+ G A M E R L O V E R +
แฟนผมเป็นโอตาคุเกมครับ!
7
“เดี๋ยวนี้มึงติดเด็กนั่นจังวะ..." คำนั้นเรียกให้ข้าวโอ้ตเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมอนิเตอร์เป็นครั้งแรกของวัน ด้วยรอยหยักกลางหว่างคิ้วจนแทบจะผูกกลายเป็นโบว์...ก่อนจะทวนประโยคด้วยคำสั้นๆ
“ห๊ะ?” “เปล๊า"
คำตอบรับที่สวนมาทันทีด้วยเสียงสูงปรี๊ด พร้อมกาแฟหอมฉุยแก้วที่3ถูกยกมาวางตรงหน้า
ร่างสูงโปร่งของเพื่อนรักเท้าสะโพกกับโต๊ะทำงาน แล้วยืนไขว้ขาผิวปากยืนรอ...ส่วนคนจะถูกแซวน่ะมีหรือจะรู้ตัว หยิบกาแฟแห่งความปรารถนาดีขึ้นไปจิบสบายๆ ขณะเพ่งสายตากลับเข้าไปสู่โลกแห่งโปรแกรมชวนปวดหัวนั่นอีกหนหนึ่ง
“มึงลืมกูแล้วใช่มั้ย?” โจ้พยายามเรียกร้องความสนใจอีกครั้งด้วยท่าทางเหมือนจะร้องไห้
แต่ก็ยังเรียกให้การง้อเกิดขึ้นไม่ได้นอกจากประโยคที่ว่า
“เป็นเหี้ยอะไร?” โดยที่แแทบไม่หันมามองเลยด้วยซ้ำ...
..ลืมไป..ไอ้สัสนี่เป็นมนุษย์ประเภทที่พูดจาอ้อมค้อมด้วยไม่ได้..
..ถ้าคนจิตตกได้ฟังอาจจะไปผูกคอตายเดี๋ยวนั้น.. “ก็จะอะไรวะ"
ในที่สุดคนจะพูดก็ต้องเริ่มเข้าเรื่องสักที หลังจากยืนเก้ๆกังๆมานานสองนาน
"เดี๋ยวนี้ไม่เห็นชวนกูไปเซ็นปิ่นเลย จะไปก็ฉายเดี่ยวตลอด....”
“...นั่นเพราะกูเกรงใจมึงได้ป่ะ...”
"ทำเป็นพูดดี บางทีกูก็อยากไปหาไรกินในนั้นบ้างนะว้อย อยู่ในออฟฟิศมาสามชาติเศษล่ะ บัตรลดบาบิก้อนแม่งจะหมดอายุแล้วด้วย ไหนจะชาบูอีก.........เอ้อ......แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน กูว่ามันชักจะออกทะเลเกินไปล่ะ"
คนพูดยกมือเกาศีรษะแกรกๆ แล้วสรุป
"ที่กูอยากรู้ก็คือ...น้องกอล์ฟเค้าว่างมาเล่นกับมึงทุกครั้งเลยรึไงวะ?” ประโยคต้นๆเป็นเพียงแค่บริบท ไคลแมกซ์ดูเหมือนจะอยู่ที่ทิ้งท้ายมากกว่า
และข้าวโอ้ตก็ไม่ใช่คนที่บื้ออะไรขนาดนั้น ในที่สุดดวงตากลมโตก็ตวัดมาหรี่จ้องอย่างจับผิด
“ว่างไม่ว่างไม่รู้แต่มันก็มาว่ะ....บ่นเหี้ยไรของมึงเนี่ย มึงไปกะกูได้เล่นกะกูที่ไหนวะ"
“เอ้า! มึงเซียนขนาดนั้นคนธรรมดาอย่างกูไม่อาจสู้หรอกว้อย!”
“งั้นก็เลิกบ่น แล้วกลับไปทำงานไป"
“โธ่พ่อคุณ นี่พักเที่ยงได้ป่ะ...มึงดูเวลาบ้าง เดี๋ยวไอ้ป๋องก็เอาข้าวกล่องมาให้ล่ะ"
คู่สนทนากรอกตา แล้วมองนาฬิกาข้อมือ..เวลาเที่ยงครึ่ง...นี่หมกมุ่นจนลืมเวลาอีกแล้วให้ตาย...
“ตอนบ่ายสองกูต้องไปคุยกะวิศวกรว่ะ พอถึงเวลาแล้วเตือนกูด้วย"
“คร้าบบบเจ้านาย"
“เออ มึงต้องไปกะกูด้วยนี่หว่า...? หรือจะให้ใครไป?”
“ไม่อ่ะ วิศวกรชายไม่ใช่เรอะ" โจ้ปฏิเสธทันที "ให้ไอ้กรังไปเหอะ เอามันไปดูงานบ้าง"
“เมื่อวานผมก็ไปครับพี่" อีกเสียงหนึ่งตะโกนข้ามมา "พี่โอ้ตกับพี่วิศวกรเค้าคุยอะไรกันไม่รู้ผมไม่รู้เรื่องเลย"
เท่านั้นแหละคนเป็นใหญ่สวนกลับไปทันที "มึงกลับไปเรียนสตรัคเจอร์ใหม่เลยไป๊!!”
“....ผ...ผมกำลังศึกษาอยู่" โจ้มองน้องนักศึกษาฝึกงานที่ตัวหดลงอย่างรวดเร็วนั้นด้วยสายตาละเหี่ยใจ และรับรู้หน้าที่ผ่อนหนักให้เป็นเบาของตัวเองในบัดดล
“มึงแม่งดุอย่างกะเสือ สงสารเด็กบ้างอะไรบ้างเหอะ...”
คนถูกปรามเลิกคิ้วสูง “กูเนี่ยนะดุ? ปกติว้อย”
"ใจเย็นดิ ใครแม่งจะไปเก่งเหมือนมึงกะกูหมดวะ”
“มันไม่ได้โง่เลยสัส ไอ้กังหันอ่ะ...เสือกไม่ตั้งใจฟังวิศวกรพูด"
“เอออ กูรู้แล้ว กูรู้แล้ว” โจ้โบกไม้โบกมือยอมแพ้ “...แล้วนี่มึงไปปากร้ายด่าน้องกอล์ฟเค้าร้องไห้บ้างป่ะวะเนี่ย"
“กูก็เป็นแบบนี้ของกูเนี่ยแหละ ไม่เห็นตัวหดนั่งร้องไห้สักกะหน"
คนฟังตาโต “จริงดิ แม่งทนดีว่ะ..อย่างงี้กูค่อยสบายใจหน่อย"
“สบายใจเหี้ยอะไร?”
“ดุอย่างกะลอร์ดไวเลอร์แบบมึงอ่ะ ตามตรงนะ...กูเป็นห่วงน้องเค้าว่ะ" เท่านั้นแหละอารมณ์ก็ปรี๊ดปรอทแทบแตก ไอ้เป็นห่วงใครคนอื่นน่ะไม่ใช่เรื่อง...ติดใจแค่ยกตัวเองไปเปรียบดั่งสุนัขพันธ์อหังการแบบนั้นซะนี่ ข้าวโอ้ตนึกอยากจะชูนิ้วกลางใส่ให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยไอ้เพื่อนเวร! ทำเป็นห่วงมันนะ..แม่งไม่เห็นกลัวกูเลยไอ้สัส เอาแต่ยิ้มๆ...แล้วก็พูด
'ครับพี่' 'ครับผม' 'คร้าบๆ' นั่นแหละ นอกจากไอ้นิสัยที่ชอบชอบยักคิ้วกวนประสาท..ไม่เห็นจะเรื่องมากอะไร เล่นเกมกับกูได้ทัดเทียม ว่านอนสอนง่าย ท่าทางเป็นเด็กดีด้วย
แถมยัง........”
..กึก.. ดวงตากลมดุจ้องมองไปตรงหน้า เพียงแต่ไม่ได้มองเข้าไปในหน้าจอคอมพิวเตอร์ อะไรบางอย่างในห้วงความคิดทำให้เขาชะงักงันลง และรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลในความเห็นนั้น...
“แถมยัง?”
ดูเหมือนโจ้จะรอฟังประโยคต่อไปเสียเต็มประดา
คู่สนทนาอึกอักเล็กน้อย แล้วบอกปัด
"ช่างเหอะ ไม่มีอะไร"
“เอ๊ะ? มึงนี่
'ไม่มีอะไร' บ่อยจังเว้ย"
“เอ๊ะ ก็บอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิวะ ไปเลยไป ทำงานไป!"
…..ไม่เห็นจะเรื่องมากอะไร....แถมยัง....... ข้าวโอ้ตถอนหายใจเมื่อพบว่าเพื่อนรักท่าทางจะไม่ติดใจเอาความเท่าไหร่ ประจวบเหมาะกับที่กระป๋องน้อยหิ้วกล่องข้าวขึ้นมาให้พอดี..ทุกคนจึงแยกย้ายกันไป ยกเว้นก็แต่ร่างผอมบางที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม...วางมือลงบนเม้าส์คอมพิวเตอร์...โดยไม่คิดจะเคลื่อนเคอร์เซอร์ไปตำแหน่งไหนเลยโดยมีสาเหตุจากอาการเหม่อลอยที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก...
เขารู้สึกไม่สบายใจที่เผลอคิดแบบนั้นออกไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกระวนกระวายอยู่ลึกๆ..
...แถมยัง...
…...คอยตามใจ...อย่างเกินพอดีซะด้วย...+ G A M E R L O V E R +
...หนึ่งวัน...
…ไร้การติดต่อกลับมาหนึ่งวันเต็มๆ... กอล์ฟส่งไลน์รูปหมีนั่งหงอยไปรอบที่สิบเห็นจะได้ รอสักพักใหญ่ก็ยังไม่มีการตอบกลับมา...เขารู้ว่านี่คงเป็นสถานการณ์ปกติ และทำใจโยนโทรศัพท์มือถือไว้บนเตียง หันกลับมาสนใจกับการเก็บเสื้อผ้าอีกครั้งหนึ่ง
ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจ้าของห้องตอบกลับไปด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ
“ครับ"
แรกทีเดียวเผลอคิดว่าคงจะเป็นแม่บ้านมาบอกลาทุกหัวค่ำแบบที่ทำเป็นประจำของทุกวันเสาร์ แต่เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดนานสองนานก็ยังไม่มีเสียงพูดใดๆดังขึ้น...มันทำให้กอล์ฟเงยหน้าขึ้นจนได้
บุรุษร่างสูงยืนอยู่ตรงนั้นนในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงแสลคสีโทนเดียวกัน...ดวงตาที่มองลอดแว่นกรอบทองไม่ได้สื่ออารมณ์ใดๆ แถมยังกอดอกพิงกำแพงทำหน้านิ่งงันอยู่ตรงนั้นมาได้นานสองนาน คนมองใช้พลังไปมากที่จะทำหน้าตายแบบเดียวกัน แล้วเอ่ยทักออกไปตามมารยาท
“กลับมาแล้วเหรอครับ?"
“อืม"
คำตอบรับสั้นๆโดยไม่เปลี่ยนท่าทีแบบนั้นชวนให้คนมองแข็งไปทั้งตัว ซึ่งใช้เวลาไม่นานในการปรับตัวให้ชินชา แล้วจึงก้มลงมารูดซิปกระเป๋าปิดท้ายเหมือนกับว่าอีกคนไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้อง
“ได้ยินจากแม่บ้านว่าจะไปหัวหิน?”
กอล์ฟเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง..ด้วยถูกสอนว่าให้สบตาคนพูดเสมอ “ครับ"
“กี่วัน"
“สามวันครับ กลับวันจันทร์"
“ไปยังไงน่ะ?”
“นั่งรถไฟฟรีไปครับ"
“ที่พักล่ะ?”
“จองเรียบร้อยแล้วครับ ทางอินเตอร์เน็ท"
“บอกพ่อกับแม่รึยัง?”
“บอกแล้วครับ"
“มีเงินไปรึเปล่า?”
“แม่ให้มาแล้วฮะ"
“เท่าไหร่?”
“สามพันครับ"
คนฟังถอนหายใจ ขยับตัวล้วงกระเป๋าเงินของตัวเองออกมา "จะไปพออะไร พี่ให้อีกสองพัน...อย่ากินเหล้าให้มากนักนะ"
เด็กหนุ่มเรียนรู้มาว่าไม่ควรปฏิเสธให้เรื่องมันบานปลาย จึงได้แต่รับและยกมือไหว้
“ขอบคุณครับพี่เก็ต"
“มีอะไรก็โทรมา พี่รู้จักตำรวจแถวนั้นบ้าง"
..จริงๆแล้วกอล์ฟไม่คิดว่าตัวเองจะมีธุระกับตำรวจ แต่ก็ตอบรับไป.. “ครับ"
“โอเค ดี" ชายหนุ่มใช้นิ้วชี้ดันแว่นด้วยท่าทีธรรมชาติ "งั้นพี่ไปก่อนนะ มีเวรดึก"
“ครับ ขับรถระวังทางด้วยนะฮะ"
“อืม รีบนอนด้วย"
“ครับ"
บทสนทนาของสองพี่น้องมักจะสั้นเสมอ สั้นราวกับว่าไม่มีอะไรจะพูด...และเด็กหนุ่มเองก็พอใจอยู่แค่นั้น ไม่สิ..ต้องบอกว่า 'ทั้งคู่' พอใจอยู่แค่นั้น และไม่คิดจะเยิ่นเย้ออะไรไปมากกว่านี้
'สเก็ต' เป็นพี่ชายที่อายุมากกว่าสิบสี่ปี..ทำงานด้านกฏหมายที่กอล์ฟเองก็ไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดมากนัก ปัจจุบันยังครองตัวโสด...แต่อย่างไรก็ดี ครอบครัวของเขาไม่จำเป็นต้องหาทายาทสืบสกุลเพราะ 'กี้' หรือ 'กรีฑา' พี่สาวคนโตรับสามีแต่งเข้าใช้นามสกุลเดียวกัน แยกตัวไปอยู่ต่างบ้านแล้ว...ธรรมดาคนทั่วไปจึงเรียกกอล์ฟว่าเป็น 'ลูกหลง'
เก็ตและกี้ไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมบ้านมากนัก และความที่อายุห่างกันไม่น้อย..พี่น้องจึงไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรเหมือนบ้านอื่น ความเหมือนที่น่าประหลาดคือถูกเลี้ยงมาด้วยความเชื่อที่ว่า 'พูดให้น้อยลง ผิดให้น้อยลง' ทำให้พวกเขาทั้งหมดดูจะเป็นคนเข้าถึงยากอย่างน่าประหลาด และพี่ชายคนนี้แหละที่มีสิ่งนั้นรุนแรงที่สุด...
'พี่ชายมึง..น่ากลัวนิดๆว่ะ...' นั่นเป็นคำพูดที่คิมจะพูดทุกครั้งที่เจอกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่คนเป็นน้องต้องยิ้มและปฏิเสธให้ทุกครั้ง
“กอล์ฟ" นั่นคล้ายกับว่าเป็นเสียงเรียก
“...เดินทางระวังด้วย ต่างจังหวัดมันอันตราย มีปัญหาโทรหาพี่ก่อน เข้าใจนะ?" ..พี่เก็ตใจดีจะตาย..
..ไม่รู้อะไรซะแล้วไอ้คิม..
+ G A M E R L O V E R +
...สามวัน...
…ไร้การติดต่อกลับมาสามวันเต็มๆ...!?! ตรูดด....ตรูดดดดด......
((หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ..)) “บ้าเอ้ย! แม่งไม่รับโทรศัพท์!! เอาไปยัดรูตูดซะไป!!!” คำที่ตะโกนออกมาทะลุจากระเบียงเข้ามาถึงในออฟฟิศ ทุกคนในที่นั้นสะดุ้งเฮือกตื่นตระหนกเข้าไปอีกเมื่อเสียงคำรามดุจเสือโคร่งพิโรธดังตามมาติดๆ ก่อนประตูระเบียงจะเปิดออกพร้อมร่างผอมบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายตัวจะสาวเท้าฉับๆเข้ามาโดยมีไอมาคุตามเป็นกระพรวน
ทั้งกังหันและกระป๋องต่างหันควับมาที่หน่วยกล้าตายเพียงหนึ่งเดียวของห้อง
ซึ่งแน่นอน รุ่นพี่ผู้แสนดีของน้องๆก็ยกมือเสยผมอย่างระอา แล้วเอ่ยถามในที่สุด
“ใครไม่รับโทรศัพท์วะโอ้ต วิศวกรเรอะ?”
“เปล่า"
“รึว่าผู้รับเหมา?”
“เปล่า"
“ถ้าบอสไม่รับก็ขึ้นไปหาดิวะ เรื่องง่ายๆ”
“กูบอกว่าเปล่าก็เปล่าสิวะ เหี้ยเอ้ย! มันเป็นบ้าอะไรของมันวะเนี่ยยยย!!”
หลังปฏิเสธ เจ้าตัวกลับโวยวายเสียยาวเหยียด
"อย่าให้กูบ่น....แม่งส่งรูปหมีนั่งหงอยมาวันเดธไลน์เป็นสิบๆตัว กูก็ทำงานอยู่ไม่ทันเช็คไลน์ป่ะ....เสร็จสรรพวันต่อมากูก็ส่งกลับไป กลายเป็นไม่ตอบกู! สามวันแล้วนะว้อย!! กูโทรไปวันนี้ก็ปิดมือถือ!!” “....ป๋องว่ามันน่าจะแบตหมดมากกว่าครับพี่" “ไม่ต้องเถียง!!”
“......ขอโทษฮับ....” โจ้ตบบ่ากระป๋องน้อยอีกครั้ง ท่าทางคงจะลืมกันไปจริงๆว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
“ใจเย็นๆไอ้โอ้ต ธุระสำคัญขนาดนั้นเลยรึไง?”
“...ก-ก็....” คลื่นลมสงบลงเล็กน้อยแล้ว
"ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น...” “เรื่องอะไรล่ะ?”
“ไม่ใช่เรื่องงานหรอก"
คนฟังเลิกคิ้ว “แล้ว...ใครวะ?”
“อ-เอาเหอะน่า"
“แล้วมันเป็นใครกันล่ะวะ?”
“แล้วมึงจะเอาอะไรกันล่ะวะ?!”
“เอ้า ก็เห็นมึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกูก็แค่นึกสงสัยว่ะ...มึงจะคุยกับใครได้อีกนอกจากพวกกูวะ?”
“ม-มีก็แล้วกัน"
นั่นทำให้ทุกคนในที่นั้นมองหน้ากันด้วยความฉงน "ใครวะ?”
“เออน่า"
“นี่มึงไม่รีบบอกยิ่งมีพิรุธนะว้อย" มือใหญ่แปะปุบลงบนบ่าเปราะแข็ง แล้วทำท่าจะสะกดจิต "...บอก-ความ-จริง-มา"
“ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกน่า"
“...บอก-ความ-จริง-มา"
“ช่างมันเห๊อะ"
“...บอก-ความ-จริง-มา"
หลังจากพยายามทำทุกวิถีทางทั้งสะบัดมือก็แล้ว หันไปจิบกาแฟก็แล้ว ตรงมาที่โต๊ะทำงานก็แล้ว..เพื่อนรักจอมแสบก็ดูเหมือนจะพูดเป็นอยู่คำเดียว แถมติดจะหลอกหลอนมากขึ้นทุกที
...สุดท้ายคนตัวเล็กกว่าก็ตบโต๊ะ 'ป้าบ' แล้วตอบ
“จะใครซะอีก...ก็ไอ้กอล์ฟไงเล่า!!” ผ่างงงงงงงงงง ประหนึ่งทุกคนในที่นั้นแข็งค้างไปชั่วขณะ
ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวผู้พูดเอง ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะหน้าร้อนผ่าวไปทำไม
ในที่สุด คนที่ขยับตัวก่อนในที่นั้นก็คือโจ้..ผู้รับบทแก้สถานการณ์ทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
ด้วยการดีดนิ้วเป๊าะ
“อ้อหรา...เอาเถอะ กลับไปทำงานได้แล้วพวกเรา"
นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้ข้าวโอ้ตเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วหมุนเก้าอี้กลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกรอบหนึ่ง..ซึ่งถึงแม้จะอยากทำงานแค่ไหนแต่สมองในตอนนั้นก็เบลอรวนไปเสียหมด
….อาการอึดอัดหายใจไม่ค่อยสะดวกแบบนี้มันอะไร..
....ตื่นเต้น? ..ไม่เห็นมีอะไรต้องตื่นเต้นทั้งนั้นนี่ ก็แค่พูดออกไปตามความจริง..แค่นั้น เรื่องทั้งหมดมีแค่นั้น เอาล่ะข้าวโอ้ตเอ๋ย..หน้าที่หลักของแกคือทำงาน ถึงจะไม่ได้OTแกก็ต้องทำงาน เลิกคิดฟุ้งซ่านเรื่องคุณหมีนั่งหงอยอะไรบ้าๆนั่นได้แล้ว มันไม่ได้ทำให้เรื่องราวดีขึ้นมาเท่าไหร่หรอก เชื่อโอ้ตเถอะ..มันก็แค่ไลน์ แค่โปรแกรมแชท..แล้วก็เบอร์โทรกับคอลเซ็นเตอร์ แค่นั้นแหละ...
ชายหนุ่มพยายามกล่อมตัวเองด้วยกระแสจิต ก่อนที่เสียงลากเก้าอี้จะดังขึ้นข้างๆ
“น้องกอล์ฟเค้าคงติดธุระ มึงไม่ต้องคิดมากหรอก" ประโยคนั้นแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ และมันทำให้คนฟังไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง
“กูรู้น่า"
“อยากเล่นเกมขนาดนั้นกูไปเป็นเพื่อนก็ได้เอ้า"
“ไม่เอา เล่นคนเดียวไม่หนุก"
“กูเล่นด้วยไง"
“ไม่เอา มึงห่วย"
“โหยไอ้เหี้ย อย่างอแงเป็นเด็กๆไปหน่อยเลยว่ะ"
“กูไม่ได้งอแงว้อย"
พอละสายตาจากคอมพิวเตอร์ไปสบตาด้วย ข้าวโอ้ตก็รู้ตัวเดี๋ยวนั้นว่าคิดผิด
เมื่อแววตาของอีกฝ่ายส่อประกาย 'รู้ทัน' มาอย่างชัดเจน
...แถมยังฉวยโอกาสนั้นพล่ามซะยาว
“กูน่ะไม่ได้สนิทกับน้องกอล์ฟเค้าหรอกนะ แต่เห็นว่าเป็นนักเรียนเตรียมสอบมหา'ลัย..ถึงหน้าตาจะฉลาดแต่ก็คงมีเครียดเคริดอะไรกันบ้างน่ะแหละ คงจะแค่ลืมชาร์จมือถือ หรืออะไรก็เหอะ..ไม่ได้ปิดเครื่องหนีมึงหรอก ทำตัวเป็นผู้ใหญ่..อ้อ..กูไม่ได้จะว่าเรื่องที่มึงอายุมากกว่าเค้าหรืออะไรหรอกนะ เพียงแต่...” ดวงตาที่ทอดมองลงมาราวกับมีความนัยอะไรบางอย่าง และคนมองก็สัมผัสได้แทบจะในทันที..
“....จะอ้อนก็อ้อนให้มีขอบเขตหน่อยก็แล้วกัน"
TBC====================
อัพถี่จุงเบยยย 555
พูดถึงเรื่องเด็กม.ปลาย มีประเด็นที่กำลังดังอยู่ตอนนี้คือเรื่องทรงผมของนักเรียนสินะคะ!
นักอ่านที่น่ารักของโอก็มีเด็กมัธยมปะปนอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ
หลายคนก็คงมีความเห็นเรื่องนี้ที่แตกต่างกันไป
จริงๆไม่อะไรมาก โอไม่ใช่คนแหกกฏอะไรอยู่แล้วเลยคิดว่า กฏมายังไงก็ทำแบบนั้น ไม่ต้องคิดมากหรอก!
((แต่ตอนเด็กๆนี่ก็แอบซอยนะ.....สุดท้ายก็เล็มกันไป....))
อา....พูดแบบนี้เหมือนผ่านช่วงชีวิตนั้นมาหลายปีแล้วเลยแหะ

เออ!! ที่จะพูดก็คือ...ทรงผมน่ะไม่เป็นไร แต่อย่าเปลี่ยนเครื่องแบบเลยนะขอร้องงง
ไม่อยากจะบอกว่าชอบชุดนักเรียนมัธยมรัฐมาก ทั้งม.ต้นม.ปลายเลย ;;[];;/// แบบ มัน ก๊าว อ่ะ
ตอนเราใส่เองก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะคะ
พอโตขึ้นมาจุดๆนึงมองกลับไป โอ้ย น่ารักค่ะ ไม่ไหวจะเคลียร์ 55555
(ยิ่งชุดนักเรียนชายที่เป็นกางเกงขาสั้นนะ...แซ่บเว่อร์!!)
((มันมีไม่กี่ประเทศหรอกนะคะที่เอากางเกงนักเรียนมาใส่กับเสื้อยืดแล้วเดินไปเดินมาน่ะ!!

))
ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้ใส่ชุดนศด้วยค่ะ คือชุดผู้หญิงมันต้องกลัดกระดุมใช่ม้ยคะ
แค่เรียนแค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องมากลัดกระดุมอีก!! โอย จะบ้าตาย สุดท้ายก็ใส่เฉพาะวันสอบกับส่งไฟนอล...
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คิดว่า 'ยูนิฟอร์ม' มันไม่เลวนะ!
อา....คำว่า 'เครื่องแบบ' มันทำให้หัวใจลุงๆสดชื่นขึ้นจริงๆ!!
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ozaka*
