.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หนูวาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!” เสียงตะโกนดังสุดเสียงราวกับจะขาดใจดังผ่านลำคอของผมออกมา ผมกระชากตัวเองอย่างแรงจนได้ยินเสียงลมผ่านหู เสียงหายใจฟืดฟัดหนักหน่วงราวกับต้องการอากาศหายใจมาทั้งชีวิต ผมหายใจเร่งเร็วอย่างตะกระตะกราม
“หนูวาด หนูวาด” ผมลืมตาขึ้นปากพร่ำถึงชื่อของยายทวด
“หนูวาด” ภาพข้างหน้าผมชัดเจนมากขึ้น ผมมองไปรอบๆตัว ห้องนี้นี่มัน ห้องในเรือนครัวหลังเก่าที่บ้านนี่นา เครื่องใช้เก่าเก็บ กระต่ายขูดมะพร้าว ชาม จาน กระทะใบบัว กระทะทองเหลือง เครื่องครัว
ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง นี่เรามานอนอยู่ในเรือนคุณชั้นได้ยังไง ผมสงสัย ก่อนจะยันร่างลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำ ผมเผ้าปิดหน้าปิดตา
แต่น่าแปลกทำไมเรือนคุณชั้น หรือแถวๆนี้ ทำไมไม่มีเสียงนกร้องเหมือนเดิม แต่กลับมีเสียงรถราวิ่งอยู่ข้างนอกแทน
“นาฬิกา” ผมมองดูนาฬิกาลูกตุ้มเรือนเดิมที่เคยเดินบอกเวลาตามปกติ คราวนี้มันกลับหยุดเดินขึ้นมาเฉยๆ
“รูปถ่ายเก่าๆ” ที่ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่บัดนี้กลับแขวนอยู่รอบตัวบ้าน ผมเดินมองดูอย่างไม่เข้าใจ รูปแล้วรูปเล่า แล้วก็ต้องมาหยุดอยู่ที่รูปชายหนุ่มในชุดไทยโบราณที่ใบหน้าลางเลือนคนเดิม
“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก หรือว่า กูตายไปแล้ว..............จริงๆ” ผมนึกเมื่อคิดว่าคนที่ตายไปแล้วจะต้องกลับบ้าน เพราะก่อนหน้านี้ผมจมน้ำ และจู่ๆก็ฟื้นขึ้นมาที่บ้านหลังนี้ บ้านที่เหมือน.........บ้านเก่า
“แม่” จู่ๆผมก็นึกถึงแม่ขึ้นมา รีบวิ่งออกไปจากเรือนหลังนี้ทันที และถูกต้องที่สุด ผมกลับมาบ้านหลังเดิมอีกครั้ง
สายตาคู่นี้นี่เองที่มองไปรอบๆตัว
บ้านของเรา
บ้านของอา
โรงรถ
ไม่มีเรือนหลังใหญ่
ไม่มีกอไผ่
ไม่มี.....................
“บ้านหมอปีย์”
นี่ผมสมควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ผมตอบตัวเองไม่ได้ ทำไมชีวิตคนๆหนึ่งถึงต้องมาเจอกับสถานะการณ์ที่แสดงออกถึงอารมณ์ได้ไม่ชัดเจนได้บ่อยขนาดนี้
“แม่” ผมเดินเข้ามาในบ้านและเห็นแม่กำลังนั่งวุ่นอยู่กับสมุดบัญชีเล่มเดิม เธอเงยหน้าขึ้นมามองหางตา ไม่มีแววตาห่วงใย หรือสงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า ตลอดเวลาอาทิตย์ที่ผ่านมาลูกชายคนนี้หายไปไหน มา
“ไปทำอะไรมาตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำมาเชียว” นี่คือคำแรกที่แม่ทักทาย ผมละงงจริงๆ
“นี่แม่จะไม่ถามผมเลยเหรอว่าผมหายไปไหนมา” ผมถาม และก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ต้องถามคำถามนี้กับแม่ เพราะเมื่อก่อนผมไม่เคยจะไยดีอะไรกับแม่อยู่แล้ว
“แกก็หายหัวของแกเป็นเดือนๆอยู่แล้ว ไม่เห็นจะแปลก”
เออมันก็จริงของแม่ ปกติผมเองก็ทำตัวให้เป็นห่วงจนเขาไม่ห่วงกันหมดแล้ว
ผมเดินหงอยๆขึ้นห้อง ปิดประตูล๊อกห้อง ล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนโดยไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้า
แอร์ที่เปิดทิ้งไว้จนเย็นฉ่ำ ภายในห้องมีชุดโฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่ มีคอมพิวเตอร์ มีเครื่องมิ๊กเสียงอยู่อีกห้อง เสื้อผ้าอยู่ในตู้ที่เก็บไว้อีกห้องหนึ่ง ในนั้นมีเสื้อแบรนด์มากมาย เครื่องสำอางค์วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ น้ำหอมเกือบสิบๆขวด รีโมตที่ควบคุมทุกอย่างภายในอันเดียว
อำนาจของผมอยู่ในมือหากมีเจ้าตัวนี้
เตียงนอนที่ทำมาจากไยสังเคราะห์ชั้นดี ผ้าห่มขนเป็ด หมอน หมอนข้าง
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วหรือ นี่ผมกลับมาสู่โลกปัจจุบันจริงๆเหรอ
ผมจะไม่ได้นอนเสื่อ ไม่ได้นุ่งโจงกระเบน
ไม่ได้นั่งพื้นกินข้าวโดยใช้มือหยิบ ไม่ได้เข้าส้วมประหลาดๆ ไม่ได้ไปตลาด ไม่ได้ไปเรือนท้ายสวน ไม่ได้เจอหน้าไอ้แดง
และที่สำคัญ
ผมจะไม่ได้เจอหน้าหมอปีย์อีกแล้วเหรอ..................................
.
.
.
.
.
.
.
.
.
วันรุ่งขึ้นผมตื่นมาด้วยสภาพมีไข้รุมๆ เจ็บคอเหมือนมีเศษแก้วแตกสุมอยู่ในลำคอ ทุกครั้งที่กลืนน้ำลาย มันเหมือนคอจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆ ผมลุกขึ้นหยิบน้ำในเหยือกที่วางประจำของมันเทใส่แก้วอย่างช้าๆ ก่อนจะจิบมันทีละนิดอย่างยากลำบาก
“แฟนแกเขาโทรมาหาแน่ะ วันละเป็นสิบรอบ” แม่ซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอทานข้าวอยู่บอก ผมนั่งลงข้างๆ หยิบหนังสือพิมพ์ส่วนที่เธออ่านเสร็จแล้วมาดูวันที่
“แกไม่ได้ไปอยู่กับแฟนแกเหรอ”
“ปล่าว เราเลิกกันแล้ว” ผมตอบน้ำเสียงเย็นชา เหมือนการเลิกกับใครสักคนที่เคยรักเป็นแค่การ ขากเสลด
“ดีเน๊อะ เด็กสมัยนี้ ไปไวมาไว ชั้นก็เห็นรักกันปานจะกลืนกิน ทำไมถึงได้.................”
“แม่” ผมเบรคแม่ก่อนที่เธอจะบ่นไปอีกเป็นชั่วโมง
“แม่ช่วยเล่าเรื่องยายทวดให้ผมฟังหน่อยได้มั๊ย” ผมถามสีหน้าใคร่รู้ เธอวางหนังสือพิมพ์ลง ก่อนจะมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ทำไมถึงได้อยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาหล่ะ” แม่ถาม
“เถอะน่า เล่าให้ฟังหน่อยนะแม่” ผมเซ้าซี้
แม่วางหนังสือพิมพ์ลง หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ
“วันนี้ชั้นรีบ เอาไว้ค่อยคุยกันนะ” แล้วเธอก่อนลากเก้าอี้ออกก่อนจะเดินออกจากห้องกินข้าวไป
“เฮ้อ” ผมทอดตัวลงพิงพนักพิง มองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ
“ขนมปัง ไข่ดาว แฮม กาแฟหนึ่งแก้ว หึ” ผมเผลอยิ้มมุมปาก แม่ครัวของที่นี่ช่างรู้ใจผมเสียจริง ผมหยิบกาแฟขึ้นมาซด ก่อนจะหยิบซ้อมกับมีดมาหั่นขนมปัง
แต่ทันทีที่ขนมปังเข้าปาก ผมกลับรู้สึกอยากบ้วนมันทิ้งเสียเต็มประดา
“นี่ขนมปัง หรือ ไม้กระดานอัดวะเนี๊ยะ แข็งสิ้นดี” ผมบ่น ทิ้งซ้อม กับมีดเสียงดังเพล้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
“ป้า ชั้นอยากกินข้าวต้ม” ผมบอกแม่ครัว เธอหันมามองด้วยแววตาหวาดหวั่น
“ขะ ข้าวต้มหรือคะ คุณปอ”
“ใช่ ข้าวต้ม ไม่สบายอย่างนี้ มันต้องกินข้าวต้มสิ ถึงจะถูก”
“แล้วคุณปอ จะรับเป็นข้าวต้มอะไรดีคะ”
“ชั้นเอ่อ..............อยากกิน............ข้าวต้มปลาทู”
...
ตลอดเวลาที่ผมนอนซมอยู่ในห้อง ผมกลับคิดถึงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านหมอปีย์ ทำไมผมถึงกลับรู้สึกไม่ดีใจเอาเสียเลยที่ได้กลับบ้าน ความรู้สึกภายในมันโหยหา บางอย่างระริกๆ มันเหมือนกับผมยังไม่ได้ทำอะไรตั้งมากมายหลายอย่างที่นั่น
หรือจะพูดง่ายๆก็คือ ผมยังอยากกลับไปที่นั่นอีก
เมื่อตื่นจากการนอนกลางวัน ร่างกายค่อยๆมีกำลังมากขึ้น สิ่งแรกในใจตอนนี้คือผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมก็คือ สิ่งที่เจอมามันเป็นเรื่องจริง หรือแค่ฝัน
ผมหยิบกุญแจรถ ก่อนจะเดินผ่านบ้านอาไปที่โรงรถ
“หายไปไหนมาหลายวันจ๊ะ หลานรัก รู้มั๊ย อาเป็นห๊วงเป็นห่วง” เสียงกระแนะกระแหนของสองสามีภรรยา ดังตามหลังผม ผมได้ยินทุกคำพูด แต่น่าแปลกที่ไม่ได้หยุด และอาละวาดอย่างที่เคยเป็น
“คุณปอจะไปไหนคะ” เสียงแม่บ้านคนเดิมทัก
“ชั้นจะไปหอสมุดแห่งชาติ แม่กลับมาเมื่อไหร่โทรหาชั้นด้วยนะ” ผมบอก สีหน้าของแม่บ้านอึ้งราวกับเห็นผี ที่ผ่านมาเธอเคยเห็นผมไปแค่แหล่งบันเทิง กับปาร์ตี้ มาวันนี้ผมไปหอสมุดแห่งชาติ นั่นคงทำให้เธอช๊อคไปไม่น้อย
รถคันเดิมขับผ่านถนนเส้นคุ้นเคย ผมจำได้ว่าถนนเส้นนี้ผมเคยเห็นเมื่อตอนอยู่ที่บ้านหมอปีย์ แยกตรงนี้ กำแพงแบบนี้ นี่มันเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เลยเหรอ
--------------------------------------------------------หอสมุดแห่งชาติ---------------------------------------------------
ผมจอดรถไว้ด้านหน้าหอสมุด ก่อนจะเดินเข้าไปผ่านป้ายที่เขียนเตือนไว้ว่าให้แต่งกายสุภาพ ผ่านเครื่องแสกน และตรวจกระเป๋า ก่อนจะเดินเข้ามาภายใน โต๊ะประชาสัมพันธ์ตั้งอยู่ตรงกลางหน้าบันไดไม้โบราณ ภายในเป็นสถาปัตยกรรมสมัยโบราณที่ยังคงไว้ซึ่งมนต์ขลัง
“โทษนะครับ ผมจะหาหนังสือสมัย ร.๕ ได้ที่ไหนครับ”
“อ๋อ” ประชาสัมพันธุ์สาวสวยเงยหน้ายิ้มให้ผม “เชิญชั้นสามค่ะ ลิฟท์ อยู่ด้านนี้นะคะ”
ผมยิ้มเป็นการขอบคุณเธอ ก่อนจะเดินผ่านลิฟท์ไปไม่ไยดี ผมเลือกที่จะใช้บันไดเดินขึ้นไปแทนการใช้เครื่องสนองความเกียจคร้านอันนั้น
เมื่อมาถึงชั้นสามบรรยากาศเหมือนอยู่ในโรงเรียนประถมต่างจังหวัด ห้องที่ถูกจัดแบ่งตามประเภทหนังสือนั้น เหมือนกับห้องเรียนเด็กประถมสมัยก่อนไม่มีผิด พื้นไม้กระดาน บานประตูไม้
ห้องถูกเปิดออก ภายในมีหนังสือวางเรียงรายเต็มไปหมด แต่กลับมีคนนั่งอ่านอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ผมเดินไล่หาหนังสือที่เกี่ยวกับยุคสมัย ร.๕หยิบทุกเล่มที่เกี่ยวกับสมัยนั้นมาวางกองไว้ที่โต๊ะจนท่วมหัว
“ภาพโบราณสมัยร.๕
เกร็ดสนุกในอดีต
เล่าเรื่องเมืองสยามในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง
และเรื่องต่างๆอีกมากมาย
ผมเปิดมันอ่านอย่างตั้งใจ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมอ่านเจอเกี่ยวกับการใช้ห้องน้ำในสมัยนั้น นั่นมันทำให้ผมถึงกับอมยิ้มออกมาอย่างลืมตัว อีกทั้งวิถีชีวิต การกิน การอยู่ มันช่างเป็นอย่างที่ผมเห็นเสียจริง
ผมก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพวกนั้นอยู่นานโดยไม่สนใจใครรอบข้าง อากาศในนี้เย็นจัด เพราะแอร์ทำหน้าที่ดีเกินไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้อ่านคนอื่นถึงได้สวมเสื้อกันหนาวกันหลายต่อหลายชั้น
ผมเปิดหนังสือเล่มหนึ่งอย่างเบามือ เพราะกระดาษของหนังสือเล่มนั้นดูท่าทางจะเก่าและบอบบางเอาการ สีของกระดาษซีดเป็นสีเหลืองเข้ม ตัวหนังสือเป็นตัวที่ใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ ทำให้อ่านยากเอาการ
ช่วงเวลาที่ผมอ่านหนังสืออยู่นั้น ผมรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่เหมือนจะจับจ้องผมผ่านช่องว่างของชั้นหนังสือ แต่เมื่อผมหันไปมองกลับพบเพียงความว่างเปล่า
“สนใจหนังสือพวกนี้หรือ” แต่จู่ๆแววาคู่นี้ก็มาอยู่ตรงหน้าผม
“ครับ” ผมตอบเจ้าของแววตาที่อิดโรยคู่นั้นไป หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม เธอมีผมสีดอกเลาที่รวบมวยอย่างเรียบร้อย ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนตลอดเวลา แววตาที่กลมโต ท่าทีที่สง่างามราวกับเธอเป็นราชนิกูลย์ก็ไม่ปาน
“ชั้นของนั่งด้วยคนได้มั๊ย” เธอร้องขอ ผมยิ้มตอบเป็นการตกลง
“ทำไมวัยรุ่นอย่างเธอ ถึงได้มานั่งอ่านประวัติศาสตร์คร่ำครึอย่างนี้คนเดียว” เธอถาม
“เอ่อ อ้อ พอดี ผมต้องทำวิจัยน่ะครับ” ผมยิ้ม ไม่กล้าจะตอบความจริงออกไปว่าผมเจออะไรมาบ้าง กลัวใครจะหาว่าเป็นบ้า
เธอไม่พูดอะไรต่อ เอาแต่ยิ้มเบาๆ มือดึงหนังสือภาพเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะจะเปิดไปที่หน้าหน้าหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว เธอลูบกระดาษแผ่นนั้นอย่างแผ่วเบา
“ป้ารู้จักที่นี่เหรอครับ” ผมถามเมื่อเห็นว่าเธอสนใจภาพเรือนไม้หลังใหญ่ในหนังสือเล่มนั้นเป็นพิเศษ เธอยิ้มอีกครั้ง
“แล้วเธอหล่ะ ชอบมันรึปล่าว”
“...........................................” ผมงงกับคำถามและน้ำเสียงที่เยือกเย็นของเธอ
“เรือนหลังนี้สวยงามนัก มันทำมาจากไม้ทั้งหลัง ไม่มีตะปูแม้แต่แห่งเดียว บันไดตรงนี้” เธอชี้ไปที่บันไดไม้
“ก็เรียบลื่นเงาวาว เพราะบ่าวไพร่ชอบมาขัดถูเวลาแอบฟังเจ้านายคุยกัน” เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา
“เจ้าของเรือนแห่งนี้ก็งามไม่ต่างจากเรือน” เธอส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเงียบไปพักใหญ่
“ที่ตรงนี้” แล้วหญิงคนนั้นก็ลากมือเลยหนังสืออกมาบนโต๊ะ ก่อนที่เธอจะหลับตา “เป็นสวนดอกชบาสีแดงสด อีกทั้งแซมไปด้วยดอกพุดซ้อน ดอกแก้ว จำปี และจำปา โอ้ ชั้นยังจำกลิ่นของพวกมันในยามเช้าได้ดี”
เธอบรรยายออกมาเป็นฉากๆทั้งๆที่ไม่มีภาพนั้นในหนังสือ ทำเอาผมขนลุก แล้วเธอก็เงียบไปไม่พูดอะไรอีก
“เอ่อ ป้าพูดเหมือนป้าเคยไปบ้านหลังนี้มาอย่างนั้นแหละครับ” ผมเลียบถาม
“ไม่ต้องกลัวใครจะหาว่าเธอบ้าหรอก เพราะถ้าเธอบ้า ชั้น........ก็บ้าเหมือนเธอนั่นแหละ” เธอยิ้มอย่างมีความหมาย
รอยยิ้มนั้นทำเอาผมขนคอตั้งชัน และหัวใจพองโต
“ป้าอย่าบอกนะครับ ว่าป้าย้อนอดีตไปที่แห่งนี้....................เหมือนกัน” ผมละล่ำละลักถาม
เธอเลือกที่จะไม่ตอบ แต่กลับมอบรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นให้ผมแทน
“ป้าไปมาใช่มั๊ย ผมไม่ได้บ้าใช่มั๊ย” ผมเขย่าแขนเธออย่างลืมตัว เสียงดังของผมทำให้คนภายในห้องนั้นหันมามองจนผมต้องหรี่เสียงตัวเองลง
“บอกผมมาเถอะ ผมไม่ได้เพี้ยนไป.............ใช่มั๊ย” น้ำเสียงที่เร่งเร้า ร้อนรน บวกกับดวงตาที่เอ่อไปด้ยน้ำตาแห่งความคับแค้นใจนั่นเองที่ทำให้เธอยอมปริปากพูดบางอย่างออกมา
“เธอเชื่อเรื่องทฤษฎีการย้อนเวลามั๊ย” หญิงคนนั้นถาม น้ำเสียงเยียบเย็น
“มีคนจำพวกหนึ่งเชื่อว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่ได้เรียงกันตามลำดับ เหมือนกับเธอแต่งหนังสือจากบทสรุป ย้อนมากลางเรื่อง และจบด้วยจุดเริ่มต้น” เธอพยายามอธิบายให้ผมฟัง
“เวลา เป็นช่วงสมบูรณ์ในตัวมันเอง พวกเขาเชื่อว่า ในขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่ ยังมีเราในอีกห้วงเวลาหนึ่ง กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน”
“แล้ว ผมย้อนกลับไปช่วงนั้นได้อย่างไร” ผมถาม
“จากที่ชั้นได้ศึกษา และพบว่า เวลาที่ดำเนินไปของมันในแต่ละห้วงนั้น จะมีอยู่เสี้ยวนาทีเดียวที่เวลาของสองช่วงเวลาจะมาบรรจบกันโดยผ่านตัวนำบางอย่างที่ช่วงเวลาทั้งสองนั้นมีร่วมกัน”
“ยังไงน่ะครับผมไม่เข้าใจ” ผมถาม
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ในกรณีชั้น ชั้นสามารถ เอ่อ............ย้อนผ่านเวลาได้โดยผ่าน..........กระจก!!” เธอตอบแววตาก้มลงต่ำเหมือนพยายามปิดบังตัวตนของเธอไว้บางส่วน
“กระจกบานนั้นตั้งอยู่ในที่ของมันเมื่อร้อยปีก่อนไม่ขยับเขยื้อน เมื่อเวลาของสองช่วงมาบรรจบกัน กระจกบานนั้นจึงเป็นเหมือนประตูมิติให้ชั้นผ่านทะลุเข้าไป” เธอว่า
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ป้าบอกว่าป้าผ่านกระจกไปสมัย ร๕อย่างนั้นเหรอ” ผมถาม เธอพยักหน้า
“ผมว่า ผมคุ้นๆเหมือนเคยอ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน” ผมแสดงสีหน้าสงสัย
“นิยายมักนำมาจากชีวิตจริง ใช่มั๊ย” เธอยิ้ม ผมไม่พูดอะไร
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ผมสามารถกลับไปที่นั่นได้อีก หากเวลาและตัวเชื่อมมันพอเหมาะ ใช่มั๊ยครับ”
“คงอย่างนั้นมั้ง แต่ .............ชั้นขอเตือนอะไรเธอไว้อย่างนะพ่อหนุ่ม” สีหน้าของป้าดูเคร่งขรึม
“จงอย่าผูกพันกับใคร หรืออะไรที่นั่น เพราะนอกจากเธอจะมอบความหายนะให้ประวัติศาสตร์แล้ว มันยังจะฆ่าเธอ...........ทั้งเป็นด้วย” หญิงคนนั้นก้มหน้าอีกครั้งตัวสั่นเทา
“เอาหล่ะ” จู่ๆเธอก็ลุกขึ้น “ชั้นขอให้เธอโชคดีนะพ่อหนุ่ม ที่นั่นสวยงาม และบริสุทธิ์ จงอย่างทำให้ที่นั่น แปดเปื้อน” แล้วเธอก็หันหลัง เดินจากไป
“ป้า ผมยังไม่รู้จักชื่อป้าเลย” ผมถามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เธอหายเข้าไปหลังชั้นหนังสืออย่างไร้ร่องรอย
“จงอย่าผูกพันกับใครที่นั่น” คำๆนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลาที่ขับรถกลับบ้าน ไม่เข้าใจทำไมป้าคนนั้นถึงได้เตือนแบบนี้ สงสัยเธอคงจะรู้จักผมน้อยไป คนอย่างผมมีรึจะผูกพันกับใครง่ายๆ ไม่มีเสียหล่ะ
“เฮ้อ ป่านนี้หมอนั่นจะเป็นยังไงมั่งนะ จะรู้รึยังว่ากูหายไป” จู่ๆผมก็ถอนหายใจอย่างลืมตัว