หลังจากที่คุณก้าวเข้ามายืนด้านหลังผมและนั่งลงบนขอบอ่างแล้ว ผมจึงค่อยๆขยับตัวถอยไปด้านหลังแล้วส่งฝักบัวให้เพื่อให้คุณสระผมได้ถนัดขึ้น แรงบีบนวดจากปลายนิ้วที่กำลังพอดีทำให้ความรู้สึกตึงเครียดเมื่อครู่ค่อยๆละลายออกไปจากร่างกายทีละน้อย
“ทำไมไม่โทรบอกก่อนล่ะว่าจะมา แล้วทำไมต้องเดินตากฝนมาด้วย เกิดเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง”
คุณเอ่ยถามระหว่างที่เปิดฝักบัวมาล้างฟองแชมพูออกให้ พอหมดฟองแล้วก็เทแชมพูลงมาขยี้บนผมให้อีกครั้ง และคราวนี้นอกจากนวดบนหัวกับต้นคอให้แล้ว ปลายนิ้วของคุณก็เลื่อนลงนวดบนไหล่ให้ด้วย
“ขอโทษ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมา…รบกวน”
ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมหลังจากผมเอ่ยประโยคนั้นออกไป ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณกำลังทำสีหน้าแบบไหนเพราะไม่กล้าหันไปมอง แต่ที่แน่ๆ ผมได้แต่อยากกัดลิ้นตัวเองที่เผลอหลุดประโยคนั้นออกไปก่อนจะทันได้คิด
มือของคุณที่บีบอยู่บนไหล่ชะงักไปนิดหนึ่ง ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะสิ่งที่ผมพูดออกไปหรือเปล่า แต่อึดใจเดียวเท่านั้นคุณก็ละมือออกและเปิดฝักบัวมาล้างฟองแชมพูให้อีกครั้ง
“คิดมากไปได้น่ะ เดี๋ยวนั่งแช่น้ำอุ่นอีกสักพักแล้วก็เป่าผมให้แห้งค่อยเข้าไปนอนก็แล้วกัน ฉันวางเสื้อผ้าไว้หน้าอ่างล้างหน้าให้แล้ว”
ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงที่คุ้นเคยนั้นแผ่วกว่าปกติตอนที่บอกว่าผม ‘คิดมาก’ แต่ขณะที่มองตามร่างคุณที่กำลังลุกขึ้นจากอ่างและกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ ผมก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงจนต้องรีบลุกขึ้นจากอ่าง
“คริษฐ์”
เสียงคุณที่เอ่ยเรียกชื่อผมหลังจากที่จู่ๆก็โดนสวมกอดจากด้านหลังฟังดูตื่นตระหนก และความตกใจนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณไม่ดิ้นหนี แต่ความต้องการของผมในตอนนี้ไม่ใช่การได้ครอบครองร่างกายของคุณ แต่เป็นความรู้สึกที่โหยหาความมั่นใจว่าคุณยังอยู่ในระยะที่ผมเอื้อมมือถึงได้จริงๆต่างหาก
“ขอโทษ...ขอผมอยู่แบบนี้สักพัก”
ผมรู้สึกได้ว่าหยาดน้ำอุ่นที่เกาะอยู่บนร่างกายกำลังไหลลงไปนองบนพื้น และอุณหภูมิบนผิวที่เริ่มเย็นขึ้นหลังลุกขึ้นมาจากอ่าง ผมสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้นของตัวเองที่กำลังโอบกอดคุณไว้ในอ้อมแขน และอยากถ่ายทอดให้คุณได้รับรู้ถึงแรงเต้นนั้นผ่านอ้อมแขนที่กำลังกอดคุณอยู่
เพราะตั้งแต่เกิดมา...มีแต่คุณที่ทำให้ความรู้สึกของผมสั่นคลอนได้ขนาดนี้
ผมได้ยินเสียงคุณสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ และรู้ดีว่าตอนนี้เสื้อผ้าของคุณก็กำลังโดนร่างกายที่เปียกโชกของผมทำให้ชื้นตามไปด้วย แต่แม้จะรู้ดีว่ากำลังทำให้ไม่สบายตัว ผมก็ยังอยากจะขอเอาแต่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะคุยเรื่องของเราทั้งสองคนให้ชัดเจน และก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้แนบชิดจนได้ยินเสียงหัวใจของคุณได้แบบนี้อีก
ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นแล้วก้มหน้าลงแนบบนบ่าของคุณ และเราก็คงจะยืนนิ่งอยู่ในความเงียบเช่นนั้นกันอีกนาน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณยกมือขึ้นมาแล้วค่อยๆปลดแขนทั้งสองข้างของผมออกจากตัวเอง และการเคลื่อนไหวนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นยะเยือกในใจขึ้นมาทันที
“เกื้อ...ผม”
“ไปอาบน้ำให้เสร็จแล้วเช็ดตัวเช็ดผมให้แห้งซะ แล้วเราค่อยคุยกัน”
คุณเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หันมามองผมแม้แต่แวบเดียว จากนั้นก็เบี่ยงตัวออกแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง และผมก็ได้แต่ยืนมองความว่างเปล่าตรงที่ที่คุณเพิ่งจะเดินจากไปเหมือนไอ้บ้าคนหนึ่ง นี่ผมกำลังจะทำลายสิ่งที่เราเคยมีร่วมกันไปเพียงเพื่อสนองความเอาแต่ใจอยากครอบครองคุณทั้งตัวและหัวใจ...อย่างนั้นหรือ?
ผมทำตามที่คุณบอกด้วยอาการเหมือนคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพียงแต่อาบน้ำฟอกสบู่ เช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าเหมือนร่างกายทำไปเองโดยอัตโนมัติ ในใจคิดทบทวนกลับไปกลับมาด้วยความสับสนว่าผมกำลังทำอะไร ผมมาที่นี่ทำไม และผม...กำลังคาดหวังอะไร
ผมใส่เสื้อกับกางเกงนอนที่คุณเอามาวางให้ตรงอ่างล้างหน้า พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าไฟที่ชั้นล่างดับไปแล้ว ดังนั้นหมายความว่าคุณคงจะรอผมอยู่ในห้องนอน และผมก็ได้แต่ยืนมองลูกบิดประตูอย่างคิดไม่ตกว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่
หรือว่า...ผมกล้าพอที่จะเปิดประตูบานนี้ด้วยมือตัวเองหรือเปล่า...
ขณะที่ผมยังตัดสินใจไม่ได้เพราะความขี้ขลาด บานประตูตรงหน้าก็เปิดออกอย่างกะทันหันจนผมสะดุ้ง และใบหน้าที่ดูเหมือนไม่สบอารมณ์เล็กน้อยของคุณก็ยื่นออกมา
“เป็นอะไรไป อาบน้ำเสร็จตั้งนานแล้วไม่ใช่รึไง งั้นก็รีบๆเข้ามาซักทีสิ”
คุณเอ่ยขึ้นแล้วก็ฉุดแขนผมให้เข้าไปในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูตามหลังแล้วจูงผมไปที่เตียง ซึ่งต่างกับทุกครั้งที่ผมต่างหากที่จะเป็นคนทำแบบนั้น แต่ดูเหมือนวันนี้ผมคงดูแล้วไร้พลังชีวิตจนแม้แต่คุณยังจับสังเกตได้
ผมนั่งลงบนเตียงตามมือที่กดลงบนไหล่ จากนั้นก็ยืนมองคุณเดินไปปิดไฟโดยทิ้งไว้แต่โคมไฟสีส้มบนหัวเตียง เสียงเปาะแปะที่ดังช้าๆจากด้านนอกทำให้รู้ว่าฝนคงซาเม็ดระหว่างที่ผมอาบน้ำไปแล้ว แต่ทั้งๆที่คุณเดินกลับมาที่เตียงและเลิกผ้าห่มขึ้นแล้ว ผมก็ยังได้แต่นั่งมองคุณซุกตัวลงใต้ผ้าห่มเหมือนคนบ้าใบ้ จนสุดท้ายเป็นคุณเองที่ต้องยื่นแขนออกมาดึงผมให้ล้มลงนอนข้างกันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้
เราสองคนนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากันขณะฟังเสียงฝนที่โปรยเม็ดอยู่ภายนอก มือของคุณยังคงจับมือของผมอยู่แล้วนวดคลึงให้เบาๆ และสำหรับผม ความอบอุ่นนั้นมันมากกว่าที่ผมเคยคิดว่าจะมีสิทธิ์ขอจากใครได้เสียอีก แต่เมื่อนึกได้ว่าความอ่อนโยนทั้งหลายที่คุณมอบให้มีที่มาจากความสงสารเห็นใจแค่นั้น ผมก็รู้สึกว่าในอกหดเกร็งจนแทบหายใจไม่ออกขึ้นมา
“มีอะไรหรือเปล่า? วันนี้นายเงียบจนผิดปกติแล้วนะ”
คุณบีบมือผมแน่นขึ้นทีหนึ่งแล้วเอ่ยทัก ผมที่เอาแต่เลี่ยงการสบตาคุณมาตลอดจึงเหลือบตาขึ้น แต่แค่แวบเดียวก็เบนสายตาลงมองมือของเราที่เกาะกุมกันอยู่เหมือนเดิม
ความรู้สึกในใจผมตอนนี้มันสับสนปนเปจนวุ่นวายไปหมด ทั้งไม่แน่ใจว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่แน่ใจว่าการถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจออกไปจะได้อะไรขึ้นมา หรือว่ามันจะทำให้มีอะไรเปลี่ยนไปจากตอนนี้ไหม เพราะผมมั่นใจว่าถ้าหากผมถามว่า ‘รักผมไหม’ ออกไป คำตอบที่ได้ก็คงไม่ต่างจากทุกๆครั้งที่เคยถามอยู่ดี
“คริษฐ์?”
ผมเหลือบตาขึ้นอีกครั้งเมื่อคุณบีบมือผมแน่นขึ้นแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงมีคำถาม นัยน์ตาของคุณสะท้อนความห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม แต่ผมกลับสัมผัสได้แต่ความว่างเปล่าในก้นบึ้งของหัวใจ
“เกื้อ...รักผมมั้ย?”
ผมเอ่ยถามคุณเสียงแผ่วขณะที่ดึงมือคุณมาแนบแก้ม และคราวนี้ก็สบตากับคุณตรงๆโดยไม่หลบหนีอีกต่อไป ถ้าหากผมจะต้องได้ยินคุณโกหกคำเดิมซ้ำเป็นครั้งที่ร้อย ผมก็อยากจะขอฟังคำนั้นโดยได้เห็นว่าคุณกำลังทำสีหน้าแบบไหนตอนที่พูดมากกว่า
คุณขมวดคิ้วแล้วก็เงียบไป นัยน์ตาทั้งสองข้างที่ฉ่ำแสงจนราวกับมีประกายข้างในมองตาผมอย่างค้นหา และผมก็แทบจะกลั้นใจฟังว่าคุณจะตอบอย่างไร ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าผมจะได้ยินคำว่าอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็คือ การที่คุณสะบัดมือผมอย่างแรงแล้วก็ผลุนผลันลุกขึ้นจากเตียง ผมเลยรีบเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วตามไปปิดประตูทันก่อนที่คุณจะเดินออกไป
“ที่อุตส่าห์ตากฝนมาถาม...เพราะว่าอยากรู้แค่นี้ใช่มั้ย?”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวทำให้ผมตกใจ แต่ที่ทำให้รู้สึกแน่นหน้าอกจนเหมือนหัวใจโดนบีบ ก็คือหยาดน้ำที่กำลังเอ่อคลออยู่ในตาของคุณจนเป็นประกายวาว และริมฝีปากที่เม้มแน่นจนบิดเบ้ ภาพที่เห็นทำให้ผมตระหนักทันทีว่าคนที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ก็คือผมเอง
“เกื้อ ขอโทษ ผมขอโทษ”
ผมพยายามจะดึงคุณเข้ามากอด แต่คุณก็เอาแต่เบี่ยงตัวหนีแล้วก็ทั้งทุบทั้งเตะผมเป็นพัลวัน น้ำตาที่ดูเหมือนคุณพยายามจะกลั้นไว้ไหลลงอาบเต็มหน้า และผมก็ได้แต่ยอมให้คุณทำร้ายร่างกายอยู่แบบนั้น แต่ไม่ยอมปล่อยมือทั้งสองข้างจนกระทั่งคุณหอบด้วยความเหนื่อยและหยุดไปเอง
“ฉันรักนาย ฉันรักนาย ฉันรักนาย...พอใจหรือยัง?”
คุณเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว แต่เพราะผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลชุ่มบ่าตัวเองจึงเพิ่มแรงกอดคุณแน่นขึ้น
“พอแล้วเกื้อ...พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว”
ร่างในอ้อมแขนหอบหายใจถี่แรง แผ่นอกที่แนบชิดทำให้สัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจที่รัวเร็วจนน่ากลัวว่าคุณจะหายใจไม่ทัน และจู่ๆขาทั้งคู่ของคุณที่เหมือนจะยืนไม่อยู่ก็ทำให้ผมต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตามไปด้วย
“ทำไม...ฉันต้องพูดอีกกี่ครั้ง...นายถึงจะเชื่อว่าฉันหมายความตามนั้นจริงๆ?”
คุณพูดด้วยน้ำเสียงหอบปนสะอื้น และนั่นก็ทำให้ใจผมกระตุกอย่างรุนแรง นี่ผมทำผิดไปแล้วใช่ไหมที่ถามคำถามนั้นออกไป?
“บอกฉันสิคริษฐ์...ที่ผ่านมาฉันทำตัวไม่มีความน่าเชื่อใจเลยรึไง?”
คุณยกมือขึ้นทุบอกผมอีกครั้ง แต่ทั้งๆที่หมัดนั้นอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ผมกลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าที่โดนกระหน่ำทุบอย่างแรงเมื่อครู่เสียอีก
“ขอโทษ เกื้อ ขอโทษ ผมจะไม่ถามแล้ว ผมผิดเอง ผมขอโทษ”
ผมออกแรงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นและลูบแผ่นหลังที่สั่นเพราะแรงสะอื้นไปมา ไม่คิดเลยว่าคำถามที่สะท้อนความไม่มั่นใจของตัวเองจะส่งผลกับคนถูกถามถึงเพียงนี้ จวบจนรู้สึกว่าแรงสั่นของคนในอ้อมแขนเริ่มน้อยลงแล้ว ผมจึงค่อยแนบริมฝีปากลงบนขมับที่ชื้นเหงื่อเบาๆ และก็รู้สึกได้ว่าเสื้อตัวเองถูกกำเอาไว้แน่น
“...เมื่อไหร่?”
ผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังถามอะไรสักอย่าง แต่เพราะได้ยินแค่ท้ายประโยคเลยต้องขอให้พูดซ้ำ “อะไรนะ?”
“ที่นายสงสัยความรู้สึกของฉัน...มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?”
คุณเอ่ยถามแล้วก็ค่อยๆดันตัวเองออกเพื่อสบตากับผม และคราวนี้ผมเองที่เป็นฝ่ายหลบตาเพราะทนมองสายตาตัดพ้อของคุณไม่ได้ คำตอบนั้นมีอยู่แล้ว แต่ผมก็รู้ว่าหากพูดออกไปอาจทำให้คุณโกรธมากขึ้นไปอีก ผมเลยได้แต่อึกอัก และคราวนี้ก็เป็นคุณเองที่ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วจ้องผมเขม็ง
“คริษฐ์”
เสียงเรียกของคุณทำให้ผมเหลือบตาขึ้นช้าๆเหมือนเด็กที่สำนึกในความผิด และไม่ได้ออกแรงยื้อเมื่อคุณเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนผมแล้วดึงมือทั้งสองข้างไปจับไว้
“ถ้าหากนายถามคำถามนี้กับฉันตอนที่เราเพิ่งเริ่มคบกัน ฉันอาจจะไม่โกรธขนาดนี้ แต่เพราะทั้งๆที่เราคบกันมานานขนาดนี้แล้ว แต่นายยังไม่มั่นใจกับความรู้สึกของฉันอีก...ฉันผิดหวังนะ เพราะนั่นเท่ากับทุกสิ่งที่ฉันทำให้นาย...นายไม่เคยซาบซึ้งกับมันจากใจเลย”
“ไม่ใช่นะเกื้อ! ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ผมเพียงแต่...”
ผมพูดได้แค่นั้นแล้วก็พูดอะไรต่อไม่ออก เพราะไม่ว่าจะคิดหาคำแก้ตัวอย่างไร ท้ายที่สุดผมก็ไม่อาจโต้แย้งได้ว่าสิ่งที่คุณพูดมาคือความจริง
“ผมขอโทษ...”
สุดท้ายผมก็ได้แต่ทวนคำเดิมเหมือนคนโง่ที่คิดคำพูดอื่นไม่ออก แต่ผมก็ไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาใช้เพื่อให้คุณรู้ว่าผมเสียใจกับสิ่งที่ถามออกไป รวมทั้งที่เคยสงสัยในความรู้สึกของคุณได้อีกแล้ว และได้แต่ก้มมองมือใหญ่ของผมที่ถูกประคองในอุ้งมือของคุณเหมือนเด็กตัวโตที่ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างไรเท่านั้น
“ฟังนะ...ฉันยอมรับว่าตอนที่เริ่มคบกันใหม่ๆ...ฉันไม่ได้มองนายมากไปกว่าน้องชายคนหนึ่งจริงๆ”
ผมรู้สึกว่าลำคอแห้งผากเมื่อได้ยินคำสารภาพนั้น...เพราะนี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่คุณเปิดปากบอกความคิดและความรู้สึกของตัวเองให้ผมรู้
“แต่ความรู้สึกนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว...ตลอดมาฉันได้เห็นว่านายพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยอมทำตามที่ฉันสอนทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำ แล้วก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ฉันยอมรับว่าทุกอย่างนั่นทำให้ฉันมองนายต่างไป และตอนนี้...ฉันก็ไม่ได้มองนายว่าเป็นแค่น้องชายอีกต่อไปแล้ว”
น้ำเสียงที่ได้ยินอ่อนโยนลงพร้อมๆกับแรงบีบของมือที่แน่นขึ้น ความรู้สึกชืดชาที่เกาะกุมหัวใจตลอดช่วงเวลาหลายเดือนราวกับถูกคำพูดนั้นกลืนให้ละลายให้หายไป และความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังเบ่งบานในอกก็แทรกเข้ามาแทนที่
“ถ้าอย่างนั้น...ตอนนี้เกื้อ...รักผมใช่มั้ย?”
ผมบีบมือที่เกาะกุมมือของตัวเองกลับ คำถามคราวนี้ไม่ได้มาจากความต้องการตอกย้ำความรู้สึกที่ว่างเปล่าอีกต่อไป แต่เพื่อเตือนตัวเองให้เชื่อและมั่นใจ...ว่าต่อจากนี้ผมจะไม่ระแวงสงสัยความรู้สึกของคุณอีกแล้ว
คุณบิดมือทั้งสองข้างออกจากมือผม จากนั้นก็ยกขึ้นมาประคองหน้าของผมไว้แล้วไล้ปลายนิ้วไปมา ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นจากใบหน้าของคุณที่ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากของคุณจะแนบลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา
ผิวปากนุ่มที่แนบลงมาราวกับหยาดน้ำค้างที่แตะต้องและพร้อมจะเลือนหาย แต่สัมผัสนั้นกลับค่อยๆแนบแน่นขึ้น และผมก็รู้สึกได้ว่าคุณกำลังใส่ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้กับผมในจูบนี้เพื่อทำให้ผมมั่นใจกับสิ่งที่ได้รับจริงๆ
เสียงริมฝีปากของเราที่แนบสัมผัสและผละออกซ้ำๆเกิดเป็นเสียงแผ่วเบาในห้องที่มีเพียงแสงจากโคมไฟ ผมค่อยๆใช้แขนทั้งสองข้างรวบร่างของคุณให้เข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น และรู้สึกได้ถึงความยินยอมพร้อมใจจากร่างที่โอนอ่อนเข้าหาโดยไม่ขัดขืน และนั่นก็ทำให้เศษเสี้ยวของความระแวงสงสัยที่เหลือมลายหายไปจนหมดสิ้น
เนิ่นนานกว่าจูบที่อ่อนหวานและตอกย้ำความรู้สึกของเราทั้งคู่จะจบลง และเมื่อผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผมก็ไม่คิดว่าจะหลงรักใครได้มากกว่าผู้ชายที่กำลังส่งยิ้มทั้งน้ำตามาให้อีกแล้วในชีวิตนี้
“เลิกสงสัยแล้วใช่มั้ย?”
คุณเปล่งเสียงถามออกมาอย่างแผ่วหวิว และผมก็ได้แต่ยิ้มตอบก่อนจะโน้มคอคุณเข้าหาให้หน้าผากของเราสัมผัสกัน ส่วนแขนทั้งสองก็ยิ่งโอบเอวคุณไว้แน่นแทนคำสัญญาว่าต่อจากนี้ผมจะไม่มีวันตั้งคำถามกับความรู้สึกของคนที่รักอีก
“แน่นอน”
++--- End ---++
อนึ่ง เรื่องนี้เริ่มจากการที่ป้าร่างไว้เพื่อเป็นตอนพิเศษให้พล็อตนิยายที่ยังไม่ได้เริ่มเขียนค่ะ (และจากเรทของการอัพเดทอีกสองเรื่องที่ยังเขียนไม่จบ ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เริ่มเขียนเรื่องนั้นเมื่อไหร่ หุหุ =w=") ทีนี้ช่วงนี้พอจะมีเวลา + อยากลองเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองด้วยการเขียนเรื่องสั้นที่พระ-นายใหม่ๆดูบ้าง เลยดึงไอ้เรื่องที่เคยร่างไว้มาตบแต่งใหม่ให้จบในตอน ตอนแรกก็กะว่าจะให้จบแบบน่ารักกุ๊กกิ๊ก ไปๆมาๆ ไหง angsty ซะขนาดนี้ก็ไม่รู้ แต่กลับเป็นเรื่องสั้นที่เขียนจบได้เร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ ใครอ่านแล้วคิดยังไงก็เม้นต์บอกกันมั่งเน้อ *Edit* เครดิตเนื้อเพลงตอนเริ่มเรื่อง มาจากเพลง "คำมักง่าย" ของพี่อู๋ ธรรพ์ณธรค่ะ ใครอยากฟังหรือดูเนื้อเพลงเต็มๆก็นี่เลย <<ฟังเพลง>>