-3-
เช้าวันรุ่งขึ้นแต่ละคนต่างดูแข็งขันพร้อมที่จะเข้าไปในไร่ส้ม จักรยานถูกจอดอยู่เพียงแค่สองคันซึ่งทำให้ใครบางคนนั้นถึงกับหนักใจเลยทีเดียว
“น้องมินทร์ไปกับอาดลนะครับ”
“ไม่ได้ นายไม่ค่อยรู้จักเส้นทางเกิดพามินทร์ไปล้มจะว่ายังไง” เรวัตรเอ่ยค้าน
“แกก็นำให้มันดีๆสิวะ แค่จักรยานนะเว้ย…”
“วัตร มีจักรยานอีกคันไหมล่ะ วีอยากขี่เองมากกว่าจะได้ออกกำลังกายด้วย”
“เดี๋ยวเราถามคนงานให้นะ”
และการถกเถียงเรื่องจักรยานก็จบลงที่ภูมินทร์ซ้อนท้ายเรวัตร ส่วนผู้มาเยือนอีกสองคนก็ต่างคนต่างขี่จักยานไปกันเอง
“วันนี้อากาศดีจังเลยเนอะอาวัตร”
เสียงใสของเด็กหนุ่มเอ่ยก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนเหยียบกับที่เหยียบที่ต้องซื้อใส่เพิ่ม มือเรียววางลงบนบ่าที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบรอบคอและโน้มตัวเข้าไปชิดจนแก้มแนบกัน
“วันนี้อาวัตรโกนหนวดด้วย มินทร์ได้กลิ่น”
เรวัตรคลี่ยิ้มกับเสียงใสๆของหลานชายที่ตอนนี้โตขึ้นเยอะ เขาพยายามเลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นกับภูมินทร์มาตลอดเพราะหลานชายของเขาต้องเสียทั้งพ่อและแม่ไปในเวลาเดียวกัน
อุบัติเหตุในวันปิดเทอมซึ่งคนที่เขานับถือเป็นเหมือนพี่ชายเสียชีวิตคาที่ ส่วน “ศศิ” ที่ถึงแม้จะรอดมาได้ก็บาดเจ็บสาหัสและต่อมาก็จากไป ภูมินทร์ซึ่งนั่งเบาะหลังได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแต่เพียงเท่านี้ก็นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว
“อาวัตร คิดอะไรอยู่เหรอครับ”
“เปล่าหรอก อ่ะ…ถึงแล้ว”
เรวัตรจอดจักรยานเมื่อมองเห็นแนวต้นส้มที่ทอดตัวเรียงราย สีเหลืองส้มที่แซมอยู่กับพุ่มสีเขียวราวกับเม็ดอัญมณี เบื้องหลังของไร่ส้มคือแนวทิวเขาที่มีไอหมอกลงปกคลุม
“บรรยากาศดีเหมือนเดิม”
นภดลเอ่ยชื่นชมก่อนจะเริ่มเดินสำรวจพื้นที่
“วีจะไปเก็บส้มทางด้านโน้นนะ เราไปกันเถอะน้องมินทร์”
ปฐวียื่นมือมาให้ภูมินทร์จับก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตรงไปยังต้นที่ผลส้มออกเต็มไปหมดจนทั้งต้นเกือบจะเป็นสีส้ม
อีกสองหนุ่มจึงปล่อยให้ทั้งสองคนไว้ตรงนั้นก่อนจะเดินห่างออกมาเพื่อคุยตามประสาเพื่อนและอาจจะมีเรื่องธุรกิจเข้ามาร่วมบ้าง
“ข้ามีเรื่องอยากถามแกว่ะ ไอ้ดล”
“ก็ถามมาสิวะ แกก็รู้นี่ว่าถามข้าได้ทุกเรื่อง”
นภดลเอ่ยอย่างสบายๆก่อนจะมองดูภาพไอเย็นบางๆที่ก่อตัวอยู่แถวทิวเขาซึ่งต่างจากหมอกควันที่ก่อตัวอยู่แถวตึกสูงในเมืองหลวง
“แกกับวี…มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าวะ ข้าเห็นแกไม่ค่อยพอใจ ไม่ว่าสิ่งที่วีทำนั้นจะทำเพราะห่วงแกก็ตาม”
“ไม่มีอะไรหรอกไอ้วัตร ข้ากับวีก็เป็นแบบนี้แหละ คนอยู่ใกล้กันมากก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันมั่งดิวะ คิดมากไปได้”
“แต่บรรยากาศรอบตัวแกกับวีเปลี่ยนไปว่ะ”
“ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่ แกแหละที่คิดมากไปเอง”
“ว่าแต่ปีนี้สงสัยจะได้กำไรงามสิเนี่ย ส้มออกเพียบเลย”
นภดลกวาดสายตามองกลับไปยังแนวต้นส้มอีกครั้งและหยุดสายตาไว้ที่บุคคลสองคนที่กำลังสนุกสนานกับการเก็บผลกลมๆสีส้มอมเหลือง ปฐวีปีนขึ้นบันไดเมื่อเอื้อมไม่ถึงผลส้มบางลูก
“ระวังหน่อยนะวี พื้นมันไม่ค่อยสม่ำเสมอน่ะ” เรวัตรตะโกนบอก
“อย่าห่วงเลย สบาย…”
แต่ยังไม่ทันขาดคำบันไดที่ปฐวีปีนขึ้นไปก็เสียการทรงตัว
“น้องมินทร์หลบไป”
สิ้นคำของปฐวีทั้งคนทั้งบันไดก็ล้มลงบนพื้นทันที
“อาวี เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บตรงไหนไหม”
ภูมินทร์เอ่ยถามก่อนจะจับไม้จับมือพลิกตัวอีกฝ่ายดูว่าอาการเป็นยังไง
“อาไม่เป็นไรครับน้องมินทร์ ดีนะที่พื้นตรงนี้มีหญ้า เฮ้อ…เกือบต้องพักงานยาวซะแล้ว”
“วี ไม่เป็นไรนะ”
เรวัตรรีบวิ่งเข้ามาถาม
“ไม่เป็นไร”
“ทีหลังทำอะไรก็ระวังหน่อย”
นภดลเอ่ยซึ่งเพียงแค่คำพูดเท่านี้ก็ทำให้ปฐวีคลี่ยิ้มแต่ประโยคที่ตามมาก็ทำเอาใบหน้าเรียวถึงกับปรับสีหน้าไม่ถูก
“คิดซะบ้างว่าถ้าเกิดบันไดล้มไปโดนน้องมินทร์จะเป็นยังไง ทำไมชอบทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนอยู่เรื่อย”
“ไอ้ดล…” เรวัตรรีบเอ่ยปรามเพื่อน
“ขอโทษ…” ปฐวีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดเศษหญ้า
“คือ…ผมขอโทษนะครับ ถ้าไม่เป็นเพราะผมชวนมาอาวีก็ไม่ต้องเจ็บตัวแถมยังโดนอาดลว่าอีก อาดลถ้าจะว่าก็ว่าผมเถอะนะครับ”
ภูมินทร์เอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวของผู้เป็นอาทั้งสามเริ่มตึงเครียด
“น้องมินทร์ไม่ต้องขอโทษหรอกนะครับ เอาเป็นว่าเราไปเก็บส้มกันต่อดีไหม”
นภดลเอ่ยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดีเมื่อเห็นพวกเขาไม่เข้าใจกัน เด็กหนุ่มส่งยิ้มแห้งๆก่อนจะหันไปหาเรวัตร
“เดินไปอีกนิดมีน้ำตกน่ะแกจำได้ใช่ไหม ไปเดินเล่นหน่อยไป”
นภดลรู้ว่าเรวัตรตั้งใจจะไล่ให้ไปสงบสติอารมณ์ เขาจึงทำตามคำแนะนำของเพื่อน
“วี…โอเคไหม”
“เราไม่เป็นไร เดี๋ยวไปขี่จักรยานเล่นแทนดีกว่า น้องมินทร์ครับ ฝากเก็บส้มแทนอาวีหน่อยแล้วกันนะครับ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะ”
เมื่อทั้งสองต่างแยกกันไปก็เหลือแต่เรวัตรกับภูมินทร์ที่ยืนมองหน้ากัน
“อาวีกับอาดลดูแปลกๆนะครับ ทุกทีไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย”
เด็กหนุ่มเอ่ยราวกับขอความเห็น
“นั่นสิ อาก็ไม่เคยเห็นทั้งสองคนเป็นแบบนี้เหมือนกัน ถามอะไรดลก็ไม่ยอมตอบอาแถมยังเปลี่ยนเรื่องอีก สงสัยอาจะต้องไปถามวีดู”
“เดี๋ยวมินทร์ถามอาวีให้เองเพราะมินทร์กับอาวีสัญญาว่าจะไม่มีความลับปิดบังกัน”
“แอบไปสัญญากันตั้งแต่เมื่อไหร่ หืม…”
เรวัตรเอ่ยก่อนจะใช้ปลายนิ้วบิดปลายจมูกของเด็กหนุ่มอย่างหมั่นเขี้ยวปนเอ็นดู
“มินทร์ไม่บอกอาวัตรหรอก”
เด็กหนุ่มจับมือใหญ่ออกจากใบหน้าก่อนจะเปลี่ยนมาควงแขนเดินไปตามแนวต้นส้มแทน
“พอแดดเริ่มออกก็เริ่มร้อนเลยนะเนี่ย”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอยๆแต่เมื่อภูมินทร์เหลือบไปเห็นสายยางที่วางอยู่แถวนั้นก็เกิดไอเดียขึ้นมาทันที
“อาวัตร ร้อนใช่ไหมครับ”
อยู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดเดินและเอ่ยถามด้วยเสียงหวานก่อนจะตามมาด้วยสายน้ำเย็นที่ฉีดเป็นละอองมาเต็มๆร่างสูงที่เดินนำหน้าไปเพียงไม่กี่ก้าว
“มินทร์ เล่นอะไรเนี่ย”
“ก็อาวัตรบอกว่าร้อนนี่นา เย็นขึ้นหรือยังล่ะครับ”
“เปียกหมดแล้ว เดี๋ยวเถอะนะ มานี่เลย”
อ้อนแขนกว้างโอบรอบเอวเด็กหนุ่มจากด้านหลังก่อนจะล็อคร่างที่เล็กและบอบบางกว่า มือใหญ่ก็ยื้อแย่งสายยางมาก่อนจะฉีดละอองน้ำเย็นใส่เด็กหนุ่มคืนบ้างจนทั้งคู่ตัวเปียกม่อล่อกม่อแลก
เสียงหัวเราะดังก้องแต่ก็เงียบลงเมื่อภูมินทร์พลิกตัวหันกลับมายืนสบตา เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่เปียกน้ำทิ้งตัวลงแนบแนวโครงหน้าแต่เด็กหนุ่มก็ใช้มือเสยให้พ้นไป แนวคิ้วเรียวที่ทอดตัวอยู่เหนือนัยน์ตาที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่และริมฝีปากบางสีธรรมชาติ
แวบหนึ่งเรวัตรเห็น “ศศิ” ยืนอยู่ต่อหน้าแต่เมื่อเขาหลับตาลงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆออกไปพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นผู้มีศักดิ์เป็นหลานยืนอยู่
“อาวัตรของมินทร์เปียกหมดเลย”
เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างและใช้ฝ่ามือไล้ไปตามแนวโครงหน้าคมเข้มเพื่อปัดเส้นผมเปียกสีเข้มให้พ้นไปเพื่อจะได้มองใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างเต็มตา
“เดี๋ยวเราไปตามอาดลและกลับไปรออาวีที่บ้านดีไหมครับ เปียกขนาดนี้ต้องไม่สบายแน่”
ภูมินทร์เอ่ยก่อนเดินนำหน้าชายหนุ่มไป ทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่มองตามราวกับต้องมนต์สะกดแต่เมื่อรู้สึกตัวก็รีบเดินตามไปทันที
แม้จะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองกำลัง “กลัว” สิ่งใด
แต่วันนี้ ณ เวลานี้…
เขากำลัง “กลัว” สิ่งที่เรียกกันว่า “ความหวั่นไหว”
2BCon…
(มาต่อแล้วนะคร๊าบ
...ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์นะคับ แล้วก็ที่ถามกันว่าน้องมินทร์กะอาวัตรเป็นอาหลานกันจริงๆหรือเปล่า อิอิ ขอบคุณนะคับแต่แรกแอบมองข้ามเรื่องนี้ไป จะให้เป็นอาหลานกันจริงๆเดี๋ยวจะผิดศีลธรรมไป เลยสรุปว่าไม่ใช่นะคับ แล้วก็...ตอนต่อไปรออ่านให้ได้นะคับ เพราะจะมีตัวละครเข้ามาเพิ่มอีก 3 ตัว คือ ศิลา อิงฟ้าและอิงธาร รับรองว่ามีเพิ่มอีกหลายรสชาติคับ
แถมอีกหน่อย เมื่อวานไปดูเรือ Sagres เป็นเรือสัญชาติโปรตุเกสที่เข้ามาเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพฯคับ ขอบอกว่าสวยมากๆคับแล้วก็ใหญ่มากๆด้วย แต่ว่าเรือลำนี้จะมาเทียบท่าถึงแค่วันพุธนี้เท่านั้นนะคับ ปล ฝรั่งแต่ละคนหุ่นหน้าหม่ำมาก หุหุ
)