๔
“เธอฟังฉันก่อนสิสุรางค์ ที่ฉันทำลงไปเพราะฉันเมา แค่นี้เธอให้อภัยฉันไม่ได้เหรอ”
“ให้อภัยหรือคะ กี่ครั้งแล้วคะที่คุณยุทธแก้ตัวกับดิฉันแบบนี้ กับคนอื่นนอกบ้านดิฉันยังจะพอรับได้ แต่นี่กับเด็กในบ้าน คุณยุทธหยามน้ำใจดิฉันเกินที่ดิฉันจะทนได้นะคะ”
“ก็เรื่องมันแล้วไปแล้ว ยังไงสุรางค์ก็เป็นเมียของฉัน เป็นคนที่ฉันรักอยู่วันยังค่ำ จะมามัวคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้ทำไมกัน”
“เรื่องเล็กน้อยเหรอคะ การที่คุณยุทธหลับนอนกับสาวใช้ในบ้านในขณะที่ดิฉันกำลังอุ้มท้อง คุณยุทธคิดว่าเรื่องแค่นี้มันเล็กน้อยอย่างงั้นหรือคะ”
“แล้วเธอจะเอายังไง จะให้ฉันทำอะไรเธอถึงจะหายโกรธหายงอนฉันล่ะ”
“คุณยุทธไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละคะ เพราะต่อจากนี้ดิฉันคงไม่ทนอยู่กับพฤติกรรมมักมากของคุณยุทธอีก”
“เธอหมายความว่ายังไง”
“ดิฉันจะไปจากที่นี่ค่ะ”
“เธอจะไปไหนได้ยังไง เธอกำลังท้องกำลังไส้”
“ท้องก็ช่างปะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณยุทธหยามน้ำใจดิฉัน ดิฉันไม่อยากให้ลูกลืมตามาเห็นพฤติกรรมเหลวไหลของคุณยุทธ ซึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขา”
“ฉันยอมให้เธอไปไหนไม่ได้หรอกสุรางค์ อย่าลืมนะว่าตอนนี้เธอเปรียบเสมือนคนไร้ญาติขาดมิตร การที่เธอก้าวออกจากเรือนไพศาลสกุลของฉันก็เท่ากับว่าเธอต้องพาลูกฉันไประหกระเหินอย่างไม่รู้โชคชะตา”
“ดิฉันกล้าทิ้งยศศักดิ์บุตรสาวคนเล็กในตระกูลที่มั่งคั่งของเมืองเพชรเพื่อหนีตามนักเลงปักษ์ใต้อย่างคุณยุทธก็นับว่าเป็นความระหกระเหินของโชคชะตามากพอแล้วล่ะค่ะ การที่ดิฉันจะพาชีวิตออกระหกระเหินอีกกครั้งมันก็คงจะไม่มีอะไรน่ากลัวนัก”
“แล้วทำไมเธอจะต้องทำเช่นนั้นด้วยล่ะ อยู่กับฉันที่นี่มันจะเป็นไรไป ฉันสัญญาก็ได้ว่าทันทีที่เธอคลอดฉันจะเลิกเหลวไหลนอกลู่นอกทาง ฉันจะเป็นพ่อที่ดีดูแลลูกของเราอย่างดีที่สุด”
“พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่าคะคุณยุทธ หากดิฉันไม่คลอด คุณยุทธก็จะยังไม่เลิกพฤติกรรมมักมากอย่างนั้นเหรอคะ ดิฉันเสียใจจริงๆ ที่ดิฉันไม่ฟังคำทัดทานจากญาติมิตรว่าให้ระวังนิสัยมักมากของพวกนักเลงปักษ์ใต้ เชิญเลยค่ะ ต่อแต่นี้เชิญคุณยุทธทำตัวเหลวไหลได้ตามสะดวก ดิฉันคงทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้จริงๆ”
จากวันนั้นสุรางค์พาลูกในท้องก้าวเดินออกจากเรือนไพศาลสกุลจริงๆ หล่อนไม่ฟังคำทัดทานของสามี แม้ว่าจะโดนขู่ว่าหล่อนจะไม่ได้ทรัพย์สินติดตัวไปแม้แต่ชิ้นเดียวหากยังจะดันทุรัง ด้วยทิฐิและความน้อยใจทำให้สุรางค์ไม่หยิบเศษเงินแม้สตางค์แดงเดียวที่เป็นของเรือนไพศาลสกุลติดตัวมา หล่อนมีเพียงทรัพย์สินเก่าๆ ที่เป็นของหล่อนเองตอนที่มีติดตัวเมื่อครั้งหนีออกจากเรือนบวรภิรมย์เพื่อมาใช้ชีวิตคู่กับสามีที่หล่อนคิดจะฝากฝีฝากไข้ด้วยได้
ยุทธ ไพศาลสกุล บุตรชายข้าราชการชาวใต้ ซึ่งมีนิสัยอันพาลเกเรไปวันๆ สุรางค์เจอกับนักเลงปักษ์ใต้ผู้นี้ตอนงานสมโภชประจำปีของจังหวัด หล่อนต้องมนต์เสน่ห์ชายหนุ่มผู้นี้เมื่อโดนหยอดคำหวานให้ระหว่างเดินชมงาน ด้วยวาจาหวานหู และรูปร่างหน้าตาที่ดูหล่อคมขำสมชายปักษ์ใต้ทำให้สาวเมืองเพชรอย่างหล่อนมองข้ามนิสัยเกเรอันธพาลที่ลือกันนักในหมู่ชาวบ้าน
“ไอ้ยุทธมันเป็นนักเลงปักษ์ใต้ นิสัยมันเจ้าเล่ห์นัก มันเที่ยวจีบสาวไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เวลามีงานใหญ่ๆ ที่ไหนมันไม่เคยพลาดที่จะไปเหล่สาวหรอก แม่สุรางค์อย่าไปหลงเสน่ห์มันเชียวล่ะ” แม้ค้าขายของในงานที่คุ้นเคยกันดีเอ่ยกระซิบเตือนหล่อน ตอนหล่อนเดินไปอุดหนุนร้านพร้อมกับนักเลงปักษ์ใต้ผู้นี้
“แม่สุรางค์อย่าไปเชื่อคำใครๆ เขาลือเลยนะ ฉันน่ะมันคนต่างถิ่น ชาวบ้านเขาเลยพาลไม่ชอบกระมัง จริงอยู่ที่ฉันชอบเที่ยวทั่วไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ฉันไม่ได้ไปเหล่สาวที่ไหน ฉันไปเที่ยวตามประสาหนุ่มๆ เท่านั้น เพิ่งจะมีครั้งนี้แหละที่ความงามของแม่สุรางค์ทำให้ฉันนึกอยากจะจีบขึ้นมา” หนุ่มใต้ผู้นี้บอกกับหล่อนว่าอย่างนั้นตอนหล่อนเผลอตัวเผลอใจไปแอบพลอดรักไกลสายตาผู้คน ตอนนั้นหล่อนก็เพิ่งจะแตกเนื้อสาว พอโดนคำหวานชาย จิตใจก็เลยหลอมละลายเชื่อตามน้ำคำอย่างเสียมิได้ ความสัมพันธ์ของหล่อนกับนายยุทธจึงเลยเถิดถึงขั้นลึกซึ้ง
“แม่สุรางค์ไม่ต้องเสียใจนะ ฉันจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอให้ถูกต้องตามประเพณี” นักเลงปักษ์ใต้ที่ใครๆ กล่าวหาว่าเกเรบอกกับหล่อนในตอนที่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งได้จบลง ซึ่งเจ้าตัวก็ทำตามคำบอกจริงๆ แต่ทว่ารื่องราวการสู่ขอมันไม่ได้ง่ายนัก
วันที่ขบวนผู้ใหญ่จากฝั่งโน้นมาเจรจาเพื่อขอตัวหล่อนให้กับนายยุทธหล่อนจำมันได้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งพ่อ แม่ และบรรดาญาติมิตรต่างคัดค้านการเจรจาสู่ขอครั้งนี้ เพราะไม่รู้ไม่เห็นมาก่อนว่าหล่อนชอบพอและคบหากับนายยุทธตั้งแต่เมื่อใด อีกอย่างคำร่ำลือถึงความกะล่อนของนายยุทธก็กระฉ่อนเมืองเพชรบุรีอยู่ไม่น้อย เหตุการณ์บานปลายใหญ่โตเมื่อนายยุทธบอกกับทุกคนว่าหล่อนตกเป็นของตนแล้ว ถึงตอนนี้อย่าได้มีใครปฏิเสธขัดขวาง เพราะไม่แน่หากหล่อนท้องขึ้นมาจะงามหน้าที่หาสามีให้หล่อนไม่ได้
พอทราบเรื่องราวเหล่าบรรดาญาติมิตรต่างไล่ตะเพิดนายยุทธให้ออกจากเมืองเพชรบุรีและอย่าได้กลับมาอีกเพราะการกระทำที่หยามศักดิ์ศรีสาวเมืองเพชรนั้นเป็นเรื่องเสียหายเกินที่วงศ์ตระกูลที่มั่งมีเช่นบวรภิรมย์จะรับได้ นายยุทธยอมล่าถอยกลับในวันนั้น แต่ยังตั้งมั่นว่าถึงอย่างไรเสียก็จะกลับมาเอาตัวหล่อนไปเป็นภรรยาและพาไปอยู่ที่ปักษ์ใต้ให้ได้
หลังนายยุทธกลับไปแล้ว คนที่โดนพิพากษาต่อก็คือหล่อนเอง สารพัดถ้อยคำถากถาง และวาจาดุด่าหลุดออกมาจากปากพ่อ แม่ และบรรดาญาติของหล่อน จนหล่อนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่าเหตุใดทุกคนจึงต้องมาขัดขวางความรักหล่อนได้ขนาดนี้ ญาติพี่น้องต่างตราหน้าว่าหล่อนเป็นลูกสาวที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูลจนอาจมีการตัดสิทธิ์ออกจากกองมรดก คำขู่ข้อนี้หล่อนไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะเชื่อว่าหากหล่อนได้ครองรักกับนายยุทธ นายยุทธก็คงจะพอดูแลหล่อนไม่ให้ตกระกำลำบากได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นในวันที่นายยุทธติดต่อกลับมาว่าในเมื่อสู่ขอกันดีๆ แล้วไม่ได้ ก็หนีไปตามเขาไปที่ปักษ์ใต้ซะให้สิ้นเรื่อง หล่อนจึงตัดสินใจหนีออกจากเรือนบวรภิรมย์ทันที พอมาใช้ชีวิตครอบครัวที่ปักษ์ใต้ได้สักพัก ก็ได้ทราบข่าวจากคนรู้จักว่าพ่อแม่หล่อนโกรธเคืองการกระทำครั้งนี้ของหล่อนจนประกาศตัดขาดการเป็นคนตระกูลนั้นของหล่อนไปทั้งเมืองเพชร
การมาใช้ชีวิตครอบครัวที่ปักษ์ใต้ระยะแรกทุกอย่างดูราบรื่น หล่อนกับนายยุทธรักใคร่กันดี หล่อนเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าตระกูลไพศาลสกุลก็มีหน้ามีตา และมีฐานะมั่งคั่งไม้น้อยในปักษ์ใต้ นายยุทธเองก็ได้สวนยางพารามาเป็นทรัพย์สินหาเลี้ยงตัวและหล่อนจนสร้างฐานะและอาณาจักรเรือนไพศาลสกุลขึ้นมาได้อย่างน่าพอใจ การเป็นคนมีฐานะ มีตามีตาพอประมาณทำให้หล่อนส่งเสริมบารมีสามีด้วยการเรียกเจ้าตัวว่าคุณยุทธแทนนายยุทธนับตั้งแต่บัดนั้น
พอเปลี่ยนสรรพนามเรียกสามีได้ไม่นาน สิ่งที่หล่อนได้ยินผ่านหูถึงความกะล่อนเจ้าเล่ห์ของชายผู้นี้ก็เริ่มส่อแววมาให้เห็น นายยุทธหรือคุณยุทธเริ่มมีสาวเล็กสาวน้อยมาติดพัน หล่อนทนนิ่งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะไม่อยากให้ชีวิตครอบครัวมีปัญหา แต่พอหล่อนนิ่งแทนที่สามีจะเกรงใจกลับทำตัวเหลวไหลหนักขึ้น บางวันหล่อนทนไม่ได้เพราะเห็นจะจะตาจึงเปิดอกพูดคุย ก็มักได้คำตอบกลับมาว่ายังไงตนก็เป็นเมีย คนอื่นก็แค่สนุกชั่วครั้งชั่วคราว ในเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้หล่อนจึงยอมอยู่อย่างสงบเรื่อยมาจนตั้งครรภ์ หล่อนบอกเรื่องนี้กับสามีและขอให้เจ้าตัวหยุดพฤติกรรมมักมากเสีย ถือซะว่าเห็นแก่ลูกที่กำลังจะเกิดมา แรกๆ สามียอมฟังเพราะรู้สึกดีใจล้นเหลือที่จะมีทายาท หล่อนรู้สึกดีที่ได้ชีวิตครอบครัวกลับมาอีกครั้ง แต่ที่สุดสามีก็เริ่มเหลวไหลอีกครา อ้างว่าตัวเองยังหนุ่มยังแน่น ยังเป็นผู้ชายที่มีตัณหาราคะอยู่ การที่ไม่ได้ระบายออกเสียบ้างจะพาลทำให้หงุดหงิดเสียเปล่าๆ หล่อนทำทีเข้าใจเพราะตนก็ท้องอยู่คงปรนนิบัติหน้าที่ภรรยาในเรื่องนี้ไม่สะดวก แต่ที่สุดความอดทนก็ขาดสะบั้นในวันที่สามีไปแอบหลับนอนกับสาวใช้ในบ้าน การกระทำเช่นนี้มันช่างหยามน้ำใจหล่อนจนเกินจะรับได้นัก และนี่ก็เป็นต้นเหตุให้หล่อนเลือกที่จะหนีออกจากเรือนสกุลไพศาลพร้อมลูกน้อยในท้อง
***************************************************************
แม่นางเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มทิ้งเสียหลังจากปล่อยให้มันไหลเป็นทางไม่หยุดตอนที่นึกถึงชีวิตความเป็นมาของตน สุรางค์ บวรภิรมย์ หรือสุรางค์ ไพศาลสกุลในอดีตก็คือตัวนางนั่นเอง ชื่อแม่นางเป็นชื่อที่นางบอกให้ใครๆ เอ่ยเรียกเองหลังจากนั้น เพราะสภาพหญิงท้องที่เร่ร่อนไร้ที่อยู่ คงไม่เหมาะกับชื่อเดิมอย่างสุรางค์ บวรภิรมย์ หรือสกุลไพศาลเท่าไหร่นัก คิดถึงเรื่องราวต่อแล้วก็อดเศร้าไม่ได้ หลังจากที่นางหนีออกมาจากเรือนไพศาลสกุล แรกๆ นางก็ยังไม่รู้จะไปไหน จะกลับไปที่เพชรบุรีน่ะเหรอก็ละอายต่อบรรดาญาติมิตรในตระกูลที่คงจะรอสมน้ำหน้านางอยู่เป็นแน่หากเห็นนางหอบท้องหอบไส้กลับไป แต่หากจะให้กลับหลังหันมายังเรือนไพศาลสกุลดังเดิมก็เกินที่จะทำใจได้ อย่างไรเสียหล่อนขอไปตายเอาดาบหน้ายังดีกว่าที่จะต้องให้ลูกที่กำลังมาพบเจอพฤติกรรมเหลวไหลของผู้เป็นพ่อ เชื่อได้แค่ไหนกันกับคำสัญญาที่เจ้าตัวบอกจะเลิกเหลวไหลหากนางคลอดลูกมา
ไร่ส้มแห่งนี้คือที่ๆ ที่นางหอบท้องหอบไส้เข้ามาขอพึ่งใบบุญ หลังจากระหกระเหินไปยังที่ต่างๆ แต่ไม่มีใครอ้าแขนต้อนรับหญิงท้องเข้าทำงาน สมบัติที่ติดตัวมาก็นำไปขายกินประทังชีวิตจนหมดจนสิ้น ท้องหรือก็โตขึ้นทุกเมื่อ วันแรกที่นางเข้ามาที่นี่ก็ไม่คิดว่าเจ้าของไร่จะเมตตา แต่ก็ลองเสี่ยงอ้อนวอนเพราะหมดหนทางที่จะไปแล้วจริงๆ ที่สุดโชคชะตาก็เหมือนเข้าข้าง เมื่อเจ้าของไร่อย่างจันทร์จวงหรือคุณจันทร์ตกลงรับนางเข้าเป็นคนงาน แม้ว่าจะโดนคัดค้านจากจิตราผู้เป็นน้องสาวก็ตาม
“ชีวิตเธอมันช่างเหมือนฉันตรงที่หนีตามผู้ชาย โดยไม่คิดถึงศักดิ์ศรีหรือชื่อเสียงวงศ์ตระกูลนี่แหละแม่นางเอ้ย” หญิงเจ้าของไร่อย่างคุณจันทร์เคยบอกกับนางว่าอย่างนั้นในตอนที่ได้พูดคุยกันหลังจากที่นางได้เข้ามาเป็นคนงานในไร่นี้ได้ระยะหนึ่ง
“คุณจันทร์เคยหนีตามใครด้วยหรือคะ” นางหลุดปากเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“เคยสิ คนที่ฉันหนีตามก็คือผู้เริ่มต้นถางพงหญ้าที่แห่งนี้ให้กลายเป็นไร่ส้มไงล่ะ”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“นายชัดสามีฉันที่ฉันหนีตามมาเป็นคนเริ่มต้นถางพงหญ้าไร่แห่งนี้เอง” ในตอนนั้นจันทร์จวงเอ่ยไปน้ำตารื้นไป ทำให้นางต้องเอ่ยขอโทษที่เอ่ยถามในเรื่องที่ไม่น่ารู้ แต่ที่สุดหญิงผู้นั้นก็เปิดปากบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังเอง
“ฉันน่ะเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลที่มีหน้ามีตาพอประมาณในเมืองพิจิตรซึ่งพบรักกับนายชัดซึ่งเป็นคนขับรถที่พ่อของฉันเพิ่งรับเข้ามาทำงานแทนคนเก่าที่ลาออกไป นายชัดเป็นคนขยัน มีมานะ พื้นเพเป็นคนทางถิ่นอีสาน ทำให้ฉันอดเอ็นดูไม่ได้ ซึ่งความเอ็นดูของฉันนี่แหละที่เป็นต้นเหตุของความรักของเราทั้งสอง แต่พูดไปมันก็ช่างเหมือนนิยายพาฝันนั่นแหละ ความรักของเราทั้งสองถูกขัดขวางจากญาติฝ่ายของฉันเองที่มองเห็นนายชัดเป็นเพียงคนรับใช้ในเรือน นายชัดเองก็เจียมเนื้อเจียมตัวยอมให้พ่อ แม่ และบรรดาญาติๆ ของฉันโขกสับเพื่อแสดงถึงความจริงใจที่มีต่อฉัน จิตราเองครานั้นก็ใช่ย่อย สารพัดเล่ห์ร้ายที่หล่อนพยายามแยกนายชัดออกจากชีวิตฉัน แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ หล่อนเลยยอมแปรพักตร์มาอยู่ข้างฉันเพราะยอมจำนนต่อความจริงใจของนายชัดที่มีต่อฉัน นานวันเข้าความรักของฉันกับนายชัดก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนนายชัดยอมเสี่ยงเอ่ยขอเป็นคนดูแลชีวิตฉันจากพ่อและแม่ของฉัน สารภาพว่ารักฉันมากเหลือเกินจนไม่อาจยอมเห็นฉันตกไปเป็นของใคร ผลจากความกล้าครั้งนั้นทำให้พ่อของฉันไล่ตะเพิดนายชัดออกจากเรือน ในวันที่นายชัดจะไปเขาได้ชวนฉันหนีตามออกไปด้วย เพราะคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีฉันอยู่เคียงข้าง ตอนนั้นฉันเองก็รักนายชัดมาก ทั้งรักและสงสาร เห็นใจในความจริงใจที่เขามีต่อฉัน ฉันจึงตัดสินใจหนีตามออกมา ในวันเดินทางจิตราได้มาเห็นเราสองคนพอดี ตอนแรกฉันก็กลัวว่าหล่อนจะไปบอกพ่อแม่ฉัน แต่หล่อนกลับทำในสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึง คือขออาสาตามมาดูแลฉัน เพราะเป็นห่วงฉันเหลือเกิน พูดไปแล้วฉันก็ซึ้งในน้ำใจน้องสาวของฉันนะ แม้หล่อนจะดูร้ายกาจใส่คนรอบข้างฉันอยู่ก็ตาม แต่สิ่งที่หล่อนทำไปก็ทำเพื่อปกป้องฉันทั้งนั้น วันที่หล่อนฟาดหัวฟาดหางใส่เธอตอนเข้ามาขอทำงานที่นี่ ก็เพราะหล่อนกลัวว่าเธอจะมีพิษมีสง และเข้าประจบสอพลอฉันอย่างผู้หญิงหลายๆ คนที่หล่อนเคยเผชิญตอนตามฉันหนีตามนายชัดออกจากเรือนน่ะแหละ พูดแล้วก็อดสูนัก ผู้หญิงพวกนั้นแท้จริงแล้วคือบรรดาญาติๆ นายชัดที่อยู่ทางภาคอีสานน่ะแหละ นายชัดพาฉันกลับไปตั้งหลักที่นั่น โดยไม่ยอมเปิดเผยฐานะของฉันเพราะกลัวจะมีอันตรายจากโจรผู้ร้ายซึ่งชุมนักในท้องถิ่นแถบนั้น หากพวกมันรู้ว่าฉันกับจิตรามาจากตระกูลมั่งมีพวกมันอาจจะจี้ปล้นก็เป็นได้ การปิดบังฐานะของฉันครานั้นทำให้ทางญาติๆ ของนายชัดไม่ชอบใจฉันนัก หาว่านายชัดพาฉันมาเป็นภาระ แม้นายชัดจะบอกว่ามาขอตั้งหลักเพียงเท่านั้น พอหาที่ทางขยับขยายหาเพื่อทำกินได้ก็จะไป ระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น นายชัดไม่ยอมให้ฉันนำทรัพย์สินที่ฉันมีติดตัวมาออกมาใช้ เพราะว่าละอายใจ เขายอมออกไปหางานทำเพื่อหาเลี้ยงฉันอย่างอดทนอยู่หลายวัน ในขณะที่ฉันกับจิตราโดนโขกสับให้ทำงานบ้านงานเรือน ฉันน่ะทนได้เพราะไม่อยากให้นายชัดไม่สบายใจ แต่จิตรานี่สิ หล่อนเป็นคนอารมณ์ร้ายอยู่แล้ว พอโดนใช้มากๆ ก็มีบ้างที่หล่อนมีปากเสียงกับญาติของนายชัด หนักถึงขั้นตบตีกันเลยก็มี ทิฐิความที่เคยเป็นเจ้าคนนายคนทำให้หล่อนนึกเกลียดชังบรรดาญาติของนายชัดเข้าไส้ หาว่าพวกเขาไม่เจียมตัวบ้าง อยู่ท้องถิ่นกันดารยังจองหองพองขนทำตัวเยี่ยงผู้ดีอยากมีข้ารับใช้ ลับหลังหล่อนมักจะด่าว่าเสมอว่าคนพวกนั้นมีสันดานไพร่ สันดานขี้ข้าที่ไม่รู้จักสำนึกตัว จนที่สุดหล่อนจึงเผลอเปิดเผยฐานะออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อโดนโขกสับเข้ามากๆ พอพวกนั้นรู้ความเป็นมาของเราสองพี่น้องก็รีบเข้าประจบสอพลอหวังสมบัติทรัพย์สินที่ฉันมีติดตัวไป การเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีแบบนั้นยิ่งเพิ่มความชิงชังให้จิตราอย่างมากมายกว่าเดิม หล่อนจึงเริ่มมีอคติกับคนพวกขี้ประจบสอพลอมาตั้งแต่บัดนั้น นายชัดเองก็กลัวว่าฉันจะไม่ปลอดภัยเมื่อฉันและจิตราแสดงฐานะตัวเองออกมาแล้วจึงพาฉันกับจิตราหนีขึ้นมาทางเมืองเชียงใหม่ ทำมาหากินกันอยู่พักหนึ่งก็เริ่มเก็บหอมรอมริบพอที่จะหาที่ทางเป็นของตนเอง สุดท้ายก็ได้ไร่นี้แหละที่เป็นพื้นที่ทำกินมาจนทุกวันนี้ ชีวิตในตอนนั้นฉันมีความสุขมากจนคิดจะมีทายาทไว้ให้นายชัดสักคน แต่แล้วก็ได้แค่คิด เมื่อนายชัดมาด่วนเสียเพราะไข้ป่าขึ้นมาซะก่อน ตอนนั้นชีวิตฉันเหมือนเคว้งอยู่พักหนึ่งเชียวล่ะ งานการในไร่นี้แทบจะไม่ได้ดูแล ดีหน่อยที่จิตราคอยเป็นคนจัดการให้ กระทั่งหล่อนได้พบรักกับพ่อเกริกตอนเดินทางมาเที่ยวงานเชียงใหม่แล้วแวะมาที่ไร่นี้ ฉันจึงคิดว่าควรจะให้เวลาน้องสาวมีความสุขเสียบ้างหลังจากที่เหนื่อยดูแลฉันมานาน จิตราแต่งงานกับพ่อเกริกอยู่กินกันแบบเทียวไปมาหาสู่กันอยู่แบบนั้นระหว่างเมืองกรุงกับที่นี่ เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมทิ้งหน้าที่การงาน ฉันล่ะกลัวใจว่าสองคนจะอยู่กันไม่รอด แต่สุดท้ายก็ได้หลานชายเป็นตาอาทิตย์มาให้ฉันพอมีกำลังใจบ้าง ที่ได้เห็นทายาทสำหรับสืบทอดไร่ส้มแห่งนี้ไม่ให้ตกไปเป็นของนายทุนคนไหน ฉันกับนายชัดสร้างมันมากับมือ รวมถึงจิตราด้วย ตอนนี้นายชัดไม่อยู่ จะเหลือก็เพียงฉันกับจิตราที่เป็นแค่ผู้หญิงทั้งสองคน จะมีปัญญาดูแลไร่นี้ได้นานแค่ไหนกัน”
“ฟังดูแล้วคุณจันทน์ก็โชคดีกว่าดิฉันมากมายนักที่คุณชัดท่านรักและดูแลคุณจันทน์อย่างน่าชื่นชม” นางอดเอ่ยเปรียบเปรยขึ้นมาไม่ได้เมื่อฟังเรื่องราวจบ
“เธอก็อย่าคิดอะไรมากเลย มาอยู่กับฉันแล้ว ฉันไม่ใจไม้ไส้ระกำกับเธอหรอก ฉันเข้าใจเธอในฐานะหัวอกลูกผู้หญิงที่หนีออกจากบ้านเหมือนกัน”
“เป็นพระคุณอย่างสูงค่ะคุณจันทร์ บุญคุณครั้งนี้ดิฉันจะไม่มีวันลืมเลย มีลูกดิฉันก็จะบอกลูก มีหลานดิฉันก็จะบอกหลานให้รู้สำนึกบุญคุณของคุณจันทร์ค่ะ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ว่าแต่ลูกในท้องเธอล่ะจะคลอดเมื่อไหร่กัน”
“จวนแล้วล่ะค่ะ อีกไม่กี่เดือนนักหรอก”
“คงพร้อมกับจิตราสินะ ระหว่างนี้เธอก็ทำงานเบาๆ ไปก่อนก็ได้ หากไม่ไหวก็หยุดพักก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันคงไม่กล้ากินแรงคนงานอื่นๆ”
“กินรงกินแรงอะไรกัน คนท้องคนไส้ก็ต้องรักษาตัวสิถึงจะถูก ใครมันจะมาว่าอะไรถ้าเป็นคำสั่งของฉัน”
“เดี๋ยวคุณจันทร์จะโดนติฉินเอานะคะ อย่าใส่ใจดิฉันเลยคะ ดิฉันไม่อยากให้ใครมองคุณจันทร์ในแง่ไม่ดี”
“คำนินทามันเป็นสิ่งที่อยู่คู่ปากมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉันไม่ได้ถือมันมาเป็นเรื่องหนักใจอะไรหรอก เธออย่าห่วงเลย”
คำพูดครั้งนั้นมันช่างแสดงออกถึงความมีเมตตาของจันทร์จวงนัก หญิงผู้นั้นสานต่อความมีพระคุณล้นหัวต่อนางด้วยการส่งความเมตตามาถึงลูกชายนางที่คลอดออกมาอีกด้วย ชื่ออิทธิ เป็นชื่อที่จันทร์จวงตั้งให้ลูกชายนางเองเมื่อคราวลืมตาออกมาดูโลก พอโตมาก็รับภาระส่งเสียในเรื่องการเรียนอีกต่างหาก นางเคยถามหาเหตุผล เพราะไม่สบายใจ หญิงผู้นั้นให้คำตอบเพียงว่ารู้สึกถูกชะตากับลูกชายตนเหลือเกิน ดูลักษณะความมุมานะของเด็กชายคนนี้แล้วทำให้นึกเอ็นดูอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งนี่คือเหตุผลที่นางอบรมสั่งสอนอิทธิให้รู้จักกตัญญูรู้คุณ เพราะได้รับความเมตตาที่ยากจะหาได้ แม้ในภาคหนึ่งจะต้องเผชิญกับความร้ายกาจของจิตราหน่อยก็ตาม แต่สิ่งที่หญิงผู้นั้นกระทำกับตนมันมีที่มาที่ไปอย่างที่ได้ทราบเรื่องราวจากปากจันทร์จวง หากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ หรือเรื่องราวมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทน นางก็จะทนให้ถึงที่สุด เพื่อเอาชนะใจหญิงผู้นั้นอย่างที่คุณชัดเคยเอาชนะมาได้แล้วนั่นเอง
แม่นางสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งเมื่อเห็นตะวันสายโด่งจวนจะถึงเวลาเข้าทำงานในไร่ ป่านนี้อิทธิคงถึงโรงเรียนแล้วมั้ง นางคิดถึงลูกชายขึ้นมา ซึ่งได้แยกตัวเดินทางไปโรงเรียนก่อนหน้าที่นางจะมานั่งนึกถึงเรื่องราวในอดีตเช่นนี้
*****************************************************************************************
ที่โรงเรียนในตอนพักเที่ยง อาทีพยายามเดินตามร่างอิทธิที่เดินดุ่มๆ ไปยังโรงอาหารอย่างไม่สนใจตน อาการเฉยชาของฝ่ายนั้นเป็นมาตั้งแต่เช้าตอนเจอกันที่โรงเรียนแล้ว โดยปกติคนรถที่บ้านจะขับรถมาส่งตน แต่อิทธิจะปั่นจักรยานมาเอง
“เฮ้ย! ไอ้อิท มึงเป็นห่าอะไรของมึงวะ ตั้งแต่เจอกันมึงยังไม่ทักกูสักคำเลยนะโว้ย” หนุ่มน้อยวิ่งเข้าไปขวางทางเมื่อเห็นอิทธิกำลังจะเดินไปถึงโรงอาหาร ซึ่งเมื่อเข้าไปในที่จอแจแบบนั้นคงไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงสาเหตุที่อิทธิเมินใส่ตนได้
อิทธิมองหน้าคนยืนขวางร่าง อันที่จริงไม่ได้โกรธเคืองอะไรเจ้าตัว แต่เพื่อความเป็นอยู่ที่รอดพ้นจากการโดนกลั่นแกล้งจากจิตรา จึงไม่อาจข้องแวะกับลูกชายของหล่อนได้ต่อไปอีก
“ถอยไปอาทีกูจะไปกินข้าว” เด็กหนุ่มเอ่ยบอกน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่อีกคนยังดื้อด้านที่จะยืนขวางทาง พร้อมเอ่ย
“มึงบอกูมาก่อนว่ามึงเป็นอะไรถึงไม่ยอมคุยกับกู”
“มึงจะมาใส่ใจอะไรกะกู อยู่ห่างกูสักพักมึงจะตายให้ได้เลยใช่มั้ยตามกูทุกวันกูรำคาญนะโว้ย” อิทธิฝืนใจบอกด้วยถ้อยคำแรงๆ เสียใจหน่อยๆ ที่เห็นคนฟังหน้าเสียขึ้นมา
“ทำไมมึงพูดกับกูแบบนี้วะอิท” อาทียกมือขึ้นผลักอกเพื่อนสนิทที่คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวจะมีความรู้สึกรำคาญตน อิทธิร่างเซหน่อยๆ พอตั้งหลักได้จึงผลักสวนกลับบ้าง แต่น้ำหนักที่ผลักออกไปมากมายกว่าที่ตนโดนผลักนัก ผลคือร่างของอาทีล้มลงกับพื้นทันที
อิทธิตกใจที่เห็นร่างเพื่อนล้มลงไม่เป็นท่าแบบนั้น ตอนแรกคิดจะนั่งลงไปดูอาการเจ้าตัว แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้ากลับแวบเข้ามาในสมอง จึงแข็งใจเดินหนีไปด้วยท่าทีเฉยชา
อาทีเอี้ยวตัวมองตามหลัง เกิดความน้อยใจจนไม่มีเรี่ยวแรงจะยืนขึ้น จึงนั่งจมอยู่กับพื้นแบบนั้นอย่างไม่สนใจสายตาใคร เด็กหนุ่มหันกลับมานั่งชันเข่าคิดสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ อิทธิถึงเมินเฉยใส่ตนได้ขนาดนี้ ส่วนอิทธิที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มนักเรียนที่กำลังจอแจวุ่นวายอยู่ในโรงอาหาร เด็กหนุ่มแอบบมองมายังร่างที่ยังไม่ลุกไปจากที่เดิม รู้สึกผิดที่ทำกับเจ้าตัวแบบนั้นจึงคิดจะกลับไปฉุดให้ลุกมาทานข้าวด้วยกัน สองขาก้าวเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมองไปที่จุดเดิมแล้วเห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังยื่นมือเพื่อฉุดร่างของคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น จู่ๆ ก็เกิดใจหวิวอย่างประหลาดเมื่อเห็นคนที่นั่งยอมยื่นมือให้เด็กสาวผู้นั้นจับ แล้วยอมลุกขึ้นตามแรงฉุด คนเดินมาฉุดร่างอาทีให้ลุกขึ้นคือยัยส้มนั่นเอง
โปรดติดตามตอนต่อไป