ทางเดินคดเคี้ยวไปมา ลัดเลาะไปตามสวนรกทึบ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นบอน ดอกปักษาสวรรค์สีแดงสด โรยเรี่ยลงมาจากยอดจนเกือบถึงพื้น อีกทั้งต้นหมาก ต้นพลูก็ขึ้นเกะกะไม่เป็นระเบียบ อีกฝากหนึ่งริมแม่น้ำ มีแปลงปลูกสมุนไพรมากมายที่ผมไม่รู้จัก
“จะพากูไปไหนเนี๊ยะ ถ้าคิดจะข่มขืนกระทำชำเราก็บอกดีๆ ไม่ต้องไปไกลหรอก” ผมพูดแซวเล่นขำๆ มือคว้าใบกระถินรูดเล่นก่อนจะค่อยๆโปรยมันขึ้นฟ้า เสียงนกกาเหว่า นกกะปูดร้องกันระงม ผมเคยได้ยินเสียงนกพวกนี้ครั้งหนึ่งก็แค่ในสวนสัตว์
“โอยยยย อีกไกลมั๊ย ขอรับ นายท่าน กูปวดขา” ตอนนี้ขาผมเป็นรอยหนามข่วนเต็มไปหมด
“อีกไม่ไกลนักดอก” สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียด เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ถ้าเจ้าเห็นสิ่งที่เรากำลังจักพาเจ้าไปแล้ว ไม่ชอบใจ พาลรังเกียจเราไปด้วย เราก็มิว่าเจ้าดอก” เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปด้วยความชำนาญ
ทางข้างหน้าถูกยกเป็นร่อง โดยปลูกมะม่วง มะพร้าวไว้
“จวนจะถึงแล้วหล่ะ” เขาพูด เมื่อเราเดินมาถึงคูน้ำที่ขุดผ่ากลางสวน น้ำในคูเต็มไปด้วยแหนสีเขียว
“นายอย่าบอกนะ ว่าให้ชั้นข้ามสะพานไม้ไผ่นี่ไป” ผมหยุดกึกเมื่อเดินมาถึงสะพานไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่ทั้งลำวางพาด ไม่มีที่จับ ไม่มีเชือก มีแค่ไม้ไผ่ท่อนเดียว
“หรือเจ้าจักว่ายน้ำข้ามไปก็ได้” ดูมันตอบ จะบ้าเร๊อะ น้ำเขียวขนาดนี้ ขืนลงไปว่าย ขึ้นมาชั้นไม่กลายเป็นก๊อบลินไปเลยรึ
“จะข้ามไปยังไงหล่ะ มันไม่มีที่จับน่ะ” ผมว่า ก่อนชะโงกหน้าลงไปดูความลึก
“จับมือเราสิ....................” หมอนั่นยื่นมือมา ผมเงยหน้าขึ้นมองทำตาปริบๆ
“.......................................”
“......................................”
“.....................................”
“....................................”
“แห่ๆๆ น้ำลึกเน๊อะ” ผมหัวเราะแก้เก้อ ก่อนจะตัดสินใจเดินนำหน้า
สะพานไม้ไผ่ เด้งดึ๋งตามจังหวะ ที่ผมเดิน เมื่อเดินมาจนเกือบสุดทางหมอปีย์จึงได้เดินตามลงมา
ผมเห็นว่ามันเป็นโอกาสอันดีที่จะแกล้งมันซักหน่อย จึงจัดการ............ขย่มสะพาน
“เฮ้ย!! เจ้าจักทำอะไรของเจ้าน่ะ” เขาว่า พลางกางเขนกางขาหาสมดุลให้ตัวเอง
“แผ่นดินไหว แผ่นดินไหว” แล้วผมก็ค่อยๆขย่มสะพานช้าๆ
“นี่มิใช่เวลามาเล่นนะ เจ้าบ้า หยุด เราบอกให้หยุด” หมอปีย์หยุดยืนบนสะพานอยู่กลางคูน้ำ “ถ้าเจ้าไม่หยุด เราจักเอาสะพานนี้ออก ให้เจ้าติดอยู่กลางเกาะนี่แหละ”
ผมมองรอบๆบริเวณ จริงอย่างหมอนั่นว่า ที่แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำคล้ายกับจะขังอะไรบางอย่างโดยใช้น้ำเป็นกำแพง ผมหยุด ขย่มก่อนจะหันหลังเดินสำรวจทางเดิน
.
.
.
.
“เจ้านี่มัน.................”หมอปีย์ทำท่าจะด่า
“นายได้กลิ่นอะไรมั๊ย” แต่ผมพูดขัดขึ้นมา “กลิ่นหืน กลิ่นสาป..........อะไรสักอย่าง” ผมมองหาที่มาของกลิ่นนี้
“ถ้าเจ้าหมายถึงกลิ่นนี้หล่ะก็ ตามเรามาเถิด” แล้วเขาก็นำทางอีกครั้ง
ตอนนี้สองข้างทางเปลี่ยนไป กลายเป็นแผงที่ตากเครื่องยาสมุนไพรต่างๆเต็มไปหมด
“นู่นไง เรือนที่เจ้าเอ่ยถึง”
ภาพข้างหน้าของผมปรากฎบ้านไม้อีกหลังที่หลบอยู่ในมุมมืดของต้นโพธิ์ใหญ่ บรรยากาศวังเวงยังไงชอบกล ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้กระทั่งลม
“นายสน” ผมเปรยเบาๆ เมื่อเห็นสนกำลังง่วนอยู่กับการหั่นอะไรบางอย่างที่ถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นมะระขี้นก
“นายสนดูแลเรือนหลังนี้ เขาเป็นคนดีและเสียสละยิ่ง” ผมยิ่งสงสัยกับสิ่งที่หมอปีย์พูด
“เออ รู้แล้ว”
เราทั้งคู่เดินผ่านสายตานายสนที่ฉายแววสงสัยว่าผมมาทำอะไรที่นี่ กลิ่นสาปสางนั้นชัดเจนมากกว่าเมื่อครู่จนผมเริ่มคลื่นไส้
“เรือนหลังนี้เป็นความลับ ห้ามมิให้เจ้าแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นมิใช่เพียงเจ้าเท่านั้นที่ลำบาก” เขาหยุดกลืนน้ำลาย ก่อนจะค่อยๆผลักประตูไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่ออกเสียงดังเอี๊ยดดูท่าทางเหมือนลำบากใจ
“แต่ผู้คนเล่านี้ จะพลอยลำบากไปกับเจ้าด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงประตูและเสียงของหมอปีย์ ผมถึงกับหยุดนิ่งราวกับถูกเวทมนต์ดำสะกด กลิ่นสาปที่ได้กลิ่นเมื่อสักครู่ ทะลักออกมาราวกับน้ำป่า ผมปิดตากลั้นจมูกชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นและเห็นภาพเบื้องหน้าที่ทำให้ผมขนหัวลุก ตัวสั่นเทิ้ม น้ำลายหนืด และหายใจเริ่มไม่คล่องคอ
“เปนอันใดไปเล่า เจ้าบ้า” ผมได้ยินเสียงหมอปีย์ชัดเจน แต่มันกลับไม่มีผลเท่าภาพเบื้องหน้า
สิ่งที่ผมเห็นคือภาพผู้คนที่นอนรวมกันอยู่บนแคร่ ที่ถูกวางเรียงเป็นตับอย่างเป็นระเบียบ เว้นแค่เพียงช่องทางเดิน ถ้าสมัยผมก็คงเป็นเตียงพยาบาลสำหรับห้องธรรมดาน่าจะอธิบายภาพตรงหน้าได้ แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือคนที่อยู่บนแคร่เหล่านี้ พวกเขาอยู่ในสภาพเรียกได้ว่าแทบไม่เหลือเค้าความเป็นคน
บางคนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า นอนคุดคู้ ผิวหนังเป็นสะเก็ดตะปุ่มตะป่ำ นิ้วมือนิ้วเท้าหงิกหงอ
บางคนนอนหลับแต่ตากลับปิดไม่สนิท บริเวณศีรษะนั้นมีผื่นนูนหนา และมีเลือดซึมออกมา และมีสะเก็ดคล้ายรังแค ลามมาถึงหน้าผาก
หญิงสาวตรงมุมอับด้านในร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เธอพยายามจะงอแขนงอขา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสะเก็ดแผลร้ายเหล่านั้นรั้งมันไว้
เสียงร้องโหยหวนเล็ดลอดออกมาจากลำคอพวกเขาอย่างยากลำบาก หากให้ผมนับคร่าวๆ คนในบ้านหลังนี้น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 20 คน
ผมยืนแน่นิ่ง................
รอบๆตัวมีแต่ภาพของคนเหล่านี้นอนบิดตัวไปมา ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดมาก่อนว่าจะเจออะไรแบบนี้
“นี่ นี่” แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกถึงมือเล็กๆสัมผัสกับนิ้วมือของผม มือนั้น เหมือนฉุดผมให้ออกมาจากภาพเบื้องหน้าเหล่านั้น
ผมสะบัดหัวก่อนจะก้มหน้าลงมองเจ้าของมือนั้น และกลับพบว่า สิ่งที่ผมกำลังมองอยู่นั้น มันสะเทือนใจผมเสียยิ่งกว่าภาพเบื้องหน้าเหล่านั้นอีก
“เอ้ย” ผมอ้าปากค้างอีกครั้ง ตกใจกับภาพที่เห็น
มัน คือภาพเด็กที่ถูกจับโกนหัว หรือไม่อย่างนั้นก็เพราะสะเก็ดแผลเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ผมของเด็กนั่นร่วงจนหมด เลือดสีแดงซึมออกมาตามรอยแยกของแผล แมลงหวี่ แมลงวันบินตอมเต็มไปหมด
อีกทั้งเนื้อตัวของเด็กนั่นก็เต็มไปด้วยรอยแผลแบบเดียวกัน สะเก็ดสีขาวลามไปทั่วใบหน้าและปาก เคราะห์ยังดีที่ช่วงล่างของเด็กนั่นยังเป็นไม่มาก ผมมองเรื่อยมาจนถึงมือของเด็กคนนั้นที่ยังคงเกาะกุมมือผม มือที่เรียวเล็กไร้เรี่ยวแรง ก็เต็มไปด้วยแผล เลือด และแมลง
และ นิ้วมือ!!! ที่กุด หงิกงอ เล็บที่ทื่อเต็มไปด้วยเชื้อราข้างนั้นที่กำลังเกาะกุมมือผมอยู่
“เฮ้ย!!” ผมตกใจเมื่อเห็นมือที่เต็มไปด้วยแผลนั้นกำลังจับมือผมอยู่ อารามตกใจ ผมสะบัดมือออกอย่างแรง และถอยหนีออกมาจากเด็กคนนั้น
เด็กคนนั้นมองหน้าผม แววตาของเขาเศร้าจับจิต สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปจากแววตาตื่นเต้นที่เห็นคนแปลกหน้าเมื่อครู่ กลับกลายเป็นแววตาที่รื้อไปด้วยน้ำตา แล้วเด็กคนนั้นก็ร้องไห้จ้า
ผมทนรับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้อีกต่อไป ทนไม่ได้กับการที่ต้องยืนมองคนเหล่านี้ สภาพที่เขาเป็น เสียงที่เขาร้องโหยหวน กลิ่นเหม็นสาป ในที่สุดผมจึงตัดสินใจ....................วิ่งหนีออกมา
“เจ้าบ้า!!!” เสียงตะโกนตามหลังออกมาคละปนไปกับเสียงร้องไห้ด้วยความตกใจของเด็กน้อยคนนั้น
ในระหว่างที่ผมวิ่งหนีออกมา ในหัวคิดเพียงแค่ ไปให้พ้นจากตรงนี้ อากาศที่ปลอดโปร่ง ผมต้องการอากาศที่ปลอดโปร่ง และ........ไม่มีภาพของคนเหล่านั้น
ในที่สุดผมก็มาหยุดพักหอบอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใบดกต้นหนึ่ง เสียงหอบอย่างหนักของผมทำให้ตัวกระเพื่อมเป็นระยะๆ ผมทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้ โดยหันหน้าออกไปนอกบ้านหลังนั้น ไม่อยากเห็นบ้านหลังนั้น อีกและพยายามนึกว่าสิ่งที่เห็นมันคืออะไร
พวกเขาเป็นอะไร
แววตาของเด็กคนนั้นยังลอยวนเวียนอยู่ในห้วงสำนึก
.
.
.
“เปนอะไรไปรึ เจ้าบ้า” เสียงของหมอปีย์ดังขึ้นด้านหลัง เขาวางมือลงบนบ่าผมอย่างแผ่วเบา
และทันทีนั้นเอง!!!!
ผมปัดมือของเขาออกไปอย่างแรง และลุกพรวดขึ้น จนเขาแสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้ารังเกียจ คนพวกนั้นรึ รังเกียจเด็กคนนั้นรึ” หมอปีย์ถาม
“...........................................” ผมไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบาย
“ไม่มีผู้ใดอยากเป็นโรคเรื้อนแบบพวกเขาดอก เพราะเมื่อเปนขึ้นมา ญาติพี่น้องก็รังเกียจ เหมือนที่เจ้าเปนอยู่เยี่ยงนี้แหละ”
“ชั้น เอ่อ ชั้นไม่ได้รังเกียจ” ผมแก้ตัวตะกุกตะกัก จริงๆผมไม่ได้รังเกียจพวกเขาหรอก เพียงแต่ตกใจกับสิ่งที่เห็นมากกว่า
“แต่เจ้าวิ่งหนี...............เจ้ารังเกียจพวกเขา............รวมถึงรังเกียจเราด้วย” แววตาของหมอปีย์แสดงอาการผิดหวัง แต่ก็ยังฝืนยิ้ม
“ชั้นบอกว่าไม่ได้รังเกียจไง ไม่ได้ยินเหรอ” ผมตะคอกใส่เขา มันเหมือนกับเขาพูดถูกเกี่ยวกับความรู้สึกลึกๆของผม แต่ผมกลับพยายามไม่ยอมรับว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมเกินไป
เขาไม่พูดอะไร แต่มองหน้าผมด้วยแววตาผิดหวัง
“เจ้ากลับเรือนไปก่อนเถิด เราจักอยู่ที่เรือนนี้สักพักใหญ่” น้ำเสียงของเขาแสดงอาการผิดหวังเจือเสียใจ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังเรือนหลังนั้น
ผมยืนนิ่งครู่หนึ่ง มองดูร่างของหมอปีย์ค่อยๆหายลับไปในพุ่มไม้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้อีกครั้ง ภาพของพวกเขาเหล่านั้น เสียง กลิ่น แววตาของเด็กคนนั้นยังคงติดตา
“โรคเรื้อนเหรอ” ผมทวนคำที่หมอปีย์พูด
เมื่อคิดถึงเรื่องโรคนี้ขึ้นมาผมก็นึกขึ้นได้ว่า โรคเรื้อนได้หมดไปจากประเทศไทยนานแล้วในสมัยผม แต่สำหรับในสมัยนี้คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา
ผมนึกสะท้อนใจขึ้นมาเล็กๆ เมื่อคิดว่าเราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในยุคสมัยที่การแพทย์พัฒนาแล้ว เราไม่ต้องกลัวโรคเหล่านี้ เพราะเรามีหมอ มีโรงพยาบาล มียาอย่างดี ในขณะที่คนในสมัยนี้กลับต้องล้มตายเป็นใบไม้ร่วงด้วยแค่โรคท้องร่วง ไข้ทรพิษ ไข้ป่า หรือโดนรังเกียจเพราะโรคเรื้อน โรคคุดทะราด ทั้งที่จริงๆแล้วรักษาให้หายได้ด้วยยาในยุคสมัยผม
จะว่าไปแล้ว ที่เราโชคดีได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคนสมัยนี้ตะหากที่ต้องเหมือนกับเสียสละชีวิตเพื่อเป็นหนูทดลอง ทำให้เราศึกษาค้นคว้า พัฒนา ยา และวิธีรักษา พวกเขามีบุญคุณกับเรา
แล้วสิ่งที่ผมทำกับพวกเขามันคืออะไร สีหน้า การสะบัดมือ การวิ่งหนี การกระทำเหล่านี้คือการแสดงความรังเกียจพวกเขาอย่างชัดเจน
“กูนี่มันเลวจริงๆ”
เมื่อคิดได้อย่างนั้นผมจึงลุกขึ้นยืน หันหลังกลับ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินกลับไปยังเรือนหลังนั้น
.
.
.
.
.
.
“ชั้นขอโทษ” ผมพูด เมื่อเดินมาถึงที่ที่หมอปีย์นั่งหั่นต้นอะไรสักอย่าง เขาหันหลังกลับมามอง ก่อนจะยิ้มอย่างเข้าใจ
“ชั้นขอโทษนะ พอดี ตกใจไปหน่อย” ผมนั่งลงใกล้ๆเขา พยายามพูดให้ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นเรื่องเล็ก
“เราเข้าใจ เปนผู้ใดก็ย่อมตกใจเปนธรรมดา”
“พวกเขามาจากไหนกัน” ผมถาม
“หลายแห่ง บางคนถูกปล่อยทิ้งไว้ที่วัด ทิ้งไว้ในป่าช้า ไม่ก็ตามที่รกร้าง ส่วนเจ้าแดง เด็กที่จับมือเจ้าเมื่อครู่ พ่อแม่มันเพิ่งตายไปเมื่อปีกลายนี่เอง” ผมถอนหายใจยาวเมื่อเขาพูดถึงเด็กคนนั้น ในใจจุกแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด
“หมอเจอราร์ทท่านสงสาร รับมารักษา โดยเอาที่ท้ายเรือนห่างจากชุมชน ทำเปนโรงรักษา ท่านให้บ่าวขุดคูรอบตัวเรือน เพื่อกันมิให้โรคติดไปภายนอกและห้ามบ่าวไพร่ แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด ” หมอปีย์อธิบายให้ฟัง ผมรู้สึกศรัทธาในตัวหมอเจอราร์ทขึ้นมาจับใจ
เขาหยิบรากของต้นอะไรสักอย่างขึ้นมาหั่น
“ทำไมหล่” ผมถาม
แต่หมอปีย์ไม่ตอบอะไร กลับตั้งหน้าตั้งตาหั่นรากไม้นั้นอย่างตั้งใจ
“ให้ชั้นช่วยมั๊ย” ผมยิ้ม เขามองหน้าผม แววตาต่างจากเมื่อครู่ ก่อนจะยื่นรากไม้มาให้
ผมรับมันมาโดยตั้งใจให้มือสัมผัสกับมือเขา
ผมกำมือของเขาไว้แน่น บีบเบาๆ
“มิรังเกียจเราแล้วรึ” เขาถาม ยิ้มมุมปาก
“อือ” ผมยิ้มพยักหน้าตอบ ก่อนจะรับรากไม้มา
“นี่รากอะไรเหรอ” ผมถาม
“รากดาวดึงศ์ เอามาบดรักษาโรคเรื้อน” ผมพยักหน้า แต่ไม่รู้หรอกว่าหน้าตาไอ้รากที่ว่ามันเป็นยังไง
“นายไม่กลัวเหรอ” ผมถาม
“กลัวอันใด”
“กลัวติดโรคไง” เขายิ้ม ส่ายหน้าไปมา
“เราเปนหมอรักษาโรค จักมาเกรงกลัวโรค คงผิดวิสัย คนทุกข์ทรมานเพราะโรคร้าย เรามีหน้าที่ช่วย มิใช่มีหน้าที่กลัว”
โอ้วววววววววววววววววววววววววววว!!!!
พระเจ้า นายยอดมาก นายหล่อขึ้นมาทันที ผมส่งสายตาเป็นประกายวิ้งๆปลื้มในความคิดของมัน
“แล้วโรคอย่างชั้นนี่ นายรักษาได้ป่าว” ผมถาม
“โรคอันใด”
“โรคอกหัก” ผมตอบกวนประสาท
“??????????????????????”
...
“เจ้าแน่ใจแล้วนะ”
“อืม”
“เรามิบังคับขืนใจเจ้านะ”
“เออ”
“หากเจ้ามิเต็มใจ เราค่อยทำกันวันหลังก็ได้”
“เอาวันนี้แหละ”
“อย่าร้องเสียงดังหล่ะ”
“เอ๊ะ จะเอาหรือไม่เอา ห๊ะ ถ้าจะเอาก็เปิดออก ถ้าไม่เอากูจะได้กลับบ้าน”
“เอาก็เอา”
เสียงเปิดประตูบ้านไม้หลังนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพราะยังไงซะ ผมก็คิดว่า ภายในบ้านหลังนี้ อากาศมันไม่ถ่ายเท ผมรู้สึกอึดอัดยังไงบอกไม่ถูก
ผมถือผงจากรากดาวดึงส์ที่นายสนบดไว้ใส่อยู่ในชาม ส่วนหมอปีย์นั้นเปิดประตูออก แล้วเดินนำหน้าเข้าไป ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ากลิ่นหม็นนี้มาจากไหน ที่แท้ก็มาจากรากของเจ้าดาวดึงส์นี่เอง
“สวมเสียก่อน”” หมอปีย์ยื่นถุงมือที่ทำมาจากผ้าอย่างดีให้ผมคู่หนึ่ง พร้อมทั้งผ้าปิดปาก
“ดูเราก่อน แล้วเจ้าค่อยทำตาม” ผมยืนนิ่งอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่นอนหายใจฝืดฝาด เนื้อตัวของเขาไม่ต่างจากคนอื่นๆ
หมอปีย์เริ่มวิธีการรักษาโรคตามสมัยของเขา เขานั่งยองๆลงใกล้เตียงผู้ป่วย ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถึงแม้ผมจะไม่เห็นรอยยิ้มของเขา แต่แววตาคู่งามคู่นั้นก็แจ่มชัดเสียจนรอยยิ้มหมดความหมาย
“ทำไมกูไม่เรียนหมอวะ” ผมนึกเมื่อเห็นคนป่วยเหล่านั้น แล้วหันมามองตัวเองที่ทำได้แค่ ยืนถือชามยา
“เข้ามานี่สิ เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียก ผมเดินตัวแข็งทื่อเข้าไป ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆเขา
“นี่ชื่อตามั่น เปนชาวบางประดู่” ผมยิ้มแหงๆให้แก แกโบกไม้โบกมือไปมา ปากก็พร่ำขอบอกขอบใจ สงสัยแกคงพยายามจะยกมือไว้ แต่ทำไม่ได้
“เจ้าจะลองทายาให้ตาไหม” เขาถาม น้ำเสียงไม่บังคับ ผมพยักหน้า อย่างลังเล หมอปีย์เหมือนจะอ่านแววตาผมออก
“ลองทาที่มือตาก่อน “ เขาคว้าข้อมือของตามั่นยื่นมาข้างหน้าผม แววตาแสดงอาการลุ้นว่าผมจะทำได้หรือไม่อย่างเปิดเผย
ผมเอานิ้วมือหยิบยาผงขึ้นมาหยิบมือนึง ตามคำบอกของหมอปีย์ ก่อนจะค่อยๆโรยลงบนหลังมือของตามั่น
“พอแค่นี้ก่อนเถิด เดี๋ยวเราจักทาให้ตามั่นเสียเอง” เขายิ้มอย่างพอที่เห็นผมทำได้แค่นี้ แต่ผมไม่ทำแค่นี้หรอก ผมไม่รอให้หมอปีย์ทายาเอง จัดการคว้ามือตามั่นมา ก่อนจะละเลงทายาจนทั่วแขนอย่างไม่มีทีท่ารังเกียจอีกต่อไป
หมอปีย์มองผมด้วยสายตาชื่นชม เขาคงไม่คิดว่าคนบ้าๆอย่างผมจะทำอะไรอย่างนี้ได้
แต่ผมไม่ได้ทำเพื่อเอาใจหมอนั่น หรือไม่ได้ทำเพราะกลัวเสียฟอร์ม สิ่งที่ทำกับตามั่นคือสิ่งที่ผมทำจากใจ
ข้อดีอย่างหนึ่งของการได้หลงยุคมาอยู่ที่นี่ ก็คือทำให้ผมสนใจคนรอบข้าง ลดความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับคนอย่างผมแน่นอน
“เจ้าทำดีมาก เจ้าบ้า” เขายิ้มให้ผม โดยที่ผมเองก็ยิ้มตอบ ความศรัทธาที่ผมมีต่อตัวหมอปีย์ตอนนี้ ทำให้ผมอยากทำอะไรดีๆให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเขา
“เจ้าไปพักเถิด ที่เหลือเราทำเอง”
ผมเดินถือชามยาผงออกมาจากกลุ่มคนป่วย โดยออกมาทางด้านหลังที่ติดลำคลอง ภายนอกนี้ลมพัดเอื่อยๆผ่านกอไผ่ที่ขึ้นหนาทึบ ใบไผ่ร่วงกองเต็มพื้นจนไม่เห็นพื้นดิน ผมเดินย่ำใบไผ่สีเหลืองทองเสียงดังกรอบแกรบ
ตรงกอไผ่ริมน้ำ มีร่างหนึ่งนั่งตะคุ่มอยู่อย่างเดียวดาย ผมเพ่งมองจากที่ที่ยืนอยู่ แต่มองไม่ออก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“อ้าว แดง” ผมเรียกชื่อเด็กชายร่างเล็กแกร็นที่นั่งเอาไม้ไผ่ขีดพื้นไปมา เจ้าแดงเงยหน้าขึ้นมามองผม แววตาว่างเปล่า
“มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียว”
“..................................”
“ขอชั้นนั่งด้วยคนได้มั๊ยเมื่อยส้นตีนอ่ะ” ปากหมาจริงๆกับเด็กก็ไม่เว้น
แล้วผมก็นั่งลงใกล้ๆเจ้าแดง มันไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาขีดๆเขียนๆอะไรของมันไปเรื่อยเปื่อย
“วาดอะไรอยู่ ขอดูหน่อยดิ” ผมยังไม่ลดละ
“วาดช้าง” ในที่สุดมันก็ยอมพูด ถึงแม้จะฟังไม่ชัดดีนัก เพราะอายุเจ้าแดงคงไม่น่าจะเกิน 6ขวบ แต่ผมก็พอเดาออก
“ช้างมันไม่ได้วาดอย่างนี้ นี่มันฮิปโป (เด็กสมัยนั้นมันจะรู้จักฮิปโปป่าววะ) มาเดี๋ยววาดให้ดู” แล้วผมก็ใช้ฝีมือในการวาดรูปที่มีอยู่เท่าหอยมด วาดรูปลงบนพื้นดินที่เขี่ยใบไผ่ออกหมดแล้ว
“นี่ไงช้าง เคยเห็นช้างด้วยเหรอ” ผมถาม
“เคยเห็น ที่วัด” มันตอบ
“...........................” ผมไม่รู้จะพูดอะไร แต่รู้สึกสงสารเด็กนี่อย่างจับใจ หากนับอายุตอนนี้ ผมคงแก่กว่ามันหลายปีทีเดียว แต่หากนับปี พ.ศ.เกิด เจ้าแดงคงเป็นตาทวดผมแล้วหล่ะมั้ง..............ถ้ามันรอด
ผมอยากจะพามันกลับโลกปัจจุบันไปกับผมเสียจริงๆ อย่างน้อยในยุคของผมโรคเหล่านี้คงง่ายที่จะรักษา
“แดงอยู่นี่กับใคร”
“อยู่กับตา ตามั่น ตามั่น” เจ้าแดงย้ำคำโยกตัวไปมา
“เหงามั๊ย” ผมถามเพราะเท่าที่เห็นที่นี่ไม่มีเด็กอายุเท่ามันเลย และมันคงออกไปไหนไม่ได้ด้วย เพราะมีคูน้ำล้อมรอบ
มันไม่ตอบ ที่ไม่ตอบเพราะไม่เหงา หรือเพราะไม่รู้ความหมายของคำว่าเหงากันแน่
“มาใกล้ๆนี่ เดี๋ยวทายาให้”
“ไม่ทา ไม่ทา ทายาแสบ” เจ้าแดงส่ายหัว
“แสบนิดเดียว จะได้หายไง โอเค๊”
“ไม่เอา ไม่ทา แสบ”
“เดี๋ยวหายแล้วเราจะพาไปดูช้างอีก เอามั๊ยหล่ะ”
เจ้าแดงนิ่ง เงยหน้ามามองผม ผมเห็นแววตาเป็นประกายแบบเมื่อครู่อีกครั้ง และแววตาคู่นี้แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เรื่องอกหักของผม มันเป็นเรื่องโคตรจะแมร่งไร้สาระ
“โอเค๊” ผมทำมือโอเค
“พาไปที่วัดนะ” เจ้าแดงทำท่าตื่นเต้น ผมยิ้มให้มันอย่างจริงใจ ในชีวิตที่ผ่านมาของมัน มันอยู่กับวันโหดร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร ผมนึกสงสัย
“อืม ไปที่วัด ไปขี่ช้างเลย โอเคมั๊ย” ผมหัวเราะร่า
“อืม” มันพยักหน้า
“เฮ้ย อาราย อย่าตอบอืมสิ ไหนลองพูดโอเคสิ ..........ทำท่าแบบนี้ด้วย” ผมทำท่าให้ดู
“โอเค๊” เจ้าแดงเลียนแบบ
แล้วเจ้าแดงก็ขยับตัวมาใกล้ผม กลิ่นสาปของเด็กนั่นคงมาจากการที่ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ มันไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่ได้อาบน้ำล้างตัว และกลิ่นเหล่านั้นก็ไม่ได้น่ารังเกียจสำหรับผมอีกต่อไป
หากเป็นเมื่อก่อน ถ้ามีใครเดินผ่านผมแล้วมีกลิ่นตัว ผมจะทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่า เขาเหม็น แต่ตอนนี้ มันไม่สำคัญเท่ารอยยิ้มของเด็กคนนั้นอีกแล้ว
“เจ็บมากมั๊ย” ผมค่อยๆโรยยาลงบนตัวของเจ้าแดงอย่างเบามือ
“เจ็บ เจ็บตอนหัวค่ำ เจ็บร้องไห้ดังเลย” มันพูดเหมือนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับมันทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา
“เดี๋ยว.............” ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อไม่รู้จะแทนสรรพนามเรียกตัวเองว่าอย่างไร
“เดี๋ยว เอ่อ..........พี่ จะมาทายาให้ทุกวันเอามั๊ย” ผมยิ้ม
มันพยักหน้า
“โอเค๊”
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ผมไม่รู้ แต่ตลอดเวลาที่มองเด็กคนนั้นเล่น เด็กคนนั้นพูด ผมรู้สึกเหมือนกับว่า “ผม” เป็นสิ่งเดียวที่ดึงเจ้าแดงขึ้นมาจากความทุกข์ ความเจ็บปวด และความเดียวดาย
“ถ้าหายแล้วพี่จะพาไปเที่ยวที่บ้านพี่นะ รู้ป่าว บ้านพี่มีสวนสนุกด้วยน้า dream world อ่ะรู้จักป่าว มีชิงช้า หมุนติ้วๆแบบนี้ๆ” ผมทำท่าทางให้เจ้าแดงซึ่งยืนหัวเราะอยู่ดู
“แล้วก็มีเรือไวกิ้ง ที่เวลานั่งแล้วจะแกว่งแบบนี้ๆ”
“อ้อ มีรถไฟเหาะด้วยนะ เหาะขึ้นไปอยู่บนฟ้าสูงนู่นเลย”
.........
..........
...........
“เจ้าบ้า” เสียงหมอปีย์เรียกผม เขามายืนอยู่ที่นี่เมื่อไหร่แล้วผมก็ไม่รู้ แต่คงจะนานพอได้เห็นผมทำท่าพิลึกพิลั่น เพราะรอยยิ้มนั้นมันดูแปลกๆ
“กลับเรือนกันเถิด บ่ายคล้อยแล้ว”
“แต่ ชั้น....................” ผมมองไปที่เจ้าแดงเหมือนอยากจะบอกหมอปีย์ว่า ยังอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแดงอยู่เลย
“เฮ้อ กลับก็กลับ” ผมตัดสินใจ
“............งั้นพี่กลับก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาทายาให้ใหม่ โอเค๊”
“โอเค๊” เจ้าแดงพูด และทำท่าตาม
ผมถอดถุงมือ และผ้าปิดปากส่งให้นายสน เดินตามหลังหมอปีย์ไปตามทางสะพานไม้ไผ่แห่งเดิม ก่อนจะข้ามสะพานผมหันหลังมองภาพบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เจ้าแดงยืนแอบอยู่ที่โคนต้นมะม่วงส่งสายตามาที่ผม
“ขอบใจเจ้ามากนะ พ่ออัช” หมอปีย์พูด “ดูท่าเจ้าจะรักษาเจ้าแดงได้ดีกว่าเราเสียแล้วหล่ะ” แล้วเขาก็ยิ้มให้ผม ก่อนจะก้มตัวลงลากสะพานไม้ไผ่มาเก็บไว้ที่ฝั่งเรา เมื่อไม่มีสะพานนั้น บ้านหลังนั้นก็กลายเป็นบ้านที่โดดเดี่ยวกลางเกาะที่สิ้นหวัง
.....
...
.....
....
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากผมระหว่างทางกลับบ้านเลย ในหัวสมองของผมคิดแต่เรื่องของคนเหล่านั้น จนเมื่อใกล้จะถึงบ้าน ผมจึงได้พูดขึ้นมา
“ชั้นว่า................เราน่าจะทำหน้าต่างให้บ้านหลังนั้นน่ะ”
...