## ข้าง...ข้าง...ใจ##
"
วายุครับ รู้สึกเหมือนคุณหมอจะอารมณ์ดีนะครับ!!!"
หมอขิมเปิดปากหัวเราะอีกรอบตอนที่ได้ยินคำประชดมาจากปลายสาย คงหงุดหงิดน่าดูที่โดนขัดจังหวะตอนกำลังอ้อนเฮียมัน
"เราก็เหมือนจะหายเร็วนะ นึกว่าจะต้องพกกระเป๋าพยาบาล แล้วไปฉีดยาให้ซักเข็มถ้ายังไม่หาย"
"ไม่ต้อง!! ขอบพระคุณครับ!!" คุณหมอที่อยู่ปลายสายเปิดปากหัวเราะลั่นอีกรอบ นึกหน้าเด็กผู้ชายตัวโต ทำหน้าเหมือนหมีป่วยหงอยเหงาตอนถูกทิ้ง กับตอนที่ได้ยินคำว่า'ฉีดยา'แล้วมันพาลอารมณ์ดีขึ้นมาอีกหลายเท่า
"เรานี่นะ ทีไอ้ตุลน่ากลัวกว่าเข็มตั้งเยอะ ยังไม่เห็นจะขยาดซักนิด" อดแซวเล่นไม่ได้ เพราะได้ยินประโยคสนทนาที่แว่วเข้ามาในสาย ตอนที่สองคนยังกระเง้ากระงอดเรื่องเช็ดตัวให้กัน เป็นที่รู้กันดีว่าคนอย่างไอ้คุณตุลมันเคยยอมใครที่ไหนตั้งแต่สมัยเรียนมาแล้ว ไม่งั้นไม่มีทางรอดปากเหยี่ยวปากกามาจนถึงทุกวันนี้ได้หรอก...สุดท้ายกลายเป็นเสร็จไอ้หมีเด็กไปซะงั้น
"ความใจดีของเฮียนะ ให้ผมรู้คนเดียวก็พอครับ!!" ประกาศกร้าวอย่าง....ชัดเจน!!! ไอ้นิสัยเด็กหวงแสดงความเป็นเจ้าของแบบนี้คงไม่ต้องเอ่ยปากถาม...ว่าไอ้เด็กนี่มันคิดอะไรยังไง
"คร้าบ ๆ พี่เองก็ไม่คิดจะเสี่ยงตายไปล่วงรู้..." เดาเอาว่าไอ้เด็กโย่งมันต้องกำลังทำหน้าบูดอยู่แน่ ๆ เหมือนตอนที่รู้ว่าเฮียมันกลับบ้านไปก่อน หน้าตาหาเรื่องไม่เอาใครหน้าไหนเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
"แล้วคุณหมอโทรมา....มีอะไรล่ะครับ!!?" ไอ้เด็กโย่งเอ่ยถามเสียงแข็ง..คงเป็นเพราะไปแหย่มันเรื่องไอ้คุณเฮีย ..ก่อนจะเสียงานเสียการไอ้หมอขิมคนนี้คงจะต้องเข้าเรื่องเสียแล้ว
"เรียกว่าพี่ขิมก็ได้ มีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย คือว่าเพื่อนของเรานะ เค้ามาลืมของเอาไว้นะซิ"
หมอขิมหยิบสมุดสเก็ตแบบเล่มไม่ใหญ่นักที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดดูอีกรอบ รอยยิ้มอารมณ์ดียังคงประดับอยู่บนใบหน้า ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเจ้าของลายเซ็นตรงขอบกระดาษเป็นของใคร แต่อย่างน้อยก็พอจะมีเหตุให้โทรตามได้และมันจะเป็นการมีพิรุธมาก หากไปขอสิ่งที่ต้องการจากไอ้คุณเพื่อนจอมเขี้ยว มันคงได้ซักประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาไปยันสุโขทัย(เว่อร์ไปมาก)
"ลืมของ!!? ของใครล่ะครับพี่ขิม" เสียงปลายสายถามกลับมาอย่างสงสัย
"อืม..พี่ก็ไม่แน่ใจ เลยถือวิสาสะเปิดดู ก็เจอแต่ลายเซ็นที่ขึ้นต้นด้วยตัวเอ..."
"อ้อ.......ของไอ้ชายเอิง!!" ยังพูดถึงหลักฐานที่มีอยู่ไม่ทันจบประโยคดี ไอ้เจ้าเด็กโย่งมันก็ลากเสียงยาวในลำคอ ก่อนจะเฉลยชื่อเจ้าของสมุด ที่ทำให้คุณหมอที่รอฟังอมยิ้มจนแก้มแทบปริ
"คนที่ผมยาว ๆ ใช่ไหม!!?" ต้องแกล้งทำเป็นซื่อไปก่อน กลัวว่าไอ้เด็กโย่งมันจะจับได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว...คนทางนี้กำลังดีใจจนเนื้อเต้นแค่ไหน
"ใช่ครับ...ว่าแต่...." ปลายสายทำเป็นลากเสียงยาว แล้วก็ปล่อยเงียบ.... ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะชวนสยอง เสียงหัวเราะร้ายกาจที่เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่ง...ไอ้เสียง'หึ หึ'แบบนั้น
"น้องวายุ...เป็นอะไร..รึป่าวครับ..." กลายเป็นหมอขิมที่ทนไม่ไหวเองจนต้องเอ่ยถาม เมื่อไอ้เด็กโย่งมันเล่นบนเงียบหลังจากที่ส่งเสียงหัวเราะชวนสยองเมื่อกี้
"ดูเหมือนพี่ขิมจะสนใจสมุดวาดของไอ้หนุ่มผมยาวนั่นจังเลยนะครับ แบบว่า...ถึงขั้นต้องโทรมาถาม ทั้งที่จริงทิ้งไปก็ได้"
เวร!!! อุตส่าห์ระวังไอ้เพื่อนตุลแทบตาย ดันมาเจอกระดูกชิ้นใหญ่กว่าซะงั้น ลืมคิดไปว่าไอ้เด็กวายุมันเป็นคนที่สามารถและหาญกล้าเข้าไปแหย่หนวดไอ้ตุลจอมโหดได้ เพราะงั้นวิทยายุทธต้องไม่ธรรมดา อาจถึงขั้นเซียนทั้งที่อายุยังน้อยกว่าด้วยซ้ำ กลายเป็นคุณหมอผู้รู้มากและมั่นใจในตัวเองสุด ๆ ทางนี้ที่เป็นฝ่ายอ่อนใจเสียเอง
"ครับ...จะว่าอย่างงั้นก็ได้ พี่ก็แค่...กำลังตกหลุมข้าง ๆ เราล่ะมั้ง" หมอขิมพูดเปรยออกมาปนกับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ในเมื่อโดนรู้ทันก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมใดๆอีก
"ลำบากนะครับนั่นนะ" อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเหมือนจะล้อเลียนอย่างรู้ทัน ...ฉลาด!! คือคำนิยามที่คุณหมอขิมอยากจะเอ่ยปากชมคู่สนทนาของตัวเอง
"ก็อาจจะใช่...แต่คงไม่ต่างจากของเราเท่าไหร่หรอก แล้วว่าไง..จะช่วยพี่หมอคนนี้ซักหน่อยได้ไหมล่ะ" หมอขิมรุกต่อแบบตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมให้ไกลอีกต่อไป
"ก็พอจะช่วยเท่าที่ได้ แต่อีกฝ่ายมันก็เพื่อนผมนะครับ"
"พี่รู้...ไม่ทำเล่น ๆ หรอก" คำยืนยันจากปากคุณหมอทำเอาทางนี้อดคลี่ยิ้มกับตัวเองไม่ได้ นึกถึงตอนที่พยายามเข้าใกล้ไอ้คุณเฮียแทบตาย แล้วในที่สุดวันนี้ก็สำเร็จ..ความสุขที่ตัวเองได้รับก็อยากจะยื่นแบ่งปันให้คนข้างๆ บ้าง แต่...ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎที่ตัวเองตั้งเอาไว้ ว่าจะต้องไม่ฝืนใจใคร..
"แล้ว..ถ้ามันไม่เล่นด้วย..?"
"ขอให้ได้ลองพยายามก่อน น้องวายุว่าไงล่ะ..?" หมอขิมถามกลับทันทีโดยไม่ต้องรอคิด ขอเพียงได้ลองพยายามดีกว่าจะปล่อยให้โอกาสมันหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา แล้วมารู้เอาทีหลังตอนที่สายไปคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วตอนนั้น
"อืม...ถ้าพี่ขิมอยากลอง แต่...ผมจะเข้าข้างเพื่อนนะบอกไว้ก่อน"
"ครับ ๆ พี่เข้าใจ" ณ ตอนนี้อะไรก็ได้เพียงขอแค่ได้สานสัมพันธ์ ไอ้คุณหมอขิมรับปากและตั้งใจทำจริงทุกอย่าง
"แล้วก็...มีข้อแลกเปลี่ยนอีกอย่าง...พี่ก็ต้องช่วยอะไรผมบ้าง...แค่นิดเดียวเท่านั้นล่ะครับ"
"อะไรล่ะ!!? ว่ามาได้เลย.."
หมอขิมกดวางโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี เหลือบมองตัวเลขทั้ง 10 ตัวที่อยู่ในกระดาษโน๊ตราวกับว่ามันคือเลขของสลากที่ถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันตอนที่ตกปากรับคำข้อแลกเปลี่ยนแบบแปลก ๆ ของไอ้เจ้าเด็กโย่งไปเมื่อกี้ 'ถ้าเฮียถามว่าคุยอะไรกัน ช่วยบอกไปทีว่า..
ความลับ!!' แปลกไหมล่ะ..!!? แต่พอลองมานั่งคิดอีกทีคงเพราะไอ้เด็กฉลาดนั้นมันกำลังวางแผนอะไรเอาไว้มากกว่า งานนี้ไม่รู้ว่าจะสงสารใครดี..สงสัยคงต้องรอดูผลอย่างเดียวซะล่ะมั้ง!!
.
.
.
"เอิง!! โทรศัพท์ดังนะ" เสียงน้องสาวฝาแฝดนามว่า'เอย'ตะโกนเรียกมาจากข้างล่าง ทำเอาคนที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ ตามประสาเด็กอารมณ์ศิลป์สะดุ้ง กว่าจะขยับตัวหลุดจากขอบหน้าต่างของห้อง ก็ได้ยินเสียงตะโกนอีกหลายครั้งจนสำเนียงธรรมดากลายเป็นตะคอก..น้องหรือแม่ก็ไม่รู้!!
"เบอร์ใครวะ!!?" ด้วยความที่ไม่ขึ้นชื่อสายโทรเข้าที่หน้าจอ ชายเอิงก็เลยยืนขมวดคิ้วอยู่นานสองนานกว่าจะตัดสินใจกดรับ
"สวัสดีครับ...!!?" รู้สึกว่าปลายสายจะเงียบไปซักพัก ก่อนที่จะได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจ...
"เอ่อ..!! โทษนะครับ นั่นใช่น้องเอิงเด็กศิลป์รึเปล่าครับ"
=======================
บทเกริ่นนำบทที่ 2 ของคู่นี้
ดูเหมือนพี่หมอขิมจะถูกใจใครหลายคนแถวนี้
แต่ไม่รู้ว่า...จะถูกใจใครบางคนหรือป่าว
แล้วไอ้หมีมันจะช่วยใครทางไหนต้องมาคอยติดตามดูอีกที 
กอดทุกคนในวันหยุดยาวอีกแล้ว..อิจฉาวุ้ย!! 