“ต๊าย คุณพระ!!!” เสียงคนใช้คนเดิมร้องตกใจ
“เจ้าบ้า!!!” หล่อนโก้งโค้งดูใต้เตียง
“ลงไปทำกระไรใต้เตียง ที่หลับที่นอนข้างบนไม่มีแล้วรึ”
ผมลืมตาขึ้น อารามตกใจรีบลุกขึ้น
“โป๊ก” เสียงดังลั่น หัวผมโขกกับเตียงเข้าอย่างจัง “โอ้ยย......” ผมเอามือลูบหัว ก่อนจะค่อยๆคลานออกมาจากใต้เตียง
“ชั้น เอ่อ ชั้น ตกเตียงน่ะ” แก้ตัวแก้เก้อ เพราะจริงๆแล้วเมื่อคืนกลัวผีต่างหาก ก็เตียงมันตั้งเด่อยู่กลางห้อง หันซ้ายหันขวาก็โล่งไปหมด ปกติเตียงที่ห้องผมจะชิดผนัง ผมก็จะหันหน้าเข้าหาผนัง แล้วเอาหมอนข้าง หมอนอิง สารพัดหมอนมาสุมๆให้มันรกๆเข้าไว้ เหตุผลก็คือ กลัวผีมานอนด้วย แต่เตียงที่นี่มันโล่ง ผมนอนไม่หลับ กลัวผีมายืนปลายเตียงมั่งหล่ะ มายืนริมเตียงมั่งหล่ะ นอนหงายก็กลัวผีขี่มั่งหล่ะ เลยตัดสินใจเลื้อยแม่งลงไปนอนใต้เตียงเลย
“ กระนั้นเองรึ ตกเตียง แต่หมอน ผ้าห่ม หมอนอิงพร้อมเลย” เจ๊อ่ำทำท่ารู้ทัน แกยิ้มฟันดำ
“เออน่า อย่ามาเซ้าซี้ มีอะไร” ผมแกล้งเหวี่ยง 555
“คุณหลวงให้มาตาม สำรับเช้าพร้อมแล้ว”
“อะไรวะ คนที่นี่เขาไม่ทำอะไรกันเหรอ เห็นกิน เดินเล่น แล้วก็นอน” หมอน ผ้าห่ม ถูกลากออกมาจากใต้เตียง ก่อนที่อ่ำจะพับเก็บเข้าที่อย่างปราณีตเหมือนเดิม
“อาหารเช้าที่นี่เขามี ขนมปัง ฮอตดอก มั๊ย อ้อ กาแฟหล่ะ ชั้นติดกาแฟน่ะนะ”
“อย่ามัวแต่บ่นเป็นคนบ้าใบ้อยู่เลย เจ้าบ้า คุณหลวงท่านรอนานแล้ว คนกระไร นอนกินบ้านกินเมือง” เจ๊ฟันดำบ่น นี่คนใช้หรือแม่กูวะเนี๊ยะ แม่กูยังไม่บ่นกูขนาดนี้เลย
“เดี๋ยวปั๊ด ถึงผ้าแถบเลย” ผมทำท่าจะดึงผ้าที่คาดอกเจ๊แก เจ๊แกถอยกรุด มองตาผม ก่อนจะพูดว่า
“เข้ามาสิวะ อีอ่ำคนนี้ ขอสู้จนตัวตาย” แกว่าพลางยกแข้งยกขา ทำท่าสู้
“โอ้ยย อีสวย อีหุ่นดี อั้ม พชราภา” ผมว่า ก่อนจะแบะปากเดินดุ่มๆออกมานอกห้อง
เช้าวันนี้อากาศเย็นกว่าเมื่อวาน อาจใกล้หน้าหนาวเข้าแล้ว ตรงศาลากลางบ้านหมอปีย์นั่งรอกินข้าวอยู่
สำรับอาหารถูกจัดวางอย่างปราณีต อาหารแยกประเภทใส่ในถ้วย ข้างๆมีขันน้ำโรยดอกมะลิวางอยู่
“ทานข้าวด้วยกันสิ เจ้าบ้า” เอะ ใจคอคนบ้านนี้จะเรียกผมแบบนี้ตลอดเลยรึไง เดี๋ยวพ่อบ้าให้ดูซะเลย
“ชั้นไม่กินข้าวเช้า มีกาแฟสักแก้วมั๊ย” หมอนั่นทำหน้างง นึกถามขึ้นในใจว่าคนไทยดื่มกาแฟกันในยุดไหน
“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้จักกาแฟ”
หมอปีย์พยักหน้าทำตาใส
“กาแฟก็เครื่องดื่มสีดำๆน่ะ หอมๆ กินแก้ง่วง ให้สดชื่นไง เอ่อ “ ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“อ้อ ท่าจะเป็น “ข้าวแฟ” เสียกระมัง” คราวนี้เป็นผมบ้างที่ทำหน้ามึน “อ่ำ อ่ำ ไปต้มข้าวแฟมาให้เจ้าบ้าสักแก้วสิ” หมอปีย์สั่ง
เจ๊อ่ำหันมามองหน้าผม ก่อนจะค้อนขวับด้วยความไม่พอใจ กระทืบเท้าตึงๆหายเข้าครัว
“ท่าทางเจ๊อ้ำ ฟันดำแกจะไม่ชอบชั้นเอามากๆนะ” ผมว่า
“อย่าไปถือสาหาความมันเลย มันเปนข้าเก่าแก่ของเรือนนี้ เลยทำตัวเปนใหญ่” หมอปีย์อธิบาย พลางตักแกงเทโพใส่ชาม
นายสนยกของหวานมาสมทบ
“ประเดี๋ยววันนี้เราจะพาเจ้าชมเมือง แต่งตัวให้พร้อมเถิด เผื่อว่าความจำจะกลับคืน” หมอนั่นว่า
“เอ้ย ตกลงนี่กูทั้งบ้าทั้งเอ๋อเลยเหรอเนี๊ยะ ดีแท้ พ่อเจ้าประคุณ”
หลังจากนั่งดูหมอนั่นกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่พักใหญ่ อ่ำก็ยกถ้วยกระเบื้อที่มีควันลอยกรุ่นมาวางข้างหน้า
“ข้าวแฟ เจ้าค่ะ” แล้วแกก็วางถ้วยกระแทกพื้น แหม่ วอนจริงๆ
“นี่ใช่หรือไม่ สิ่งที่เจ้าต้องการ”
ผมชะโงกหน้าดู ก่อนจะยกมันขึ้นมา หน้าตามันก็คล้ายๆกาแฟ เอ๊ะ หรือน้ำล้างกะทะ ลองเอาจมูกดม อืมก็พอได้ แต่พอซดเข้าไปเท่านั้นแหละ
“ ถุยยย แบร่ “ กาแฟนั้นพุ่งพรวดออกมาจากปาก ลงไปกองน้ำนองเต็มตะลิ่งอยู่ในถาดอาหารพ่อเจ้าพระคุณ
หมอนั่นเงยหน้ามา มองตาผมปริบๆ
“เรายังไม่อิ่มเลย” มันทำหน้าสิ้นหวัง ผมได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะรับขอโทษไป
.........................................................................
ผมแต่งตัวเดินออกมาจากห้องในชุดไทยโบราณเสื้อคอจีนสีขาว ใส่กางเกงพองๆ สีน้ำเงิน ถุงเท้ายาวสีขาวเดินออกมารู้สึกโก้ดีพิลึก
“แหม่ เรานี่ก็เหมือนขุนน้ำขุนนางเขาเหมือนกันนะนี่” ผมอดลำพองไม่ได้
“เรานึกว่าเจ้าจักเปนล้มเปนแล้งไปเสียแล้ว” หมอนั่นประชดประชัน
“แหม ทำยังกับชั้นจะแต่งแบบนี้บ่อยๆ มันก็ต้องมีตื่นเต้นกันบ้าง ว่าแต่จะไปกันรึยังหล่ะ” ผมถาม
“เราต่างหากที่ควรจะพูดคำนี้กับเจ้า เจ้าบ้า” แน๊ มีย้อน
ผมเดินตามหมอปีย์ลงเรือนไป อย่างอึกทึกครึกโครม ให้ตายสิวะทำไมถึงได้เดินเบาๆแบบมันไม่ได้เลย ผมพยายามแล้วนะ แต่มันก็ไม่ได้อยู่ดี
“จะไปไหนกันขอรับ” นายสนเดินออกมาจากใต้ถุนเรือน
“อ้อ นายสน เราว่าจักพาเจ้าบ้าไปชมบ้านชมเมืองภายนอกเสียหน่อย เผื่อว่าความจำบางอย่างจักกลับมาบ้าง”
“ไม่ได้นะขอรับ” จู่ๆสนก็โพล่งออกมา “คุณพินิจจะพาเจ้าบ้าออกไปในสภาพนี้ไม่ได้นะขอรับ”
“ทำไม” ผมกับหมอปีย์พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“บัดนี้บ้านเมืองมิได้เป็นเหมือนแต่ก่อนแล้วนะขอรับคุณหลวง “ นายสนกระซิบกระซาบท่าทางลุกลี้ลุกลน
“การที่จักพาคนแปลกหน้าออกไปเดินเพ่นพ่านในสภาพแบบนี้เหนทีจักเปนที่สงสัยเอาได้ ประเดี๋ยวนี้พวกฝรั่งมังค่า เจ๊กจีน ไอยิแลน มิรู้พวกใดเปนพวกใด ใครเป็นมิตรใครเปนศัตรู ยากที่จะรู้ได้ อีกอย่างเราก็ยังมิรู้หัวนอนปลายตีนของเจ้าบ้านี้ว่าเปนพวกใด หากหลวงทรงเหนเข้า แล้วเอามันไปสอบสวน เราจักลำบากนะขอรับ” นายสนพูดยืดยาว หมอนั่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แล้วเจ้าเหนเปนกระการใด” หมอปีย์ถาม
...........
....................................
.......
“กระผมมีวิธีขอรับ” เขากระหยิ่มยิ้มราวกับมีแผนร้ายอยู่ในใจ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
“อะไรกันเนี๊ยะ” เสียงผมโวยวายลั่นบ้าน “เอาอะไรมาให้ใส่วะ ผ้าขี้ริ้วรึไง”
“ใส่ๆไปเถิด เจ้าบ้า หากเจ้ามิอยากโดนหลวงเฆี่ยนด้วยหวายหางกระเบนแช่เยี่ยวจนหลังลาย” สนขู่
“จะให้ชั้นใส่ไปได้ยังไง วะ” ผมเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบขึ้นมาอย่างขยะแขยง “นี่มันผ้าขี้ริ้วชัดๆ”
“เจ้าจักใส่หรือไม่ใส่มันก็เปนเรื่องของเจ้า แต่หากเจ้าไม่ใส่ผ้าผืนนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปภายนอกเรือนนี้ได้” ให้ตายเหอะ ไอ้สนนี่มันดุยิ่งกว่าเจ้าของบ้านอีก เป็นใครถึงได้วางท่าได้ขนาดนี้วะ
“ไม่ใส่เว้ย ยังไงชั้นก็ไม่ใส่” ผมเขวี้ยงผ้าขี้ริ้วสภาพซอมซ่อนั้นทิ้งลงตรงธรณีประตูใกล้เท้าสน มันมองผมด้วยสายตาชิงชัง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
“เปนอะไรไปอีกเล่า เจ้าบ้า” ผ้าขี้ริ้วกองอยู่ที่พื้นใกล้กับเท้าของหมอปีย์ซึ่งเดินเข้ามาหาผมในห้อง หน้าผมเป็นตูดแล้วตอนนั้น มันหงุดหงิด
“เราเหนด้วยกับสนนะ เรื่องที่เจ้าควรปลอมตัวออกไปภายนอก”
“นายจะบ้าเหรอ จะให้ใส่ผ้าเน่าๆผืนนี้ออกไปเนี๊ยะนะ จะให้ชั้นคลุมหัว ปิดหน้า หรือจะเอาพันขาไปดีหล่ะ ถ้าจะปลอมตัวทำไมไม่ให้ชั้นปลอมเป็นเจ้าจากหัวเมืองเหนืออะไรก็ว่าไป” แหม ถ้าได้อย่างนั้นละเท่ห์เลย “หรืออย่างเลวๆก็ให้ปลอมเป็น นินจา เป็นอาหรับ หรือเป็นโดเรมอนยังดีเสียกว่าใส่ผ้าขาวม้าผืนนี้” ผมบ่นจนน้ำลายกระเด็น
“ที่นี่ยุคสมัยเรา เจ้ามิรู้หรอกว่าบ้านเมืองยามนี้เป็นเยี่ยงไร”
รู้ ทำไมผมจะไม่รู้หล่ะ ก็บ้านเมืองยามนี้ก็กำลังจะเสียดินแดนนะสิถามได้ ผมเคยอ่านในประวัติศาสตร์นะ ก็ก็ได้แค่คิด ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“การได้ออกไปภายนอกอย่างน้อยก็ดีสำหรับตัวเจ้า เผือว่าจะได้นึกอะไรออกขึ้นมาบ้าง” หมอปีย์กล่อม และไม่รู้เป็นอะไรคนอื่นเป็นร้อยเป็นพันพูด ผมไม่เชื่อ แต่พอหมอนี่พูดขึ้นมาคำเดียวกลับเชื่อเขาอย่างง่ายดายซะงั้น
“แล้วจะให้ชั้นทำยังไงกับไอ้ผ้าผืนนี้ เอามันพันคอ หรือโพกหัว”
“เอามานุ่งเป็นโจงกระเบน” หมอนั่นหยิบผ้าขึ้นมาส่งให้ผม
“โอย นุ่งไม่เป็นหรอก บ้าเหรอ ใครจะนุ่งเป็น สมัยชั้นเขาไม่นุ่งแบบนี้กันแล้ว” ผมรับผ้ามาขึงดู ความกว้างยาวน่าจะได้สักผ้าขาวม้าผืนนึง
“งั้นถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก เราะนุ่งให้” หมอนั่นเดินเข้ามาหา
ผมอ้าปากค้างยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
“อย่าบอกนะว่าเจ้าถอดเสื้อผ้าไม่เป็น อีก งั้นมานี่ เราถอดให้” เขาคว้าชายเสื้อผมหวังจะเอาจริง แต่ผมได้สติ ขยับตัวหนี
“เฮ้ย ไม่ต้องเว้ย ถอดเป็น” ว่าแล้วผมก็ถอดเสื้อคอจีนสีขาวออก ไม่คิดเลยว่า การถอดเสื้อต่อหน้าผู้ชายจะน่าอายถึงเพียงนี้ ลมพัดเย็นกรุ่ยๆผ่านหน้าต่างเข้ามา รู้สึกเสียวหัวนมจนผมต้องเอามือปิด
“หึ หึ” หมอนั่นยังไม่สาแก่ใจชี้นิ้วกระดกขึ้นกระดกลงมาที่กางเกงผม เป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า “ถอด”
“อย่าบอกนะ.......” ผมทำหน้าหวาดหวั่น
“อือ” หมอนั่นพยักหน้า
“ต้องถอดด้วยเหรอ” ผมส่งสายตาเว้าวอน หมอนั่นยืนยันที่จะให้ผมถอด ผมจึงฝืนใจถอดอย่างเสียไม่ได้ ปกติแก้ผ้าต่อหน้าเพื่อนฝูงมาก็นักต่อนัก แต่ทำไมพออยู่ต่อหน้าหอนี่กลับรู้สึกกระดากขึ้นมาบอกไม่ถูก
“อือ จะทำอะไรก็ทำ” ผมกางแขนกางขา รอให้หมอปีย์เอาผ้ามาพันให้ เขาหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาจับมุมอย่างปราณีต ก่อนจะเดินเข้ามาเกือบจะชิดผม มือข้างหนึ่งจับมุมผ้าข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างอ้อมมาด้านหลังผม ใบหน้าเราชิดกับจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แผ่วเบา ใจของผมเต้นตึกๆ เสียงมันดังทะลุอกออกมาจนผมกลัวหมอนั่นได้ยิน เพราะใบหน้าของเขาเกือบจะแนบชิดกับอกผม
“แปรงฟันมั่งป่าว” ผมถามแก้เขิน “นึกว่ารถบรรทุกขี้ยางคว่ำในปาก” ยังแซวไม่เลิก ก็คนมันอายนี่หว่า
หมอปีย์ไม่มีท่าทางตื่นเต้น หรือลนลานใดๆ เขายังคงตั้งสมาธิอยู่กับการผูก มัด รวบผ้าอยู่ด้านหน้าผม
“เฮ้ย จะทำไรอ่ะ” จู่ๆผมก็ตะโกนขึ้นมา เมื่อเห็นหมอนั่นกำลังจะเอามือสอดเข้าไปในหว่างขาผม
“ก็จะเอาชายพกไปแหนบไว้ด้านหลังอย่างไรเล่า” เขาพูดน้ำเสียงนิ่งกังวาลราวกับน้ำค้างบนยอดหญ้า ขนาดนั้น
“ไม่เป็นไร นายไปรอเสียบด้านหลังเลยป่ะ เดี๋ยวชั้นล้วงไปให้” ผมว่า พลางคว้าหางกระเบนจากมือหมอนั่นแล้วลอดใต้หว่างขา หมอปีย์รอรับอยู่ด้านหลังตั้งท่าเสียบ หมับเข้ามือพอดี
“แหม่ ช่างทำงานเข้าขากันดีจริงๆ” ผมหัวเราะ
และแล้วผมก็ถูกจับแต่งตัวจนเสร็จ จากชายผู้สูงศักดิ์เมื่อกี้ บัดนี้ต้องกลายเป็นบ่าวที่นุ่งแค่โจงกระเบนไปชั่วพริบตา
“เสร็จกันแล้วหรือขอรับ” สนเดินเข้ามา เขามองมาที่ผมอย่างพินิจพิเคราะห์ “กระผมว่าเจ้าบ้านี่มันยังดูมีราศีเกินไปนะขอรับ หลวงท่านคงไม่เชื่อว่าบ่าวไพร่ที่ไหนจักมีผิวพรรณเป็นยองไยเยียงนี้”
อย่าบอกอีกนะว่าการที่กูผิวขาวนี่ผิดอีก
“ผิดขอรับ” อ่าว เวร “ผิดธรรมดาสามัญเป็นแน่” สนมองหาบางอย่างรอบบ้าน แล้วเขาก็ยิ้มย่องเมื่อเจอกับบางอย่าง
“แต่กระผมมีวิธีขอรับ” อีกแล้ว ไอ่สน มึงนี่มันฉลาดไปซะทุกเรื่อง แต่ละเรื่องนี่ทำกูเดือดร้อนตลอด
ว่าแล้วมันก็วิ่งไปหยิบก้อนสีดำๆตรงโรงครัวมา
“ถ่าน” ผมพูด “จะเอามาเผาบ้านรึไง”
“นี่แหละขอรับ วิธีที่จะทำให้เจ้าบ้าเป็นบ่าวเรือนนี้เต็มตัว “ มันหันไปยิ้มกับหมอปีย์ซึ่งหมอนนั่นก็ยิ้มเหมือนจะเห็นด้วย
“ไม่นะเว้ย ไม่นะ” ไร้ประโยชน์ ทั้งคู่ต่างช่วยกันเอาถ่านแต้มหน้าแต้มตัวผมอย่างสนุกสนาน
“ตรงนี้หน่อยนึง ตรงนี้ด้วย”
“นี่ๆอีกนิด”
“พวกมึงเห็นกูเป็นตุ๊กตาบลายด์รึไง สนุกกันจัง” ผมทำหน้าเบื่อโลก ยืนนิ่งปล่อยให้พวกมันละเลงถ่านสีดำจนทั่วตัว
“ทีนี้ก็ไปได้แล้วขอรับ” สนโยนถ่านทิ้ง
“นี่ ถามหน่อย มึงไม่ชอบหน้ากูเป็นการส่วนตัวรึป่าว ไอ้สน” ผมถามจริงจังทิ้งท้าย ก่อนจะเดินตามหมอปีย์ไปยังรถลากที่จอดรอหน้าบ้าน
...
“ยิ้มอะไร” ผมตวาดในขณะที่ลากสังขารตัวเองเดินตามรถลากต้อยๆ ชาติที่แล้วกูเป็นควายให้มึงเทียมไถนารึไง ชาตินี้ถึงต้องมาเป็นบ่าวรับใช้อย่างนี้
“บังแดดดีๆหน่อยสิเจ้าบ้า” หมอนั่นสั่ง
“แดดมันส่องโดนแขนเรา ข้างนี้ เจ้าช่วยบังแดดดีๆหน่อยสิ”
“ได้ขอรับนายท่าน” ผมกัดฟันกรอดๆด้วยความโกรธ
..
..
..รถลากลากผ่านทุ่งนามุ่งหน้าสู่กำแพงวังใหญ่โตโอ่อ่าที่ปรากฏอยู่ภายหน้า คนลากรถเป็นพวกเจ๊ก พวกจีนอพยพ ไว้ผมเปียยาว ผมมองคนพวกนี้แล้วนึกสะท้อนใจเล็กๆ ในขณะที่ตอนนี้พวกจีนอพยพเหล่านี้เป็นแค่คนลากรถ กรรมกร หาบของขาย รับจ้างทำงานสารพัด แต่ในสมัยผม เจ้าสัวใหญ่ๆโตๆ ไหงเป็นคนจีนซะทั้งนั้น ในขณะที่คนไทยแท้ๆ........
“แดดส่อง” หมอปีย์ เตือนสติ อะไรกันนักกันหนากะอีแค่แดดส่อง ตัวเองนั่งเฉยๆก็สบายจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาโวยวายอีก
ดูกูนี่ เสื้อก็ไม่ใส่ รองเท้าก็ไม่ใส่ ต้องเดินตะแคงตีนเดินเพราะเจ็บตีนก้อนหินลูกรังมันทิ่ม ไหนจะแดดเผาอีก แสบไปหมดแล้ว นี่ถ้าไม่กลัวโดนจับขังคุกอีก กูไม่ยอมมึงแบบนี้หรอก
“เออ” ผมตอบก่อนจะขยับร่มไปใกล้ มองดูหน้ามันด้วยความหมั่นไส้ เมื่อเห็นมันเผลอ ผมอาศัยลูกเผลอนั้นแกล้งทำขอบร่มกระแทกหัวมันดังปั๊ก
“โอ้ย” หมอนั่นเกาหัว หันมามองหน้าผม
“ขอโทษขอรับนายท่าน พอดีมือข้าน้อยมันอ่อนแรง เนื่องด้วยยังไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้า ไหนจะต้องเดินถอดเสื้อตากแดดร้อนๆ พาลจะเป็นลมแดดเอาน่ะขอรับ” ผมส่งสายตาเว้าวอน หมอนั่นมองเหมือนจะอ้าปากด่า แต่คงไม่รู้จะด่าอะไรเลยทำได้แค่เม้มปากแน่น ส่วนผม.....
“สมน้ำหน้า วางท่าดีนัก ฮึๆ”
รถพาเราเดินลัดเลาะผ่านกำแพงสีขาวสูงเด่นตระการตาไปเรื่อยๆ สองข้างทางมีผู้คนแต่งกายโบราณ ไว้ผมโบราณเดินผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมด บางคนหิ้วตะกร้าใส่ผลไม้ บางคนหาบหม้อดินที่ข้างในมีปลากลิมไข่เต่า ทุกคนยิ้มแย้มให้กัน ทุกครั้งที่เดินสวนกัน ผิดกับสมัยผมมาก
“แถวนี้เขาเรียกบริเวณตลาดวัดเกาะ ย่านสำเพ็ง” เสียงหมอปีย์พูดดังลอยมาตามลม
“แถวนี้เป็นตลาดค้าขายพลอย”
ผมสะดุดหูกับคำว่าตลาดสำเพ็ง ถ้านี่ใช่ตลาดสำเพ็งตลาดค้าส่งแห่งใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯแล้วละก็ ภาพตอนนั้น กับตอนนี้มันช่าง...................ต่างกันลิบลับ
ตลาดวัดเกาะตอนนี้เป็นตลาดเล็กๆ ที่พื้นถนนยังเป็นดินสีดำ สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ปลูกเป็นเรือนไม้สองชั้นแบบจีน ด้านหน้าจะมีตู้ไม้วางพลอยหลากสีเต็มไปหมด คนขายสมัยนั้นก็เป็นเจ็กเป็นจีน ป้ายร้านค้าก็เป็นภาษาจีนสีแดง อาจเป็นเพราะคนไทยสมัยก่อนไม่นิยมค้าขายด้วยละมั้ง คนจีนอพยพจึงจับจองพื้นที่ค้าขายกันอย่างคึกคัก
“คุ้นๆบ้างมั๊ย” หมอปีย์ถาม
“อืม จะว่าคุ้นก็ไม่เชิงนะ นายเข้าใจมั๊ยว่า ........” ผมอธิบายไม่ถูก “ location นะมันใช่ แต่ Prop นะมันไม่ใช่” ผมอธิบายโดยไม่ได้หวังว่ามันจะเข้าใจ
เมื่อรถลากพาเราผ่านตรอกเล็กๆที่เรียกว่าวัดเกาะ ถนนก็เริ่มขายายใหญ่ขึ้น ผมเริ่มมองเห็นการพัฒนาของกรุงเทพฯอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่เคยเรียนมาว่า ร๕ ท่านค่อยๆวางรากฐานสาธารณูปโภคต่างๆไว้อย่างมั่นคง ถนน นำมาซึ่งความเจริญแทนแม่น้ำลำคลอง รถไฟราง สิ่งเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็นลางๆ
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ” ผมหยุดเดิน ไม่ใช่พราะเจ็บตีน แต่ทัศนียภาพข้างหน้ามันคุ้นตามาก
“เป็นอะไรไป นึกอะไรออกรึเจ้าบ้า”
“ชั้นว่า ชั้นคุ้นๆสี่แยกข้างหน้านั่นนะ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“อย่างนั้นรึ นั่น่ะ เขาเรียกถนนเจริญกรุงบริเวณสี่กั๊กพระยาศรี” หมอนั่นตอบ ผมมองภาพข้างหน้าตาค้าง ใช่จริงๆด้วย นั่นต้องใช่แยกเจริญกรุงที่ผมมักขับรถผ่านประจำแน่ๆ ผมจำกำแพงสุดถนนขวามือนั่นได้ ตอนนี้ผมขนลุกไปทั้งตัว ไม่น่าเชื่อว่า จะได้ว่ายืนในที่ที่เป็นอดีต แล้วสามารถนึกภาพอนาคตอีกร้อยกว่าปีออก
“ Cool man” ผมเผลออุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
“เจ้าว่ากระไรรึ เจ้าบ้า” หมอนั่นถามแต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบ ขอเดินดูรอบๆบริเวณนั้นให้ฉ่ำใจก่อนเถอะ
บริเวณแยกสี่พระยาที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ต่างกับยุคของผมโดยสิ้นเชิง ถนนที่ยังเป็นดินลูกรังถูกปูและบดจนเรียบ บริเวณแยกมีต้นไม้ปลูกไว้สี่มุม ซึ่งบริเวณโคนต้นไม้นั่นเองเป็นที่จอดเกวียนพักไว้ หากเป็นสมัยนี้ก็คงจะจอดรถไว้โดยไม่ลืมเปิดไฟกระพริบ
กลางถนนมีแต่เกวียนลากวิ่งไปมา ผู้คนไม่ใส่เสื้อเดินอยู่ริมถนน หมา วัว เดินกันให้ขวัก เป็นภาพที่แปลกตาสำหรับผม แต่คงจะธรรมดาสำหรับหมอปีย์
“เจ้าจะยืนยิ้มอยู่อีกนานหรือไม่เจ้าบ้า เราร้อน” หมอนั่นบ่น
“โถ พ่อคุณ น่าสงสารว่ะ นั่งเกวียนสบายๆ เดินก็ไม่ต้องเดิน แถวยังมีคนกางร่มให้อีก คงเหนื่อยน่าดูเลยนะ อ้าวไปก็ไป” ผมว่า ในใจนึกเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องติดมือมาด้วย ไว้คราวหน้ามาจะไม่ลืม...........................ไว้คราวหน้าเหรอ จู่ๆผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คราวหน้าของผมมันจะมีหรือเปล่า หรือผมจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปจนแก่ตายเสียก็ไม่รู้
แดดคล้อยบ่ายไปมาก ผมเดินอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แต่คนที่เหนื่อยน่าจะเป็นเจ๊กลากรถนั่นตะหาก ลากไม่บ่นสักกะคำ อดทนไว้นะแป่ะนะ ชาติหน้า รวยแน่ๆ ผมแซวในใจ
“จะกลับกันรึยัง” หมอปีย์ถาม
“ยัง ทำไม เหนื่อยรึไง” ผมประชด
หมอปีย์ถูกผมรบเร้าให้พาไปเยี่ยมชมตลาดเก่าแก่สมัย ร๕ ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเขา แต่สำหรับผมแล้วนั้น การไปเที่ยวตลาดครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมตื่นเต้นที่สุด
รถลากพาเราวิ่งข้ามสะพานผ่านพิภพลีลา ที่เป็นสะพานที่สร้างเชื่อมถนนราชดำเนินในและราชดำเนินกลาง ราวลูกกรงเหล็กนั้นสวยงามมากเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างอื่นในๆสมัยนั้น
และแล้ว ผมก็ลากเท้าเดินมาถึงตลาดแห่งหนึ่ง ตอนนี้เท้าผมระบมไปหมดแล้ว อีกทั้งเนื้อตัวก็ไหม้เกรียมเพราะแดดเผา ยังไม่พอผมเริ่มมีกลิ่นเต่าเหมือนพวกคนที่นั่นไปแล้วนี่สิเรื่องใหญ่
“เฮ้อ ช่างเหอะ กลิ่นมันกลืนๆกันแหละ” ผมปลอบใจตัวเอง
ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆติดกับคลอง ผมมองเข้าไปข้างในคนพลุกพล่านๆเดินจัจ่ายของ
“ตลาดท่าเตียน เจ้ารีบเข้าไปดูเถิด เราจักรอเจ้าอยู่ตรงนี้” หมอนั่นว่า
ผมไม่รอช้า รีบสาวเท้าเดินแทรกฝูงชนเข้าไปในตลาด ภายในนั้นมีแม่ค้าเอาของมาขายมากมาย ผมเดาเอาว่าของเหล่านั้นคงมาจากสวน หรือบ้านของพวกเขาเอง เพราะดูๆแล้วมันไม่สวยงามน่ากินเอาเสียเลย
อย่างมะเขื่อก็ลูกเล็กเกร็น ผักบุ้งก็เหี่ยว สมัยนั้นคงยังไม่มีพวกบล๊อกเคอรี่ หน่อไม้ฝรั่งละมั้ง
“ป้า นี่ไรอ่ะ” ผมหยิบเจ้าผักชนิดหนึ่งขึ้นมา เพราะคุ้นๆว่าเจ้าผักที่มีดอกสีเหลืองเล็กๆคล้ายดอกทานตะวันนี่ขึ้นอยู่ข้างส้วมที่บ้านเยอะแยะ
“ผักคราด” ป้าแกตอบน้ำหมากกระเด็นกระดอน
“เขากินกันด้วยเหรอ รู้มั๊ย บ้านชั้นมีเต็มเลย งอกอยู่ข้างส้วม เอาไปทำอะไรกินอ่ะป้า” อย่าใฝ่รู้อยู่บ้าง
“ก็เขาเอาไปแนมน้ำพริก เอาไปแกงคั่วหอยขม หอยแครงอร่อยนัก แก้ปวดฟัน แก้ร้อนในดีนักแหละ จะเอาเท่าไหร่หล่ะพ่อหนุ่ม” แกถามเตรียมเอาใบตองห่อ
“ไม่เอาหรอกป้า ถามเฉยๆ ไม่มีตังส์ 555 “ หัวเราะสร้างอารมณ์ขันหวังให้ป้าแกอารมณ์ดี แต่ดูท่าไม่ได้ผล แหะๆ
ภายในตลาดมีของขายมากมายที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สิ่งที่ผมตามหากลับไม่มี ผมหวังว่า จะเจอเส้นมักกะโรนี กับซอสมะเขือเทศ หรือไม่งั้นอย่างน้อยได้มะเขือเทศก็ยังดี เพราะตอนนี้ผมอยากกินสปาเก็ตตี้เอามากๆ แต่ผมคงหวังสูงเกินไป..........สำหรับที่นี่
การเดินทางสำรวจตลาดรอบนี้ของผมคว้าน้ำเหลว ผมเดินหมดแรงออกมาจากตลาด
“เปนเยี่ยงไรบ้างรึ “ มันถามแต่ผมไม่ตอบ ตอนนี้ แค่หายใจยังเหนื่อยเล้ย
“นี่นาย” ผมเรียกหมอนั่นเสียงอ่อนแรง
“ชั้นให้ร้อยนึง ให้ชั้นนั่งรถลากกลับบ้านด้วยคนได้มั๊ยอ่ะ เดินกันจนขาชาไปหมดแล้ว”
หมอนั่นทำหน้าไม่ได้ยิน ใจคอโหดร้าย จิตใจทำด้วยอะไร
“นะ นะ ตำรวจคงไม่จับหรอก” ผมยังไม่ลดละ
“เดินไปเถอะ อย่าบ่นให้มากความ เจ้าจะได้รู้อย่างไรเล่าว่า ชาวสยามยุคเราเขาต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงใด เพื่อให้ชาวกรุงเทพฯยุคเจ้าได้นั่งรถลากลอยฟ้า”
อูย เจ็บ
แต่ว่า
“อะไรวะ ทำไมต้องมาเชื่อเอาตอนนี้ด้วย” ผมบ่น