“อดีตมิควรหาญกล้าท้าทายอนาคต เจ้าเรียนรู้มันได้ แต่จักแตะต้องมันหาได้ไม่
หากปัจจุบันของข้า คืออดีตของเจ้า จงรู้ไว้ว่า อนาคตของข้า จักเฝ้ารอเพียงเจ้า”
“เฮ้ย เฮ้ย กระเป๋า เอากระเป๋ากูคืนมา Help Help!!” ผมแหกปากสนามบิน Perth แทบแตก
แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะเรียกความสนใจของพวกออสซี่ขี้นกให้หันมาสนใจและช่วยผมหยุดไอ้โจรเจ๊กจากแผ่นดินใหญ่ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ถ้ามึงไม่หยุด ขอให้รถชนตาย” ผมตะโกนไล่ด่ามันเป็นภาษาไทย
ทั้งๆที่รู้ว่ามันฟังไม่ออก เราทั้งคู่วิ่งฝ่าฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่ แต่พวกนั้นกลับไม่มีใครสนใจผมเลย มันคงคิดว่าไอ้กระเหรี่ยงสองตัวนี้มาวิ่งเปี้ยวอะไรกันที่เมืองมัน
“หยุด แฮกๆ เดี๋ยวนี้นะ แฮ็กๆ” ในที่สุดผมก็ยอมแพ้หยุดวิ่งก่อนจะก้มลงหายใจถี่เพราะความเหนื่อย
“ไอ้โจรใจหมา เงินแค่ 30 ดอลล่ามึงยังเอาของกูไปอีก แล้วกูจะนั่งแท๊กซี่กลับบ้านยังไง” ความท้อแท้ประดังเข้ามาใส่ผม
จนเข่าแทบทรุด นี่ถ้าที่นี่เป็นเมืองไทย ผมคงไม่เสียเวลาวิ่ง ให้เมื่อยส้นตีนกับอีแค่เงิน 900 บาทหรอก
“ไอ้กร๊วก มึงแน่จริงมึงกลับมาเอาชีวิตกูไปด้วยสิวะ ทั้งตัวกูมีแค่นั้น มึงยังใจหมามาเอาของกูไปอีก อ๊ากซ์”
ความอดทนอด
กลั้นผมหมดลง เสียงตะโกนนั่นทำให้ฝรั่งครอบครัวหนึ่งหันมามองผมด้วยสายตาประหลาด
ผมเดินคอตกกลับมายังกระเป๋าใบเดิมกับตอนขามาเมื่อสองปีก่อน ขามาจากเมืองไทยมาเท่าไหร่
ขากลับก็กลับ
ไปเท่านั้น ไม่สิ น้อยกว่าเดิมเสียอีก เพราะตอนมา ผมยังมีเงินติดกระเป๋าและในบัญชี รวมๆกันอยู่เกือบล้านบาท แต่ขากลับตอนนี้ผมหมดตูด โชคยังดีที่ passport ยังติดอยู่กับกระเป๋าใบใหญ่ ไม่งั้นชีวิตผมคงเฮงซวยกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่แท้
“Ticket Please?” พนักงานสายการบินยิ้มหวานให้ผม ราวกับผมเป็นชายในฝันที่เธอตามหามาตลอดชีวิต ผมยื่นสิ่งที่เธอต้องการให้
“Oh you are Thai !” แหงสิ หน้างอเป็นด้ามขวานขนาดนี้กูคงมาจากเสปนหรอกนะ
“Do you know Tony Ja” เอาเข้าไป เจ้าหล่อนถามหาจา พนม
“yes he is my close friends!” ผมเล่นด้วยกับเธอ
“Oh really……. Oh… god no… you oh” เธอยกมือขึ้นป้องปาก สลับกับทาบหน้าอกที่นูนเว่อร์ของเธอ แววตาแสดง
อาการตกใจสุดขีด ราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง
ผมอยากจะเอาถ้วยรางวัลให้เธอเนื่องในวาระการแสดงActing over ดีเด่นประจำปีจริงๆ
“ I have his e-mail. Do you need it?” สายตาของผมส่อแววเจ้าเล่ห์ หล่อ
“oh sure give it to me, give it to me” เธอทำเสียงกระซิบกระซาบ กวักมือขอ ราวกับเราจะส่งยาบ้ากัน
“100 dollars” แล้วบรรยากาศที่เป็นมิตรเมื่อครู่ก็เลือนหายไปในพริบตา พนักงานสาวนางนั้นเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่จืดจาง
เธอยื่นตั๋วส่วนที่เหลือคืนให้ผมอย่างเสียไม่ได้
“ sorry I am broke” แปลเป็นไทยว่า โทษทีว่ะ กูถังแตก ผมทำหน้าเจื่อนๆ
ช่วงชีวิตที่เกิดมาบนโลกมนุษย์ เกือบๆ27ปี ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต
ผมรบเร้าที่บ้านให้ขายที่มรดกชิ้นสุดท้ายเพื่อจะเป็นทุนส่งผมเรียน le Gordon blu ที่ออสเตรเลีย
เพราะความฝันของผมนั้นคือการได้เป็นเชฟใหญ่ในโรงแรมดัง ก่อนมาผมคาดหวังเสียสวยหรูว่า
ผมจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย และมันก็เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ทางเดินโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เพราะว่าผมมีเงินให้พวกหัวทองเหล่านั้นซื้อดอกกุหลาบมาโรยให้ผมไง แต่เมื่อเงินผมร่อยหรอ ดอกกุหลาบที่เคยมีแต่กลีบก็เปลี่ยนไป ทางเดินเริ่มมีหนามชิ้นเล็กๆประปราย ผมต้องคอยเขย่งเท้าหลบหลีก
และแล้วเงินเก็บก้อนสุดท้ายก็หมดลงไปพร้อมกับขวด bourbon ขวดสุดท้ายที่งานปาร์ตี้
นับจากวันนั้น ทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยหนามกุหลาบที่ไม่อาจเขย่งเท้าหลบหลีก ผมต้องจำใจเดินย่ำมันจนเลือดไหลซิบๆ
“ไอว่า ยู ดรอปเรียนไว้ก่อนเถอะ แล้วไปหางานทำซะ ที่บ้านยูเค้าคงไม่สนับสนุนแล้วหล่ะ” เพื่อนรักชาวฟิลิปปินส์แนะนำผม ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องเห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก
หลังจากที่ดรอปเรียนไว้โดยไม่บอกที่บ้าน ผมเลือกทำงานที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งโดยเริ่มจากการเป็น “เด็กล้างผัก”
“ห่าเอ้ย กูล้างคะน้าเหี่ยวกันจนมือกูเปื่อยเป็นต้มซุปเปอร์ตีนไก่แล้ว อุตส่าห์ถ่อมาเรียนโรงเรียนดัง กลับต้องมานั่งล้างผัก” ผมโอดครวญ
ชีวิตของเด็กล้างผักไม่ต่างอะไรกับเด็กล้างกระจกรถตามสี่แยก ล้างไม่สะอาดเขาก็ด่า ล้างมากไปเขาก็ว่าเปลืองน้ำ
ผมทำงานที่ร้าน เพื่อนไทย ร้านอาหารดังย่านใจกลางเมืองอยู่ไม่นาน ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเด็กเสริฟ
หนทางกำลังไปได้ดี ผมกำลังจะได้เลื่อนให้เป็นผู้ช่วยกุ๊ก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
“มุก เราจะทำยังไงดี ตอนนี้เรามีเงินเหลือติดตัวแค่ 1000เหรียญเอง” ผมแชตกับแฟนที่ตอนนี้เธอเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาลรัฐชื่อดังย่านใจกลางเมือง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ล่มสลาย ร้านอาหารที่ผมทำอยู่ปิดตัวลง และผมหางานไม่ได้
“กลับมาเถอะ ปอ” เธอพูดสั้นๆ แต่ก็ตรงใจผมที่สุดแล้วตอนนั้น
.......................................................................................
“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” เสียงแอร์สาวถาม
“เอ่อ ต้องจ่ายมั๊ยครับ คือผมไม่มี...............เงิน”