“กลิ่นอะไรน่ะ” ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน ผมก็ได้กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างลอยมาเตะจมูก
“อ้อ สงสัยช้อยมันจะทำสำรับเย็นน่ะ เจ้าขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” หมอปีย์แสดงท่าทีห่วงใย
“ไม่สายไปหน่อยเหรอ พ่อ มาเป็นห่วงอะไรเอาตอนนี้น่ะ หึ “ ผมว่า “นายไปก่อนเถอะ ชั้นว่า............จะขอแว๊บไปดูป้าช้อยแกทำกับข้าวซะหน่อยน่ะ”
ผมเดินเข้าบ้านในสภาพบ่าวโสโครก มอมแมม แต่แปลกที่ไม่ยักจะมีใครแตกตื่นเหมือนตอนที่ผมมาสภาพดีๆ สงสัยคนที่นี่จะชินกับคนบ้า ก็นายมันบ้าไปคนนึงแล้วนี่
หลังเรือนหลังใหญ่เป็นโรงครัวที่บ่าวไพร่หญิงชายช่วยกันทำอาหารคนละไม้ละมือ บ้านหลังนี้มีเจ้าของบ้านอยู่แค่คนเดียวเอง เท่าที่ผมเห็นตอนนี้นะ ทำไมถึงต้องเตรียมอาหารกันเสียมากมายขนาดนี้
ชายร่างเล็กผิวดำเมี่ยมคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเปิดฝากะทะใบบัวที่ควันฟุ้งออกมาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆของข้าวไหม้ เขาเอาไม้พายขนาดใหญ่กวนข้าวไปมา ก่อนจะเอาฝาปิดไว้ดังเดิม
หญิงสาวอีกคนนั่งยองๆบนหินก้อนใหญ่ข้างเรือน หล่อนกำลังล้วงเข้าไปในกระชอน ก่อนจะดึงเอาปลาช่อนตัวเขื่องออกมา มันดิ้นเด่วๆสะบัดตัวไปมา แต่เธอผู้นั้นก็จับหัวมันแน่นอย่างทะมัดทะแมงกดหัวปลาช่อนไม้กับขอนไม้ มืออีกข้างหยิบไม้ขนาดเหมาะมือ ก่อนจะง้างสุดแรงและ
“ปั๊ก” ทีเดียวที่ไม้นั้นทุบลงบนหัวปลาช่อน มันดิ้นพราดๆอยู่พักใหญ่ ก่อนจะนิ่งไป
“เอื๊อก” ผมกลืนน้ำลายลงคอ นึกถึงผัวผู้หญิงคนนี้ ถ้ามาเห็นภาพเธอตอนนี้ มีหวังติดตาไปแสนนาน
“ป้าช้อย ทำไรอ่ะ กลิ่นหอมไปถึงหน้าบ้าน” ผมตะโกนโหวกเหวกเรียกป้าช้อย แกเงยหน้าขึ้นมามอง น้ำหมากแดงเต็มปาก
“มาแหกตาดูเอาเองสิวะ “ อ่าวป้า พูดด้วยดีๆ ผมเดินตึงๆขึ้นเรือนไปหาแก เห็นจานอาหารต้นเหตุที่ส่งกลิ่นหอมวางอยู่ใกล้ๆแก
“เนี๊ยะเหรอ” ว่าแล้วผมก็เอามือฉีกตาออกกว้าง ก่อนจะชะโงกหน้าเกือบจมลงไปในจาน
“ทำอะไรของเอ็ง เจ้านี่ ทะลึงตึงตังนักเชียว” แกดุ
“อ้าวก็ป้าบอกให้ชั้นแหกตาดูเอาเองไม่ใช่รึ” ผมว่า “ว่าแต่นี่เขาเรียกว่าอะไรอ่ะ หน้าตาดีเหมือนคนทำเลย” ผมแกล้งยอไปอย่างนั้นแหละ แต่ป้าช้อยแกคิดจริงๆจัง เขิน บิดตัวไปมา
“บ้า!!!” แกเขินอมยิ้ม มือสะบัดไปมา “นี่เขาเรียกปลาทูเค็มทอดทรงเครื่อง ของโปรดคุณข้างบนเค้า”
“เหรอ ทำยังไงอ่ะป้า” ผมเซ้าซี้อยากได้สูตร ก็มันหอมน่ากินจริงๆนี่นา
“บ๊ะ เจ้านี่ ก็เอาปลาทูเค็มไปทอดกับมันหมู เจียวหอมแดงกระเทียม ใบมะกรูด หั่นพริก หอมแดง บีบมะนาว แค่นี้หล่ะ”
“ง่ายเน๊าะ” ผมว่า
“ก็เออนะสิ ข้ามันมิใช่นางวังในเหมือนคุณหญิงเรือนนู้นเขา จะได้ทำสำรับวิจิตรพิศดาร” แน่ะ ไปแขวะเขาอีกนะป้า ปากคอเราะร้าย
“แล้วนี้จะทำอะไรอีกรึเปล่า ให้ชั้นช่วยเป็นลูกมือได้มั๊ยจ๊ะ สุดสวย” ผมไม่ลืมหยอดแกเอามื้อช้อนคาง แค่นี้แกก็อ่อนแรงยอมให้ผมช่วยทุกอย่าง
“ข้าจะแกงบอน”
“หา แกงบอน บอนที่มันคันๆน่ะนะ” ผมพูดยังไม่ทันจบดี แกก็ตีแปะเข้าที่แขนผม
“แกงบอนเขาห้ามพูดถึงเรื่องคัน เดี๋ยวมันจะกินไม่ได้” แกว่า ระหว่างนั้นก็จัดแจงเครื่องแกงบอนใส่ครก
พริก ตะไคร้ หอม กระเทียม ข่า กระชาย เกลือใส่รวมในครก
“ป้า” ผมเรียก “ให้ชั้นช่วยตำนะป้านะ” ผมพูด ป้าแกยิ้ม เพราะสงสัยว่างานตำจะไม่ค่อยถูกใจแกสักเท่าไหร่ พอมีคนอาสาช่วยแกเลยดีใจใหญ่
“เอาสิ”
ทันทีที่ผมเริ่มลงมือตำ เรือนทั้งเรือนก็สั่นโครงเครง “ป้า บ้านมันจะพังลงมั๊ยเนี๊ยะ”
“โอ้ย ไม่พังหรอก ข้าตำจนเรือนไหวมาตั้งแต่ยังสาวๆแล้ว ไม่เห็นมันจะพังสักที”
“แหม ป้านี่ ตอนสาวๆคงงามน่าดูสินะ ที่ถ้าป้าเกิดสมัยชั้น.............เอ่อ ชั้นหมายถึงอยู่แถวบ้านชั้นนะ ป้าได้เป็นดาราไปแล้ว” ต้องขยันอ้อร้อกับแกหน่อย หวังจะขโมยวิชาเขาทั้งที ป้าช้อยก็เอาแต่ม้วนตุ้ยๆ คนงานคนอื่นๆก็ต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คนไทยสมัยนี้ดีนะ หัวเราะก็ยังต้องอาย
ผมตำไปได้สักพัก พริกยังไม่แตกดี ป้าช้อยแกก็หยิบข้าวสารมากำมือนึงโยนตูมลงครก
“อ้าว เฮ้ยป้าทำไรน่ะ” ผมถาม
“ใส่ข้าวสาร จะได้ตำง่ายๆ น้ำแกงจะได้ข้นๆ” อ้อ เคร็ดลับสาวชาวบ้าน อิๆ
ในขณะที่ผมช่วยแกตำพริกแกงอยู่นั่นเอง ชายคนนึงก็แบกก้านอะไรยาวๆเขียวๆมาวางชานเรือน
“ถามรึยังวะ ไอ้จ้อน” ป้าช้อยถาม
“ถามแล้ว”
“ถามอะไรกันน่ะป้า” ผมสอดรู้ขึ้นมา
“ก็ถามกอบอนนะสิวะ ว่ากอนี้หวานรึเปล่าจ๊ะ ถ้าหวานจะขอตัดไปแกง” แกตอบ
“ต้องถามด้วยเหรอ มันรู้เรื่องเหรอ”
“วะ เอ็งนี้ถามมากความ ก็เขาทำมาตั้งแต่ปู่ย่า แกงบอนน่ะ ไม่ใช่ใครจะแกงกินได้ง่ายๆนะเว้ย ข้าจะบอกให้” แกทำท่าภูมิใจ “ถ้าแกงไม่ดีมีหวังได้คันคะเยอกันทั้งเรือน”
แล้วแกก็ลงมือเอามีดมาปอกก้านบอนออก
“มาชั้นช่วย” สาระแนอีกตามเคย อยู่ที่นี่มันไม่มีอะไรให้ทำ อุตส่าห์ไปร่ำไปเรียนมาถึงเมืองนอก
“เอ็งนี่ ท่าทางทะมัดทะแมง ไปร่ำเรียนมาจากไหนรึ” ป้าช้อยถาม
“ชั้นเหรอ......” ผมนึก แหมไอ้ครั้นจะบอกว่าไปเรียนมาจากออสเตรเลีย พวกป้าๆที่นี่เขาก็ไม่เชื่อ
“ชั้นก็ เรียนเอาจาก......”ผมมองไปนอกรั้วบ้าน “แถวตลาดนั่นแหละป้า”
บอนก้านอิ่มๆถูกปอกออกจนขาวจั๊วะเหมือนน่องขาวๆของสาวหมวยๆ ป้าช้อยใช้มีดหั่นเฉียงบอนใส่หม้อที่ตั้งน้ำไว้จนเดือด แกบอกว่าต้องให้น้ำเดือดปุดๆ ไม่งั้นยางไม่ออกจะทำให้คัน บอนถูกใส่ลงไปในหม้อจนล้นออกมา ตามด้วยเกลือหนึ่งหยิบมือ แล้วแกก็ปิดฝา
“ป้าทำกับข้าวทำไมตั้งเยอะ คนอยู่กันแค่นี้” ผมถามในระหว่างที่แกะเนื้อปลาช่อนใส่ครกเพื่อตำรวมเข้ากับพริกแกง
“แค่นี้ที่ไหนของเอ็ง บ่าวไพร่เรือนนี้ก็ตั้งมาก ไหนจะพวกป่วยไข้ไร้ที่พักอีก” ป้าช้อยเช็ดหมากที่กำลังจะย้อยลงครก ผมละกลัวใจแกจริงจริ๊ง ไอ้ที่น้ำแกงสีแดงแป๊ดนี่คงไม่ใช่มาจากน้ำลายแกหรอกนะ
“พวกป่วยไข้เหรอป้า”
“ก็เออ นะสิวะ หลวงจรัสท่านรับพวกป่วยเป็นเรื้อน เป็นห่า มาไว้ที่เรือนท้ายสวนนู้น ไหนจะพวกเร่ร่อนแบบเอ็งอีก ข้านะ ต้องทนนั่งกันหลังขดหลังแข็งทำสำรับกับข้าวเลี้ยงคนทั้งเรือน” ป้าช้อยบ่น ผมมองไปทางหลังโรงครัวเลียบไปตามริมแม่น้ำ ที่นั่นมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ แต่ไม่ยักกะเห็นเรือนที่ป้าช้อยว่าเลย
“เจ้าบ้า” แกเรียกทำเอาผมสะดุ้ง “ น้ำเดือดล้นหม้อออกมาแล้ว ท่าจะได้เพลาแล้ว ไปยกหม้อมาเทน้ำทิ้งเสียที ข้าจะสุมไฟเพิ่ม” ได้ทีสั่งใหญ่เลยนะป้า
“มันร้อนน่ะป้า ไม่เห็นเหรอ”
“ข้าไม่ได้ให้เอ็งเอาปากคาบเสียหน่อย เจ้าบ้าเอ้ย ก็เอาผ้ารองมือเข้าสิวะ โง่เสียจริง”
อ่าวเหรอ ก็คนมันไม่เคยนี่นา ดุกันจริงๆเลยเว้ย คนบ้านนี้
“
‘
‘
“ทำอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบ้า” เอาอีกและ วันๆใจคอมึงไม่คิดจะทำอะไรอื่นนอกจากเดินตามกูมั่งเลยเหรอ
“คุณพินิจ” พวกคนใช้พากันคุกเข่า ไม่เป็นอันทำงานกันไปหมด “มาทำอะไรเรือนคนใช้กันเจ้าคะ มันสกปรก”
“ไม่มีอันใดดอก ข้าเพียงแต่..............มาดูความเป็นอยู่ของพวกเจ้าเท่านั้น” บ่าวไพร่ทำหน้างง
“จะทำอะไร” เขาถาม
“นี่เหรอ กำลังสอยมะม่วงอยู่มั้ง ก็เห็นอยู่ว่ากำลังเทน้ำ หลีกไป เกะกะ เดี๋ยวแม่งน้ำก็ลวกเอาพอดี” หมอปีย์ถอยออกมาท่าทางเก้ๆกังๆ ผมเดินออกมาเทน้ำร้อนไกลออกมาจากครัว หมอนั่นก็เดินตามดูอย่างสนใจ
ตอนนี้บอนที่เต็มหม้อ กลับเหี่ยวเหลือกะจิ๊ดเดียว
“เจ้านี่ท่าทางดูเข้าทีดีนะ” เขายิ้ม
“ก็ชั้นบอกแล้วว่าชั้นเป็นเชฟเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ”
“
“.
.
.
“เราถามอะไรเจ้าหน่อยสิ”
“ว่าไง” ผมสะเด็ดน้ำ
“เจ้ากลัวแมงป่องรึป่าว” หมอปีย์ทำตาโต
“ทำไม”
“เราว่า..............เจ้าอยู่นิ่งๆดีกว่านะ” เขาทำหน้าตื่นยิ่งกว่าเดิม ตามองต่ำลงไปที่ขาผม
“ทำไม” ผมยืนแข็ง
“แมงป่องกำลังไต่ขึ้นมาที่ขาเจ้า อยู่เฉยๆ” เขาจ้องเขม็งมาที่ขา
ผมเหลือบมองดูขาตัวเอง และทันใดนั้นผมก็พบกับ ........พบกับ...........พับกับ...........ใบผักบุ้งเหี่ยว
มึงคิดว่ากูโง่เหรอ ไอ้หลวงหัวK แหม่ มาหลอกกู
“เฮ้ยๆ จริงด้วยๆ ทำไงดีวะ แมงป่องๆ ช่วยหน่อยสิวะ” เล่นกับเขาหน่อย
“อยู่นิ่งๆสิ ประเดี๋ยวมันก็ต่อยเอาดอก” แน๊ รับบทเนียนจริงๆ พ่อคุณ
“มันไต่จะถึงหว่างขาเจ้าแล้ว รอบัดเดี๋ยวเราจะหาไม้มาเขี่ยให้” หมอนั่นกำลังขยับตัว
“เฮ้ยๆ อย่าขยับ” ตาผมมั่ง “ มีอีกตัวนึงอยู่ที่ขานายน่ะ สงสัยคู่มัน” ผมทำเสียงตกใจ
“อย่ามาล้อเล่นน่า เราไม่กลัวดอก” เขายิ้มแหยๆ
“ไม่ได้ล้อเล่นเว้ย ตัวบะเอ้งเลย เกาะอยู่ที่ขานายน่ะ นั่นๆมันขยับแล้ว บอกให้อยู่นิ่งๆ” หมอปีย์ยืนตัวแข็งเป็นหลักกิโล
ผมปัดใบผังบุ้งเหี่ยวที่ติดขากางเกงออก
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” หมอปีย์ถามเมื่อเห็นผมหยิบไม้ขนาดเหมาะมือ
“ก็จะฝาดมันให้ตายคาขานายไง ไม่อย่างนั้นมีหวัง........บวมแน่” ว่าแล้วผมก็ง้างมือสุดแรง หน้าหมอปีย์ตกใจกลัวสุดขีด
“อย่า อย่า” แล้วผมก็ฟาดลงไปตรงจุดแกนกลางโลก แต่ยังไม่ทันถูก ผมก็ยั้งมือไว้ มองหน้าหมอนั่นหลับตาปี๋ ตัวสั่นงั๊กๆ
“555” สะใจจริงเว้ย ผมทิ้งไม้ เดินหิ้วหม้อบอนไปให้ป้าช้อยที่ครัว โดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะสาปแช่งผมยังไง
...
สำรับอาหารถูกยกขึ้นมาวางไว้บนศาลาเรือนใหญ่ ผมอาบน้ำจากฝักบัวที่สมัยนั้นการอาบน้ำกับฝักบัวที่ทำมาจากโอ่งเจาะรูเอาสายยางใส่ และนำโอ่งไปไว้ที่สูงนั้นถือเป็นเรื่องที่ modern ที่สุดแล้ว ทุกเช้าบ่าวไพร่จะช่วยกันตักน้ำมาเติมให้เต็มโอ่งเพื่อให้นายมันอาบ
“หิวจะตายแล้ว” ผมนั่งพับเพียบลูบมือไปมามองอาหารที่อยู่ในสำรับแล้วน้ำลายไหล ถึงแม้จะไม่ได้กินสปาเกตตี้ แต่ตอนนี้หิวขนาดนี้ เอากระบอกไม้ไผ่มาให้แทะ ผมยังว่าอร่อยเล้ย
“ล้างมือเสียก่อน” ผมทำตามที่หมอปีย์สั่ง สมแล้วที่เป็นหมอ
“ทำไมนายไม่ให้ชั้นไปกินกับคนข้างล่างหล่ะ ชั้นเป็นแค่คนเร่ร่อนทำไมถึงได้กินได้นอน ต่างจาก..........พวกเรือนท้ายสวน” ผมถามขณะตักปลาเค็มทรงเครื่องชิ้นโตใส่จานข้าว
“ประเดี๋ยวก็เค็มตายหรอก เจ้าบ้า “ เขามองปลาเค็มที่นอนรอเข้าปากอยู่ในถ้วย ควันจากข้าวสวยร้อนๆลอยกรุ่นๆ บวกกับกลิ่นหอมของปลาเค็มทำให้ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ “เรื่องที่เจ้าได้มากิน มานอนบนเรือนนี้เป็นเรื่องของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ หากเจ้าไปเห็นชาวบ้านที่เรือนท้ายสวน เจ้าจักไม่ถามเราเยี่ยงนี้” หมอปีย์พูดน้ำเสียงเคร่งเครียด อารมณ์ขึ้นลงราวกับผู้หญิงมีรอบเดือน
“ทำไมเหรอ” ปลาเค็มถูกคลุกกับข้าวสวย
เขาไม่ตอบแต่หน้าตาดูเคร่งเครียด
“เป็นบ้าอะไรอีกเนี๊ยะ” และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะได้ลิ้มรสข้าวคลุกปลาเค็มอันหอมหวนเสียที ผมเคี้ยวมันอย่างละมุนละม่อม รู้สึกอิ่มเอมกับของง่ายๆที่ป้าช้อยทำ รสเค็มแต่หอมเข้ากันดีกับข้าวแฉะ กลิ่นหอมแดงกระเทียมเจียว ใบมะกรูดก็หอมเข้ากันดี ไหนจะพริกที่ให้รสเผ็ด มะนาวที่ให้รสเปรี้ยวแหลม ทั้งหมดรวมกันแล้ว ตอนนี้สปาเกตตี้ก็สู้ไม่ได้
“เจ้านี่พูดพร่ามมากเกินไปแล้ว” มันด่าผม
“อ๊าว มาด่ากูทำไม กูทำอะไรมึง” ผมเคือง
“ปากของเจ้าเปนเยี่ยงนี้ ระวังกินแกงบอนไม่ได้” เขาตักแกงบอนใส่จาน น้ำแกงแดงแป๊ดทำให้ผมนึกถึงน้ำหมากป้าช้อย
“ทำไม ทำไมจะกินไม่ได้ ชั้นไม่ได้ปากหมาปากมอมซะหน่อย” ผมเถียง
“ก็เจ้าน่ะปากบอน ปากหาเรื่อง”
“อ่าว แล้วมาด่ากูหาป๊ะมึงเหรอ กูอยู่ของกูเฉยๆ........ปากกูไม่ได้บอนซะหน่อย กูกินให้ดู” ผมขอท้าพิสูจน์กับความเชื่อของคนโบราณที่ว่าคนปากบอนกินแกงบอนแล้วจะคัน
จานข้าวที่ทำมาจากกระเบื้องตอนนี้เจิ่งนองไปด้วยน้ำแกงบอน ผมตักปลาเค็มใส่เพิ่มในจาน ก่อนจะตักข้าวปากเคี้ยวหม่ำๆโชว์แม่งเลย
“อืม อาหย่อย” ผมเคี้ยวจับๆ ก่อนจะตักแกงบอนเพิ่ม มันมองดูผมด้วยความเอือมระอา
“เจ้าอายุเท่าไหร่”
“ทำมาย”
“ทำตัวเหมือนเด็ก” เฮ้ย มึงเป็นอะไรของมึง เหวี่ยงยังกับผู้หญิงอีก
“แล้วนายหล่ะ อายุเท่าไหร่”ผมถาม
“ทำไม”
“ทำตัวเหมือนคนแก่”
.
.
.
.
.
.
.
บรรยากาศเงียบลงถนัดใจ ผมพูดอะไรไม่เข้าหูมันรึป่าว ถ้ามันไม่พอใจขึ้นมา แล้วไล่ผมออกจากบ้าน ทีนี้แหละ ความซวยบังเกิด แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าพูดเรื่องอะไรออกไป ตั้งแต่มานั่งตรงนี้ เรื่องเดียวที่ผมพูดก็แค่เรื่อง “เรือนท้ายสวน”
จานข้าวถูกเติมถึงสองครั้ง อาจเป็นเพราะความหิวตั้งแต่เช้า ที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ในตอนแรกอยากกินสปาเก็ตตี้ใจแทบขาด แต่ตอนนี้ยอมรับว่า ข้าวคลุกปลาเค็มทำให้ผมลืมสปาเกตตี้ไปเลย
หมอปีย์ก้มหน้าก้มตากินไปเรื่อยๆ ไม่เงยหน้ามามองผมเลย อาจไม่พอใจที่ไปเล่นหัวกับมันมากไปหน่อย ก็แหงสิ เป็นถึงคุณหลงคุณหลวง แต่ถูกคนบ้าอย่างผมปีนเกลียวทุกวัน คงหงุดหงิดบ้างแหละ
แต่คนอย่างผมก็ไม่ง้อใครอยู่แล้ว ไม่คุยก็ไม่คุย กูไม่เห็นจะง้อเลย
แกงบอนของป้าช้อยนั้นเริ่มออกฤทธิ์ความเผ็ดเพราะผมเริ่มรู้สึกแสบปาก แต่ด้วยความอร่อย จึงอดทนกินต่อไป
“ซี๊ด” เผ็ดๆ ตอนนี้เริ่มรู้สึกร้อนๆที่ปาก สงสัยเพราะพริกนั่นแน่ๆ
“ฮ่าๆ ฮุ่ๆ” ผมเป่าเลาออกจากปาก
.
.จากที่รู้สึกเผ็ด เริ่มรู้สึกมากกว่านั้นแต่บอกไม่ถูก ขันน้ำฝนที่ลอยดอกมะลิถูกผมหยิบขึ้นมาซดคลายเผ็ด
“ฮ่า” ผมเป่าลมออกมาเบาๆ วางจาน เท้าแขน เอนตัวไปข้างหลังด้วยความอิ่ม
“เผ็ดเน๊อะ” ผมหันไปขอความเห็นจากมัน เหงื่อเป็นเม็ดผุดขึ้นมาตรงหน้าผาก และรอบปาก แต่หมอนั่นยังคงงอนไม่เลิก ช่างหัวมันดิ ไม่คุยก็ตามใจ
“อูยๆๆๆๆ” ครางเป็นระยะๆ และตอนนี้นอกจากเผ็ดแล้ว ยังรู้สึกบวมๆที่ปาก และที่สำคัญเริ่ม.........................คัน
“หึ” ผมเอานิ้วลูบริมฝีปาก จากลูบ เริ่มถู จากถู เริ่มขูด จากขูดเริ่ม........เกา
“โอย” ผมเกาถี่ขึ้นๆ และแรงขึ้นๆ เริ่มรู้สึกปากเจ่อบวม
“เฮ้ย นาย” ผมต้องตัดสินใจง้อ “นาย เฮ้ย”
“กระไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวท่าทางคงหงุดหงิดผมเต็มที
“คันจัง” ผมบอก มือยังคงเกาแกรกๆ
เขาเงียบ ตาเบิกโพรง อ้าปากหวอ
“คันเน๊อะ ไม่รู้เป็นไร” ยังไม่รู้ตัว
“เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียกชื่อผมเบาๆ และจ้องผมอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ผมจะเห็นรอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ยิ้มอะไร”
“เราว่าเจ้า...................แพ้บอนดั่งที่เราแช่งเสียแล้วหล่ะ” แล้วในที่สุด ผมก็ทำให้หมอปีย์หัวเราะออกมาจนได้ แต่ว่า ดูเหมือนมันจะไม่คุ้มค่าเลยทีเอาตัวเองไปแลกให้ปากบวมเป่งขนาดนี้
..........................................................................................
“เราบอกเจ้าแล้วว่ากินแกงบอนอย่าปากบอน” หมอปีย์พูดขณะที่กำลังตำใบพลูให้ละเอียด
“อ้ออำไอ ไอ่ออกอันอีๆ อ่ะ ไออะไออู๊” ก็ทำไมไม่บอกกันดีๆหละ ใครจะไปรู้
“คนโบราณเขาห้ามพูดคำว่าคันเพลากินแกงบอน”
“อิอ้าอ่ะ อึ๋งอาอำเอนเอี่ยง” มิน่าหล่ะถึงมาทำเป็นเหวี่ยง ผมพูดได้ไม่เป็นคำแล้วตอนนี้ เพราะปากบวมลิ้นบวมจนคับปาก
“อยู่เฉยๆสิ อย่าไปเกา เดี๋ยวก็ไปกันใหญ่ดอก” โดนดุ
“อำอาไออะ” ทำอะไรวะ
“ใบพลู แก้อาการคันได้ดีชะงัดนัก จากลมพิษ หรือแผลแมลงกัดต่อย ก็ใช้ได้” เขาพูด มือยังคงตำใบพลูและบดไปมา “อ้อ โดยเฉพาะ น้ำกัดตีนปะไว้เพลาเดียวตีนก็หายเปื่อย” เขายิ้ม แววตาเยิ้ม
“ไอ้อ่า” ไอ้ห่า ผมแอบด่า เห็นปากกูเป็นง่ามตีน
“อยู่นิ่งๆสิ เจ้านี่ นอกจากปากบอนแล้วยังมือบอนอีก” นี่ตกลงมึงเป็นอะไร พ่อกูเหรอ
“นอนลงเถิด เราจะโปะให้” เขาพยายามดันร่างผมที่นั่งชะเง้อมองเขากำลังแคะใบพลูที่บดละเอียดขึ้นมาจากครก
“ไอ่เอนไอ อั้นอำเอง” ไม่เป็นไรชั้นทำเอง
“บอกให้นอนก็นอนลงไปเถิด เป็นเยี่ยงนี้แล้วยังจะรั้รอีก” เขาผลักผมนอนลงในที่สุด
“ทำปากจู๋” หมอปีย์ทำปากจู่เป็นตัวอย่างให้ดู
“อำไอ่ไอ้” ทำไม่ได้เว้ย นี่มันยังจู๋ไม่พออีกเหรอ ปากกูตอนนี้เหมือนตูดไก่เบ่งขี้แล้ว
“อยู่นิ่งๆสักประเดี๋ยว อย่าหลุกหลิก”
เอาก็คนมันอายนี่หว่า
“ใบพลูจะช่วยทุเลาอาการบวมและอักเษบได้” เขาพูดไปพลางโน้มตัวลงมาใกล้ ก่อนจะเอามือที่มีใบพลูบดละเอียดค่อยๆบรรจงวางอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่เขามีให้ อาจเป็นเพราะเขาเป็นหมอก็ได้ ถึงแม้จะประหลาดอยู่บ้าง แต่ผมก็รู้สึกดีที่มีคนมาทำอย่างนี้ให้บ่อยๆ
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่มือที่กำลังบรรจงวางใบพลูตำอย่างระมัดระวังปากก็พร่ำพูดถึงความรั้น ความดื้อของผม ผมรู้สึกเหมือนพ่อกำลังบ่นผมอยู่
“นายนี่เป็นอะไรกันแน่วะ” คำถามนี้เกิดขึ้นในใจ
..................................................................
วันนี้เป็นวันที่สี่แล้วที่ผมหลงมาอยู่ในยุคอดีต ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมได้มาที่นี่ ในครั้งแรกผมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลง จากนั้นอารมณ์คิดถึงบ้านและรับสภาพไม่ได้ก็เกิดขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน มาตอนนี้ผมเริ่มปรับตัวได้ และเริ่มคิดในมุมบวกมากขึ้น อย่างน้อยหากผมอยู่บ้านตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ต้องทนเห็นหน้าผู้หญิงทรยศ กับชายชู้วิปริต ไหนจะเรื่องวุ่นวายของครอบครัว กิจการร้านอาหารที่บ้านอีก
การได้มาอยู่ที่นี่ก็เหมือนการได้..........”พักร้อน” แต่จะพักสั้นพักยาวนั้น ยังไม่รู้
เช้านี้ผมตื่นเองโดยไม่ต้องรอให้อ่ำมาปลุก และรู้ตัวทันทีว่ากำลังนอนอยู่ใต้เตียง อย่าเสือกทะเล่อทะล่าลุกขึ้นหากไม่อยากเจ็บตัว แสงแดดยามเช้าของที่นี่ช่างอ่อนโยนและน่าคลอเคลียกว่าแสงแดดยามเช้าบ้านผมเป็นไหนๆ ผมเปิดหน้าต่างออกรับแดด และอากาศยามเช้าอย่างเต็มที่
ที่นี่เวลาไม่มีความหมาย ผู้คนไม่ต้องเร่งรีบเบียดเสียดกันออกมาจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อมาค้างเติ่งอยู่บนทางที่ถูกเรียกว่าทางด่วน แต่ก็ไม่เห็นจะเร็วกว่ารถที่วิ่งไม่เสียเงินข้างล่างตรงไหน
เรารีบตื่นเช้า เพื่อจะมานอนหลับต่อบนรถ
ไม่ต้องรีบขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ไม่ต้องรีบนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างเพื่อไปให้ทันตอกบัตร ไม่ต้องรีบกดลิฟท์รัวๆ ไม่ต้องรีบเดิน ไม่ต้องรีบกินรีบเคี้ยว ไม่ต้องรีบขี้ ไม่ต้องรีบเยี่ยว
สมัยผมนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้นมากมายเพื่อช่วยให้เราดำเนินชีวิตในช่วงเวลาได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น แต่น่าแปลก ยิ่งเรามีเครื่องทุ่นแรงมากเท่าไหร่ เวลากลับวิ่งเร็วมากกว่าเครื่องพวกนั้น และที่น่าตกใจคือ เวลาเหล่านั้นกลับสั้นลง
เรามีเตาไฟฟ้า กาต้มน้ำ เพื่อรวดเร็วไม่ต้องก่อไฟ เรามีเครื่องอบขนมปังแทนการทำอาหารเช้า เรามีรถยนต์ รถไฟฟ้า เพื่อทำให้เราสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง เรามีลิฟท์มีบันไดเลื่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยและเสียเวลา ...................แต่เรากลับยังรู้สึกว่า .................เราต้องรีบ รีบ และรีบมากขึ้นไปอีก
ในขณะที่คนที่นี่ ไม่มีของอย่างว่าสักอย่าง แต่เขากลับไม่เดือดร้อน นายทองสุขกำลังกวาดลานบ้านอย่างสบายใจ น้ากอบกำลังสอยมะม่วงที่กำลังออกลูกดกเต็มต้น โดยมีเจ้าจุกลูกชายวัยซุกซนกำลังช่วยแม่ปีนเก็บ บางคนในนี้กำลังหาบน้ำ บางคนก็ฆ่าเวลาว่างตอนเช้า ด้วยการสานตะกร้าไว้คอยใส่ของ สองคนข้างหน้าบ้านนั้นเพิ่งกลับมาจากตลาด ในมือหิ้วตะกร้าของพะรุงพะรัง พวกเขาแวะทักทายคนแปลกหน้าคนแล้วคนเล่าอย่างไม่มีอาการเร่งรีบ
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจคิดอิจฉาคนในยุคนี้เสียจริง
“ปากเจ้าเปนเยี่ยงไรบ้าง” เสียงหมอปีย์เดินเข้ามาในห้อง ฝีเท้าของเขายังคงแผ่วเบา และผมก็ยังคงพยายามเดินให้ได้แบบเขา
“ดีขึ้นแล้วหล่ะ ขอบใจนายมากนะที่ช่วย” ผมตอบ
“เป็นเยี่ยงไรรึ คิดถึงบ้านหรือไร” เขาถามก่อนจะมายืนข้างๆ
“ไม่หรอก ไม่รู้สิ “
“หากความจำเจ้ากลับมา เราจักเปนคนพาเจ้ากลับเอง มิต้องกังวลไปดอก หมอจรัสกลับมาเมื่อใด เจ้าจะได้รักษากับท่าน ท่านเก่ง เรารับรองว่าเจ้าจักต้องหาย” เขาปลอบโยน แต่คำปลอบนั้นกลับทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด ก็เพราะมันหมายความว่าเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง และการที่พูดความจริงไปแล้วไม่มีใครเชื่อ เป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุด
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ ในความไม่เคยเข้าใจอะไรเลยของเขา “แต่ยังไงชั้นก็ขอบใจนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ไม่ต้องขอบใจเราดอก เรามิได้ให้เจ้ามากินอยู่เปล่า” เขายิ้ม
“หมายความว่าไง”
“เราหมายถึง เรามีเรื่องจักต้องรบกวนเจ้าเป็นอันมากเชียวหล่ะ อย่างไรเสียเจ้าอาบน้ำอาบท่าก่อนเถิด เราจักพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”