เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็นที่มนตรีบอกว่าให้เลิกงานได้เป็นกรณีพิเศษ พนักงานสาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าดขณะเก็บกระเป๋าและปิดคอมพิวเตอร์เพื่อกลับบ้าน เนื่องจากเวลาเลิกงานปกติของบริษัทคือหกโมงเย็น แถมบางวันก็ต้องอยู่ทำล่วงเวลากันด้วยซ้ำ ดังนั้นวันที่ได้เลิกเร็วจึงเหมือนกับได้โบนัสย่อยๆ เลยทีเดียว
เกื้อวรุณปิดคอมพิวเตอร์บ้างก่อนจะเดินลงมาที่ลานจอดรถด้านหน้า และพบว่าคริษฐ์ยืนสูบบุหรี่พิงรถอยู่แล้ว การสูบบุหรี่นี่ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งว่าเจ้าตัวยังไม่หายอารมณ์เสีย เพราะเขาเคยขอไว้แล้วว่าบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพและขอให้ลดการสูบลง ซึ่งเจ้าตัวก็เคยตอบรับแต่โดยดี
"กลับกันเถอะคริษฐ์ อยากแวะหาอะไรกินก่อนรึเปล่า? หรือจะซื้อของที่ตลาดแล้วกลับไปทำกับข้าวที่บ้านดีกว่า?"
"ยังไงก็ได้"
คำตอบทั้งห้วนทั้งกระชับก่อนคนตอบจะดีดก้นบุหรี่ทิ้งแล้วใช้ส้นรองเท้าผ้าใบขยี้กับพื้น เกื้อวรุณจึงได้แต่ส่ายหน้าขณะปลดล็อครถแล้วก้าวเข้าไปนั่งที่คนขับ เพราะวันนี้เขาเป็นคนเอารถมาขณะที่คริษฐ์จอดรถของตัวเองไว้ที่บ้าน
"ถ้างั้นแวะตลาดซื้อของไปทำกับข้าวก็แล้วกันนะ"
"อื้อ"
คนอายุน้อยกว่าตอบพลางยกมือขึ้นเท้าขอบหน้าต่างแล้วมองไปนอกรถ เกื้อวรุณจึงได้แต่กลอกตาขณะขับรถออกสู่ถนนใหญ่ ความจริงแล้วเขาก็ค่อนข้างเพลียจากการทำงานมาทั้งวัน แต่เมื่อคิดว่าถ้าพาคนหน้าดุไปกินข้าวตามร้านอาหารก็น่าสงสารพนักงาน จึงเลือกซื้อของไปทำกับข้าวจะได้มีกิจกรรมอะไรทำตอนเย็นด้วยดีกว่า
ทั้งคู่แวะซื้อของที่ตลาดสดไม่ไกลจากบ้านของเกื้อวรุณนัก หลังจากซื้อเสร็จแล้วก็ขับรถตรงกลับบ้านโดยที่เกื้อวรุณเหมาหน้าที่พ่อครัวคนเดียวเพราะรู้ว่าคริษฐ์หยิบจับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หลังจากทำอาหารสามอย่างอันประกอบด้วยผัดกระเพราไข่เยี่ยวม้า แกงจืดสาหร่ายกับผัดบวบใส่ไข่เสร็จแล้วจึงเรียกคริษฐ์ให้มาทานข้าว
มื้อเย็นยังคงผ่านไปแบบเงียบเชียบโดยที่ไม่ว่าเกื้อวรุณจะชวนคุยอย่างไร คริษฐ์ก็เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวและถามคำตอบคำ ท่าทางเหมือนเด็กที่ดื้อเงียบเพื่อเรียกร้องความสนใจทำให้เกื้อวรุณตัดสินใจเลิกชวนคุยและกินข้าวเงียบๆ บ้าง
โกรธอะไรมาก็ไม่บอก ชวนคุยก็ไม่อยากคุย งั้นจะไม่ถามก็แล้วกันว่าเป็นอะไรมา งอนได้ก็งอนไปทั้งคืนเลยแล้วกัน
"ถ้างั้นฝากคริษฐ์ล้างจานด้วยนะ เดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อน"
"อือ"
คนที่เด็กกว่าแปดปีก็ยังตอบคำเดียวเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เกื้อวรุณไม่หยุดมองแล้วก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดไปเลย จากหางตาเขาเห็นได้ว่าอีกฝ่ายมองตามมาอยู่ เลยได้แต่ต้องพยายามปั้นหน้าเฉยเอาไว้ จนมาถึงบันไดขั้นบนสุดได้แล้วจึงค่อยหลุดหัวเราะออกมา
เฮ้อ...มีแฟนเด็กนี่ชวนให้เหนื่อยดีชะมัด
ชายหนุ่มยิ้มขำกับความคิดตัวเองก่อนจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากเสร็จเรียบร้อยก็กลับเข้ามาในห้องนอนและเอนหลังเปิดหนังสืออ่าน เขาคิดว่าอีกไม่นานคริษฐ์ก็คงตามขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันได และเวลาก็ล่วงไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว ชายหนุ่มเริ่มตาลายจากหนังสือที่อ่านจึงหันไปปิดไฟและคิดว่าเข้านอนเร็วบ้างก็ดีเหมือนกัน
สุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดีว่างอนเพราะอะไร แต่ถ้าอยากเล่นสงครามเงียบก็เอาไว้ต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ...คริษฐ์
เกื้อวรุณไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูห้องนอนอย่างแผ่วเบา ตามด้วยเสียงฝีเท้าคนที่เดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงอีกฝั่ง กลิ่นสบู่ที่โชยมาแตะจมูกทำให้รู้ว่าคริษฐ์คงอาบน้ำเสร็จและเตรียมจะนอนแล้ว แต่ความง่วงงุนทำให้เขาไม่ได้ส่งเสียงทัก และผล็อยหลับต่อแทบจะในทันทีนั้นเอง
ชายหนุ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อถูกไออุ่นจัดทาบบนร่างจากด้านหลัง สัมผัสจากลำแขนที่ร่นเสื้อของเขาขึ้นและลูบไล้แผ่นอกไปมาในความมืดบอกให้รู้ว่าคริษฐ์คงไม่ได้ใส่เสื้อนอน เสียงครางแผ่วหลุดจากลำคอของเกื้อวรุณเบาๆ เมื่อริมฝีปากอุ่นแนบลงบนต้นคอด้านหลัง
"เกื้อ...ตื่นอยู่หรือเปล่า?"
"...อืม"
เขาได้แต่ตอบในคอเสียงเบาเพราะความสะลึมสะลือ ชายหนุ่มรีบตะปบมือหนาที่ชักจะลวนลามแผ่นอกเขาหนักข้อขึ้นทุกทีให้หยุด จากนั้นก็หันไปหยีตาอย่างงัวเงียใส่คนข้างหลังที่เห็นหน้าเพียงเลือนลางในความมืด
"ฉันง่วงนะคริษฐ์... ไว้วันอื่นแล้วกัน..."
เกื้อวรุณพูดเสียงแหบยานเนื่องจากยังไม่ตื่นดี กระนั้นสายตาที่เริ่มปรับให้เข้ากับแสงจันทร์อันน้อยนิดในห้องได้ก็เห็นว่าคนข้างกายทำหน้าเหมือนเด็กโดนดุ
"...นี่จะไม่ถามผมเลยเหรอว่าเมื่อบ่ายงอนอะไร?"
น้ำเสียงนั้นชุ่มด้วยประกายตัดพ้อ มือใหญ่ที่โดนจับไว้ยังพยายามจะขยำอกเขาอีกจนเกื้อวรุณต้องออกแรงดึงมืออีกฝ่ายมากขึ้น
"แล้วตกลงงอนเรื่องอะไรล่ะ? ฉันให้โอกาสตั้งหลายครั้งแล้วคริษฐ์ก็ไม่ยอมบอกเองนี่นา"
ความงัวเงียเริ่มเลือนหายไป เกื้อวรุณเลยพลิกตัวกลับมาแล้วตัดสินใจคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่องไปเลย เพราะดูเหมือนถ้าไม่เคลียร์กันให้จบคืนนี้เขาก็คงไม่ได้นอนพักผ่อนเสียที
"ก็..."
"หือ?"
เกื้อวรุณเลิกคิ้วกับท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของคนตรงหน้า คริษฐ์มองสีหน้าของเขาในความสลัวแล้วก็เบ้ปาก
"ก็ตอนเกื้อนั่งให้เด็กที่บริษัทรดน้ำขอพรคู่กับอา มันดูยังกับคู่แต่งงานรอรดน้ำสังข์เลยนี่นา ขนาดคนข้างหน้าผมยังกระซิบกระซาบกันแบบนั้นเลย ทำไมต้องไปนั่งคู่กันด้วย ให้อาเป็นผู้ใหญ่คนเดียวไปก็พอแล้ว"
"ฮะ??"
คราวนี้เกื้อวรุณอ้าปากค้าง เป็นอันว่าความสงสัยว่าอีกฝ่ายโกรธเพราะอะไรได้รับการคลี่คลายเสียที แต่พอได้รู้เหตุผลแบบนี้ เขาก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
"โอ้ย คริษฐ์ นายนี่...ทำไมคิดมากขนาดนี้"
ชายหนุ่มพูดไปก็หัวเราะจนตัวงอ เขาไม่อยากนึกเลยว่าถ้ามนตรีได้รู้สาเหตุที่หลานชายทำท่ากะบึงกะบอนเมื่อบ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เพราะขนาดเขาได้รู้สาเหตุจริงๆ ยังอดจะนึกเอ็นดูไม่ได้ แถมการถูกเอ็นดูก็เป็นสิ่งที่คริษฐ์เกลียดที่สุดเสียด้วย เพราะเจ้าตัวชอบทำเหมือนพวกเขาอายุเท่ากันอยู่เรื่อย
แล้วที่หมอนี่เพิ่งพูดถึงคนอื่นที่บริษัทว่าเป็นเด็กน่ะ แทบทั้งหมดนั่นมีแต่คนอายุมากกว่าเจ้าตัวอย่างน้อยสองสามปีขึ้นไปทั้งนั้น
"ไม่ได้คิดมากนะ ก็มันเห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ นี่ อีกอย่างพอผมไปรดน้ำให้เกื้อ เกื้อก็ให้พรอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะพิเศษจากคนอื่นตรงไหนเลยนี่นา"
"เฮ้อ..."
คราวนี้เกื้อวรุณระบายลมหายใจยาวพลางลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ชันเข่าขึ้นแล้วเอี้ยวคอกลับไปใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของคริษฐ์ที่ตัดผมสกินเฮดจนสั้นเกรียนเบาๆ ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยคุ้นกับสัมผัสนี้ แต่พอเริ่มชินกับผมทรงใหม่ของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่าสัมผัสชวนจั๊กจี้ของผมเส้นสั้นๆ ยามสัมผัสฝ่ามือก็เพลินดีเหมือนกัน
"นี่นะ เรื่องแบบนี้ใครเขาพูดในที่สาธารณะกัน อีกอย่างตอนนั้นสถานการณ์มันเหมาะให้ฉันมาพูดอะไรหวานๆ ใส่นายซะที่ไหน หัดแยกเรื่องงานกับเรื่องของพวกเราจากกันซะมั่งสิ คริษฐ์เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ?"
เขาเกือบหลุดพูดไปว่า "ไม่ใช่เด็กๆ สักหน่อย" แต่โชคดีที่คิดเปลี่ยนคำได้ทัน ไม่อย่างนั้นคนตัวใหญ่นิสัยเด็กแถมยังเด็กกว่าเขาตั้งหลายปีจริงๆ อาจจะงอนหนักยิ่งกว่าเดิม
"ก็...มัน...ก็ยังไม่ชอบอยู่ดีแหละ"
แม้จะจนต่อถ้อยคำแต่คริษฐ์ก็ยังปากแข็ง เกื้อวรุณเลยได้แต่เลิกคิ้ว มือที่ลูบศีรษะอีกฝ่ายหยุดไปก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วนอนตะแคงหันหลังในท่าเดิม
"ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้นะ ถ้าคริษฐ์รักฉันจริงก็ต้องทำใจว่าฉันก็เป็นแบบนี้แหละ"
เกิดความเงียบในห้องครู่ใหญ่ ไม่นานคนอายุน้อยกว่าก็กระถดตัวมาซ้อนหลังเขาไว้แล้วยกแขนขึ้นโอบรอบเอว
"งั้นถ้าหากว่าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น เกื้อจะให้พรผมว่าอะไรล่ะ?"
คำถามนั้นทำให้เกื้อวรุณอมยิ้มในความมืด เขารู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เกือบจะร้อนจากคนที่ทาบอยู่ด้านหลังทั้งตัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรืออยากผลักไสเหมือนตอนเริ่มรู้จักกันใหม่ๆ สักนิด
ตอนนี้...เขารู้สึกว่าชอบยามที่ได้อยู่ในอ้อมแขนนี้ด้วยซ้ำ
"อืม...ไว้บอกพรุ่งนี้ได้มั้ย? ตอนนี้ฉันง่วงแล้วน่ะ"
เกื้อวรุณแกล้งตอบด้วยเสียงงัวเงีย เพราะว่าพอได้เอนตัวลงหนุนหมอนนุ่มๆ แถมมีคนมากอดแบบนี้อีก เขาก็ชักอยากจะหลับตาต่อให้เต็มอิ่มสักที แต่ดูเหมือนคนด้านหลังจะยังไม่พอใจ
"ไม่เอา ถ้าเกิดพรุ่งนี้เกื้อลืมว่าจะพูดอะไรจะทำยังไงล่ะ"
ขนาดลูกชายของพี่ลีที่ออฟฟิศอายุห้าขวบแล้วก็ยังไม่งอแงขนาดหมอนี่เลย ให้ตายสิ...
เกื้อวรุณคิดอย่างกึ่งขำกึ่งจนใจ เขาเพียงแต่เอี้ยวคอกลับไปแนบจุมพิตบนริมฝีปากช่างกระเง้ากระงอดของคนด้านหลังเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้
"ถ้าคืนนี้เลิกกวน พรุ่งนี้คริษฐ์อยากให้พูดอะไรหรืออยากให้ทำอะไรจะยอมทุกอย่างเลย เพราะงั้นคืนนี้ขอนอนก่อนได้มั้ย นะ?"
ปกติเขาไม่ใช่คนขี้อ้อน ตั้งแต่คบกับคริษฐ์มาก็เป็นฝ่ายถูกอ้อนอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่หลังจากเริ่มเรียนรู้ว่าคนข้างกายชอบใช้วิธีนี้มาตะล่อมให้เขายอมโอนอ่อนผ่อนตาม เกื้อวรุณจึงเริ่มใช้วิธีเดียวกันดัดหลังเสียบ้าง
คริษฐ์กะพริบตาปริบมองคนที่หันหน้ากลับไปอีกด้านแล้วด้วยความงุนงง ท่าทีออดอ้อนของเกื้อวรุณเมื่อครู่จะว่าไม่คุ้นก็ไม่คุ้น แต่ที่แน่ๆ น่ารักน่าใคร่จนเขาแทบไม่อยากนอนกอดอีกฝ่ายเฉยๆ แต่เมื่อนึกทบทวนคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ เขาก็ได้แต่รัดเอวของเกื้อวรุณแน่นขึ้นแล้วเอาคางเกยลงบนไหล่
"สัญญาแล้วนะว่าพรุ่งนี้เกื้อจะยอมทำทุกอย่าง?"
"ครับ อะไรก็ได้ที่คริษฐ์อยากให้ทำ"
อาจเป็นเพราะความง่วงที่ทำให้เกื้อวรุณตอบรับเพื่อตัดปัญหา ที่ใดที่หนึ่งในจิตใต้สำนึกส่งเสียงเตือนเขาว่าพรุ่งนี้มีหวังได้เตรียมรับศึกหนักแน่ แต่ความเหน็ดเหนื่อยที่มีมากกว่าก็กลบเสียงนั้นเสียสนิทและทำให้เขาหลับใหลในไม่ช้า
ประโยคสุดท้ายที่เกื้อวรุณได้ยินเป็นเสียงอันแสนแผ่วเบาแต่กระจ่างชัดข้างใบหู ซึ่งตามมาด้วยสัมผัสจากริมฝีปากที่แนบลงบนกลุ่มผมพร้อมๆ กับอ้อมแขนที่กอดรัดเขาแน่นขึ้น ประโยคนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนหวานจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากคนที่อารมณ์แปรปรวนบ่อยคนนี้ได้ แต่ประโยคนั้นก็ทำให้เขาหลับสนิทพร้อมรอยยิ้มได้ทั้งคืน
"ขอบคุณนะเกื้อ ผมรักเกื้อที่สุดเลย"
++---End---++
A/N: สวัสดีวันสงกรานต์ค่า ที่มาของตอนนี้คือ...ความจริงตั้งใจอยากใช้วันหยุดนี้เขียนตอนพิเศษสำหรับรวมเล่มให้แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก แต่เนื่องจากมีงานอื่นเบียดเบียนและจำเป็นต้องทำให้เสร็จก่อนซึ่งน่าจะกินเวลายันสิ้นเดือนทีเดียว ก็เลยทำให้ต้องวางโปรเจ็คต์แค่สบตาฯ ไว้ชั่วคราว แต่พอทำงานที่ว่านั่นไป มันก็คันไม้คันมืออยากเขียนเรื่องอะไรสำหรับเทศกาลบ้าง จะเขียนเรื่องสั้นใหม่แบบ stand alone ก็ไม่มีเวลาคิดตัวละคร เลยขอเอาคู่ที่ชอบมากแต่นานๆ เขียนทีมาถ่ายทอดเทศกาลนี้ก็แล้วกัน หวังว่าอ่านแล้วจะมีความสุขกับวันหยุดยาวกันทุกคนนะคะ