[เรื่องสั้น] ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ คำหวานคืนปีใหม่ (ไทย) P.3 [14.04.13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ คำหวานคืนปีใหม่ (ไทย) P.3 [14.04.13]  (อ่าน 27173 ครั้ง)

mama

  • บุคคลทั่วไป
เขียนดีจังเลยครับ ชอบแล้วจะรออ่านงานอื่นของคุณนะครับ

ออฟไลน์ kokikung

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-3
+1.ห้เรื่องนี้กร๊าฟฟฟฟ

น่ารักชอบมากกกก

คริษฐ์ คิดไปเองหรือเปล่า

แต่เราเข้าใจอารมณ์นี้นะ

แว้ปๆๆนึงก็สงสัยเหมือนกันว่าเขารักเราไหม

ชอบๆๆ :กอด1:

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
สุดยอดเลยจ้า
 o13

pidoma

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
ตอนแรกยังนึกว่าจะเป็นเรื่องสั้นๆ จบเศร้าๆ ซะอีก จบแบบนี้ก็ขอบคุณครับ

mumumama55

  • บุคคลทั่วไป
 :o8: ยังดีที่หวานได้ตอนสุดท้ายนะเนี่ย :-[

เกือบจะเศร้าไปละ ..ขอบคุณสำหรับเรื่องแห่งความรักจ้า

 :pig4: :pig4:

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
 o13 ชอบมากเลยค่ะ

มาแบบสั้นๆ แต่ก็บีบคั้นอารมณ์อยู่  เล่นเอาน้ำตาซึมไปเหมือนกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2010 23:20:36 โดย OhJa »

chae

  • บุคคลทั่วไป
จิงๆนะ แค่เอ่ยว่า รัก หน่ะมันง่ายมาก ก็แค่พูดออกมา
แต่ถ้าจะเอาจากความรู้สึกจิงๆมันยากพอดู

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ปลาบปลื้มมากค่ะเพื่อนสาว :impress2:

เรื่องความรักของทั้งคู่ไม่เท่าไหร่ เพราะรู้ว่าเพื่อนสาวแต่งให้เรื่องออกมาหวานแบบเรียบๆแต่ล้ำลึกกินใจได้

แต่สิ่งที่เดี๊ยนชอบมากกกกกกกกกกกก ก็คือความจริงที่ว่า คุณเพื่อนสาวเขียนด้วยเทคนิค ใช้ผมกับคุณ อันนี้ถ้าให้เดี๊ยนเขียนเองคงออกมาแปลกประหลาด แต่เพื่อนสาวทำได้ดีมากเลยค่ะ ชอบ เหมือนอ่านนิขาย Soul Mountain ของ Gao Xingian เลยเจ้าค่ะ ซูฮกเจ้าค่ะ o13

ออฟไลน์ MyTeaMeJive

  • MyTeaMeJive
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1894
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3313/-9
สุดยอด!  o13
ทั้งเรื่องทั้งภาษา
บอกได้คำเดียวว่า สุดยอดครับ

ขอบคุณครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
แต่สิ่งที่เดี๊ยนชอบมากกกกกกกกกกกก ก็คือความจริงที่ว่า คุณเพื่อนสาวเขียนด้วยเทคนิค ใช้ผมกับคุณ อันนี้ถ้าให้เดี๊ยนเขียนเองคงออกมาแปลกประหลาด แต่เพื่อนสาวทำได้ดีมากเลยค่ะ ชอบ เหมือนอ่านนิขาย Soul Mountain ของ Gao Xingian เลยเจ้าค่ะ ซูฮกเจ้าค่ะ o13

ขอบคุณเพื่อนสาวที่เอาชื่อนักเขียนชั้นครูมาแบ่งปันเจ้าค่ะ (จะได้ไปหาอ่าน รู้จักนักเขียนดีๆร่วมสมัยน้อยเหลือเกิน) สารภาพว่าตอนเขียนก็เกร็งๆเหมือนกัน อย่างที่บอกละว่าเขียนแนวทดลอง แต่อ่านแล้วชอบกันก็ดีใจเจ้าค่ะ  :-[

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ชอบภาษาที่เขียน

อ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมมากค่ะ


 o13 o13

jincool

  • บุคคลทั่วไป
การที่คนสองคนยิ่งคบกันนานๆ

มันก็จะมีบางเรื่อง  บางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งผูกพันยิ่งชิดใกล้  ก็จะยิ่งพูดไม่ออก

และต่างคนก็จะเริ่มที่จะคิดไปต่างกัน  เพราะเริ่มที่จะไม่เข้าใจกัน  แต่เริ่มที่จะเข้าใจเอาเอง

เรื่องนี้สะท้อนประโยคที่บอกว่า "ยิ่งพูดมากขึ้น  ก็ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น" ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

เพราะว่าสิ่งที่เกิดกับคนคู่นี้  ไม่ใช่ไม่รัก  ไม่ใช่ระแวง  แต่กลับเป็นเพราะว่า...รักมากเกินไป...ต่างหากล่ะ

ออฟไลน์ papa

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 818
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-3
อ่านไปลุ้นไป เตรียมผ้าเช็ดหน้าจะมาซับน้ำตาแล้วเชียว จบแฮปปี้ดีจัง

สนุกมากค่ะ o13

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
เกือบแล้ว เกือบเสียน้ำตาแล้ว แต่ดีที่ตอนจบเข้าใจกัน :o8:
ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้นที่แฮปปี้ค่ะ :L2:

minimonmon

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเจ้าค้ะ :z2:

LiTTlE [A]

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ความรัก เปลี่ยนคนได้จริงๆ

ออฟไลน์ nco1236

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
ชอบมากมายเลยทีเดียว   :oni1:

cotone

  • บุคคลทั่วไป
ชอบจัง...ปกติคาแรกเตอร์แบบคริษฐ์มักจะคิดอะไรไม่ค่อยลึกซึ้งมากนัก นี่ถือว่าแหวกไปเลย ชอบมากๆค่ะ

พี่เกื้อก็น่ารักด้วย เป็นเรื่องที่อบอุ่นมากๆเลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






pidoma2009

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ kamikame

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
 :L2: เขียนได้ดีมากเลยฮ๊าฟฟฟ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟ

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
น่ารักมากครับ  :pig4:

ออฟไลน์ Silver-Ray

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
แอบบีบหัวใจ
แต่จบแบบอมยิ้ม อิอิ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ขอเพียงเอ่ยว่ารัก ตอนพิเศษ ขอย้ำคำว่ารัก (รับวันลอยกระทง)


ในช่วงกลางสัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะเข้าเดือนสิบเอ็ดแล้ว ทว่าบริษัทที่ดูแลด้านการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ก็ยังคงงานยุ่งไม่ว่างเว้น ทั้งๆ ที่วันนี้มีเทศกาลพิเศษที่ปีหนึ่งจะเวียนมาเพียงหนึ่งครั้ง

เมื่อเข้าช่วงบ่ายคล้อย เกื้อวรุณที่เพิ่งออกไปทำธุระข้างนอกก็กลับเข้าบริษัทมาทำใบเสนอราคาให้ลูกค้า ความจริงแล้วตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปเช่นเขา จะสั่งให้พนักงานคนอื่นทำให้แล้วค่อยเอามาตรวจสอบความถูกต้องก็ได้ แต่เพราะว่าพนักงานฝ่ายขายต่างก็ทำงานกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดจะไปรบกวนใครและทำสิ่งที่รู้ว่าทำเองได้เร็วกว่าไปเลย

ขณะที่กำลังเช็คข้อมูลในใบนำเสนอราคาว่าถูกต้องหรือไม่ แม่บ้านประจำบริษัทก็เดินถือถาดพลาสติกขนาดกะทัดรัดมาวางให้บนโต๊ะ บนถาดมีกาแฟร้อนกับขนมเค้กวนิลาประดับเชอร์รี่สีแดงสด ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

"คุณคริษฐ์ให้พี่เอามาให้ค่ะคุณเกื้อ"

คำอธิบายนั้นทำให้เรียวคิ้วของคนสงสัยผ่อนคลายลง พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนมุมปาก "อ้อ...งั้นขอบคุณครับพี่เอี่ยม"

พอแม่บ้านวัยกลางคนเดินจากไป เกื้อวรุณจึงค่อยเบนสายตาลงมองขนมเค้กและถ้วยกาแฟที่ควันกรุ่นด้วยนัยน์ตาอ่อนโยน พลันโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ส่งสัญญาณว่ามีข้อความเข้า

‘ได้ขนมเค้กหรือยัง’

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบากับข้อความนั้น ก่อนจะค่อยจรดปลายนิ้วพิมพ์ตอบ

‘ทำไมไม่เอาขึ้นมาให้เอง’

เพราะเมื่อกี้ตอนเขากลับเข้ามาที่บริษัทก็สวนกันที่ชั้นหนึ่งแท้ๆ... หลังจากส่งข้อความไปไม่ถึงหนึ่งนาที สัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้าก็ดังอีกครั้ง

‘ติดงานอยู่นี่นา :(

คนอ่านได้แต่ยิ้มกับข้อความที่ได้รับ ยังไม่ทันจะได้พิมพ์อะไรตอบ เสียงโทรศัพท์สายในก็ดังขึ้น พอเขาปรายตามองก็พบว่ามาจากหมายเลขประจำโต๊ะของกรรมการผู้จัดการ จึงรีบหยิบหูฟังมาตอบรับทันที

“ครับพี่มนตรี”

“เกื้อมาหาพี่ที่ห้องหน่อยสิ พอดีทิพย์เขาเอาเอกสารมาให้เซ็นต์บางตัวที่ตัวเลขมันดูแปลกๆ”

“ได้ครับ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”

เกื้อวรุณเก็บโทรศัพท์มือถือลงลิ้นชัก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องของกรรมการผู้จัดการซึ่งอยู่ด้านในสุดของชั้นสี่ เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเมื่ออีกฝ่ายผายมือให้ จากนั้นก็เหลือบตาลงมองเอกสารในแฟ้มที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ความคุ้นเคยทำให้มองปราดเดียวก็เห็นจุดที่ผิดพลาดทันที

“อื๋อ? ใบเสนอราคาพวกนี้...ยังไม่ได้รวมภาษีเข้าไปด้วยนี่ครับ”

ผู้สูงวัยกว่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจอย่างหน่ายๆ “ใช่ไหมล่ะ? พี่ก็เคยบอกเจ้าพวกเซลส์ที่เข้ามาใหม่ๆ แล้วนะว่าถ้าทำโควทราคาเสร็จให้ส่งให้เกื้อเช็คก่อน ไม่ใช่รวบรวมส่งให้เลขาพี่เอามาให้เซ็นต์กันแบบหลับหูหลับตา สงสัยคงต้องเรียกมาอบรมกันสักที ว่าบริษัทนี้มีผู้จัดการทั่วไปให้ดูดำดูดีอยู่อีกคน”

ประโยคสุดท้ายของนายใหญ่ทำให้เกื้อวรุณทำได้เพียงยิ้มอ่อนๆ เนื่องจากทำงานกันมาหลายปีตั้งแต่สมัยที่มนตรียังเป็นเจ้านายของเขาที่บริษัทเก่า เกื้อวรุณจึงรู้ว่าผู้สูงวัยไม่ได้ตั้งใจกระทบกระเทียบที่เขาไม่ทำตัวให้พนักงานใหม่เกรงใจกันมากกว่านี้ กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าบุคลิกของตัวเองเนิบนาบเกินไป ถึงแม้ว่าจะทำงานได้ไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ยังไม่น่าเกรงขามพอที่พนักงานใหม่ไฟแรงทั้งหลายจะให้ความเคารพ

“ผมผิดเองแหละครับที่ไม่ได้กำชับพวกเด็กๆ ให้ส่งใบเสนอราคามาให้ตรวจก่อน ไว้เดี๋ยวผมเรียกคุยเองดีกว่า ไม่ต้องให้ถึงพี่มนตรีหรอกครับ”

เกื้อวรุณเอ่ยพลางปิดแฟ้มลง นายใหญ่ของบริษัทมองรอยยิ้มของเขาแล้วก็ส่ายหน้า

“เพราะเกื้อชอบยิ้มแบบนี้น่ะสิ ใครๆ เขามองแล้วถึงได้นึกว่าคงเป็นพวกใจดี ด่าว่าใครไม่เป็น ยังไงก็น่าจะหัดเก๊กหน้าดุๆ ให้พวกเด็กๆ มันกลัวกันซะมั่ง”

เกื้อวรุณกะพริบตาปริบๆ เมื่อโดนทัก จริงอยู่ว่าใบหน้าของเขาดูอ่อนวัยจนแทบไม่มีใครเชื่อว่าอายุสามสิบแล้ว แถมยังเป็นคนที่บุคลิกเรียบๆ ไม่ก้าวร้าว แต่นับตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครบอกให้เขาทำหน้าดุดูบ้าง

ถ้าหมอนั่นมาได้ยินประโยคเมื่อกี้ จะพูดว่าอะไรนะ...

ชายหนุ่มอดคิดถึงเจ้าของขนมเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ได้ ป่านนี้กาแฟที่ยังไม่ได้จิบสักอึกก็คงหายร้อนไปแล้ว

“เอาเถอะ เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน พี่มั่นใจว่าเกื้อคงรับผิดชอบได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ดึงตัวมาตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดบริษัทหรอก”

ประโยคนั้นค่อยทำให้คนฟังยิ้มออก เกื้อวรุณจึงค้อมศีรษะน้อยๆ “ขอบคุณครับพี่มนตรี”

ช่วงเวลาที่เกื้อวรุณเคยทำงานภายใต้บังคับบัญชาของมนตรีที่บริษัทเก่านั้นสั้นเพียงสองปี และนั่นก็เป็นบริษัทแรกที่เขาได้เข้าทำหลังเรียนจบ จากวันที่มนตรีตัดสินใจแยกตัวมาเปิดบริษัทเองโดยชักชวนเขามาด้วยก็ผ่านมาหกปีแล้ว แม้ปีแรกๆ จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ปัจจุบันนี้บริษัทขยายธุรกิจได้ถึงขั้นที่ต้องจ้างพนักงานเพิ่มหลายตำแหน่ง

“จะว่าไป...ช่วงนี้หลานพี่เป็นไงมั่งล่ะ? ยังทำตัวเกเรน่ารำคาญอยู่หรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้เกื้อวรุณเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็พยายามควบคุมการแสดงออกจนอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต

“คริษฐ์เขาเปลี่ยนไปเยอะแล้วครับพี่มนตรี ไม่เกเรเหมือนสมัยยังเป็นนักศึกษาฝึกงานแล้วล่ะครับ”

เกื้อวรุณตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ เช่นเคย เขารู้ดีถึงความเป็นห่วงของมนตรีที่มีต่อหลานชายจอมพยศเพียงคนเดียว ซึ่งความเป็นห่วงนั้นก็เผื่อแผ่มาถึงเขาที่คบกับหลานชายคนที่ว่าด้วย เพราะแรกเริ่มที่ได้รู้จักกันเมื่อเกือบสองปีก่อนนั้น อาจเรียกได้ว่าคริษฐ์เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาก็ว่าได้ ทว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่เกื้อวรุณเองก็ไม่อยากจดจำเท่าไหร่ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเปลี่ยนไป คริษฐ์กลับเป็นคนแรกที่ไม่คิดจะปกปิดเรื่องที่พวกเขาคบหากันกับผู้เป็นอา หรือคนอื่นๆ ในบริษัทแม้แต่น้อย

"ได้ยินอย่างนั้นก็ดี ว่าแต่พี่ก็ไม่อยากทักหรอกนะเพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยม แต่ช่วยบอกหลานพี่หน่อยว่าให้ทำหน้าโหดให้มันน้อยลงมั่ง แค่ที่ทุกวันนี้สกินเฮดกับเจาะหูข้างเดียวนี่ก็ดูนักเลงจะแย่อยู่แล้ว"

คราวนี้เกื้อวรุณหัวเราะอย่างไม่กลั้นเสียง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมนตรีถึงได้บ่นเรื่องนี้ เพราะขนาดเขาเอง ตอนแรกที่ได้เห็นทรงผมใหม่ของคริษฐ์เมื่อเดือนก่อนก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่เจ้าตัวกลับอธิบายสั้นๆ ว่ารำคาญที่ต้องไปร้านตัดผมบ่อยๆ เลยให้ช่างไถเกรียนเสียเลย แถมยังซื้อปัตตาเลี่ยนมาไว้ให้เขาคอยช่วยเล็มผมเวลาที่เริ่มยาวออกมาอีก ส่วนหูข้างขวานั้นเจ้าตัวเจาะมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแล้ว แต่ที่ทำให้ต่างหูแบบห่วงซึ่งใส่เป็นประจำเด่นขึ้นจนเตะตาก็เพราะผมทรงนี้นี่เอง

ถ้าหากไม่ใช่ว่าได้มาทำงานในบริษัทของอาแท้ๆ ก็น่าคิดเหมือนกันว่าคริษฐ์จะทำตัวแหกคอกแบบนี้ไหม...แต่ดูพื้นนิสัยที่ไม่ชอบเอาใจใคร...หมอนั่นอาจจะทำก็ได้...

ความคิดของชายหนุ่มสะดุดลงเมื่อประตูกระจกของห้องกรรมการผู้จัดการถูกเลื่อนเปิดอย่างแรง เรียกสายตาของคนสองคนในห้องให้หันไปมองพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ และคราวนี้มนตรีรู้สึกเหมือนเส้นชีพจรบนขมับเต้นตุบจนต้องยกนิ้วขึ้นนวด ความจริงแล้วเขาเป็นชายวัยห้าสิบที่ดูกระฉับกระเฉงกว่าอายุมาก แต่ดูเหมือนตั้งแต่รับหลานชายคนเดียวมาอยู่ในความดูแลเมื่อสองปีก่อน เรือนผมที่เคยดกดำก็จะเผยบางส่วนที่เปลี่ยนเป็นสีดอกเลาให้เห็นชัดเจนจนคร้านจะไปย้อมทับ

“นักเลงไม่พอ ตายยากอีกต่างหาก”

ถึงแม้เสียงของคนพูดจะเบา แต่ถ้าใครไม่ได้หูตึงหรือยืนอยู่ห่างไปเป็นสิบเมตรก็ต้องได้ยิน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ใส่เสื้อยืดคอกลมกับแจ็กเกตที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอกจึงเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์

“อาหมายถึงผมเหรอครับ?”

น้ำเสียงของคนพูดแฝงแววหงุดหงิดจนเกื้อวรุณแปลกใจ พอมองสบตากับมนตรีที่เอนพิงเบาะแล้วมองเขาอย่างเหนื่อยๆ เหมือนจะขอร้องว่า ‘ช่วยจัดการให้หน่อย’ ชายหนุ่มจึงหันกลับไปหาคนตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นที่ยืนอยู่หน้าประตู

“คริษฐ์มีธุระกับคุณมนตรีเหรอ?”

ดูเหมือนน้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำไหลจะช่วยบรรเทาความร้อนระอุของอารมณ์คนถูกถามได้บ้าง นัยน์ตาสีนิลลึกล้ำซึ่งเบนมาทางเกื้อวรุณจึงคลายความกร้าวลงเล็กน้อย

“พอดีแบ่งงานของคนขับรถที่ต้องไปส่งของต่างจังหวัดวันนี้หมดแล้ว ผมก็เลยเอารายงานขึ้นมาให้อา”

มนตรีได้ยินดังนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็รับรายงานที่หลานชายปริ๊นท์ใส่แฟ้มมาพลิกดู นัยน์ตาคมกริบลอบเหลือบขึ้นสังเกตชายหนุ่มสองคนที่กำลังส่งยิ้มอ่อนๆ ให้กัน จากนั้นผู้สูงวัยก็กระแอมนิดหนึ่งก่อนจะปิดแฟ้มดังปัง

“ขอบใจที่เอาขึ้นมาให้เอง คราวหลังฝากให้แม่บ้านเขาเอามาให้ก็ได้ ถ้าไม่มีธุระอะไรอีกก็ไปทำงานต่อได้แล้ว”

คนถูกไล่หน้าตึงขึ้นมาทันที แววตาดุดันจนถ้าใครได้เห็นก็คงรีบถอยห่าง แต่สำหรับเกื้อวรุณแล้ว ภาพนั้นกลับทำให้เขานึกถึงเด็กเล็กๆ ที่กำลังขัดใจเพราะโดนไล่ให้ไปทำการบ้านเสียมากกว่า

"คริษฐ์ไปคุมงานต่อก่อนเถอะ เผื่อข้างล่างเขาจะมีเรื่องให้ช่วยจัดการ นะ?"

คนตัวใหญ่เบนสายตามาหาเกื้อวรุณ จากนั้นริมฝีปากบางก็เม้มแน่นก่อนจะเดินออกจากห้อง แต่เกื้อวรุณคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นประกายของความน้อยใจในแววตาสีนิลคู่นั้น ทว่าก็ไม่ได้สบตากันนานพอที่จะฟันธงให้แน่ใจ

"นอกจากเธอแล้วคริษฐ์มันไม่ฟังใครจริงๆ นะเนี่ย ขนาดพี่เป็นอามันยังไม่ค่อยฟังเลย"

เสียงของมนตรีดึงสายตาเกื้อวรุณกลับมาจากแผ่นหลังของคนที่เพิ่งเดินออกไป เขาจึงพยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น

"ท่าทางคงอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้วน่ะครับ พี่มนตรีอย่าคิดมากเลย"

อีกครั้งที่น้ำเสียงเรียบเย็นของคนพูดทำให้คนฟังผ่อนคลายจิตใจลงได้ มนตรีมองหน้าชายหนุ่มที่เขาเอ็นดูเหมือนกับเป็นลูกหลานอีกคน แล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจยาว

"ถึงตอนแรกพี่จะไม่ค่อยเห็นด้วยที่คริษฐ์มันมาคอยเกาะแกะเกื้อก็เถอะ แต่ตอนนี้พี่คงต้องบอกว่าขอบคุณที่มันไม่ได้ตาถั่วแล้วไปคว้าใครก็ไม่รู้มาทำให้คนเป็นอาลำบากใจ เพราะถ้าไม่ใช่เกื้อ พี่ก็ไม่รู้ว่าใครจะเอาไอ้คนหัวแข็งแบบนั้นไหวอีกแล้ว"

เกื้อวรุณฟังแล้วก็ยิ้มบาง จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าจุดพลิกผันที่ทำให้เขากับคริษฐ์คบกันนั้นเกิดจากอะไร แต่ด้วยอุปนิสัยใจร้อน ปากไว ช่างหาเรื่องที่เมื่อก่อนคริษฐ์เคยเป็นหนักกว่านี้เสียอีก จึงไม่น่าแปลกที่มนตรีจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขาโดยไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าเขากับหลานชายเป็นผู้ชายเหมือนกัน

"พี่มนตรีก็พูดเกินไปแล้วล่ะครับ งั้นถ้าไม่มีอะไร ผมขอไปทำงานต่อนะครับ"

ชายหนุ่มขอตัวออกมาจากห้องทำงานของนายใหญ่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะซึ่งอยู่อีกฟากของชั้นเดียวกัน แต่แล้วเมื่อนั่งลงก็ต้องแปลกใจที่พบว่าถ้วยกาแฟบนโต๊ะยังคงมีควันกรุ่น ทั้งๆ ที่นับจากเวลาซึ่งเขาเข้าไปคุยงานกับมนตรี กาแฟก็น่าจะเย็นชืดไปแล้วแท้ๆ

และที่สำคัญ...ลายบนถ้วยกาแฟก็ไม่ใช่ลายเดียวกับใบที่แม่บ้านยกมาให้ด้วย...

เกื้อวรุณรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขายังไม่ออกมาจากห้องของกรรมการผู้จัดการ และเพื่อไม่ให้คนที่อุตส่าห์ไปชงกาแฟถ้วยใหม่มาให้ต้องเสียน้ำใจ เขาจึงจัดการกาแฟร้อนถ้วยนั้นและขนมเค้กอย่างรวดเร็วก่อนจะยกถาดเข้าไปล้างในห้องครัว


++------++


ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน เกื้อวรุณก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินลงไปยังลานจอดรถด้านหน้าอาคาร ตรงนั้นมีใครบางคนยืนพิงรถรออยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบรีโมทออกมาเพื่อปลดล็อคประตู

"ให้ผมขับมั้ย?"

คริษฐ์ถามเมื่อเห็นเจ้าของรถเดินมายังประตูฝั่งคนขับ เกื้อวรุณจึงส่ายหน้า

"นายขับขากลับก็แล้วกัน ขาไปเดี๋ยวฉันขับเอง"

ทั้งสองสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงจุดประทัดจากบ้านหลังใดสักหลังที่อยู่ในซอยเดียวกับบริษัท ก่อนจะมองหน้ากันยิ้มๆ แล้วเปิดประตูเข้านั่งในรถ

"ผมนึกว่าเดี๋ยวนี้เขาห้ามจุดประทัดวันลอยกระทงแล้วซะอีก"

คริษฐ์เปรยเมื่อเกื้อวรุณขับรถออกมาถึงสามแยก คนที่กำลังขับรถจึงตอบพลางคอยมองรถที่เลี้ยวสวนไปด้วย

"ก็คงมีคนแอบจุดไปเรื่อยล่ะ ปีนึงมีลอยกระทงแค่ครั้งเดียวนี่นา"

"อืม"

คนตัวใหญ่กว่าครางรับในคอ ก่อนจะยื่นนิ้วไปกดเปิดวิทยุแล้วนั่งเท้าคางกับขอบหน้าต่าง ส่วนเกื้อวรุณรับหน้าที่สารถีระหว่างกำลังเดินทางไปยังจุดหมายของค่ำคืน 'ลอยกระทง' นี้ด้วยกัน

ความจริงแล้วชายหนุ่มทั้งสองต่างก็มีรถยนต์ของตัวเอง แต่เพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิง จึงตกลงกันว่าจะสลับกันขับรถของแต่ละฝ่ายเวลามาทำงาน จะได้ไม่ต้องต่างคนต่างเอารถมาให้เปลืองพื้นที่จอดซึ่งมีอยู่จำกัด

ท่ามกลางการจราจรที่ติดเป็นแพเพราะเป็นวันทำงานกลางสัปดาห์ หลังจากนั่งฟังเพลงจากวิทยุกันครู่ใหญ่ เกื้อวรุณก็หันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

"ตกลงเมื่อตอนบ่ายหงุดหงิดอะไร?"

คนถูกถามย่นจมูกโดยไม่หันมาสบตา เกื้อวรุณจึงต้องใช้วิธีที่รู้ว่าจะทำให้คนรักที่อายุน้อยกว่ายอมตอบคำถามแต่โดยดี

"ว่าไง? ไม่บอกฉันก็ง้อคริษฐ์ไม่ถูกนะ"

พอโดนบีบต้นขาเบาๆ จากฝ่ามือที่แสนคุ้นเคย ชายหนุ่มที่เพิ่งจะผ่านพ้นสถานะของการเป็นนักศึกษามาไม่นานก็เม้มปาก

"ก็เกื้อไม่ยอมกินเค้กที่ผมเอาไปให้ แล้วยังไปนั่งจู๋จี๋กับอาในห้องอีกนี่นา"

คำตัดพ้อของคนข้างตัวทำเอาเกื้อวรุณเกือบลืมตัวเหยียบคันเร่งทั้งที่รถติดไฟแดง ชายหนุ่มทำตาโตพลางหันไปมองคนที่ยังไม่ยอมหันมาหาเหมือนกำลังมองตัวประหลาดจากต่างดาว

"จะบ้าเหรอคริษฐ์! ถ้าใครมาได้ยินว่าฉันนั่งจู๋จี๋กับพี่มนตรีนี่ได้เป็นขี้ปากคนทั้งบริษัทเลยนะ! อีกอย่างใครๆ เขาก็รู้ว่าฉันคบนายอยู่ จะไปทำแบบนั้นกับพี่มนตรีได้ยังไงกัน!"

"ไม่รู้ล่ะ ก็เกื้อไม่กินเค้กที่ผมซื้อให้นี่"

คนพูดกอดอกแล้วทำหน้ามู่ทู่ยิ่งกว่าเดิม ทำเอาเกื้อวรุณไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับสถานการณ์ตรงหน้า

ตกลงนี่เขากำลังคบกับชายหนุ่มที่อายุย่าง 22 หรือว่าเด็ก ม.ปลายกันนี่...

แค่ที่เคยมีชีวิตสงบและสันโดษมาตลอด จนกระทั่งมนตรีแนะนำให้รู้จักกับหลานชายที่จู่ๆ ก็เป็นกำพร้าเอาตอนอายุสิบเก้าเนื่องจากทั้งพ่อและแม่ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ทิ้งมรดกไว้หลายสิบล้านที่ยังไม่มีสิทธิ์ใช้จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะและให้เขาช่วยสอนงานช่วงปิดเทอม ตั้งแต่นั้นเขาก็ต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ กับคริษฐ์มาตลอดเพราะบุคลิกหัวแข็งเข้าใจยาก จนสุดท้ายก็ถึงวันที่ความสัมพันธ์ถึงจุดแตกหักเมื่อคริษฐ์ใช้กำลังฝืนใจเขา

หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น เกื้อวรุณโกรธและคิดจะลาออกจากบริษัทเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อพยายามทำความเข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมก้าวร้าวที่คริษฐ์แสดงออกว่าเป็นเพราะพื้นฐานครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น และสิ่งที่เขาเสียไปก็ใช่ว่าถูกเก็บไว้เพื่อมอบให้กับใคร เขาจึงไม่ทอดทิ้งงานและพยายามทำตัวปกติเสมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น โดยไม่ได้คาดคิดว่านั่นกลับดึงดูดเด็กหนุ่มให้เริ่มหันมาสนใจเขาอย่างจริงจัง

จากวันที่คริษฐ์หันมาตามจีบเขา จนสุดท้ายเขาก็ตอบรับความรู้สึก แถมต้องอดทนกับความไม่มั่นใจของอีกฝ่ายที่ร้องขอฟังคำรักจากเขาบ่อยๆ จนกระทั่งได้รับความเชื่อใจในที่สุด บัดนี้เวลาผ่านมาร่วมปี และทั้งคู่ก็ได้เริ่มใช้ชีวิตในบ้านเดียวกันซึ่งก็คือบ้านของเขาเพราะคริษฐ์เล่นหักดิบด้วยการขายคฤหาสน์ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกทิ้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่หมอนี่กลับยังน้อยใจกับเรื่องแค่นี้ได้อีก...

หลังจากคิดวนมาหลายตลบ ในที่สุดเกื้อวรุณก็ได้แต่หัวเราะออกมา และคราวนี้คนที่ประหลาดใจกลับเป็นคนที่เพิ่งจะแสดงอาการน้อยใจจนเข้าขั้นวิตกจริตไปเมื่อครู่

"มีอะไรน่าขำเหรอเกื้อ?"

น้ำเสียงของคนถามจะว่าเอ็ดก็ไม่ใช่ จะว่าอายที่โดนหัวเราะก็ไม่เชิง เกื้อวรุณจึงพยายามสูดหายใจลึกๆ เข้าปอดให้ทันก่อนจะหันไปตอบทั้งที่ยังยิ้ม

"ขำอะไรล่ะ ก็ขำคริษฐ์น่ะสิ มาหาว่าคนอื่นไม่ได้กินเค้ก ทั้งที่ไม่ได้มาคอยนั่งดูสักหน่อยว่าเขากินเค้กไปตอนไหน"

"ก็ผมโดนอาสั่งให้ไปทำงานต่อนี่ จริงๆ ตอนนั้นที่ขึ้นไปน่ะผมตั้งใจไปหาเกื้อต่างหากแต่พอดีหยิบรายงานติดไปด้วย ที่ไหนได้ดันเจอเกื้อนั่งหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับอาในห้อง"

หมอนี่...บางทีเกื้อวรุณก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนให้เลิกหึงหวงไม่เข้าท่ากับคนใกล้ตัวและเลิกใช้คำที่ชวนให้คนอื่นตีความผิดเสียที

"ไม่ได้หัวร่อต่อกระซิก แค่คุยงานต่างหาก นายนี่นะ...เมื่อไหร่จะเลิกทำนิสัยเหมือนเด็กสักที ไหนบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วไง"

เกื้อวรุณเอ่ยพลางยื่นกำปั้นไปดุนไหล่หนาเบาๆ ฝ่ายคนถูกติงจึงยิ่งแสดงอาการ 'งอน' หนักเข้าไปอีก

"ใช่สิ ผมเลือกให้ตัวเองเกิดก่อนเกื้อไม่ได้นี่ ถึงได้ยังทำนิสัยเหมือนเด็กขี้อิจฉาอยู่แบบนี้แหละ"

ช่องว่างระหว่างวัยแปดปีไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ด้ายเย็บตรึงให้หดเข้าหากันได้ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เกินวัยตระหนักถึงข้อนี้ดี และทั้งที่รู้อยู่แก่ใจถึงความรู้สึกที่เกื้อวรุณมีให้เพราะเขาเองที่ชอบถาม แต่พอเห็นคนรักไปทำดีกับคนอื่น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชอบใจอยู่ดี

"น่าเสียดายนะที่คิดแบบนั้น ฉันชอบเด็กแบบคริษฐ์ออก"

ประโยคเอาใจนั้นทำให้คนฟังหูผึ่ง เมื่อผินหน้าไปหาก็พบว่าคนพูดกำลังใช้สองมือเท้าพวงมาลัยรถแล้วเอียงคอมองเขายิ้มๆ ราวกับไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่านัยน์ตาและรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นนั้นสั่นคลอนหัวใจเขาได้มากเพียงไหน

ชายหนุ่มตัดสินใจทันที

"...เกื้อ ผมไม่อยากลอยกระทงแล้ว"

"อ้าว?"

คราวนี้เกื้อวรุณเป็นฝ่ายงุนงงบ้าง เขาขมวดคิ้วมองหน้าคนที่เปลี่ยนใจปุบปับจนตามอารมณ์ไม่ทัน

“แต่เมื่อเช้านายเป็นคนชวนเองนะว่าอยากไปลอยกระทงด้วยกันคืนนี้”

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว ใครๆ ก็ตั้งใจจะไปลอยกระทงกันจนรถติดไปหมด ถ้างั้นแทนที่จะเสียเวลาไปที่เดียวกับคนอื่น ทำอะไรเหมือนๆ ที่คนอื่นทำ สู้ผมกลับบ้านไปใช้เวลากับเกื้อสองคนไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ถ้าจะพูดอย่างนั้น มันก็...”

เหตุผลที่ได้ฟังทำให้เกื้อวรุณไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร ความจริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมตามวันสำคัญมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เพราะเมื่อเช้าคริษฐ์บอกว่าอยากไปลอยกระทง ตอนนี้ทั้งคู่ถึงได้มานั่งติดแหง็กอยู่ท่ามกลางการจราจรที่แสนย่ำแย่กลางเมืองนี่แหละ

“...งั้นกลับบ้านก็ได้”

สุดท้ายเกื้อวรุณก็ตามใจคนขอที่ชอบเปลี่ยนใจไปเรื่อย พอสัญญาณไฟเปลี่ยนสีจึงเร่งเครื่องไปยูเทิร์นใต้สะพานเพื่อกลับบ้านแทนที่จะตรงไปยังสถานที่ที่ตั้งใจกันไว้ พอถึงบ้านและจอดรถเรียบร้อย เกื้อวรุณก็ไขกุญแจประตูบ้านพลางหันไปถามคนตัวใหญ่กว่า

“เข้าหน้าหนาวแล้วฟ้ามืดเร็วชะมัด คริษฐ์หิวรึยังจะได้ทำมื้อเย็นให้…อื้อ”

เสียงท้ายประโยคเลือนหายเมื่อถูกคนตัวใหญ่แต่เด็กกว่าหลายปีก้มลงใช้ริมฝีปากดูดซับไว้ บั้นเอวถูกอ้อมแขนแข็งแรงรั้งเข้าหาขณะที่กลีบปากถูกปลายลิ้นไล้เลียแผ่วเบา

“ตอนนี้ยังไม่อยากกินมื้อเย็น อยากกินคนทำมื้อเย็นมากกว่า”

เสียงกระซิบแผ่วพร่าชิดริมฝีปากจุดความร้อนให้ลามไปทั่วผิวหน้าของเกื้อวรุณ ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของนัยน์ตาสีนิลลึกล้ำที่กำลังจ้องตนอยู่ ถึงแม้รอบตัวจะสลัว แต่ความใกล้ชิดก็ทำให้เขาเห็นความปรารถนาในแววตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

“...ตกลงที่ให้รีบกลับบ้านเพราะอย่างนี้รึไง?”

แววตาที่หลุบหนีลงเพราะความเขินทำให้คนที่กำลังมองกระตุกยิ้ม “ผมก็พูดตั้งแต่อยู่ในรถแล้วนี่ว่าอยากใช้เวลากับเกื้อสองคน”

นัยน์ตาของคนพูดทอประกายเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม แววตาเช่นนั้นทำให้เกื้อวรุณทั้งเขินทั้งหมั่นไส้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามเมื่ออีกฝ่ายยื่นมืออ้อมตัวเขาไปผลักประตูบ้านให้เปิดออก และรั้งตัวให้เดินตามเข้าไปโดยมีจุดหมายอยู่บนห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสอง

ห้องที่เป็นสถานที่ส่วนตัวที่สุดสำหรับการ ‘ใช้เวลาร่วมกัน’ ของพวกเขาสองคน


++------++

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ฟ้าภายนอกมืดครึ้ม พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่นอกหน้าต่าง รอบพระจันทร์ทรงกลมมีรัศมีอ่อนจางเหลือบสีรุ้งล้อมเป็นวง อากาศที่เริ่มเย็นลงหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามิได้ส่งผลให้เรือนร่างของชายหนุ่มทั้งสองที่ก่ายเกยกันภายในห้องนอนรู้สึกเหน็บหนาวแต่อย่างใด

“เกื้อ...พระจันทร์มันทรงกลดได้ยังไง?”

คำถามนั้นมาจากคนตัวใหญ่ที่กำลังนอนคว่ำและหนุนแผ่นอกของเขาต่างหมอน เกื้อวรุณซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนและเพิ่งจะได้ปรับลมหายใจให้เป็นปกติจากกิจกรรมเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนจึงชำเลืองมองไปนอกหน้าต่าง จากนั้นก็เบนสายตากลับมาหาคนที่กำลังเท้าคางบนแขนที่ประสานกันบนอกของเขา

เกื้อวรุณชอบดูรายการสารคดี แทบทุกครั้งที่เปิดโทรทัศน์ก็จะเลือกดูช่องที่ฉายสารคดีเป็นหลัก หนังสือที่ชอบอ่านก็ยังเป็นแนวความรู้รอบตัว ตอนแรกคริษฐ์ทั้งแปลกใจทั้งทึ่งเมื่อรู้ความสนใจของเขา หลังจากนั้นมา เวลาที่ชายหนุ่มสงสัยในเรื่องที่ถามคนอื่นไม่ได้ เขาก็จะถามเกื้อวรุณเพราะรู้ว่าต้องได้ความกระจ่างอย่างแน่นอน

“คุ้นๆ ว่าเพราะการหักเหของแสงจากดวงจันทร์เวลาสะท้อนกับเกล็ดน้ำแข็งในชั้นบรรยากาศนะ แต่ถ้าอยากให้ชัวร์คงต้องไปเปิดหนังสือดู”

“ไม่ต้องหรอก ได้รู้คร่าวๆ ก็พอแล้ว ผมยังไม่อยากให้เกื้อลุกไปไหน”

เพราะตัวเองกำลังสบายน่ะสิ...เกื้อวรุณมองคนที่เอียงหน้าลงหนุนแผ่นอกของเขาอีกครั้งแล้วก็ยิ้ม ความเอ็นดูทำให้ยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยที่ปกคลุมด้วยผมสั้นเกรียนเบาๆ โชคดีว่าคริษฐ์เป็นคนผมเส้นเล็กแถมยังหยักศก ดังนั้นแม้ผมขึ้นใหม่ก็ไม่แทงมือเวลาลูบให้รำคาญใจ

“…ช่วยบอกหลานพี่หน่อยว่าให้ทำหน้าโหดให้มันน้อยลงมั่ง แค่ที่ทุกวันนี้สกินเฮดกับเจาะหูข้างเดียวนี่ก็ดูนักเลงจะแย่อยู่แล้ว"

เกื้อวรุณอดนึกไปถึงบทสนทนากับมนตรีเมื่อตอนบ่ายไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าขืนพูดตรงๆ กับคนที่โดนฝากมาบอก สงสัยจะมีแต่ทำให้คริษฐ์ยิ่งทำหน้าดุมากขึ้นเพื่อประชดผู้เป็นอาแน่ๆ ความจริงตั้งแต่บรรลุนิติภาวะเป็นต้นมา คริษฐ์ไม่จำเป็นจะต้องมาช่วยงานที่บริษัทของมนตรีก็ได้เพราะมีทรัพย์สินจากมรดกจนเหลือใช้ แต่เหตุผลเดียวที่เจ้าตัวเคยให้ตอนเขาถามว่าทำไมถึงยังมาทำงานอยู่อีก คำตอบที่ได้ก็คือ

'ก็เกื้อทำอยู่ที่นี่'

เมื่อหวนนึกถึงคำพูดประโยคนั้น แววตาที่ทอดมองคนที่หนุนตัวเองอยู่ก็ฉายแววลุ่มลึกขึ้น เขาไม่รู้ว่าคริษฐ์จะยึดติดเขาไปได้อีกนานแค่ไหน จะมีวันหนึ่งที่อีกฝ่ายเติบโตขึ้น พบใครคนอื่นที่ถูกใจมากกว่า แล้วหันมามองว่าเขาเป็นแค่ตาลุงที่เคยควงด้วยหรือเปล่า...

และหากวันนั้นมาถึง เขาจะทนรับความเสียใจได้ไหม...

เกื้อวรุณรู้ดีว่าไม่ควรจะคิดมาก แต่ความแตกต่างของวัยที่กว้างถึงแปดปี แล้วไหนยังจะรูปลักษณ์ของคริษฐ์ที่ยิ่งเป็นหนุ่มก็ยิ่งดึงดูดใจคนที่ได้เห็นด้วยเสน่ห์อันดิบเถื่อนที่แทบไม่ต้องพยายามปรุงแต่ง ซึ่งต่างกับความจืดชืดและเรื่อยเฉื่อยของเขาเป็นคนละขั้ว เกื้อวรุณจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าความสุขที่ดำเนินอยู่นี้จะหมดอายุลงเมื่อไร

"นี่เกื้อ..."

"หือ?"

เสียงเรียกของคริษฐ์ช่วยทำลายความเงียบงัน ขณะเดียวกันก็ดึงเขาออกห่างจากวงจรความคิดอันฟุ้งซ่าน เกื้อวรุณจึงขานรับในคอโดยที่ยังไม่หยุดมือซึ่งลูบศีรษะของอีกฝ่าย

"ถ้าในอนาคตผมเปิดบริษัทของตัวเองบ้างแล้วชวนเกื้อมาทำด้วยกัน เกื้อจะยอมมาร่วมหัวจมท้ายกับผมมั้ย?"

เกื้อวรุณหยุดมือที่ลูบผมอีกฝ่ายเมื่อคนถามเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง แววตาเอาจริงเอาจังที่ได้เห็นทำให้อึ้งไปครู่ใหญ่

"คริษฐ์อยากเปิดบริษัทของตัวเองเหรอ?"

ชายหนุ่มถามโดยไม่หลบตา กลับเป็นคนที่นอนคร่อมเขาอยู่เสียอีกที่กลอกตาอย่างใช้ความคิด

"ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตใช่ไหมล่ะ? ถึงอามนตรีจะไม่มีครอบครัวก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยกธุรกิจให้ผมสืบทอด อีกอย่างถ้าหากได้ทำอะไรที่เป็นชื่อของผมกับเกื้อก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นหลักประกันอนาคตของพวกเราทั้งคู่ไง ระหว่างนี้ก็เก็บประสบการณ์จากบริษัทของอาไปก่อน"

ความคิดอ่านที่แสดงออกถึงการมองการณ์ไกลสู่อนาคตทำให้เกื้อวรุณแปลกใจ และนั่นคงสะท้อนออกมาทางสีหน้าเช่นกัน เพราะคริษฐ์หัวเราะแล้วเลื่อนตัวขึ้นยันแขนคร่อมเขาไว้ ชายหนุ่มจึงต้องแหงนหน้าขึ้นเพื่อสบตากับคนตัวใหญ่กว่าตรงๆ

ไม่ใช่เกื้อวรุณเหลือบลงหาและคริษฐ์เงยหน้าขึ้นราวจะสะท้อนความต่างวัยของทั้งคู่อีก

"ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ? หรือคิดไม่ถึงว่าผมจะคิดเรื่องแบบนี้ไว้ด้วย?"

ท้ายประโยคมีกังวานหัวเราะเจือในน้ำเสียงแหบทุ้ม สอดรับกับนัยน์ตาพราวระยับที่มองตรงมา และความสดใสของใบหน้านั้นก็ทำให้เกื้อวรุณรู้สึกเหมือนกำลังตาพร่า

เขารักผู้ชายคนนี้มากจริงๆ...

"ก็ฉันแปลกใจนี่นา"

ลมหายใจของเกื้อวรุณขาดห้วงเมื่อมือใหญ่ลูบเรียวขาของเขาไปมา ก่อนจะจับยกขาทั้งสองข้างให้เกาะเกี่ยวเอวหนาของตนไว้ จากนั้นก็ทาบตัวลงมาจนแผ่นอกของทั้งสองแนบชิด

"ผมบอกก่อนนะเกื้อ ผมเป็นพวกยึดติด รักแรง หึงแรง แล้วถ้ารักใครก็จะไม่มีวันปล่อยมือง่ายๆ หรอก"

ชายหนุ่มเอ่ยพลางปัดริมฝีปากบนกลีบปากเขาแผ่วๆ ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างประคองใบหน้าของคนรักอย่างทะนุถนอม ขณะเดียวกันการล่วงล้ำอย่างแช่มช้าจากความร้อนระอุเบื้องล่างก็ทำให้เกื้อวรุณส่งเสียงราวสำลักลมหายใจ

หากไม่นับครั้งแรกสุดของทั้งคู่ที่เกื้อวรุณจำได้แต่ความเจ็บและพายุอารมณ์อันเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย หลังจากนั้นคริษฐ์ก็ไม่เคยใช้ความรุนแรงหรือบังคับเขาอีกเลย และนอกจากเขาก็ไม่มีใครรู้ว่าคนตัวใหญ่และหน้าเข้มดุเสมอคนนี้สามารถมอบความทรมานอันแสนหอมหวานได้อย่างอ่อนโยนเพียงไร

เพียงแค่เผลอจินตนาการไปว่าวันหนึ่งความอ่อนโยนนี้อาจถูกมอบไปให้ใครอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง เกื้อวรุณก็รู้สึกเจ็บแน่นไปทั้งอกจนแทบทนไม่ได้

"...ฉันก็เหมือนกัน"

ถึงแม้นั่นจะไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ยินดีปล่อยมือถ้าหากคริษฐ์หมดความต้องการในตัวเขาสักวัน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายยืนยันว่าจะไม่มีวันตีจาก เขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างให้คริษฐ์มีความสุข และไม่เสียดายที่ได้มอบหัวใจให้เขา ต่อให้จะถูกมองว่าคอยให้ท้ายคนรักที่อ่อนวัยกว่าคนนี้ไปบ้าง แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน นั่นก็ควรจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ

ร่างสูงใหญ่คำรามต่ำเมื่อรับรู้ถึงการบีบรัดจากช่องทางที่ตนรุกราน รวมทั้งอ้อมแขนที่โอบรอบคอและสะโพกเพรียวที่ขยับส่ายราวจะยั่วเย้าให้ช่วยระบายความอึดอัดอันแสนหวาน ชายหนุ่มพยายามสูดหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมตัวเองก่อนจะค่อยหรี่ตาลงมองร่างในอ้อมกอด

ทั้งผิวกายอุ่นที่ฉาบด้วยหยาดเหงื่อจนล้อแสงจากโคมไฟ ใบหน้าเรื่อสีชมพูฝาดและนัยน์ตาเชื่อมปรอยที่ทอดมองเขา ปอยผมสีดำยุ่งเหยิงที่แนบติดหน้าฝาก ริมฝีปากสีส้มอมชมพูที่เผยอขึ้นน้อยๆ และมีลมหายใจอุ่นหวานพวยออกมาอย่างแผ่วเบา

ถ้าได้เห็นภาพนี้ ได้สัมผัสเรือนร่างนี้ และได้ซึมซับความสุขจากการได้ถ่ายทอดความในใจให้กันทุกวัน คริษฐ์ก็ไม่คิดว่าชั่วชีวิตนี้จะปล่อยให้ตัวเองลุ่มหลงมัวเมาไปกับใครอื่นนอกจากคนในอ้อมแขนได้อีก

คนที่สอนให้ผมรู้จักความรักก็คือคุณ...

"ดูเหมือนคืนนี้ผมได้กินคนทำมื้อเย็นอย่างเดียวก็อิ่มจริงๆ ด้วยล่ะเกื้อ ให้ผมรักเกื้อทั้งคืนนะ"

น้ำเสียงออดอ้อนทำให้เกื้อวรุณได้แต่พยักหน้าเขินๆ เมื่อคนเบื้องบนเพิ่มความลึกล้ำให้แก่ร่างกายที่กำลังถูกบดเบียด ชายหนุ่มก็ปรือตาลงและปล่อยให้ตนเองเคลื่อนไหวตามการชี้นำโดยไม่ทัดทาน ทุกครั้งที่ร่างสูงใหญ่ถอยห่างเพียงเพื่อจะโถมตัวกลับมา เขาจะยิ่งกอดกระชับบ่ากว้างแน่นขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าความอบอุ่นนั้นจะไม่ผละจากไปไหน

กลิ่นอายแห่งรักในบ้านหลังเล็กๆ ย่านชานเมืองอวลฟุ้ง ความในใจที่ถูกแลกเปลี่ยนให้แก่กันจนข้ามคืนแจ่มชัดไม่ต่างจากแสงจันทร์ที่ทวีความสว่างไสวในคืนสิบสองค่ำ ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้จะมีที่มาอันไม่น่าจดจำอย่างไร ชายหนุ่มทั้งสองก็ตระหนักแก่ใจแล้วว่าคงไม่มีวันปล่อยอีกฝ่ายไปจากชีวิต ไม่ว่าจะในอนาคตอันยาวนานเพียงใดก็ตาม

เพราะในค่ำคืนนี้...หัวใจของพวกเขาได้หลอมรวมเป็นดวงเดียวภายใต้แสงจันทร์กระจ่างแล้ว...



++---End---++



[/b]A/N:[/b] เนื้อหาตอนนี้มาจาก...อยากเขียนนิยายสำหรับเทศกาลลอยกระทง ไปๆ มาๆ ก็นึกถึงคู่นี้ที่เคยเขียนไว้ รู้สึกว่าเรื่องราวและคาแรคเตอร์ของคริษฐ์กับเกื้อมีความพิเศษที่อยากเขียนเป็นเรื่องยาว แต่ยังไม่มีเวลาได้เริ่มสักที ก็เลยเอามาเขียนเป็นตอนพิเศษสั้นๆ ก็แล้วกัน แต่พอเขียนเสร็จแล้วก็รู้สึกหลุดธีมลอยกระทงชอบกล ยังไงอ่านแล้วแปะคอมเม้นต์ติชมกันไว้ได้นะคะ

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ไปเม้นท์ในบล็อคมาแล้วนะคะ
แอบทวงนิยายด้วย :laugh:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
o18 หวานๆ ตลอดอ่ะ  :กอด1:

เข้าหน้าหนาว เราต้องบริโภคของหวานๆ :D


ไปเม้นท์ในบล็อคมาแล้วนะคะ
แอบทวงนิยายด้วย :laugh:

เค้าก็ไปตอบคอมเม้นต์เรื่องทวงนิยายที่บล็อคด้วยแล้วล่ะค่ะ อิอิอิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด