างหนุ่มน้อยก็ต้องกระเด็นไปอีกทางจากการจับเหวี่ยงของจิตรา
“โอ้ย!” อิทธิร้องแสดงความเจ็บเมื่อร่างเสียหลังล้มชนฝาเรือน
“อิท!เจ็บมั้ยลูก” แม่นางตั้งสติคลานเข่าเข้าไปหาบุตรชาย แต่ไปยังมาถึงก็ต้องถอยร่นกลับทางเดิมตามแรงดึงข้อเท้า ซึ่งคราวนี้คนที่ดึงคือเพลินพิศ
“โอ้ย! ปล่อย ฉันเจ็บ” แม่นางร้องสุดเสียงเมื่อหัวเข้าครูดไถลตามพื้นเรือน
“เหวี่ยงมันลงข้างล่างเลยนังพิศ” จิตราออกคำสั่งสาวใช้ ซึ่งเตรียมจะจัดการตามคำบอก อิทธิหันควับมองทันควันเช่นกันหลังได้ยินประโยคนั่นจากปากจิตรา เด็กหนุ่มถลาเข้าชนร่างคนออกคำสั่งจนล้มคะมำลงบนพื้นเรือนร้องกรี๊ดสุดเสียง จากนั้นหนุ่มน้อยจึงตามไปจัดการแกะมือสาวใช้เจ้าตัวออกจากข้อเท้ามารดาตน พอทำสำเร็จจึงออกแรงผลักฝ่ายนั้นจนเกือบจะตกเรือนไปซะเอง
“กรี๊ด! คุณจิตรช่วยด้วย” เพลินพิศร้องเสียงหลงเมื่อร่างกำลังจะหล่นลงพื้นเบื้องล่าง ดีที่หล่อนรั้งตัวไว้ทัน จิตราเห็นภาพนั้นนึกเคืองแค้นแทนบริวาร เอ่ยออกมา
“จองหองทำคนของฉันเหรอไอ้เด็กเปรต” เอ่ยเสร็จก็รีบลุกขึ้น ถือโอกาสที่สองแม่ลูกกำลังดูอาการกันและกันเดินมาจับร่างให้แยกออกจากกันแล้วใช้ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าคนทั้งคู่คนละฉาดจนหันสะบัดทั้งสองคน
“พิศขอด้วยค่ะคุณจิตร อีเด็กนี่มันทำพิศเกือบตายโหง” เพลินพิศที่ลุกขึ้นได้แล้วถลาเข้าจะตบอิทธิซ้ำ แต่แม่นางไวกว่าพุ่งเข้าขวางไว้ ใบหน้าของนางจึงโดนตบเข้าอีกหนึ่งฉาด ร่างฟุบใส่ตัวบุตรชาย
“แม่!” อิทธิร้องเรียกแม่ น้ำตาแทบไหลเมื่อเห็นหยดเลือดเริ่มซึมที่มุมปากมารดา
“สะใจข้าจริงโว้ยนังพิศ เลือดมันกลบปากแล้ว” จิตราเอ่ยขึ้นอย่างสาแก่ใจตามด้วยเสียงหัวเราะที่เสียดแทงใจอิทธิยิ่งนัก เด็กหนุ่มสิ้นสุดความอดทนเมื่อมารดาโดนทำร้ายจนเลือดตกยางออกแบบนี้ ภาพของจิตราที่ยืนจังก้าหัวเราะอยู่มันช่างยั่วปลายเท้าดีแท้ เร็วเท่าความคิด อิทธิยกเท้าขึ้นเตรียมที่จะถีบไปยังร่างคนร้ายกาจอย่างจิตรา แต่ก็ทำไม่สำเร็จเมื่อมือผู้เป็นมารดาได้คว้าเท้าตนเอาไว้ พลางร้องห้าม
“อย่าอิท! ทำผู้ใหญ่มันบาปลูก”
“อ๋อ นี่คิดจะสู้ฉันเรอะ!” จิตราได้ยินถ้อยคำนั้นก็มีโทสะขึ้นมาอีก หล่อนลงมือผลักร่างของแม่นางออกจากร่างอิทธิจนกระเด็นไปอีกทาง อิทธิมัวแต่ตกใจมองตามร่างมารดาจึงไม่ทันระวัง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนฝ่ามือฟาดเข้าที่ใบหน้าอีกฉาดจากฝีมือจิตรา หนุ่มน้อยหน้าหันสะบัดคะมำซบพื้นเรือน
“นังพิศจัดการมันต่อซิ ส่วนนังแม่นางฉันจัดการเอง” จิตราออกคำสั่งเสร็จก็หันมองไปยังร่างแม่นางที่ร่นถอยหนี ส่วนเพลินพิศกระหยิ่มยิ้มย่างกายเข้าหาอิทธิ กำลังจะถึงตัวอยู่แล้ว แต่กลับต้องกระเด็นถอยหลังเพราะแรงถีบจากปลายเท้าฝ่ายนั้นที่ถีบสวนกลับมา
“โอ้ย! คุณจิตร มันถีบพิศ” สาวใช้ร้องออกมาด้วยความจุกเสียด แต่ก็ไม่ลืมที่จะฟ้องเจ้านาย
“ไม่ได้เรื่องเลยอีพิศ” จิตราว่าสาวใช้ด้วยสรรพนามหยาบคาย เมือเห็นเจ้าตัวปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ดังใจ หล่อนเปลี่ยนเป้าหมายเดินย่างกรายเข้าหาบุตรชายแทนมารดา ซึ่งขณะนั้นอิทธิก็ตั้งรับอยู่แล้ว
“มาซิวะ ตอนนี้กูไม่ไว้หน้าใครแล้วทั้งนั้น” หนุ่มน้อยโพล่งขึ้นหน้าตาขึงขัง จิตราเกิดอาการหวาดหวั่นเล็กน้อย จึงส่งเสียงด่าแทนการเดินเข้าหา
“แกกล้าทำอะไรฉันเหรอไอ้เด็กเนรคุณ”
“คุณมีบุญคุณอะไรกับผม คนที่นี่ที่มีบุญคุณกับผมคือคุณจันทร์คนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่น ผมไม่เคยนับว่ามีพระคุณ” อิทธิเอ่ยโต้
“จองหอง พี่จันทร์เป็นพี่สาวฉัน เขามีพระคุณกับแกเท่าไหร่ มันก็เท่ากับที่ฉันมีกับแกเท่านั้น” จิตราไม่ยอมแพ้
“ช่างกล้าพูดนะคุณจิตร การมีพระคุณของคุณมันคือการเที่ยวทุบตีคนอื่นแบบนี้น่ะเหรอ” อิทธิไม่ลดวาจาให้เช่นกัน มองไปยังร่างมารดาแล้วเจ็บใจจนสุดจะทน จึงออกปากไล่น้องสาวเจ้าของไร่ให้ออกไปให้พ้นจากเรือนตน
“คุณพาขี้ข้าของคุณออกไปจากเรือนผมเลยนะ ก่อนที่ผมจะไม่เกรงใจคุณอีก”
“เรือนของผม พูดได้ไม่อายปากนะไอ้ลูกไม่มีพ่อ นี่มันเรือนของฉันที่สร้างไว้คุ้มหัวพวกแกต่างหาก” จิตราเอ่ยว่าให้สำนึก แม่นางที่ฟังอยู่ทนไม่ได้เรื่องบุตรชายโดนกล่าวว่าว่าไร้บิดา จึงลุกขึ้นเอ่ยบอกคนพูด
“จะด่าจะว่าอะไรเราสองคนก็ได้นะคุณจิตร แต่ขอร้องเลิกว่าลูกดิฉันไม่มีพ่อเสียที”
“ก็มันเรื่องจริงมั้ยล่ะนังขี้ข้าขี้ประจบ” จิตราหันมาว่าพลางยกนิ้วมือจิ้มหน้าผากอีกครั้งจนแม่นางหน้าหงายอีกรอบ แต่คราวนี้ทรงตัวยืนอยู่ได้ไม่ล้มลงเช่นเคย อิทธิสุดจะทนกับภาพที่เห็นจึงโผเข้าผลักร่างคนใจร้ายจนล้มลงก้นกระแทกพื้นเรือน
“โอ้ย!” จิตราร้องออกมาด้วยความเจ็บ เงยหน้าขึ้นมองอิทธิที่ยืนจังก้าชี้หน้าคาดโทษตน
“ลองคุณจิตรแตะต้องตัวแม่นางแม้แต่นิ้วก้อยเดียวอีกครั้ง เราเป็นได้เห็นดีกันแน่”
“ไอ้เด็กเปรต ถึงฉันทำไม่ได้ บริวารฉันก็มี นังพิศ จัดการ” จิตราเอ่ยออกคำสั่งสาวใช้ให้จัดการแม่นางแทนตน เพลินพิศรับคำอย่างเร็วพุ่งร่างเงื้อมือเตรียมฟาดลงบนใบหน้าเหยื่อ แต่คราวนี้มันไม่ง่ายเช่นเคยเมื่อแม่นางยกมือขึ้นจับข้อมือหล่อนไว้ก่อนฝ่ามือจะกระทบใบหน้า ไม่เพียงแค่นั้น มืออีกข้างของฝ่ายนั้นยังฟาดสวนกลับมากระทบที่ใบหน้าตนเต็มๆ จนหันสะบัด เป็นจังหวะเดียวกับที่มือที่ถูกจับไว้โดนปล่อยให้เป็นอิสระ ร่างท้วมๆ จึงล้มลงทับร่างของจิตราที่นั่งอยู่ที่พื้นเรือนก่อนหน้า
“ว้าย โอ้ย อีพิศ กูเจ็บ” จิตราร้องออกมาเมื่อรู้สึกจุกแน่นบริเวณหน้าท้องที่โดนทับ
“พิศก็เจ็บเจ้าค่ะคุณจิตร นังแม่นางมันตบหน้าพิศ” เพลินพิศรีบลุกออกจากร่างเจ้านาย รายงานสถานการณ์พลางลูบแก้มตนที่เจ็บแสบอยู่ ฝ่ามือยังแม่นางนี้หนักไม่เบา หล่อนนึกคิด
“กูเห็นแล้วอีโง่ อูย กูลุกไม่ขึ้น ฉุดกูที” จิตราร้องโอดโอยเมื่อรู้สึกเจ็บแน่นจนลุกไม่ไหว อิทธิเห็นภาพนั้นถอยร่างมายืนชิดมารดา เอ่ยถาม
“แม่เจ็บมั้ย”
“เดี๋ยวมันก็หายลูก ไปฉุดคุณจิตรลุกทีนะ” แม่นางตอบแล้วสั่งลูกชาย
“ผมไม่ถีบตกเรือนก็ดีเท่าไหร่แล้วแม่ ลุกไม่ได้ก็นอนอืดตายอยู่ตรงนั้นแหละ อยากมาราวีเราก่อนทำไม สาเหตุเกิดจากเรื่องใดก็ยังไม่รู้” อิทธิตอบมารดา จิตราได้ยินทุกประโยค ร้องกรี้ดออกมาอยากคับแค้นใจ เมื่อลุกอาละวาดไม่ได้อีก จึงระบายออกมาเป็นคำพูดแทน
“ก็เพราะพวกแกสองคนมันอวดดีไปรังแกลูกนายศรหัวหน้าคนงานไง ฉันถึงต้องตามมากำราบไม่ให้พวกแกจองหองไปมากกว่านี้ วันนี้พวกแกเล่นงานลูกหัวหน้าคนงาน วันหน้าคงเป็นคิวฉันกับพี่ฉันที่จะเป็นผีเฝ้าไร่นี้เพราะน้ำมือพวกขี้ข้าอันธพาลอย่างแกสองคน”
“พวกเราเปล่านะคะคุณจิตร คุณจิตรไปฟังความมาจากไหนกัน” แม่นางปฏิเสธหน้าตื่น
“ยังจะมาแก้ตัว หนอยตบฉันซะหน้าหัน มือหนักใช้ได้นะแก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหน้าไอ้สินถึงได้แหกขนาดนั้น” เพลินพิศเอ่ยบ้าง สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างนึกสงสัยว่าที่สาวใช้จิตราเอ่ยเมื่อครู่มันหมายถึงอะไร กำลังจะหันกลับมาถามหาความกระจ่างก็ไม่ทันการณ์เมื่อมีเสียงร้องเรียกปนเสียงฝีเท้าวิ่งดังเข้ามาขัดจังหวะ
“คุณจิตรคะคุณจิตร คุณจันทร์อาการแย่แล้วค่ะ เป็นลมยังไม่ฟื้นเลย”
“พี่จันทร์” จิตราครางชื่อพี่สาวออกมาอย่างตกใจ คำว่าเป็นลมยังไม่ฟื้นทำหล่อนหน้าเสีย
“นังพิศ พยุงข้าขึ้นเร็ว ข้าจะไปดูพี่จันทร์” หล่อนหันมาสั่งสาวใช้ที่นั่งดูอาการอยู่ข้างๆ
“ว้าย! คุณจิตรเป็นอะไรไปนังพิศ” สาวใช้ที่วิ่งมาแจ้งข่าวร้องถามเพลินพิศเมื่อเห็นจิตรานั่งสิ้นท่าอยู่ที่พื้นเรือน
“สองแม่ลูกนี่สิมันรุมทำร้ายคุณจิตรกับฉัน พวกหล่อนเป็นพยานไว้นะ หากคุณจันทร์ฟื้นฉันจะฟ้องคุณจันทร์” เพลินพิศสร้างเรื่องให้สาวใช้คนอื่นๆ คล้อยตาม
“คอยดูฉันจะให้พี่จันทร์เฉดหัวแกสองคนออกจากไร่ให้ได้” จิตราเอ่ยคาดโทษสองแม่ลูกที่ยืนระอาใจกับการโดนใส่ความ เสียน้ำลายแก้ต่างตอนนี้ก็ท่าจะไร้ประโยชน์ สองคนจึงนิ่งซะ อีกอย่างจิตใจตอนนี้ก็เป็นห่วงนางผู้เป็นเจ้าของไร่เหลือเกิน
“แม่จะไปดูคุณจันทร์ อิทอยู่เรือนนะลูก” แม่นางเอ่ยบอกบุตรชาย
“แกจะสะเออะไปทำไมให้เรือนฉันแปดเปื้อน พี่สาวฉันฉันดูแลเองได้ แหม คิดจะไปประจบประแจงตอนที่พี่สาวฉันไม่สบายล่ะสิ ขี้ข้าขี้ประจบอย่างแกอ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่แล้ว” จิตราว่าตอนที่สาวใช่พยุงร่างให้ลุกได้แล้ว แต่ก็ยังต้องพยุงกันอยู่
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณจิตร ดิฉันเป็นห่วงคุณจันทร์จริงๆ” แม่นางเอ่ยแย้ง
“ฉันไม่เชื่อคำแกหรอกนังขี้ข้า” จิตราตวาดกลับ แม่นางขยับปากจะพูดแต่บุตรชายชิงเอ่ยก่อน
“เขาไม่ให้ไปก็ไม่ต้องไปแม่ คนมันร้าย ในสมองก็มักคิดแต่เรื่องร้ายๆ แบบนี้แหละ”
“แอร๊ย! ไอ้อิทธิ นี่แกว่าฉันเรอะ!” จิตราลืมอาการเจ็บเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ แต่ก็ได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องหยุด เมื่อรู้สึกจุกแน่นขึ้นมาอีก
“พูดแค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ ความจริงทั้งนั้น” อิทธิเอ่ยอีก จิตราได้แต่ถลึงตาเข้าใส่เพราะหมดเรี่ยวแรงที่จะราวี หล่อนสั่งให้บริวารพยุงร่างกลับเรือนเมื่อนึกเป็นห่วงพี่สาวขึ้นมา
ลับหลังจิตราอิทธิยกมือขึ้นเช็ดหยดเลือดที่มุมปากมารดา หนุ่มน้อยน้ำตาใหลออกมาด้วยความสะเทือนใจเมื่อเห็นมารดาสะดุ้งกายคล้ายเจ็บ
“แม่นางเจ็บเหรอครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางสะอื้นไห้ออกมาเมื่อเก็บกลั้นอารมณ์สะเทือนใจไม่อยู่
“ไม่เอาอิท ไม่ร้องลูก เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งนะ” แม่นางปลอบบุตรชาย แต่ตนก็ไม่วายน้ำตาไหลออกมาให้เห็น
“อิทปกป้องแม่ไม่ได้ อิทขอโทษ” อิทธิโผเข้ากอดมารดา ซึ่งได้รับการกอดตอบอย่างแนบแน่น สองแม่ลูกจึงกอดกันกกลมจมกับหยาดน้ำตาอีกครั้ง
ที่เรือนหลังใหญ่ จันทร์จวงยังคงนอนแน่นิ่งอยู่เตียงนอนภายในห้อง จิตราไปถึงสั่งคนรับใช้เปิดหน้าต่างและประตูทุกบานเพื่อให้ลมโกรกเข้ามา อากาศจะได้ปลอดโปร่ง
“มีใครสั่งนายไกรไปเรียกหมอมาหรือยัง” หล่อนเอ่ยถามผู้คนรอบข้าง
“ผมบอกลุงไกรแล้วครับ” อาทีตอบ จิตราหันมองบุตรชาย รู้สึกคล้ายใบหน้าอิทธิตามมาหลอกหลอนตนจนไม่อยากจะเสวนาด้วย จึงสะบัดหน้าหนีหันไปสนใจร่าพี่สาวที่ยังนอนไม่ได้สติ
อาทีเห็นอาการมารดาก็เกิดความน้อยใจขึ้นมาอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงได้ชอบเมินสะบัดใส่ตนนัก ทั้งๆ ที่ตนก็เป็นลูกชายคนหนึ่งไม่ต่างจากอาทิตย์
“ให้ผมช่วยอะไรมั้ยครับ” เด็กหนุ่มทำใจดีเสนอตัวเข้าช่วยเหลือเมื่อเห็นมารดาเยื้องกรายเข้าไปใกล้ร่างป้าจันทร์ของตน
“เป็นเด็กเป็นเล็กแกจะมาช่วยอะไรได้ ไปหลับไปนอนโน่นไป อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาฉัน” มารดาหันมาว่า หนุ่มน้อยยืนซึมสักพัก แล้วจึงค่อยเดินออกมานอกห้อง นั่งรอฟังอาการป้าของตนอยู่ที่ชานเรือน ระหว่างนั้นก็คิดถึงความเป็นไปของเพื่อนสนิทอย่างอิทธิ ใจก็อยากจะตามไปให้เห็นกับตาว่าเจ้าตัวโดนมารดาของตนพิพากษายังไงบ้าง แต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะภายในห้องที่ตนเดินออกมาผู้มีพระคุณล้นเหลือก็กำลังนอนไม่ได้สติอยู่
“หมอมาแล้วครับ” เสียงลุงไกรดังมาจากข้างล่าง สักพักร่างผอมสูงของเจ้าตัวก็โผล่ขึ้นมาบนเรือนพร้อมหมอชายสูงวัย
“เชิญเลยครับลุงหมอ ป้าจันทร์อยู่ในห้องครับ” อาทีรีบลุกเชิญเจ้าตัวเข้าไปดูอาการป้าของตน
จันทร์จวงรู้สึกตัวอีกครั้วจากการปฐมพยาบาลของหมอ ซึ่งรายงานผลตรวจว่าเป็นเพียงความอ่อนเพลียของคนในวัยชรา จากนี้บุตรหลานหรือบริวารควรเอาใจใส่ดูแลให้มากๆ ก่อนหมอจะกลับ จิตราวานให้เจ้าตัวช่วยตรวจดูอาการฟกช้ำของตนบ้าง อาทีและจันทร์จวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามพร้อมกันว่าหล่อนไปทำอะไรมาถึงจะต้องฟกช้ำ
“สองแม่ลูกอันธพาลนั่นมันรุมทำร้ายคุณจิตรค่ะคุณจันทร์” เพลินพิศที่นั่งรวมอยู่ด้วยได้ทีรายงานเจ้าของไร่
“จริงหรือแม่จิตร” จันทร์จวงหันมาถามน้องสาว
“จริงค่ะพี่จันทร์ สองแม่ลูกนั่นมันร้ายนัก จิตรแค่ไปปรามมันดีๆ มันกลับจองหองผลักจิตรจนล้ม นี่ถ้านังพิศไม่ไปกับจิตร สงสัยมันสองคนต้องรุมตบตีจิตรเป็นแน่” จิตราตอบ ก่อนหันมาบอกหมอให้ตรวจร่างกายตนอย่างละเอียด เพราะรู้สึกเสียดแน่นภายในช่องท้อง เหตุจากโดนร่างท้วมของเพลินพิศล้มทับ
“ถ้าแม่เป็นขนาดนี้ ผมว่าไอ้อิทกับแม่นางคงเจ็บไม่ต่างกันหรอก” อาทีเอ่ยคาดเดา ไม่อยากจะจับผิดมารดา แต่ความจริงเป็นเช่นไรก็อยากจะให้มันกระจ่างต่อหูป้าของตน
“แกหุบปากเลยนะอาที ฉันเป็นแม่แกนะ เมื่อไหร่แกจะเลิกเห็นไอ้พวกขี้ข้าดีกว่าผู้ให้กำเนิดแกห๊ะ!” จิตราตวาดบุตรชายลั่น ร้อนถึงจันทร์จวงที่ต้องเอ่ยปราม
“สองคนนี่ยังไงทำยังกะไม่ใช่แม่ลูกกัน ทะเลาะกันอยู่ได้ตั้งแต่เด็กยันโต”
“พี่จันทร์ก็ดูมันพูดสิคะ พูดแบบนี้มันหาว่าจิตรเป็นฝ่ายไปราวีสองแม่ลูกนั่นชัดๆ” จิตราหน้าเง้าเอ่ยบอกพี่สาว
“ก็แล้วมันจริงมั้ยล่ะ” จันทร์จวงถามใหม่ คราวนี้น้องสาวอึกอักนิดๆ อาทีเห็นอาการอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า
“แม่ไม่น่าหูเบาไปเชื่อคำนายสินกับยัยส้มเลยนะครับ สองคนนั่นไม่ชอบแม่นางกับไอ้อิทมาแต่ไหนแต่ไร พวกเขาสร้างเรื่องให้แม่ไปราวีแม่นางกับอิทแม่ก็ไม่น่าทำตามเลย”
“แกอย่ามาสู่รู้ไอ้อาที กลับเข้าห้องแกเลยไป ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน” จิตราเอ่ยไล่บุตรชาย เมื่อเห็นเจ้าตัวชักจะขัดคอตนไม่เลิก
“ผมยังไม่นอนหรอก ผมจะไปดูไอ้อิทกับแม่นาง” อาทีเอ่ยออกมาตรงๆ เพราะเชื่อว่าสองคนนั่นคงกำลังขวัญหายกันอยู่จากการกระทำของมารดาตน
“มืดค่ำป่านนี้แกจะกระเสือกกระสนไปดูพวกมันทำไม ฉันนี่ที่แกต้องดู เห็นมั้ยว่าหมอกำลังตรวจร่างกายฉัน” จิตราว่าเข้าให้
“ผมไม่ใช่พี่อาทิตย์ ให้ดูแลแม่ยังไง แม่ก็ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่หรอกครับ” อาทีได้ทีเอ่ยประชด ก่อนจะลุกเดินก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป จิตราอยากถลันไปจัดการบุตรชายเจียนใจจะขาด ติดที่หมอสูงวัยกำลังตรวร่างกายอยู่จึงได้แต่เก็บความโมโหเอาไว้ในอก
“เฮ้อ ฉันล่ะเวียนหัวกับแม่ลูกคู่นี้เหลือเกิน เมื่อไหร่ตาอาทิตย์จะกลับมานะ ฉันล่ะคิดถึงเสียจริง” จันทร์จวงบ่นออกมาตามความรู้สึก นางเอนอายลงนอนพักต่อ จิตราเห็นภาพนั้นจึงไล่บ่าวไพร่ออกไปจากห้องให้หมด รวมถึงหมอที่กำลังตรวจร่างกายตน
“พอเถอะค่ะหมอ ขอบคุณนะคะที่มา เดี๋ยวจะให้นายไกรขับรถไปส่งที่อนามัยนะคะ” หล่อนเอ่ยบอก แล้วหันไปสั่งคนรถให้ขับรถไปส่งเจ้าตัว ลับหลังคนทั้งหมดแล้วจึงได้ยืนคิดถึงบุตรชายคนโต วางแผนว่าน่าจะโทรศัพท์ไปแจ้งเจ้าตัวให้กลับมาเยี่ยมตนและพี่สาวที่ร่างกายกำลังผิดปกติกันทั้งสองคน
****************************************************************
แสงแดดจ้าในตอนสายลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างของห้องที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ผ้าห่มผืนหนาถูกยกขึ้นคลุมโปงเพื่อบดบังรัศมีของแสงที่ส่งมาถึงร่าง แต่ก็คลุมได้เพียงครู่เดียวก็ต้องสะบัดเปิดออกเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังอยู่ภายนอกห้อง
“อาทิตย์ตื่นหรือยังลูก โทรศัพท์แน่ะ แม่โทรมา” เสียงที่ดังตามมาเป็นเสียงของบิดา อาทิตย์ลุกนั่งยกมือปิดหน้าเมื่อสายตาปรับรับกับแสงสว่างไม่ทัน ผ้าห่มผืนหนาใหลร่นออกจากลงปกปิดแค่ร่างกายส่วนร่าง ส่วนท่อนบนขณะนี้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์สวมใส่ แสงแดดภายนอกส่องให้เห็นผิวขาวละเอียดของชายวัยหนุ่มที่ห่อหุ้มรูปร่างกำยำสมส่วนของเจ้าตัว ชายหนุ่มค่อยๆ เลื่อนมือลงจากใบหน้า เผยโฉมให้เห็นความหล่อเหลาตั้งแต่หน้าผากกว้างไร้รอยย่น ตามมาด้วยคิ้วหนาที่อยู่บนดวงตาคู่คมทั้งสองข้าง ต่ำลงมาอีกนิดเป็นจมูกได้รูป ต่อเนื่องมาถึงริมฝีปากโค้งสวยที่อวดสายตาด้วยสีชมพูอ่อนๆ ส่งท้ายด้วยคางที่ทิ้งปลายได้สัดได้ส่วน
“ตื่นแล้วครับพ่อ รอแป็บนึงครับ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่งเสียงบอกบิดาเมื่อได้ยินเสียงเคาะที่ประตูซ้ำ ผ้าห่มที่ปกปิดช่วงล่างถูกจับสะบัดออกจากกาย เผยให้เห็นท่อนขาแข็งแรงที่โผล่พ้นออกมาจากกางนอนขาสั้นตัวบาง ร่างสูงลุกยืนบิดขี้เกียจอวดกล้ามเนื้องามตามร่างกายตั้งแต่หน้าอก หน้าท้อง แขน และขา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง
“คุยกับแม่เขาหน่อย เห็นบอกว่าไม่สบาย” เกริกเกรียงยื่นโทรศัพท์ให้บุตรช่ายเมื่อเจ้าตัวแย้มใบหน้าหล่อเหลาออกมาให้เห็น
“ครับ” อาทิตย์รับโทรศัพท์จากมือบิดามาแนบหู เอ่ยทักทายปลายสายซึ่งเป็นมารดาด้วยรอยยิ้ม พูดคุยกันต่อได้สักพักฝ่ายนั้นก็วางสายไป ชายหนุ่มหันมายื่นโทรศัพท์คืนบิดา เอ่ยบอก
“แม่อยากให้ผมกลับไร่น่ะพ่อ ท่านกับป้าจันทร์ไม่สบาย”
“แล้วเราว่างพอกลับได้หรือเปล่าล่ะ” บิดาเอ่ยถาม
“ช่วงนี้ก็พอได้ครับ น่าจะอยู่ที่ไร่ได้สักอาทิตย์” บุตรชายเอ่ยตอบ เป็นการเปิดประเด็นสนทนา
“กลับได้ก็กลับ พ่อเองก็อยากไปด้วยเหมือนกันติดที่งานมันยุ่งเหลือเกิน”
“ผมกลับก็เหมือนพ่อกลับแหละครับ เดี๋ยวผมจะหอบความคิดถึงไปฝากแม่ให้”
“ตะกี้ต่อว่าพ่อซะหูชาแล้ว หาว่าพ่อลืม เฮ้อ”
“แม่เขาก็พูดไปเรื่อยแหละพ่อ อย่าคิดมากเลยนะ”
“อืม แล้วเราจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ”
“ว่าจะกลับเย็นนี้เลย พ่อว่าไง”
“แล้วเรื่องเรียนล่ะ”
“ช่วงนี้ยังพอเคลียร์ได้ครับ”
“ก็ดี จะกลับยังไงล่ะ”
“นั่งเครื่องไปดีกว่า เร็วดี”
“จัดการเองได้นะ”
“ได้สิครับพ่อ ผมโตแล้วนะครับ”
“ก็ดี ฝากความคิดถึงแม่กับน้องด้วยละกัน”
“แม่น่ะพอจะคุยได้ครับ แต่ไอ้อาทีไม่รู้มันจะคุยกับผมหรือเปล่า”
“เป็นพี่น้องกันทำไมจะไม่คุยกัน”
“พ่อไม่ได้อยู่กับเราตลอดพ่อไม่รู้หรอกว่าไอ้อาทีมันติดนายอิทธิมากกว่าผมอีก”
“ก็เด็กมันโตมาพร้อมกัน เราอย่าน้อยใจไปเลยน่า”
“ผมเปล่าน้อยใจนะพ่อ แค่หมั่นไส้มันสองคนนิดหน่อย เวลาเห็นผมทำยังกะเห็นผีเห็นปิศาจซะทุกที”
“กลับไปคราวนี้ก็หาเวลาเคลียร์กันซะ โตๆ กันแล้ว อีกหน่อยน้องก็จะตามมาอยู่นี่แล้วด้วย”
“ไอ้อาทีผมไม่มีปัญหาหรอกครับ ยังไงมันก็น้องผม กลัวแต่มันจะหนีบเพื่อนซี้มันมาด้วยน่ะสิ”
“มาได้ก็มาถ้าแม่เขาไม่หวง เราก็อยู่กันแค่สองคน จะหวงบ้านไปทำไม”
“ผมไม่ได้หวงบ้านครับ ผมกลัวว่าพ่อจะปวดหัวตายน่ะสิ เชื่อเหอะว่านายอิทธินั่นไม่ยอมญาติดีกับผมง่ายๆ หรอก เด็กๆ ยโสยังไง โตขึ้นก็คงไม่ต่างกันมั้ง คิดดูละกันว่าถ้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับผมอะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง คงทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน”
“มันก็ไม่แน่หรอก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เผื่ออะไรๆ มันจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”
“อืม ผมก็หวังอย่างนั้นแหละ”
“งั้นก็เตรียมตัวซะ พ่อไปล่ะ มีประชุมต่อ”
“ครับ”
ร่างบิดาเดินจากไปแล้ว อาทิตย์ปิดประตูห้องตามหลัง นึกถึงภาพเก่าๆ ตอนที่ตนยังอยู่ที่ไร่ อมยิ้มส่ายหน้าในตอนที่นึกถึงกิริยาท่าทางเถียงคำไม่ตกฟากของอิทธิ ในตอนนั้นยอมรับว่ารู้สึกหมั่นไส้ในท่าทีแบบนั้นของเจ้าตัว แต่พอมาตอนนี้ทำไมถึงนึกตลกก็ไม่รู้ หรือเพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะ
ชายหนุ่มหันมองรูปร่างเปลือยท่อนบนของตัวเองในกระจกเงา ภาพที่เห็นไม่ใช่เพียงรูปร่างสูงสมส่วนและผิวกายที่ขาวสะอาดสะอ้านเท่านั้น แต่สิ่งที่สะท้อนกลับมายังรวมไปถึงรูปหน้าที่คมคายหล่อเหลาขึ้นจากเมื่อตอนเด็ก จู่ๆ ก็นึกอยากรู้ว่าหน้าตาอิทธิจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง เอ นี่เขาจะนึกถึงนายนั่นทำไมนักหนานะ แปลกๆ แฮะเรา
โปรดติดตามตอนต่อไป