A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1118296 ครั้ง)

ออฟไลน์ กว่าจะไร้เดียงสา

  • อาจมีค่าเพียงหยดน้ำ...สักวันจะกลายเป็นฝน
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +445/-26
เขียนซะหิวเลย

กรี๊ดดดดดดดดดหลวงพินิจ เค้าชอบหลวงพินิจ

กรุณามาต่อบ่อยๆๆด้วยนะเจ้าคะ มันสนุกมากและเริ่มติดแล้ว

ถ้าขี้เกียจมาต่อ ช่วยแต่งยังไงก็ได้ให้มันไม่สนุก จะได้ไม่งุ่นง่านตอนไม่ได้อ่านนะเจ้าคะ

ซี๊ดดดดดดดดด............เอาชายเสื้อขึ้นซับน้ำหมาก  :o8:

ออฟไลน์ CanonDNattari

  • ☆.•:*´เชื่อในสิ่งที่เห็นและต้องการให้เป็น ¨`*:•☆
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
กว่าจะหายบ้า เอ๊ะ หรือยังไม่หาย ทำเอาวุ่นวายกันหมด

เข้ามาติดตามต่อจ้า

ออฟไลน์ engrish

  • "LolliPoP"
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 823
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-1
มาต่อสั้นจัง
อยากอ่านอีกอ่ะ

ออฟไลน์ SecondaryTrauma

  • Today is a gift, that is why call ... "The Present"
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

ไงล่ะ นักเรียน le Gordon blu เจอกับภูมิปัญญาก้นครัวไทยเรา มีอึ้ง

ออฟไลน์ Mitra

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ก็ให้พ่อเชฟของเราแสดงฝีมือในการทำอาหารเลยสิ
เขาจะได้ยอมรับ
อิอิ

รอตอนต่อไปนะ
เป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ

Rinze

  • บุคคลทั่วไป
แหะๆ เพิ่งโซ้ยข้าวต้มปลาเสร็จไปแน่ะ แต่ไม่รู้ว่าปลาอะไร  :try2:
หนูอัชแม่ศรีเรือนเอาเรื่องนะเนี่ย!!

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
สมัยนี้ งานบ้านงานเรือน ผู้ชายทำทานผู้หญิงแล้วเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
อยากรู้ต่อแล้วแหละว่า เจ้าบ้าคนนี้ จะทำให้คนในยุคนั้นทึ่งในความสามารถด้านใด


รอดูด้วย

ปล. ข้าวต้มปลาทูสด  อยากกินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

นั่นสิๆๆ ไอก็รอดูอยู่เหมือนกันนนนนนนนนน

ปล.น่ากินเนอะ

ออฟไลน์ RAKDEK_KA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1798
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1

ออฟไลน์ Ryze

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
อ่านแล้วอย่างกับได้กลิ่นลอยตามมาด้วย

น้ำลายไหลหยดสองแหมะ..

อืม.. อยากกิน~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
ผมยืนมองบ้านหลังนั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหมู่แมกไม้ต้นที่มีดอกสีขาวบานสะพรั่ง นี่เหรอบ้านที่ยายผมเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าแม่ของยายเคยวิ่งเล่นและเจอเรื่องประหลาดที่นั่น บ้านผมตอนนี้ดูอบอุ่นและเป็น”บ้าน” มากกว่าตอนที่ผมอยู่เสียอีก
“เรือนหลังนั้นน่ะหรือ” หลวงพินิจมอง “เราเองก็มิใคร่จะรู้เรื่องราวมากนักดอก เพราะเรือนหลังนั้นเป็นเรือนต้องห้ามสำหรับชายสามัญ”
“เรือนต้องห้ามเหรอ” ผมย้อนถามสีหน้าแปลกใจ
“ใช่ เรือนหลังนั้นเป็นเรือนของนางต้นเครื่อง มีหน้าที่ดูแลสำรับกับข้าวในวัง” หมอนั่นเดินเข้ามาใกล้
“ถ้าเราจำมิผิด  เรือนหลังนั้น มีคุณชั้นเป็นเจ้าของ”
“คุณชั้น” ผมเปรยกับตัวเอง ชื่อนี้เหมือนชื่อของ.................
“ใช่ คุณชั้นเป็นข้าหลวงเรือนนอก  ตอนยังสาวคุณชั้นเป็นสาวชาววัง มีหน้าที่ทำอาหารถวาย “ที่บน” แต่ต่อมาสมรสแล้วย้ายตามสามีมาอยู่เรือนหลังนี้ แต่ยังคงส่งสำรับกับข้าวให้เจ้านายมิเคยขาด” ผมตั้งใจฟังหลวงพินิจเล่ารายละเอียดอย่างตั้งใจ
“คุณชั้นมีรสมือในการทำอาหารเป็นที่ร่ำลือไปทั้งบาง โดยเฉพาะกล้วยเชื่อม เธอมีฝีมือในการฝานกล้วยหักมุก ลงกระทะแล้วเชื่อม คราหนึ่งเมื่อ หมอเจอราทป่วย เรือนคุณชั้นได้ส่งกล้วยเชื่อมเป็นของเยี่ยม หมอเจอราทได้ลิ้มรสก็เอ่ยปากชมมิได้ขาด เราเองก็พลอยได้อานิสงศ์ไปด้วย และเห็นพ้องกับหมอเจอราทว่า กล้วยเชื่อมคุณชั้น หาที่ไหนเทียบชั้นมิได้จริงๆ”
“แหม นี่ขนาดไม่ค่อยรู้เรื่องนะ เป็นเรื่องเป็นราวเชียว” ผมพูดแซว
ผมยืนฟังหลวงพินิจเล่าเรื่องบ้านหลังนั้นให้ฟังอย่างตั้งใจ ความรู้สึกภูมิใจเกิดขึ้นลึกๆในใจ มันบอกไม่ถูกว่าทำไมต้องภูมิใจด้วย
“แล้วทำไมบ้านนั้นถึงไม่ต้อนรับผู้ชายหล่ะ”
“คงเปนเพราะกันมิให้รบกวนพวกแม่ครัวทำอาหาร หรือไม่อย่างนั้นก็อาจกันมิให้สูตรอาหารเล็ดลอดออกสู่ภายนอกกระมัง”
“ทำยังไงชั้นถึงจะเข้าบ้านหลังนั้นได้อีกล่ะ ที่นั่นน่าจะตอบคำถามชั้นได้ว่า ชั้นมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง”
“ดูทีจะมิใช่การง่ายนัก หากหลวงทราบเรื่องเจ้าจะลำบาก เอาเปนว่า เราจักหาวิธีตรองดู” เขายิ้ม ผมยิ้มตอบ รู้สึกดีนิดๆที่มีเพื่อนคอยช่วยแก้ปัญหา

.........
.........
........
“นายไม่มีชื่อที่เรียกง่ายๆกว่านี้แล้วเหรอ พ่อหลวงพินิจ  ศิษย์หลวงพ่อปากแดง” ผมแซวเมื่ออารมณ์เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
“ปีย์”...................”เรียกเราปีย์เถิด”
“อืม ชื่อแปลกดี แล้วทำไมนายถึงดูไม่เหมือนคนไทยหล่ะ เหมือนพวกลูกครึ่ง” ผมถาม เพราะชายคนนี้รูปร่างหน้าตาผิวพรรณผิดแผกไปจากคนอื่น พวกคนใช้ หรือคนไทยคนอื่นจะตัวเล็ก แคระเกร็น ผอมแห้งไว้ผมทรงแซกกหลางมหาดไทย ฟันก็ดำปี๋ แต่หมอนี่ดูผิดไป เค้าโครงเขาดูเหมือนพวกฝรั่ง ผมออกสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน และที่ผมสะดุดตาครั้งแรกที่เจอก็คือ นัยย์ตา เขามีนัยย์ตาสีน้ำอ่อนที่สวยจริงๆ
“บิดาเราเป็นชาวเปอร์เซีย ล่องเรือมากับชาวบริเตนเพื่อทำการค้าขายเครื่องหนังที่นี่ ส่วนมารดาเป็นนางรับใช้เรือนหมอบรัดเลย์”
“หมอบรัดเลย์เหรอ” ผมพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อคนสมัยนี้แล้วผมรู้จัก
“เจ้ารู้จักหมอบรัดเลย์กระนั้นรึ” หมอนั่นทำท่าประหลาดใจ
“รู้สิ ถ้าหมอบรัดเลย์ที่นายว่าหมายถึง หมอเอมริกัน ถึงชั้นจะไม่เอาไหนในวิชาประวัติศาตร์ไทย แต่ชั้นก็จำชื่อหมอบรัดเลย์ได้ หมอคนนี้เป็นมิชชันนารีหมอชาวนิวยอร์กที่ถูกส่งมาเมืองไทย และก็............”ผมทำท่าย้อนอดีต ก็มันนานแล้วนี่นาเรียนมาตั้งแต่ ม.ปลาย
“และก็รู้สึกว่าจะเป็นหมอคนแรกที่ผ่าตัดในประเทศไทย แล้วก็เป็นหมอคนแรกที่ปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษได้สำเร็จ แล้วก็จัดตั้งโรงพิมพ์ มีหนังสือพิมพ์ด้วยนะชื่อ..............”
“บางกอกรีคอเดอร์!!!” เราพูดขึ้นมาพร้อมกัน ผมมองหน้าปีย์ มันก็มองหน้าผม เราต่างประหลาดใจที่พูดเรื่องราวเดียวกันในยุคสมัยที่แตกต่างกัน
“นายรู้จักด้วย” ผมแสดงอาการตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ท่องแทบตายตอนสอบ
“แล้วตอนนี้หมอบรัดเลย์ท่านอยู่ที่ไหน ชั้นอยากจะเจอ คงแปลกดีพิลึกนะ” ผมนึกตื่นเต้น
“หมอบรัดเลย์ท่านสิ้นชีวิตไปเมื่อ 19 ปีที่แล้ว” หมอนั่นบอก ผมนิ่งไปพักใหญ่ นึกสับสนกับปีที่ตัวเองอยู่ตอนนี้
“เจ้ารู้เรื่องราวอันใดของสยามอีกกระนั้นรึ จงเล่าความให้เราฟังเถิด” เขาทำท่ากระตือรือร้นอยากรู้ ผมนิ่งนึก แวบแรกที่คิดถึงในสมัยพระพุทธเจ้าหลวงก็คือการเลิกทาศและ......................การเสียดินแดน
“โอ้ย ไม่รู้หรอก ใครจะไปจำได้ เยอะแยะมากมาย ชั้นก็ใช่จะเก่งประวัตศาสตร์ไทยซะเมื่อไหร่หล่ะ” ผมแกล้งเฉไฉ เพราะคิดในใจว่า มันจะสมควรแล้วเหรอ ที่เอาเรื่องในอนาคตมาบอก ถ้าผมบอกอะไรออกไป ปัจจุบันตอนนี้มันจะเปลี่ยนไปมั๊ย แล้วจะส่งผลอะไรกับอนาคตของผม เผลอๆบางทีอาจทำให้ผมติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอดชาติก็ได้

“เร่งกลับเรือนเถิด ล่วงเวลาอาหารเย็นมากโข เดี๋ยวบ่าวไพร่จะเสียการเสียงานอื่น” หมอนั่นพูด
แสงแดดยามเย็นค่อยๆลับหายไป ผมแหงนมองขึ้นฟ้าเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตอยู่เบื้องบน
“ดวงจันทร์ดวงนี้.............จะใช่ดวงจันทร์ดวงที่บ้านรึปล่าวนะ”


...
ระหว่างทางเดินกลับเรือนผมได้ซักถามอะไรอีกมากมายจากหมอนั่น  เขาเล่าเรื่องราวของตนเองให้ผมฟัง ผมถามหมอนั่นว่าไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหน
“เราเรียนมาจากหมอเจอราทตั้งแต่ยังเด็ก ท่านเป็นชาวบริเตนในพระนคร เพียงคนเดียวเท่านั้นเสียกระมัง ที่รักสยามเหมือนบ้านเกิดเมืองนอน”
หมอนั่นตอบ ผมนึกสงสัยว่าทำไมหมอเจอราทจึงเป็นคนอังกฤษคนเดียวที่รักสยาม
“ชาวบริเตนคนอื่นเข้ามาสยามเพื่อกอบโกยและเผยแพร่คริตศาสนาเพียงเท่านั้น หาได้มีความหวังดีกับสยามเยี่ยงหมอเจอราทไม่  ในชีวิตเรา นับถือหมออยู่สองคนเพียงเท่านั้น คือหมอบรัดเลย์ และหมอเจอราท”
ผมยิ้มในใจเมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมันของชายผู้นี้  ท่าทางของเขาจะมีอายุไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่หรอก แต่ทำไมน้อ หมอนั่นถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่ และดูมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าผมหลายขุม น่าอายแม่งจริงๆ
“งั้นนายก็เป็นหมอน่ะสิ” ผมถาม
“ถ้าเจ้าจะให้เกียรติเรียกเราเช่นนั้น เราก็ยินดี”
“เออ งั้นชั้นเรียกนายว่า หมอปีย์แล้วกันนะ” ผมยิ้ม
“แต่เราขอเรียกเจ้าว่าเจ้าบ้า.............เหมือนเดิม” หมอนั่นยิ้มตอบ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินขึ้นเรือนไป
“เฮ้ย ไม่ได้นะเว้ย ไม่ได้ ชั้นมีชื่อนะ จะมาเรียกแบบนั้นไม่ได้นะเว้ย หยุดมาคุยกันก่อนสิวะ” ผมตะโกน

ผมถูกย้ายห้องนอนที่เดิมเป็นห้องของหมอนั่น มาเป็นห้องเล็กๆ ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของเรือน ภายในห้องมีเพียงเตียงไม้ ที่มีเสาสี่เสาพร้อมมุ้งสายบัวที่ถูกพับขึ้น บนเตียงมีหมอนสีฟ้าปลอกทำมาจากผ้าฝ้ายทอ ผ้าห่มถูกพับไว้อย่างปราณีตที่ปลายเตียง ส่วนผ้าปูนั้นทำมาจากผ้าแพร หัวเตียงมีโต๊ะวางหนังสือตัวเล็กพร้อมตะเกียง
“เจ๊ โทษนะ ในนี้มีห้องน้ำในตัวป่าว” ผมถามแม่บ้านคนหนึ่งที่อาสายกเสื้อผ้าของหมอปีย์มาให้ หล่อนคนนี้ดูท่าทางแก่นเซี้ยวไม่เบา ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ออกแนว อ้น ศรีพรรณ
“ห้องน้ำคืออันใด” หล่อนตอบสีหน้านิ่งเฉย ปากเคี้ยวหมากจับๆ
“ห้องน้ำก็...........” โอ้ยผมละเซ็งกับคนที่นี่ เฮ้ย ไม่สิ เซ็งกับตัวเองจริงๆ ที่ดั๊นมาอยู่ผิดที่ผิดทาง จะพูดจะสื่อสารอะไรแต่ละอย่างก็ลำบากลำบน
“ห้องน้ำก็ห้องที่เข้าเอาไว้ขี้ ไว้เยี่ยว ไว้อาบน้ำไง” ผมอธิบายอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“อ้อ ท่าจะเป็น “เวจ” เสียกระมัง” หล่อนพูดเบาๆ ขณะที่กำลังจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้ผม “ลงเรือนนี้ไป อยู่ติดริมน้ำกระนู้นนนนนนน” เจ๊ทำเสียงลากยาว ปากจู๋ ก่อนจะชี้ออกมาทางด้านหลังผม
“แล้วถ้าชั้นจะอาบน้ำหล่ะ”
“วุ้ย เรื่องมากจริงๆ เจ้าบ้านี่”  อ้าวๆ เดี๋ยวปัดดึงผ้าแถบออกเลย
“ก็อาบมันตรงเวจนั่นแหละ แกชอบตรงไหนก็อาบเอาตามใจเถิด ประเดี๋ยวจะถึงเวลาอาหารค่ำ คุณหลวงท่านจะไม่รอเอา”
“เออ รู้แล้วน่า” ผมว่าพลางถอดเสื้อออก พร้อมกับกางเกง เหลือแต่ กางเกงในตัวเดียวที่ใส่มาตั้งแต่ตอนมาที่นี่
“หยิบผ้าให้หน่อยสิ” ผมเดินไปยืนข้างหลังเจ๊ฟันดำ  แกหยิบผ้าขาวม้า ผืนใหม่ ก่อนหันมาจะยื่นให้ผม
ทันทีที่เธอหันมา เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้น
“ว้ายยยยยยย เปรต เปรต”  เธอร้องพลางทิ้งผ้าขนหนูเอามือปิดตา ขาสั่นกระทบพื้นบ้านพั่บๆ “ผีเปรตเจ้าข้าเอ้ย ช่วยลูกช้างด้วย ผีเปรต”
ผมตกใจหน้าซีด รีบหยิบผ้าขาวม้ามาปิดก่อนจะกระโดดลงนั่งกอดเจ๊ฟันดำแน่น
“ไหนๆ เปรตอยู่ไหน” ผมหันซ้ายหันขวา ตกใจด้วยความกลัวผีขึ้นสมองโดยกำเนิด เจ๊ฟันดำเห็นผมกอดแน่น แกก็ลืมตาขึ้นดูกลับกรี๊ดหนักกว่าเดิม
“แหว๊กกกกกกกกกกก คุณพระคุณเจ้าช่วยอีอ่ำ ด้วยเจ้าค่า ผีเปรตจะเข้าสิงอีอ่ำแล้วเจ้าค่า..........”แกตะโกนเสียงสั่น แต่ ยิ่งเจ๊แกตะโกนมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตกใจกลัวกอดแกแน่นมากแค่นั้น เจ๊แกกรีดๆ ดิ้นไปดิ้นมา ผมก็ไม่ยอมให้แกหนี ตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกลัว เจ๊แกกรีดร้องอยู่ไม่นาน แกก็ชักกระตุกๆ ตาเหลือก ลิ้นแลบออกมาก่อนจะหมดสติไป.......................

เจ๊อ่ำฟันดำถูกหามออกไปปฐมพยาบาลในสภาพน้ำลายฟูมปากชักแหง๊กๆ นายสนเดินมาถามว่าเกิดเรื่องอะไร ผมก็เล่าให้ฟัง
“เจ้านี่มันบ้าเสียจริง อีอ่ำมันมิได้ตกใจตื่นเพราะเห็นผีเปรตดอก มันตกใจที่เห็นเจ้าแก้ผ้าโทงๆตะหาก” สนอธิบาย
“อ้าว งั้นหรอกเหรอ โธ่ นึกว่าเห็นผี กลัวแทบตาย .........คนที่นี่นี่ Acting ยอดเยี่ยมจริงๆ  น่าจะไปเป็นดารานะ จ้างห้าร้อยเล่นไปแสนแปด”
 ผมบ่นพึมพำตามประสา นุ่งผ้าขาวม้า พาดผ้าอีกผืนไว้บนบ่า มือถือตะเกียงเจ้าพายุ เดินตรงไปยัง “เวจ” ที่เจ๊ฟันดำบอก
“ไหนวะ ส้วมน่ะ ปวดขี้ชิบหายแล้ว” ผมเดินหา เวจ ที่เจ๊นั่นบอกไม่เจอ ตอนนี้ข้าศึกก็บุกมาประชิดด่าน เอาท่อนไม้กระทุ้งประตูอยู่เนืองๆ
“อูยๆ” ผมส่งเสียงเราเบาๆ พริ้วๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่แม่น้ำ
“หรือจะเป็นนั่นวะ” ผมเพ่งมองสิ่งก่อสร้างเพียงแห่งเดียวบริเวณนั้น มันเป็นไม้กระดานขนาดสี่เหลี่ยมที่เอามาปลูกเป็นหลังโดยที่หลังคามุงด้วยทางมะพร้าว รอบๆเต็มไปด้วยกอใบเตยใบเท่าแขน
“เนี๊ยะอ่ะนะ เวจ!!!” ผมอุทานอย่างผิดหวังอย่างแรง
“โอ้ย นี่มันส้วมหรือเล้าเป็ดวะเนี๊ยะ” ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปผลักประตู
“ผ่างงงงงงงงงงงงงง”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ผมกรีดร้องอยู่ในใจเนื่องจากไม่สามารถส่งเสียงออกมาทางปากได้ เพราะกลัวขี้แตก
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นลานดินที่กั้นด้วยไม้กระดานเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีสองคนอยู่ข้างใน เมื่อก้มลงมองก็จะพบกับความจริงที่ว่า
“นี่หรือคือชีวิต”
 เพราะภาพเบื้องหน้าเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดไว้โดยมีโอ่งฝังลงไป ปากโอ่งนั้นถูกปิดไว้ด้วยไม้กระดานแยกออกจากกันเหลือพื้นที่ตรงกลางปากโอ่ง  คงไม่ต้องใช้สูตรเคมีใดๆก็พอเดาออกว่ามันเอาไว้ทำอะไร ซ้ายมือก็จะเห็นเข่งหรือภาชนะอะไรสักอย่างที่ทำด้วยไม้ไผ่ ภายในนั้นบรรจุเต็มไปด้วย ใบตองแห้งและ...........กาบมะพร้าว
ผมยืนตัวสั่นเทา สยดสยองกับภาพเบื้องหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาอุดปาก ก่อนที่ผมจะกัดเล็บปากสั่น
“โอ้ ไม่นะ ไม่จริง ชั้นมาทำอะไรที่นี่” ผมคิด สั่นหัวไปมารับความจริงตรงหน้าไม่ได้
“ไม่มีทาง ไม่มีทางที่กูจะขี้ตรงนี้ ไม่มีทางที่กูจะขึ้นไปเหยียบบนปากโอ่งนั่น ถ้าไม้กระดานหักขึ้นมา มีหวังกูไม่กลายเป็น เชฟชุบทองรึไง แล้วยังจะให้เอากาบมะพร้าวมาเช็ดตูดอีก บรื๋ออออ”  เมื่อนึกถึงภาพนั้น ผมถึงกับเบือนหน้าหนี รับไม่ได้กับความโหดร้ายทารุณที่จะเกิดกับก้นของผม
“ไม่มีทางให้ตายก็ไม่ขี้” ผมตัดสินใจเลือกทางเดินด้วยแต่เองโดยการหันหลังกลับ
“ปุด ปูดด ปูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” แต่มันไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ ข้าศึกกำลังพังด่านออกมาแล้ว นายกองกำลังนำทัพออกมาแล้วววว
“ไม่”
“ปูด”
“ไม่”
“ปูดดดดดดดดด”
“ไม่”
“ปูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
“ไม่........................ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยย”  ท้ายที่สุด ผมก็หนีชะตากรรมครั้งนี้ไปไม่พ้น





...
“มิไปเยี่ยมอาการอีอ่ำมันหน่อยรึ ได้ยินมาว่าอาการปางตาย” หมอนั่นแซวขณะที่นั่งรอผมกินข้าวอยู่กลางเรือน ที่บริเวณนั้นถูกทำเป็นศาลาหลังเล็กๆ
ผมเดินมาอย่างช้าๆระมัดระวัง
“นั่นเจ้าไปโดนอะไรมารึ ทำไมถึงได้เดินขาถ่างเยี่ยงนั้น” หมอนั่นอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ ผมรู้ว่ามันต้องรู้แน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้านี่มันบ้าสมกับชื่อเจ้าเสียจริง” แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหมอนั่นหัวเราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมค่อยๆเดินมาก่อนจะระมัดระวังในการหย่อนตูดลงนั่ง
“ยังมีหน้าจะมาหัวเราะอีก นี่บ้านเมืองนายตอนนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน รึไง  ยังไม่มีส้วมอีกเหรอ ฉันนึกว่าสมัยนี้เขามีส้วมใช้กันแล้ว ” ผมบ่น
“มี” หมอปีย์ตอบ
“หา มี” ผมทำหน้าตื่น
“ใช่ อยู่หลังเรือน เวจที่เจ้าใช้นั้นเป็นของบ่าวไพร่มัน อีอ่ำมันมิรู้ความ ฟังได้แค่นั้นก็กระเดียดคิดเสียว่าเจ้าถามถึงเวจที่พวกมันใช้ขี้ใช้เยี่ยว”
ผมหันไปมองเจ๊อ่ำ ที่นั่งดมยาอยู่ข้างๆ สายตาเขียวปัด แกสบตาผมก่อนจะทำท่าชักกะเด่วๆอีกรอบ
“ทานอาหารเถิดพ่อ นี่ก็เลยเวลามาโขแล้ว”
ผมมองสำรับอาหารที่วางไว้บนถาด ภายในนั้นนั้นมีอาหารที่ผมไม่รู้จักอยู่หลายชนิด แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตอนนี้ผมหิวใส้จะขาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คว้าช้อนหมับ โซ้ยแหลก................
...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2010 19:54:18 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2



ค่ำคืนของที่นี่มืดมิดไปทั่วทุกทาง มีบางครั้งที่ผมเห็นแสงไฟริบหรี่จากที่ไหนสักแห่งไกลลิบ เสียงจักจั่นเรไร ส่งเสียงร่ำไปทั่วบริเวณ ที่นี่คือบ้านของผมจริงๆเหรอ
ทำไมความรู้สึกว่าบ้านถึงได้ห่างไกลจนเกินบรรยายอย่างนี้ ในครั้งที่ผมอยู่ออสเตรเลีย ผมยังพอคาดเดาได้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน แต่นี่ ทั้งๆที่มันก็อยู่ที่เดิม แต่ผมกลับรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่........บ้าน
“คิดถึงบ้านหรือพ่อ ทำไมมายืนตากน้ำค้างอยู่เยี่ยงนี้ ” หลวงพินิจเดินมาสมทบ ก่อนที่เขาจะทอดแขนวางลงบนระเบียงที่ยื่นออกมารับลมจากตัวเรือน
“ไม่รู้สิ”  ผมตอบ ในห้วงความคิดกำลังรวบรวมคำพูดที่เหมาะสม
“นายเคยคิดว่า ตัวเองไม่เคยอยู่ในที่ที่เหมาะสมเลยสักครั้ง รึปล่าว.....เคยคิดว่า ตัวเองเกิดมาทำไม....รึปล่าว”
“ทำไมเจ้าถึงคิดเยี่ยงนั้น ไหนเจ้าเคยบอกเรามิใช่รึว่าที่นี่คือบ้านของเจ้า”
ผมหันหน้ามองมองหมอปีย์ด้วยสายตาว่างเปล่า ไร้ความหมาย
“ชั้น..........”ผมเว้นจังหวะ “มาจากปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นปีในอนาคตของที่นี่ อย่างที่ชั้นเคยบอกว่าชั้น.........ย้อนอดีตมา”
หมอนั่นยืนนิ่งยังคงไม่พูดอะไร ท่าทีแบบนั้นนั่นเองทำให้ผมคาดเดาไม่ออกว่าจริงๆแล้วเขาเชื่อในสิ่งที่ผมพูดรึเปล่า
“ที่นั่น...”ผมชี้ไปที่เรือนคุณชั้น “คือบ้านของชั้น บ้านที่ชั้นรู้สึกมาตลอดว่ามันไม่ใช่ที่ที่ชั้นควรจะอยู่ ชั้นถูกส่งไปเรียนที่ออสเตรเลีย” ผมหันไปมองหน้าหมอปีย์ เขาทำท่างง
“ซึ่งห่างไกลจากที่นี่ หากในสมัยนายคงใช้เวลาเดินทางนานนับเดือน แต่นั่นก็ยิ่งกลับทำให้ชั้นคิดว่าพ่อแม่ไม่รักชั้น ไม่มีใครรักชั้น ทุกคนผลักไสไล่ส่งชั้นไปไกลๆ”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ แต่หากพูดอีกที ผมกล้ำกลืนความรู้สึกขมขื่นที่อยู่ในใจมาตลอดลงไปต่างหาก
“แล้วตอนนี้ ดูชั้นสิ ว่าชั้นอยู่ที่ไหน.........................แม้แต่โลกปัจจัของชั้นยังไม่อยากให้ชั้นอยู่เลย” ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
“ชั้นจบด้านอาหารตะวันตกมา หมายถึง.....เกือบจะน่ะนะ ตั้งใจว่าจะเปิดร้านอาหารฝรั่งแทนที่ร้านอาหารไทยที่ใกล้จะเจ๊งเต็มทน แต่แม่ไม่เห็นด้วย เราทะเลาะกันบ่อยครั้งในเรื่องนี้”  หมอปีย์นั่งลง แววตาของเขากระทบกับแสงตะเกียงเป็นประกายงดงามจนผม............ไม่กล้ามอง
“พ่ออัทช์” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อผม “หากเจ้าว่าเจ้ามาจากอนาคต ไหนเจ้าลองเล่าให้เราฟังเถิด ว่าบ้านเมืองสยามครานั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง” เขาแสดงท่าทางสนใจ
“บ้านเมืองตอนนั้น” ผมทำท่าครุ่นคิด “ เจริญก้าวหน้ามาก เรามีตึกใหญ่โตสูงระฟ้า ทุกอย่างเปลี่ยนไป เราเดินทางได้เร็วโดยรถยนต์ เราบินได้ด้วยเครื่องบิน เราไปอังกฤษได้ภายในเวลาเพียงชั่วคืน เราติดต่อกันได้แค่ใจนึก ที่นั่น เรามีโรงหนัง มีไฟฟ้า มีที่ที่เราเต้นรำมากมาย ลูกหลานของนาย ไม่ใช่สิ ของเราแต่งตัวแบบฝรั่ง คิดแบบฝรั่ง กิน อยู่แบบฝรั่ง”
“เราตกเปนเมืองขึ้นของพวกบริเตนรึพ่อ” หมอปีย์ทำท่าตกใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก  เรายังคงเป็นเรา ยังคงเป็นสยาม ถึงแม้จะเล็กลง  แต่ถึงแม้เราจะไม่ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกในทางการเมือง แต่สำหรับชั้น” ผมเว้นช่วง
“พวกนั้นชนะ” ผมยิ้มเจื่อนๆก่อนจะนั่งลงใกล้ไหมอปีย์
“เยี่ยงไรรึ”
“เราถูกกลืนกินวัฒนธรรม เรากินแบบเค้า ยอมเข้าแถวยาวนับชั่วโมงๆเพื่อยืนรอซื้อขนมวงๆที่เรียกว่า โดนัท  ยอมควักเงินเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อกินอาหารจากตะวันตก ในสมัยเราขนมไทยและอาหารไทยถือเป็นของเกลื่อนกลาดดาษดื่น ไม่มีใครสนใจจะต่อแถวซื้อ หรือกิน”  ผมยิ้มอีกครั้ง คำพูดคำนี้เหมือนเป็นการตบหน้าตัวเองอย่างแรง เพราะจริงๆ ผมก็ร่ำเรียนอาหารฝรั่ง และคิดจะปิดตำนานร้านอาหารไทยรุ่นทวดเพื่อเปิดร้านอาหารฝรั่ง........ไม่ใช่เหรอ
“เราอยู่แบบเค้า ในสมัยเราที่ดินแพงกว่าทอง พวกเราจะอยู่บนฟ้า”
“เจ้าจะบ้ารึ มนุษย์ธรรมดาจะอยู่บนฟ้าได้อย่างไร” หมอนั่นส่งเสียงประหลาดใจ
“ฟังก่อนสิ ที่ชั้นบอกว่าเราอยู่บนฟ้านั่นก็เพราะ เราอยู่ที่สูง หรือที่สมัยชั้นเรียก “คอนโด” ไงหล่ะ”
“นอกจากลูกหลานเราจะรับวัฒนธรรมของตะวันตกแล้ว เรายังตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านที่สมัยหนึ่ง หรือในสมัยนายนี่แหละ เคยล้าหลัง ยากเข็ญและแร้นแค้นกว่าสยามหลายเท่านัก นั่นก็คือเกาหลี”
“เราอยากเป็นเค้า และก็ปฏิเสธที่จะเป็นเรา” ผมย้ำคำ
“ไหนเจ้าบอกว่า สยามมิตกเปนเมืองขึ้นใครยังไงเล่า แล้วพวกเรานับถือชาติใด บริเตน-ไอยิแลนด์ ฝรั่งเศส ฮอลันดา หรือ เกา....หลี”
“เรานับถือทุกประเทศ ยกเว้นตัวเราเอง”
“แล้วในสมัยนั้น เรายังต้องรบพุ่งกับผู้รุกรานอีกหรือไม่” หมอปีย์ทำราวกับว่า เรื่องที่ผมเล่าเป็นนิทานก่อนนอนที่ตื่นเต้นจนทำให้นอนไม่หลับ
“สมัยชั้นเหรอ...................ไม่มีแล้วหล่ะ สมัยชั้นเขาไม่รบกันด้วยกำลัง แต่เขารบกันด้วย..............อำนาจและเงินตรา”
หมอนั่นทำหน้างงอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“แต่ถึงแม้เราจะไม่รบกับชาติอื่น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถ้านายรู้แล้ว อาจทำให้นายต้องเสียน้ำตา.............เหมือนที่คนในสมัยชั้นพูดกันว่า .......ถ้าบรรพบุรุษเรารู้ พวกเขาจะเสียใจแค่ไหน”
“มีเรื่องอันใดร้ายแรงรึ” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้น
“เรา................ฆ่ากันเอง” ผมขนลุกทันทีที่พูดคำนี้ ทุกอย่างเงียบสงัด หมอปีย์ นิ่ง อ้าปากค้างกับสิ่งที่ผมพูด ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อมันสักเท่าไหร่
“ไม่มีพม่ามาเผาบ้านเมืองเราอีกแล้ว  แต่เรา...........เผาบ้านเราเอง” น้ำตาเริ่มคลอ ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหมอปีย์
“เกิดเหตุการณ์อันใดทำให้สยามลุกเป็นไฟเยี่ยงนั้นรึพ่อ” หมอปีย์ทำท่าร้อนรน
“ชั้นก็ไมเรื่องราวที่จริงแท้นักหรอก เพราะตอนนั้นชั้นอยู่ออสเตรเลีย แต่เท่าที่พอจะรู้ ก็น่าจะเกี่ยวกับการเมือง ความไม่เห็นด้วยระหว่างคนสองฝ่าย” ผมเล่าถึงเหตุการณ์ที่รับรู้มาเพียงน้อยนิด
“มีใครบังอาจมิเห็นด้วยกับพระเจ้าแผ่นดินรึ พ่ออัทช์” หมอปีย์ยกมือไหว้
“ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินหรอก แต่เป็นเรื่องนักการเมือง”
“นักการเมืองหรือ”
“ใช่นักการเมือง สมัยชั้น เรามีนายกแทน พระกลาโหม เราเปลี่ยนแปลงการปกครอง”
“เปลี่ยนเป็นอันใดรึ”
“เปลี่ยนเป็น..............ประชาธิปไตย”
หน้าของหมอนั่นมีแต่เครื่องหมายคำถาม  ผมไม่ได้คาดหวังให้เขาเข้าใจทุกสิ่งที่ผมพูดหรอก เพียงแค่อยากจะเล่าให้ฟังถึงความเป็นไปของบ้านเมืองเท่านั้น
“แล้วเรายังมีพระเจ้าแผ่นดินอยู่อีกหรือไม่”  เสียงหมอปีย์กระซิบ
“แน่นอน เรามี และนี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้เรายังเรียกประเทศที่เราอยู่ว่า........ประเทศไทย”
“ประเทศไทยรึ”
“ใช่..............ประเทศไทย”







** inspiration from Thaviphob.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2010 22:48:59 โดย เซ็งเป็ด »

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
ขอสมัครเป็นแฟนพันธุ์แท้ ด้วยคน
ชอบเรื่องย้อนยุคมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Rinze

  • บุคคลทั่วไป
โอย เศร้าแทนอัชเนอะ
ไปเรียนมาเมืองนอก แล้วเพิ่งมานึกได้ว่า ความเป็นไทยสำคัญขนาดไหน
แล้วเรื่องที่เล่าให้หลวงฯฟัง คงสะเทือนใจน่าดู
ปล. นั่งขี้ขาถ่าง  o22

ออฟไลน์ อิสระ

  • ถ้า add ให้กอด,ถ้า give five ให้จุ๊บ,ถ้า ment ให้เบอร์ คิคิ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-8
    • https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1433707443445407/?modal=admin_todo_tour
อ่านตอนนี้แล้วทั้ง :เฮ้อ: :m15: :monkeysad:
รักประเทศไทยมากมายอยากให้ใครหลายคนได้มาอ่านตอนนี้บ้างจัง
แม้จะรักไทย
แต่เรื่องวัฒนธรรมสู้ไม่ไหวจริงๆ

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0

@Kanda@

  • บุคคลทั่วไป
โฮกกกกกกกกกกกก ชอบเรื่องย้อนยุคจริงๆนะคะเนี่ย  :-[

อ่านตอนที่เล่าเรื่องอนาคตแล้วขนลุกซู่--- จริงๆเถอะค่ะ ถ้ามีโอกาสได้ย้อนอดีตไปแบบนั้นบ้างจะขอรอยมาลัยกราบบรรพบุรุษของเรางามๆ แล้วไม่ขอเล่าเรื่องใดๆให้พวกท่านฟังเด็ดขาด  :sad4:

taem2love

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วก็อดพูดไม่ได้เป็นห่วง การเมืองเป็นเรื่องละเดียดอ่อนมาก ถ้าหากจะสอดแทรกเข้ามาในเรื่อง

ระวังนิดส์นึงแล้วกันค่ะ เจ้กลัวความคิดคนค่ะ แต่เนื้อเรื่องตอนล่าสุดสนุกน่าสนใจ ให้แง่คิดมากมาย

เจ้ชอบมากตรงประโยคที่กล่าวเรื่่องการกลืนวัฒนธรรมของตะวันตก มันตรงใจกับสิ่งที่เจ้คิดมากๆ

จิ้มจุ่มให้เลยค่ะ ชอบจริงๆ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ฮาตอน "เชฟชุบทอง" มาก ๆ คิดได้งัย

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
อ่านแล้วก็อดพูดไม่ได้เป็นห่วง การเมืองเป็นเรื่องละเดียดอ่อนมาก ถ้าหากจะสอดแทรกเข้ามาในเรื่อง

ระวังนิดส์นึงแล้วกันค่ะ เจ้กลัวความคิดคนค่ะ แต่เนื้อเรื่องตอนล่าสุดสนุกน่าสนใจ ให้แง่คิดมากมาย

เจ้ชอบมากตรงประโยคที่กล่าวเรื่่องการกลืนวัฒนธรรมของตะวันตก มันตรงใจกับสิ่งที่เจ้คิดมากๆ

จิ้มจุ่มให้เลยค่ะ ชอบจริงๆ


ขอบคุณครับ เจ๊ที่เป็นห่วง

ผมก็กลัวๆเหมือนกันว่าหลายๆคนจะเข้าใจผิด แต่ก็พยายามไม่ใส่ความเห็นส่วนตัวลงไปครับ

เพียงแค่จินตนาการว่า ถ้าคนๆหนึ่งที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ เล่าเรื่องนี้ให้คนในอดีตฟัง มันจะออกมาแนวไหน

และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นประวัติศาสตร์สอนลูกหลานของเราอีกต่อไปในอนาคต เลยจับใส่เข้าไปน่ะครับ

แค่นั้นเองครับผม ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงนะครับผม

ขอออกตัวก่อน เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้กะเขาเท่าไหร่เหมือนกัน 555


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






aimaim

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึมนิดๆ รับรู้ว่ามันคือความจริง ซิกๆ อย่าเอาความจริงมาเขียนได้ไหมมันเศร้า TT^TT

ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
อ่านตอนแรกก็ฮากระจายครับ..เป็นไงล่ะอัทซ์เจอกากมะพร้าวเข้าไป :jul3:

แต่ตอนช่วงท้ายทำเอาน้ำตาซึมขึ้นมาทันทีเลย...มันกินใจ :sad11:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ช่วงแรกอารมณ์นี้ >>>  :m20: :laugh: :jul3:
ช่วงหลังอารมณ์เปลี๊ยนไป๋เป็นแบบนี้ >>>   :m15: :sad4: :o12:

ตอนนี้สะท้อนสังคมได้ดีจริงๆ  o13

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“พอเถอะ ชั้นเครียด ทำไมชั้นต้องมายืนพูดอะไรที่นายไม่เชื่อด้วยเนี๊ยะ”  ในที่สุดผมก็เปลี่ยนเรื่อง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศมันเริ่มอึดอัดมากขึ้น ดูเหมือนหมอปีย์จะมีท่าทางประหลาดเมื่อรับรู้ในสิ่งที่ผมเล่า
“ถือซะว่าเรื่องที่ชั้นเล่า มันเป็นเรื่องไร้สาระแล้วกันนะ” ผมยิ้ม เงยหน้าไปสบตากับเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมา
เมื่อสายตาผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหมอนั่น ความรู้สึกประหลาดก็เกิดขึ้น ผมคุ้นเคยกับนัยย์ตาคู่นั้นอย่างประหลาด มันดูลึกลับ น่าค้นหา อ่อนโยน น่าเกรงขาม  มันบอกไม่ถูก
“เหมือนชั้นเคยเห็นฉากนี้มาก่อน”  ผมพูด เพราะรู้สึกว่า ณ วินาทีนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
.
.
.
.
.
“เจ้าก็รู้สึกเหมือนกันรึ” หมอนั่นพูดออกมา ดูเหมือนเขาก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่พิเศษขึ้นมาอีกเช่นกัน
“ถามอะไรหน่อยสิ” ผมหันหน้าเข้าหาหมอนั่น เสื้อทรงจีนผ้าลินินสีขาวที่บางพริ้วไหวไปมาตามสายลดที่พัดยามค่ำคืน
“ทำไม................นายถึง...............ยอมให้ชั้นมาอยู่บ้านหลังนี้”
“ถ้าเราบอกเจ้า เจ้าจะหาว่าเราบ้าหรือไม่” 
ผมส่ายหน้า
“เรา.....................ฝันถึงชายแต่งกายประหลาดคล้ายเจ้า............ทุกค่ำคืน” ผมทำท่าเล๋อหลา
“บ้า”
“ในบางคืนเราจะฝันถึงชายผู้นั้นยาวนาน แต่บางคืนก็เพียงแค่แวบเห็น  เรารู้สึกเหมือนเขามองหาเราอยู่ทุกเพลา ทั้งๆที่ในบางครา เรายืนหันหน้าเข้าหากัน แต่ชายผู้นั้นกลับมิเห็นเรา ”
“แล้วเอ่อ นายเห็นหน้าเขารึป่าว” ผมถาม
“ภาพมันเลือนลาง ใบหน้าของชายผู้นั้นเป็นเหมือนภาพเก่าแก่ ที่ใบหน้าเลือนหาย” น้ำเสียงของหมอนั่นทุ่มกังวาล บวกกับอากาศที่หนาวเย็นขึ้น ทำให้ผมเสียวสันหลังวาบๆ

“แล้วตอนนี้ นาย นาย  เอ่อ ยังฝันถึงเขาอีกป่าววะ” ผมนึกกลัวผีขึ้นมาอีกแล้ว หันซ้ายหันขวาด้วยความระแวง ก่อนจะขยับไปชิดหมอนั่น
“เจ้าหนาวรึ เจ้าบ้า” เขาถาม
“เอ่อ อืม หนาวอ่ะ เนี๊ยะ สั่น สั่น” ผมแกล้งสั่นให้พอเป็นพิธี
“ข้าไม่นิมิตรถึงชายในเครื่องแต่งกายประหลาดผู้นั้นอีกเลย....................เมื่อพบเจ้า” เขายิ้มอย่างมีนัยยะ
รอยยิ้มนั้นดูน่าจักกะจี้
“อะไรๆ อย่ามองกันแบบนั้นสิเว้ย ขนลุก”
“ท่าทางเจ้าจะหนาวมาก เราให้บ่าวไพร่เอาผ้าห่มมาให้เจ้าดีหรือไม่”
“โอ้ยยยย ไม่เป็นไรหรอก” ผมส่ายหัว
“หรือไม่ หากเจ้าจะอนุญาตให้ข้ากอด ข้าก็ไม่รังเกียจดอก” หมอนั่นยิ้มประหลาดอีกแล้ว ดูท่าทางวันนี้มันจะเมายาสูบมาแน่ๆ
“จะบ้ารึ.....................” ผมถอยกรูดออกมา
“เราล้อเจ้าเล่นดอก” แล้วมันก็หัวเราะ “เอาเถิด เจ้าไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เราจักพาเจ้าไปเยี่ยมชมบ้าน ชมเมือง เผื่อว่าเจ้าจะมีสติกลับคืน จำทางกลับบ้านกลับเรือนของเจ้าได้” หมอปีย์ลุกขึ้นยืน สายลมที่พัดเอื่อย ทำให้เสื้อขาวบาง กับกางเกงแพรสีน้ำเงินลู่ไหวแนบเนื้อ ผมมองดูหุ่นของมันอย่างลืมตัว ในใจอดชื่นชมไม่ได้
“แหม่ สมัยนี้ไม่มีฟิตเนส แต่ทำไมคนสมัยนี้เขาหุ่นดีกันจัง” ผมคิดก่อนจะก้มมองพุงตัวเองที่เห็นเป็นลูกระนาบน้อยๆพอให้รู้ว่า  อนาคตเสี่ยใหญ่
“มองอันใดรึพ่อ” เขายิ้ม
“เปล่าๆ นี่ แสดงว่า นายไม่เชื่อเรื่องที่ชั้น..............ย้อนอดีตมาใช่มั๊ย”  เขายิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร
“อะไรวะ ปล่อยให้เล่าอยู่ตั้งนาน ว่าแล้วว่านายไม่เชื่อหรอก โด่......” ผมพ้อ
“มิใช่เราไม่เชื่อ แต่ความจากปากของเจ้ามันเกินจริงมากนัก สยามเราจะเป็นเยี่ยงที่เจ้าเพ้อได้อย่างไร ข้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องในความคิดเจ้าเสียมากกว่า............ข้าจักขอเตือนเจ้าไว้สักอย่าง อย่าได้พูดเรื่องนี้กับผู้ใดเปนอันขาด เจ้าจักโดนข้อหากบฎขายชาติมิรู้ตัว หากหลวงท่านทรงทราบความ แม้แต่ข้าก็ช่วยอันใดเจ้ามิได้” เขาขู่
ผมนิ่งนั่งฟัง รู้สึกเหนื่อยใจยังไงบอกไม่ถูก เหมือนตัวเองเป็นคนบ้าในบ้าน ในเมืองนี้ไปแล้วจริงๆ
“หรือกูจะบ้ามันให้รู้แล้วรู้รอดวะ” ผมว่า
.
.
.
.
.
.
.
“เจ้ามิกลับห้องของเจ้ารึ” หมอปีย์ถามก่อนจะก้าวเท้าเดิน
“ยัง ขอนั่งรับ อากาศบริสุทธ์แป๊บนึง” ผมบอก แต่ในใจคิดว่า ใครจะไปนอนลงวะ นี่เพิ่งจะไม่น่าจะเกิน สองทุ่ม ตอนอยู่บ้าน เวลานอนของผมคือเวลาพระออกบิณฑบาต 
อีกอย่างคืนนี้ต้องนอนไม่หลับแน่ เพราะคงต้องหิวตอนเที่ยงคืนตามปกติ แล้วจะหาอะไรกินได้ละเนี๊ยะ
“นาย นาย” ผมตะโกนเรียก “แถวนี้มีเซเว่นป่าว” ความลืมตัวถามคำถามโง่ๆออกไป
“เสเวร คืออันใด” เขาหันมาตอบ
“อ่อ ลืมไป นี่มันยุคนายนี่เน๊อะ เซเว่นที่ไหนจะมาเปิด ถ้ากลับไปกรุงเทพฯได้นะ  ชั้นจะขอแฟรนด์ไชน์เซเว่นมาเปิดที่นี่ คงจะรวย” ผมพูดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียว

.
.
.”ถ้าเจ้ายังไม่นอนละก็ เราขอเตือนให้เจ้าเข้ามาอยู่เสียในเรือนจักดีกว่า” หมอปีย์ทำเสียงยาน
“ทำไม” ผมตะโกนถามอย่างหงุดหงิด
“อีม้วนมันเคยเห็นเปรตวัดสุทัศน์ร้องโหยหวนให้ชาวบ้านช่วย อยู่ฝั่งกระโน้น”  ผมมองตามที่มือของหมอปีย์ชี้
“บ้าน่า ไม่มีหรอก แหะๆ สมัยนี้” ผมหัวเราะกลบเกลือนความกลัว ลมพัดวูบเข้ามา ขนตรงท้ายทอยลุกซู่ แต่ยังยิ้มใจดีสู้เสือ
“สมัยนี้ที่เจ้าพูดถึง คือยุคสมัยของเรา และสมัยเราคือสมัยที่ผู้คนล้มตายเปนเบือคราห่าลง คราที่แล้ว  หากเจ้ามิเชื่อก็ตามใจ ได้ความเยี่ยงไร พรุ่งนี้ นำความมาเล่าให้เราฟังด้วยก็แล้วกัน” หมอนั่นพูดทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน
ผมนั่งกระดิกขาหันไปหันมา จะเอาไงดี ใจหนึ่งก็กลัวมากกกกกกกกกกกกกกกกก  ใจนึงก็กลัวเสียฟอร์ม
“บรู๋วววววววววววววววววววววววววววววววววว”  จู่ๆเสียงหมาเวรที่ไหนก็ไม่รู้หอนขึ้นมารับกันจังหวะเหมือนเป็นใจ
ผมลุกขึ้นยืนอย่างอัตโนมัติ ตัวแข็ง ตาแข็งทื่อ ก่อนจะนิ่งไปสองวินาที
“เดี๋ยว” ผมตะโกนเรียกหมอปีย์  “นายว่า...............จะพาเราไปเที่ยวที่ไหนนะ”  แกล้งเปลี่ยนเรื่อง กลัวเสียฟอร์ม 555 แล้วรีบจ้ำอ้าวเดินย่ำพื้นเรือนเสียงตึงๆตามหลังหมอปีย์ไปติดๆ
“ดีเหมือนกันนะ ออกไปข้างนอกบ้าง อยู่ในนี้มันไม่มีอะไรทำ แบบว่าเหงาบ้างอะไรบ้าง ปกติ ชั้นก็วุ่นวายไม่ค่อยอยู่เฉยๆ มีงานมีการทำเยอะแยะ พอมาอยู่แบบนี้มันเบื่อ ได้ออกไปไหนมาไหน บ้างก็คงจะดีนะ เออ ชั้นเห็นมีตลาดอยู่ตรงนู้นแน่ะ  บลาๆๆๆๆๆ”  ผมแกล้งพูดบ่นพึมพำๆไปเรื่อย ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินทันหมอปีย์พอดี

เขามองหน้าผมในขณะที่ผมกำลังบ่นเรื่องอยากออกไปเที่ยวตลาด ก่อนที่จะยิ้มมุมปากออกมาเหมือนรู้ทัน

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
^
^
^
 :z13:จิ้มค่ะ
มาต่อรวดเร็วมากกกกกก o13

หลวงพินิจแอบฝันถึงตาอัจจี้ด้วยอ่ะ  :o8:
ว๊ายยยยยยๆ บุพเพอาละวาดแล้วมั๊งนี่  :-[

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
ด้านบนอ่านแล้วสะเทือนใจมาก
บ้านเมืองเรา...

ส่วนตอนล่าง คุณอัทช์กลัวเปรตสินะ 555

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
ชอบตอนนี้มาก
รอตอนต่อไป
+1

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
+1
อ่านตอนแรกก็เศร้าๆอ่า
แต่ตอนกลัวผีน่ารักดี อิอิ

ออฟไลน์ กว่าจะไร้เดียงสา

  • อาจมีค่าเพียงหยดน้ำ...สักวันจะกลายเป็นฝน
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +445/-26
กรีดร้องโหยหวน เราจะติ๊ต่างว่าตอนนี้ เค้าสวีวี่วีกันนะ

สนุกมาก แต่ตอนนี้เศร้าอยู่
























พี่นนหมาสีดำลูกตัวนั้นของตูนหายไปอะ ยังหาไม่เจอเลย  :monkeysad:



นั่งทำไว้แก้ฟุ้งซ่าน รูปแรกจะแปะให้นานแล้ว แต่ยังไม่แปะ แปะตอนนี้เลยแล้วกัน เลขมันสวยดี
เผื่อจะเอาไปแทงหวย เอาสองตัวบนล่างโต๊ดด้วยนะ


Kusano ~~ Kawaii

  • บุคคลทั่วไป
 :monkeysad: :monkeysad:
อ่านแล้วน้ำตาซึม
แอบเศร้านิดๆ

รักอัทช์กลัวผีได้น่ารักมาเลยยยย  :m20:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด