ผ้าพันแผลสีขาวเด่นสะดุดตาที่ลำตัวชวนให้วนัสเผลอจับจ้อง แม้จะเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม มือเล็กยกขึ้นแตะบริเวณแผ่นอกเบาๆ
ดีแล้วที่ยังมีชีวิตออยู่
ภูผาสังเกตเห็นอาการนิ่งเงียบไปของร่างบาง จึงเอื้อมมือเข้ากุมมือบางที่กำลังสัมผัสแผลตัวเองเบาๆ
ใบหน้านวลเงยมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งค้ำร่างตัวเองด้วยแววตาสั่นไหว
“ผมรักคุณจริงๆนะครับ” ไม่รู้อะไรทำให้เขาอยากพูดประโยคนี้อีกครั้ง อยากพูดทุกวัน อยากพูดทุกครั้งที่มีโอกาส
ภาพคนรักคุกเข่าบอกรักตัวเองอยู่ตรงหน้า ทำให้ภูผาแทบไม่อยากเชื่อสายตา พลางโน้มตัวเข้าครอบครองริมฝีปากเต็มอิ่มอย่างยั้งใจไว้ไม่ได้
น่ารักเหลือเกิน
“นัส....” เสียงครางกระเส่าของร่างสูงทำให้วนัสผละตัวออกจากอีกฝ่ายด้วยอาการหอบ มองดวงตาที่เต็มไปด้วยการเรียกร้อง โหยหาอย่างไม่ปิดปัง ผิวแก้มนวลจึงแดงเรื่อขึ้น ก่อนจะหลุบตาลงมองบริเวณที่ถูกผ้าเช็ดตัวปิดบังไว้เริ่มขยายตัวให้เห็นเด่นชัด
คุณภูผากำลังมีอารมณ์ แต่...แต่ว่าแผลยังไม่หายเลยนะ วนัสเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่เริ่มขยับตัวเข้าใกล้
“ฉันอยากกอดนัส” แววตาเว้าวอนของร่างสูงทำเอาใจร่างโปร่งบางอ่อนยวบ แต่ก็ยังกังวลอยู่ดี
“รอให้แผลหายก่อนสิครับ”
“ฉันรอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก นี่ก็เป็นเดือนมาแล้วนะ” ภูผารั้งร่างบางเข้าไปกอดแล้วซุกไซร์จมูกเข้ากับซอกคอขาวผ่องอย่างดึงดัน ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธ
ในขณะที่ร่างบางก็เริ่มกระอักกระอ่วนใจ แผลขนาดนั้นยังคิดจะทำอีกเหรอ ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ วนัสคิดอย่างระอา
“เดี๋ยวแผลเปิดครับ” วนัสพยายามตะล่อมคนที่เกี่ยวคว้ามือเขาไปสัมผัสส่วนนูนพอง แล้วเคล้นคลึงผ่านมือตนเบาๆ
“นัส...งั้นข้างนอกได้มั้ย เหมือนคืนนั้นก็ได้” ภูผากระซิบชิดใบหูนิ่ม
เสียงออดอ้อนของร่างสูงกระซิบข้างหูจนวนัสเกิดอาการใจอ่อน ยกมือขึ้นโอบรอบลำคอหนาไว้หลวมๆ ก่อนจะชะงักเพราะคำพูดท้ายประโยคของภูผา
คืนนั้น? วนัสมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของภูผาอย่างสนเท่ห์ เขาจำได้แต่ว่าทุกครั้งที่หลับนอนกัน เขาจะถูกอีกฝ่ายกลืนกินจนแทบไม่ได้หลับได้นอน ไม่มีหรอก ไอ้ที่จะทำครึ่งๆกลางๆ
แล้วจะบอกว่าเหมือนคืนนั้นได้ยังไง... ไปเอาประสบการณ์นี้มาจากไหน กับใคร!
พอคิดว่าร่างสูงนอนกอดกับคนอื่น ร่างบางก็ดันหน้าภูผาออกห่าง
“คืนนั้นน่ะคืนไหนหรือครับ” เสียงถามติดโมโหทำเอาภูผาลืมตามองใบหน้ามนทันที
คืนนั้น ก็คืนแรกที่ฉันลักหลับนัสไง
เป็นคำพูดที่ได้แต่คิดในใจเท่านั้น เพราะถ้าขืนพูดออกไป คงไม่เป็นผลดีกับตัวเองแน่ๆที่ดันไปสัมผัสเนื้อนวลตอนที่เจ้าของเขาไม่อนุญาต แล้วก็รู้ๆอยู่ว่าอีกฝ่ายโกรธแล้วจะเป็นยังไง แต่ว่าสายตาดุๆที่มองมาเขม่งทำให้ร่างสูงอึกๆอักๆ
“ว่าไงครับ ถ้าโกหกผมจะเก็บเสื้อผ้ากลับไปนอนบ้าน เพราะถ้าคิดจะรักกันก็ห้ามโกหกครับ” วนัสขู่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำพิรุธ ก่อนจะใช้สายตาคมกริบหรี่มองร่างสูงที่เริ่มหน้าซีดเหงื่อตก
เอาไงดี....โธ่นัส...ฉันไม่ได้นอกใจเลยนะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ
“ไม่บอกใช่มั้ยครับ” วนัสขบริมฝีปากตัวเองแน่น แล้วเบี่ยงตัวออกจากวงแขนร่างสูง
“หึ! คนหลายใจ”
“เฮ้ย! เปล่านะนัส” ภูผาแทบจะกระโจนตะครุบตัวร่างโปร่งบางไว้เมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นแล้วหันกลับมามอง
ท่าทางเอาจริงเอาจังของวนัสทำให้ภูผาร้อนรนสะดุ้งโหยงกับสายตาคาดคั้น แถมด้วยอาการถือตัวปัดมือเขาเป็นพัลวัน
“บอกแล้วๆ” ร่างสูงรีบตกปากรับคำ เพราะกลัวใจร่างบางจริงๆ คงต้องยอมเสี่ยงหัวแบะแล้วละงานนี้
ภูผารีบรั้งร่างบางเข้าไปสวมกอดแล้วก้มลงกระซิบกระซาบบอกเล่าเรื่องราวการมาทำงานที่ไร่ภูผาวันแรกจบลงด้วยเหตุการณ์แบบไหน
ไม่รู้ว่าวนัสเขินอายหรือโมโหกันแน่ ใบหน้าถึงได้แดงก่ำ แต่จากการสันนิฐานของภูผาคาดว่าจะเป็นอย่างหลัง เพราะเสียงร้องตะโกนออกมาอย่างที่ภูผาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“คุณภูผา!”
เอาน่ะ...ถึงยังไงก็แค่หัวแตก เขายอมทั้งนั้นละ ขอแค่คนๆนี้อยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆเขาตลอดไป จะโกรธยังไงก็ยอม ภูผามองดวงตาแวววาวด้วยความขึงโกรธพลางเพิ่มแรงโอบกอดร่างบางแน่นขึ้น ด้วยอีกฝ่ายพยายามสะบัดตัวออกอย่างกริ่งเกรงจะถูกแผล
“ขอโทษ...นัส” ร่างสูงแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มชุ่มชื้น ลิ้นอุ่นเล็กต่อต้านไม่ยอมให้ภูผารุกล้ำเข้าไป พลางส่งสายตาเขียวๆให้ร่างสูงหยุดล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อเขาเสียที
ถึงจะโกรธแต่ก็โล่งอกที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่ให้ตายเถอะ...ตอนนั้นเขาแทบจะไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย แล้วยังจะกล้าล่วงเกินกันอีกนะ เหมือนกำลังถูกล่อลวงยังไงไม่รู้สิ วนัสขึงตามองภูผาเขม่ง
“ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกผมอีกมั้ยครับ ถ้ามีก็บอกมาตอนนี้เลยดีกว่า” วนัสเหลือบตามองร่างสูงที่พยายามดึงเขาให้ทรุดตัวนั่งบนเตียง แต่มือไม้ก็ยังไม่ยอมหยุดไต่แตะแผ่นอกราบเรียบแล้วหยุดเขี่ยตุ่มเนื้อสีเข้มทำให้ต้องหอบหายใจหนักๆ
“อือ...อย่านะ” วนัสตะปบมือใหญ่ไว้มั่น “บอกมานะ!”
“อืม...ไว้ก่อนนะคนดี ตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้ว”
ภูผาเลี่ยงที่จะตอบแล้วเข้ายึดจับท้ายทอยอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นรับจุมพิตจากตนยาวนาน ก่อนจะค่อยๆผละออกมองริมฝีปากชุ่มฉ่ำ ทรวงอกเล็กกระเพื่อมไหวแรง แล้วจึงปลดกระดุมเสื้อเฝ้ามองผิวขาวนวลตรงหน้า
“ยังพูดกันไม่จบเลยนะ หยุด...นี่!” วนัสร้องเสียงหลง อยากจะกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่ายก็กลัวจะสะเทือนถึงแผลที่ยังไม่หายดี
เมื่อเห็นร่างบางยอมล้มตัวลงนอนแต่โดยดี ร่างสูงจึงได้ใจกระซิบเว้าวอนขอให้วนัสตามใจ
“นัส....นะ”
“ไม่เอา...” ใบหน้าขาวเบี่ยงหน้าหนีดวงตาคมกล้าที่สะท้อนความต้องการอย่างโจ่งแจ้ง “ผม...” ร่างบางครางเครืออย่างลำบากใจ จะให้เขาเริ่มบทรักเองเนี่ยนะ วนัสมองหน้าคนตัวใหญ่อีกครั้ง คุณก็เจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ
“นัส...”
วนัสขยับมือขึ้นจับบ่าหนาอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง
“นัส”
คุณภูผา...นี่คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณน่ะเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย วนัสพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างหนา เท้าแขนมองลึกลงในดวงตาคู่สีนิลที่มองสบตาเขานิ่ง
“ผมรักคุณ” วนัสยิ้มเย็น “แต่ผมจะไม่ยอมตามใจคุณเด็ดขาด” พูดจบวนัสก็ผุดลุกขึ้นเดินไปหยิบยาก่อนอาหารมาให้ร่างสูงทาน
พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นร่างสูงนอนหันหลังให้
“ยาก่อนอาหารครับ” ร่างบางคลานขึ้นเตียงไปนั่งข้างๆร่างที่นอนคดคู้หันหลังให้ “คุณภูผาครับ” มือเล็กเอื้อมไปแตะบ่าหนาเบาๆ
แต่ภูผาก็ยังไม่ยอมหันกลับมา จนวนัสต้องโน้มตัวก้มมองใบหน้าคมหนุนหมอนใบโต เห็นภูผาลืมตาแต่ไม่ยอมมองเขาเหมือนเด็กกำลังงอน จึงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะกดริมฝีปากที่ขมับอีกฝ่ายเบาๆ แล้วไล้เรื่อยไปหยุดที่ริมฝีปากได้รูป ส่งปลายลิ้นหยอกเย้าจนภูผาอดตอบรับสัมผัสไม่ได้
“นัส...”
“ถ้ายอมทานยา ผมก็จะ....” วนัสพูดค้างไว้แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายมีความหวัง
“นัส...” ภูผารีบรับยามากินพลางดื่มน้ำตามอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สังเกตรอยยิ้มนั้นแฝงร่อยรอยความเจ้าเล่ห์ไว้อย่างแนบเนียนอย่างที่ภูผาไม่คาดคิดมาก่อนเชียวละ
คุณเจ้าเล่ห์กับผมก่อนนะ
“นัส...ฉันกินหมดแล้วนะ...” ภูผาจุมพิตมือเล็กหนักๆ แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนเชื่อม
“ครับๆรู้แล้วๆ ผมจะเช็ดตัวให้นะครับ” วนัสยิ้มกว้างให้ภูผามองตาค้าง
“ก็ไหนว่าจะ...” คนตัวใหญ่พูดค้างไว้แค่นั้น แล้วจึงรู้สึกตัวว่าถูกอีกฝ่ายหลอกเข้าให้แล้ว
“ผมพูดเหรอครับ....ไม่น้า...................” วนัสยิ้มยั่ว ก่อนจะถูกกระตุกให้ลงไปนอนราบข้างภูผา
“หลอกกันหรือไงฮึ” ภูผาจูบที่หน้าผากมนหนักๆ “อย่าแกล้งกันนักเลย ฉันคนเจ็บนะ”
“คนเจ็บก็ต้องรู้จักพักผ่อนสิครับ”
“นี่ก็พักผ่อนเหมือนกันละ”
“โมเม”
“ไม่ได้โมเม” ร่างสูงสอดมือเข้าไปกอบกุมบั้นท้ายงอน ริมฝีปากจูบลงที่ซอกคอเนียนเบาๆอย่างรักใคร่
“นี่...อย่าสิ” วนัสปรามอีกฝ่ายด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เขามีความสุข มีความสุขที่จะอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่หันหลังกับทางที่เลือก เขาเหนื่อยได้ เขาโกรธได้ แต่เขาจะไม่เลิกรัก...รักคุณภูผา
“แล้วอย่ามาบ่นที่หลังนะครับ” วนัสยกตัวขึ้นทาบทับร่างสูงเบาๆแล้วค่อยๆกดริมฝีปากลงบนเปลือกตาร่างสูง ที่หลับตาลงรอคอยรสสัมผัสที่กำลังจะเกิดขึ้น จากน้ำมือร่างโปร่งบางด้วยหัวใจเต้นรัว
ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่นำพาให้พวกเขามาพบกัน
จบบริบูรณ์
...
แถมท้าย
ก้องภพกอดมารดาที่มาส่งถึงสนามบินเมื่อได้เวลาขึ้นเครื่อง แล้วจึงหันไปมองภาคภูมิที่ตามมาส่งด้วยความรู้สึกโหวงเหวงบอกไม่ถูก ก่อนจะหันหลังเดินเข้าประตูไป แวบหนึ่งที่เขาเหลียวมองร่างสูง ก็เห็นอีกฝ่ายโบกมือลาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หึ!” คนตัวเล็กเดินหน้าตึงขึ้นเครื่องฉับๆ แล้วกระแทกตัวนั่งบนเก้าอี้นุ่มอย่างไม่ใส่ใจ
ถึงจะไม่อยากให้อีกฝ่ายมาคอยตามติด แต่ไอ้อาการเฉยๆแบบนั้นก็ทำให้เขาคันในหัวใจได้เหมือนกัน นี่!....จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกตั้งหลายเดือน ทำให้มันรู้สึกว่าอาลัยอาวรณ์หน่อยไม่ได้รึไงกัน เจ้าบ้า! คิดไปร่างผอมบางก็หันมองหน้าต่างด้านข้าง ไม่สนใจผู้โดยสารคนอื่นที่เดินเข้าประจำที่นั่งของตน รวมทั้งที่เก้าอี้ข้างๆเขาด้วย
ก้องภพหลับตาลงรอเครื่องขึ้น จนเครื่องขึ้นไปบินกลางอากาศได้พักหนึ่ง จึงได้หันไปมองคนนั่งเก้าอี้ข้างๆ จะว่าเพราะเมื่อยคอก็ว่าได้ แต่ว่าหน้าคนนั่งข้างตัวทำให้ก้องภพตาโต
“นาย!” ก้องภพยกนิ้วชี้หน้าขาวคมคายอย่างไม่อยากจะเชื่อ ชุดที่ภาคภูมิใส่มันก็ชุดที่มาส่งเขาชัดๆ แล้วเจ้าบ้านี่มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
“นายมาอยู่ตรงนี้ได้ไง!” ก่อนที่ก้องภพจะตะเบ็งเสียงไปมากกว่านี้ ภาคภูมิก็ยกมือปิดปากบางๆไว้ แล้วพยักเพยิดหน้าไปทางเก้าอี้ตัวอื่นๆ ทำให้ก้องภพต้องขึงตามองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น
“พอดีได้หยุดหลายวันเลยจะไปเที่ยวที่นั่นหน่อย ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้วด้วย” ภาคภูมิยิ้มใส่ดวงตาที่แทบจะหลุดออกมาจากเบ้าของอีกฝ่าย
“นี่!...ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ ฉันบอกให้นายรออยู่อย่างสงบเสงี่ยมไง ไม่เข้าใจรึไง!” ก้องภพถลึงตามองภาคภูมิด้วยความรู้สึกอยากจะกินเลือดกินเนื้อ ไอ้ที่แสดงท่าทีเฉยชาเมื่อกี้ก็เพราะวางแผนมาแล้วละสิ หน่อย!......
“ไอ้กะล่อน! พูดอะไรไม่เป็นคำพูด” ร่างผอมสะบัดหน้าหนี
ภาคภูมิหน้าเสียเมื่อก้องภพโมโห เขาไม่คิดจะผิดคำพูดที่จะให้เวลาก้องภพ แต่เขาเป็นห่วงนี่
“ก้อง...” ภาคภูมิเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กมากอบกุม ทำให้ก้องภพหันหน้ามองด้วยความระแวง
“ก้อง...ฉันไม่คิดจะไปกวนใจก้องหรอกนะ แค่จะไปดูว่าอยู่ยังไง ปลอดภัยมั้ยก็จะกลับแล้วละ แต่ขอเถอะ...ให้ฉันได้เห็นก่อนนะว่าก้องสบายดี ฉันห่วงก้องจริงๆนะ ไปอยู่คนเดียวแบบนั้น”
ก้องภพมองมือตนเองอุ่นร้อนจากฝ่ามืออีกฝ่าย แล้วค่อยๆซึมซับความอบอุ่นนั้นเข้าสู่หัวใจ ก่อนจะชักมือกลับอย่างช้าๆ
“แล้วนายจะไปอยู่กี่วัน” ร่างผอมเหล่ตามองภาคภูมิด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กๆอุ่นใจหน่อยๆ
“2 อาทิตย์” ภาคภูมิยิ้มตอบเมื่อก้องภพมีท่าทีอ่อนลง
“2 อาทิตย์! บริษัทบ้านนายเขาให้ลานานขนาดนั้นเชียวรึไง” ก้องภพเบิกตามองด้วยความรู้สึกอยากต่อยเจ้านี่ขึ้นมาตะหงิดๆ ไม่ใช่เพิ่งคิด แต่คิดมานานแล้วสิ ถึงได้เตรียมการได้เหมาะเจาะขนาดนี้
“ฉันเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอกน่า...” ภาคภูมิยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กๆอย่างเอ็นดู
“ฉันไม่ได้ห่วง แต่นายทิ้งงานมานานๆแบบนี้มันไม่มากไปหน่อยเหรอ เดี๋ยวก็ล่มจมกันพอดี” ก้องภพปัดมือใหญ่พัลวัน
“ฉันมีความรับผิดชอบพอนะก้อง” ภาคภูมิเอ่ยเสียงเรียบทำให้ก้องภพนึกเสียใจในคำพูดตัวเองไม่น้อย
“ฉัน...ฉันขอโทษ” ก้องภพเอ่ยขอโทษอย่างไม่รู้สึกติดใจแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไร แต่อยากให้ก้องรู้ว่าฉันเป็นห่วงจริงๆ” ร่างสูงขยี้เส้นผมที่เริ่มยาวขึ้นมากด้วยความรู้สึกเศร้าใจเล็กๆ คงอีกนานกว่าเขาจะได้หัวใจดวงนี้มาครอบครอง เพราะเขาเริ่มต้นไม่ดีเขาจึงต้องพยายามมากกว่าเดิม อดทนมากกว่าเดิม
ความห่วงใยของภาคภูมิไม่ได้หายไปไหน แต่มันซึมเข้าไปในใจร่างผอมบางที่ละน้อยๆ รอวันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเท่านั้น ถ้าร่างสูงไม่ถอดใจไปซะก่อน คงจะได้ลิ้มรสความรักแบบสุดขั้วหัวใจของผู้ชายตัวเล็กๆคนนี้เข้าสักวัน
ผู้ชายที่มีหัวใจไม่ได้น้อยไปกว่าใครในโลกเลย
“แล้วนายจองที่พักไว้รึยัง” ก้องภพถามคนจอมวางแผน
“จองห้องพักที่โรงแรมไว้ แต่มันไกลจากที่พักของก้องมาก เลยจองไว้แค่คืนเดียว เดี๋ยวค่อยไปหาที่ใกล้ๆอีกที” ภาคภูมิยิ้มให้ใบหน้ากลมๆที่แสดงท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่ต้องไปหาหรอก ไว้แวะมาพักด้วยกันก็ได้ จะได้ช่วยดูๆอะไรให้ด้วย”
ภาคภูมิมองก้องภพด้วยความรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็เอ่ยออกมาเบาๆต่อไปอีกว่า
“อยู่คนเดียวในที่ที่ไม่รู้จักแบบนี้ ฉันก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ ไหนๆนายก็มาแล้วไปอยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนกลับได้มั้ย” ก้องภพพูดโดยเอาแต่ก้มมองตักตัวเอง
“ก้อง....” ภาคภูมิยิ้มพราย ในหัวใจพองโตขึ้นมาทันที เขาไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ถ้าเขาพยายาม ก้องภพต้องไม่มองผ่านเขาไปอย่างแน่นอน เพราะเด็กคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์กับตัวเองมาตลอด ลองได้เอ่ยอะไรออกมา แสดงว่าเจ้าตัวต้องคิดและรู้สึกอย่างนั้น
“ได้สิ..............ฉันรักก้องนะ”
“รู้แล้ว! พูดอยู่ได้” ก้องภพไม่กล้าเงยหน้ามองภาคภูมิ เขายังไม่ชินซักทีกับการถูกอีกฝ่ายบอกรัก ทั้งๆที่ก็ได้ยิน ได้ฟังมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าเสียทุกทีไป จึงได้แต่เหลือบตามองคนอมยิ้มไม่ยอมหุบอย่างหมันไส้ขึ้นมาดื้อๆ
เขาไม่ได้ให้โอกาสแค่ภาคภูมิ แต่เขาได้ให้โอกาสกับตัวเอง เพราะความรักมันไม่ได้สร้างขึ้นมาจากคนเพียงคนเดียวได้ แต่คนสองคนต้องพร้อมจะทำให้รักนี้ นิรันดร
end
กรี๊ดดดดดดดดดดด
จบไปอีกเรื่องเเล้ว
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ชอบนิยายพี่สาเกเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ
เเทนคุณพี่เค้าด้วย
มีตอนพิเศษยาวๆอีกสามตอนจ้า
เดี่ยวเอามาลงวันหยุดไม่เสาร์ก็อาทิตย์นะ