รักจัง.........ตอนที่14
“พักแถวนี้กันก่อนดีกว่า กูว่ายิ่งเดินแม่งยิ่งหลงทิศ”
ไอ้จั๋วทิ้งก้นนั่งข้างโคนต้นไม้ขนาดสามคนโอบ สองสาวมะลิกับนกเล็กปลดเป้ทิ้งไม่ไยดีแล้วนั่งแปะลงกับพื้นแบบหมดสภาพ
“กี่โมงแล้ววะ” ผมถามไอ้เดย์พลางล้วงเป้หาน้ำ รู้สึกเหมือนมีผงแป้งอยู่ในคอ
“ห้าโมงจะครึ่ง นี่เราเดินกันมาเกือบสามชั่วโมงแล้วว่ะ” ไอ้เดย์ตอบสีหน้าเป็นกังวล
“เอายังไงดีวะ อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะตกแล้ว”
“กูว่าเดินหาอีกหน่อย ถ้ายังไม่เจอทางออกคงต้องหาที่พักก่อนจะมืดจนมองไม่เห็น” ผมเสนอพลางยื่นขวดน้ำให้ไอ้จั๋ว
“เราต้องนอนป่ากันจริงๆหรือนี่” นกเล็กถามเสียงแหบแห้ง สีหน้าแสนจะกล้ำกลืนฝืนทน “ไอ้ลิ แกเอามือถือมาเช็คคลื่นอีกทีดิ”
“แกไม่เห็นหรือไงว่าฉันเช็คมาตลอดทาง คอยดูนะ ออกไปได้ฉันจะเปลี่ยนเบอร์เปลี่ยนค่าย จะไม่ใช้มันแล้วค่ายนี้ เข้าลิฟท์คลื่นตัด เข้าป่าคลื่นหาย!” มะลิบ่นกระปอดกระแปดตอบรับสถานการณ์
แล้วขบวนทัวร์ป่าที่เหลือมาห้าจากสิบเก้าของพวกผมก็ออกเดินอีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น เดินย่ำป่าเขียวขจีแบบมองไม่เห็นความเขียวของป่า สิ่งที่เห็นอยู่ตำตาแล้วไปโผล่ในสมองตอนนี้คือต้นไม้หนาทึบที่มองไปทางไหนก็เหมือนๆกันไปหมดกับทางเดินที่มองแล้วคุ้นและไม่คุ้นควบไปในเวลาเดียวกัน นานๆครั้งจะได้ยินเสียงอุทานจากคนนั้นคนนี้ว่าตรงนี้กูจำได้ ใช่แน่ๆ แล้วรีบจ้ำกันพรวดๆเพื่อที่จะกลายเป็นว่าหลงทิศกันไปถึงไหนๆ
ผมเพ่งตามองสภาพรอบตัวพลางเค้นสมองคิดว่าเคยเดินมาทางไหน เคยเห็นอะไรผ่านทางมาบ้าง แต่สิ่งที่ผุดขึ้นในหัวกลับมีแค่แผ่นหลังงอๆของลุงเกลี้ยงผู้นำขบวนกับหน้าหล่อเหลาของใครอีกคน
ป่านนี้ไอ้มิคจะออกจากป่าไปแล้ว หรือยังเดินย่ำหาทางออกอยู่ส่วนไหนผมไม่มีทางรู้ รู้แต่ว่าคนที่โผล่ขึ้นมาในความคิดทุกสองนาทีจะต้องรอดปลอดภัย ไอ้มิคแรงดีไม่มีตกหนำซ้ำช่วงขายังยาวเป็นอันดับหนึ่ง ยังไงก็ต้องวิ่งหนีเสือได้เร็วกว่าพวกผมหลายเท่า เพราะงั้นมันต้องรอดปลอดภัยแน่ๆ
ผมยกน้ำขึ้นจิบอึกเล็กๆพอแค่ให้ดับกระหาย แล้วก็พึ่งนึกได้ว่าสะพายเป้ติดอยู่กับตัว อย่างนี้ก็หมายความว่าถ้าไอ้มิคไม่ได้เกาะติดไปกับลุงเกลี้ยงออกจากป่าไปได้ มันก็ต้องไม่มีน้ำไม่มีของกินระหว่างเดินหลงอยู่ในนี้ เพราะของทุกอย่างอยู่กับผม ผมที่ทำตัวงี่เง่าแย่งเป้มาจากอีกฝ่ายแบบไม่เห็นแก่น้ำใจที่ได้รับ นึกมาได้ถึงตรงนี้แล้วอยากตีอกชกหัวตัวเองให้หน้าหัน ทำไมหนอ ทำไมผมถึงได้ทำตัวไม่น่ารักน่าหยิก ทำตัวน่าเกลียดน่าชังไม่สมกับหัวใจดีๆของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ผมเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มจะหม่นอย่างหมายมั่นปั้นมือ ถ้าครั้งนี้รอดไปได้ ต่อไปไอ้กิมจะไม่มีปากมีเสียง จะยอมทำตัวพิกลพิการตอบรับความเป็นสุภาพบุรุษเต็มพิกัดของไอ้มิคอย่างยินยอมพร้อมใจ จะไม่มาคิดเล็กคิดน้อยคิดถึงความเท่าเทียมในความแมน จนคนที่อุตส่าห์เพิ่มขีดความอดทนจากไม่เคยทนใครต้องมารู้สึกไม่ดีเหมือนในวันนี้ สัญญาไว้เลยกับเจ้าป่าเจ้าเขา เพราะงั้นได้โปรดช่วยให้ผมรอดปลอดภัยออกไปเห็นหน้าใครบางคนด้วยเถอะ เพี้ยง!
“กูว่าเราคงต้องหาที่พักกันแล้ววะ” เสียงไอ้เดย์ที่ดังขึ้นข้างตัวเล่นเอาสะดุ้ง ผมกวาดตามองไปรอบๆที่เริ่มมืดอย่างไม่ทันสังเกต
“เกือบทุ่มแล้ว ถึงเดินต่อไปก็คงวนมันอยู่เหมือนเดิม เดี๋ยวจะมืดซะเปล่าๆ” ไอ้เดย์ว่า
หลังจากลงความเห็นได้ห้าเสียงถ้วน ทุกคนเริ่มมองหาที่ๆพอจะยึดไว้เป็นที่พักชั่วค่ำคืน ไอ้จั๋วที่ยืนสำรวจสถานที่แนะนำให้พักแถวต้นไม้ใหญ่กิ่งก้านเยอะ มันว่าเผื่อจะทดลองปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้กันเสือกันหมูป่า แต่หลังจากยืนมองวี่แววการป่ายปีนของเพื่อนแล้วต้องส่ายหน้า ถึงแม้ในทางทฤษฏีว่าด้วยการนอนบนที่สูงหนีสัตว์จะฟังดูปลอดภัยดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วเกรงว่าจะคอหักตายก่อนได้ขึ้นไปถึงความสูงที่เหมาะสม
สุดท้ายทำเลที่ถูกเลือกคือที่ราบแอ่งย่อมๆใต้ลม ที่รู้ว่าใต้ลมเพราะพอฟ้ามืดลมก็พัดมาหวีดหวิวจนใจสั่น ไอ้จั๋วที่พึ่งตัดใจจากการชักชวนเพื่อนให้ปีนขึ้นต้นไม้รีบงัดความรู้จากการดูสารคดีนู้นนี้เกี่ยวกับเรื่องเหนือลมส่งกลิ่นใต้ลมแฝงตัวมาเป็นตัวกำหนดทิศการตั้งแคมป์ พอได้ที่ทางที่คาดว่าปลอดภัยพอตัวก็จัดแจงแยกย้ายกันไปหาเศษไม้เศษหญ้าเอามาก่อกองไฟ
“กูเคยดู ไม่อยากหรอก” ไอ้จั๋วว่าระหว่างฉีกหนังสือเพลงที่ติดมากับเป้มะลิอย่างปราฏิหารย์แล้วยัดเข้าไปใต้กองเศษไม้ที่สุมๆกันไว้กองใหญ่ จากนั้นจ่อไฟแช็กให้ไฟติดกระดาษแล้วก้มหน้าเป่าลมอย่างแข็งขัน
ห่างจากกองไม้ที่ยังไม่ยอมติดไฟ มะลิกับนกเล็กเริ่มเทกระเป๋าสำรวจข้าวของ ไอ้เดย์นั่งอยู่ข้างไอ้จั๋วเริ่มก้มหน้าห่อปากช่วยเพื่อนเป่าลมอย่างตั้งใจ ส่วนผมยังพยายามหันซ้ายขวาหน้าหลังมองหาเงามนุษย์ที่มองหามาทั้งวัน แต่จนใจที่ตอนนี้รอบด้านเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีมืด มืดเกือบสนิทชนิดสามารถทำให้เกิดภาพหลอน
“เฮ้ย มึงจะมาเป่าสู้กูทำไมวะไอ้เดย์ นี่ มันต้องมาเป่าทางนี้จะได้เป็นแรงเสริมแรง”
ไอ้จั๋วที่หน้าเริ่มแดงจากการขาดอากาศยังไม่ละความพยายาม ออกแรงเป่าพลางยัดกระดาษเพิ่มจนไฟเริ่มลามติดกิ่งไม้
ผมเทเป้ออกดูของที่พอจะเอามาใช้ประโยชน์ ข้าวเหนียวห่อครึ่ง หมูเค็มครึ่งห่อ ขนมปังไส้เผือกไส้ครีมจากเซเว่นเมื่อหกวันที่แล้ว ส้มสามลูก น้ำขวดครึ่ง ไฟฉายเล็กหนึ่งกระบอก กระดาษทิชชู่ยังไม่ได้ใช้หนึ่งพับ เอ็มพีสาม เศษตังค์นับได้ห้าสิบกว่าบาท ถุงขยะและเด็นทีนไซลินทอลรสสตอร์เบอร์รี่หนึ่งแผง
เสียงโห่ร้องจากไอ้จั๋วไอ้เดย์เรียกให้ผมกับสองสาวต้องตบมือเป่าปากตามไปอย่างยินดี ไฟกองเล็กๆที่เริ่มลามขยายขนาดเหมือนเป็นแสงแห่งความหวัง พาให้ทุกคนค่อยยิ้มออกหลังจากหน้านิ่วคิ้วขมวดกันมาครึ่งค่อนวัน แม้ว่าคืนนี้ต้องนอนกลางดินกินกลางป่าด้วยหัวใจไหวหวั่นแต่อย่างน้อยก็ยังกองไฟไว้ให้พออุ่นใจ
พวกเราขยับก้นเข้าหากองไฟพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย หนึ่งเพราะอากาศที่เริ่มเย็นตัว สองเพราะจินตนาการที่เริ่มเตลิดไปกับความมืดรอบด้าน มาถึงตอนนี้แต่ละคนเริ่มเข้าภาวะตกอยู่ในภวังค์ความคิด ตาจ้องกองไฟปากเคี้ยวอาหารที่แบ่งกันกินโดยไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร
จัดการเสบียงกันอย่างกระเหม็ดกระเหม่ ผ่านไปอีกพักใหญ่ก็ยังไม่มีใครเปิดปากหาว คาดว่าประสาทแต่ละคนคงจะตื่นตัวไปยันเช้า ผมเองแน่นอนว่าความคิดล่องลอยผ่านป่าเขาไปตกอยู่ที่ใครอีกคน คนที่เคยเดินอยู่ข้างๆ นั่งอยู่ติดกันไม่เคยห่าง คิดไปเรื่อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้จั๋วกระแซะสีข้างเข้ามานั่งเบียด
“เมื่อเช้าตอนฟังลุงผู้ใหญ่ว่าปาฐกถาก่อนเข้าป่า กูก็ว่ามันทะแม่งๆ” ไอ้จั๋วเปิดปากเป็นคนแรกหลังจากที่นั่งอมขี้ฟันกันมานาน
“ถ้ารู้ว่าประสบการณ์แปลกใหม่ของแกหมายถึงอย่างงี้ หัวเด็ดตีนขาดกูจะลากแกเข้ามาด้วยให้ได้”
“ใช่ๆ หนูก็ว่าอยู่ว่าลุงแกพูดได้น่าคิดเหลือเกิน นี่ป่านนี้ไม่รู้จะรู้รึยังว่าพวกเราติดอยู่ในนี้” นกเล็กรับลูกพลางตบยุงตามตัว
“ก็ได้แต่หวังว่าลุงเกลี้ยงจะออกไปตามคนเข้ามาช่วย” ไอ้เดย์ว่าพลางย้ายก้นมาติดไอ้จั๋ว
“โอ้ยพี่ พูดถึงลุงเกลี้ยงลิยังห่วงอยู่ว่าแกจะมีแรงวิ่งหนีเสือรึเปล่า ตอนเดินยังเห็นเอียงซ้ายเอียงขวามาตลอดทาง”
“โอ้ยน้อง ยังไม่ทันเห็นเสือพี่ก็ไม่เห็นเงาลุงแกแล้ว” ไอ้จั๋วว่าสีหน้ามีอารมณ์ “อย่าว่าแต่วิ่งไหวไม่ไหว นี่ลุงเล่นของล่องหนได้รึเปล่าพี่ยังไม่แน่ใจ ไม่งั้นมีหรือพี่จะไม่วิ่งตามผู้นำ”
“เออ กูก็เอาแต่วิ่งตามมึงเพราะท่าทางแม่งมั่นใจในเส้นทางเหลือเกิน” ไอ้เดย์บอก
“ใช่ๆ หนูเห็นพี่จั๋วหันหลังวิ่งก่อนใครเพื่อนก็นึกว่ามีลุงเกลี้ยงนำ เลยวิ่งตามพี่มานี่แหละ” นกเล็กว่าก่อนไอ้จั๋วจะได้ขยับปาก
“โอ้ยน้องนกเล็กกับไอ้สาดเดย์ คนเราเจอเสือยืนจ้องห่างไปไม่กี่เมตร มึงยังจะมีกระจิตกระใจไปคิดเรื่องทิศทางอีกเรอะ ดีแค่ไหนแล้วที่กูไม่ฉี่แตกมันอยู่ตรงนั้น” ไอ้จั๋วออกปากปกป้องตัวเองอย่างไม่ห่วงความต่างทางเพศ
“เอาน่า คิดซะว่าดีแล้วที่ลุงเกลี้ยงแกว่อง แกออกจากป่าไปได้คนพวกเราก็มีลุ้น พรุ่งนี้คงมีคนจากหมู่บ้านมาช่วย” ผมว่าแบบให้กำลังใจไปถ้วนทั่ว
“ไม่รู้ป่านนี้คนอื่นๆจะเป็นยังไง ยังดีนะเนี่ยที่มีเป้มึงกับของนกเล็ก ไม่งั้นต้องไปเก็บเห็ดเก็บหญ้…!”
ไอ้จั๋วหยุดคำพูดไว้กลางอากาศในจังหวะที่พวกผมสะดุ้งพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง สะดุ้งแล้วแข็งค้างไม่กล้าขยับ เรียกว่าถึงขั้นหยุดหายใจกันไปคนละวิกับเสียงหอนที่โหยหวนยิ่งกว่าสี่คืนที่ผ่านมาแบบขนละขั้น เรียกว่าไอ้ที่ทำให้มุดเข้าเต็นท์ไปนอนเบียดกันอยู่ทุกคืนกลายเป็นเสียงไก่กาไปเลยเมื่อเทียบกับการหอนที่ได้ยินกันอยู่ ณ นาทีนี้
อาการขนหัวลุกเป็นยังไงพวกผมห้าคนบอกได้คำเดียวว่าเป็นอย่างนี้ เป็นอาการระทึกจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอยู่ในหูเหมือนฉากพีคในหนังสยองขวัญ และถึงจะนั่งติดกันเป็นแผงอยู่อย่างนี้แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีเพื่อนพ้องช่วยแชร์ความเสี่ยงแม้แต่น้อย ความคิดที่กระเด้งกระดอนตามจังหวะหัวใจเต้นบอกได้ว่าถ้ามีอะไรโผล่มาก็ตัวใครตัวมันตามกำลังศรัทธา
เสียงหอนช่างยาวนานทรมานความรู้สึก แต่หลังจากเกร็งทุกโสตประสาทอยู่นานจนแน่ใจว่ายังไม่มีอะไรโผล่มาให้วงแตก สองสาวที่นั่งอยู่ห่างออกไปก็ตัดสินใจกระโดดมาเข้ากลุ่ม นกเล็กเหมือนลืมว่าตัวเป็นหญิงเผ่นผลุงทีเดียวแทบจะเกยขึ้นมาอยู่บนตักผม ส่วนไอ้จั๋วไอ้เดย์นี่แน่นอนว่าตอนนี้ติดกันเป็นแฝดสาม
“เว็ทอะมินิท! รอหน่อยๆ อยากรับมากจริงๆ! ขอเวลาหน่อย นิดหนึ่งๆ กำลังนึกคำอยู่ยยยยย!”
อยู่ๆไอ้จั๋วที่เบียดติดอยู่กับผมชนิดก้นเกยกันก็แหกปากออกมาแบบหมดลมหายใจจนแต่ละคนสะดุ้งเฮือก เกือบหัวใจวาย
“เว็ทอะมินิท! รอก่อนๆ อย่าพึ่งรีบวางหู! ฉันจะรีบบอกว่า ไอเลิฟยู เลิฟยู ที่เธอโทรมาาา!!”
“ไอ้ห่าจั๋ว!” ผมสะดุ้งถึงขั้นตีปีกเข้าสีข้างเพื่อน “เป็นอะไรของมึงเนี่ย อยู่ดีๆแหกปากร้องเพลงทำไมหา!?”
“กูร้องเพื่อชาตินะโว้ย! แหกปากออกไป ทำเสียงดังๆเข้าไว้ อะไรๆจะได้ไม่กล้าเข้ามา” ไอ้จั๋วเสือกทำเสียงกระซิบกระซาบระหว่างตอบคำถาม
“จะเอาแต่ใจ! จะเอาแต่ใจ! จะเอาให้เธอไป ใจกะตึก ใจกะตึก ใจกะตัก ใจกะตัก! ยะ ยะ ยะ ยะ อยากเจอ!!” สิ้นคำอธิบาย นกเล็กที่เกยอยู่บนตักผมก็แหกปากผสมโรงทันที
“พี่สาว ครับ! สวัสดี ครับ พี่ครับ! จำน้องชาย คนนี้ ได้ ก่อ จำได้ บ่ได้ ก็บอกมา ล้า ลาาาา!”
“เพียงเธอมาใกล้กัน! ใจมันสั่น สั่น สั่น และค่อนข้างเหงา เกิดอาการวิง วิง! เธอจะรักกันจริงรึเปล่า เวา เวา เวา เวา”
“เจอ กันเมื่อสอง สาม ปี ก่อน! ผม ยังละอ่อน และ ซน แก่น! ฮัก เป๋นพี่สาว บ่ได้เมาเอาเป๋นแฟน! พี่ก็ฮัก ผม เป็น น้องจายยย!”
เจอสองพลังเสียงเน้นความดังไม่เน้นทำนองของนกเล็กกับไอ้จั๋วเข้าไปเล่นเอาบอกไม่ถูกว่าเส้นประสาทจะหย่อนลงหรือขาดผึง แต่ดูจากสีหน้าอินจัดของคนร้องแล้วคิดว่าการแหกปากปลดปล่อยพลังเสียงน่าจะช่วยระบายความกลัวได้หลายส่วน ไอ้เดย์ที่เจอท่อนฮุคไอ้จั๋วซัดเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าถึงกับงัดคาราบาวขึ้นสู้ ส่วนมะลิกระโดดเข้าเป็นดูโอ่โฟร์มดทันใด
ผมที่ยังมึนจากปฏิกิริยาเพื่อนกว่าจะตั้งสติตัดสินใจคว้ากีต้าร์อากาศมาเกาเป็นเสกโลโซร่วมคอนเสิรติ์ ก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่แม้ว่าค่อนข้างแผ่วแต่ดันแว่วมาเข้าหู
“เฮ้ย เงียบก่อน!”
ผมโพล่งออกไปแล้วตระครุบปากไอ้จั๋วไอ้เดย์ไว้มั่น เกิดความเงียบขึ้นทันใด
“อะไรพี่!?” นกเล็กชะงักแล้วรีบกระซิบถาม
“ฟังสิ” ผมกระซิบตอบ “ได้ยินรึเปล่า?”
“… ได้ยินอะไรวะ?”
ไอ้เดย์ที่หน้าซีดเป็นกระดาษดับเบิ้ลเอกระซิบข้ามมาหลังจากเงียบกันไปเกือบนาที
“… นี่ไง เสียงนี่ไง!” ผมย้ำให้อีกสี่คนฟังตาม แต่กลับได้สายตาหวาดระแวงตอบกลับมา
“เสียงอะไรของมึงไอ้กิม กูไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” ไอ้จั๋วตอบมาเบายิ่งกว่าเบาโดยมีไอ้เดย์พยักหน้ายืนยัน
“พี่กิมอย่ามาเล่นอย่างนี้นะ! แค่นี้ลิก็ฉี่จะราดอยู่แล้ว” มะลิมองผมเหมือนเห็นผี
ผมที่โดนเพื่อนๆมองมาด้วยสายตาหวาดกลัวเลยเกิดอาการกลัวตัวเองขึ้นมาเฉียบพลัน ทำไมมีแต่กูที่ได้ยิน หรือหูจะแว่ว แต่ถ้าแว่วทำไมมันยังได้ยินอยู่เล่า
“ไอ้กิม… มึง โอเคเปล่าวะ” ไอ้จั๋วกระซิบถามมาด้วยสีหน้าที่พร้อมตีจากทุกเมื่อ
“กูปกติดีโว้ย! นี่ไง! ลองฟังดีๆสิวะ”
“…………”
“…………”
“จริงด้วย!” นกเล็กที่นั่งอยู่ชิดติดผมอุทานออกมาหน้าตาตื่น “มีเสียงจริงๆด้วย! แต่ แต่ เสียงอย่างนี้…”
“เสียงมันทำไม เสียงสัตว์รึเปล่าวะ” ไอ้เดย์สบตาผมเขม็ง ผมส่ายหน้า
“ไม่ ไม่ใช่” นกเล็กตอบเบายิ่งกว่าเบา
“เสียง เหมือน… เสียงคนร้อง”
คำตอบเบายิ่งกว่าเบาของนกเล็กเล่นเอาทุกคนแข็งค้างแม้แต่ตายังไม่กล้ากระพริบ ไอ้จั๋วที่ก้นเบียดติดอยู่กับผมเริ่มขยับขาจะตั้งเป็นท่าเตรียมโกย แล้วทุกคนก็ต้องเงี่ยหูฟังกันแบบกลั้นหายใจ
“……….”
“…… ว…”
“นะโม ตะสะ! อะระหะโต! ภะคะวะโต…” ไอ้จั๋วยกมือไหว้แบบมั่วซั่วทันทีที่เสียงลอยมาตามลม
“…… วูว ไ…”
“… ไ… จั๋… กม…”
“…… ไอ้… กิ…ม วู้ววว…”
ผมทะลึ่งขึ้นยืนก่อนสมองจะสั่งการทันทีที่ได้ยินเสียงกระท่อนกระแท่นลอยมาเหมือนชื่อตัวเองแล้วหันซ้ายขวาหน้าหลังหาที่มาของเสียง
“ทางนี้! วู้วววว!!”
ผมป้องปากตะโกนใส่ความมืดรอบตัวทันทีที่แน่ใจว่าฟังไม่ผิด
“ทางนี้! พวกเราอยู่ตรงนี้!! ไอ้จั๋วเอากิ่งไม้ใส่เพิ่มแล้วเป่าไฟเร็วเข้า!” ผมเตะขาสะกิดไอ้จั๋วที่ยังนั่งตะลึงตาค้าง
“วู้วว! ตรงนี้ๆ พวกเราอยู่ตรงนี้!!” สองสาวที่ตั้งสติได้รีบป้องปากผสานเสียงตะโกนไปรอบตัว
ไอ้เดย์ที่เริ่มได้ยินเสียงเรียกที่แว่วมายัดกิ่งไม้ใส่กองไฟแล้วฉีกปกหนังสือเพลงมาพัดเป็นการใหญ่ ไอ้จั๋วที่หน้ายังซีดหันไปหากองไฟแล้วลงมือสุมเชื้ออย่างแข็งขัน ส่วนผมรับหน้าที่แหกปากตอบเสียงเรียกพลางมองกราดไปในความมืด
เสียงที่ลอยมาตามลมเหมือนจะโหวกเหวกโวยวายใกล้เข้ามามากขึ้น มะลินกเล็กไอ้เดย์ไอ้จั๋วถึงขั้นแหกปากไปพร้อมกระโดดเหยง บ่งบอกว่าตื่นเต้นได้ที่ ส่วนผมตะโกนใส่ความมืดจนเสียงแหบเสียงแห้งเลยทิ้งก้นมาพัดกองไฟให้ควันขโมง เร่งมือพัดยิกๆจนจะเป็นตระคริว กะว่าถึงอีกฝ่ายตามทิศทางจากเสียงไม่เจอยังไงก็น่าจะเห็นควันไฟ
แล้วอยู่ๆเงาคนก็โผล่พรวดมาจากความมืด โผล่มาแบบพรวดเดียวถึงตัวไอ้จั๋วแล้วแทบจะพากันกลิ้งหลุนๆเข้ามาทับกองไฟ ชนเอาผมที่ยังนั่งยองๆกลิ้งโคโร่ตามไปเป็นคนที่สาม เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นรอบด้านพร้อมเสียงโห่ร้องอย่างยินดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
“ไอ้จั๋ว! ไอ้กิม! พวกมึงปลอดภัยใช่ไหม สาด สาด สาด! ทำกูเป็นห่วงแทบแย่”
เสียงไอ้อ่อนแว่วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ผมที่ยังแอ่นอกติดพื้นไม่สามารถมองเห็นหน้าว่าใครบ้างที่โผล่มาใหม่ เพราะโดนไอ้จั๋วตะแคงข้างอยู่กลางหลัง
“พวกกูต่างหากที่อยากจะด่า พวกมึงหลงไปอยู่แถวไหนกัน พวกกูเดินหาจนขาจะขวิดเสือกไม่มีใครให้เห็นหัว” ไอ้จั๋วที่ยังตะแคงข้างอยู่บนหลังผมออกปากเหมือนด่าแต่น้ำเสียงฟังออกว่าดีใจเหมือนถูกหวยชุด
“แล้วนี่ใครอยู่กับมึงบ้าง” เสียงไอ้จั๋วสะท้อนอยู่บนหลัง
“มีกู ไอ้โยม ไอ้บี ไอ้โอ้ ส้มโอ…” แต่ละชื่อที่หลุดจากปากไอ้อ่อนเล่นเอาผมแทบหมดแรงลุก ปล่อยไอ้จั๋วนั่งทับให้ใจหวิวๆกดแนบอยู่ติดพื้น
แต่แล้วจู่ๆน้ำหนักบนหลังก็หายเหมือนคนนั่งลุกพรวดออกไป ผมที่ยังแอ่นอกติดพื้นค่อยยันแขนล้าๆขึ้นจากดินก่อนจะได้ลุกพรวดขึ้นยืนเพราะความช่วยเหลือของมือที่ยื่นมือมาหิ้วปีก จังหวะที่หันไปเห็นหน้าเจ้าของมือเป็นจังหวะที่ไอ้อ่อนเลือกจะต่อประโยค
“… แล้วก็ไอ้มิค พวกกูหลุดมาหกคนตอนโดนเสือตัวเมียวิ่งไล่…”
ประโยคบอกเล่าของไอ้อ่อนหายวับไปกับอากาศ สิ่งที่สมองและสองตาผมมองเห็นคือหน้าขาวๆเหมือนไข่ปลอกเปลือกกับตาสีจางหนึ่งคู่ที่แสนจะคิดถึง ไอ้มิคยืนห่างออกไปเพียงแค่เอื้อมมือคว้า และโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายขยับ ผมก็โถมเข้าใส่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแบบทุ่มทั้งชีวิตจิตใจจนร่างสูงใหญ่ที่อ้าแขนออกรับเซถอยไปเกือบก้าว
ท่ามกล่างเสียงเอะอะโวยวายตะโกนถามนู่นนี่ของอีกหลายชีวิตที่เหลือ สิ่งที่ผ่านเข้ามาในสมองในความรู้สึกผมมีเพียงลมหายใจอุ่นร้อนกับเสียงทุ้มเข้มที่กระซิบเรียกชื่อกันอยู่ชิดติดหู เสียงเข้มกระซิบแผ่วแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ผิดกับแรงกอดกระชับจนแทบหายใจไม่ออกกับเสียงหัวใจอีกดวงที่สะท้อนอยู่ในอก
ปลายจมูกเย็นเฉียบกับริมฝีปากอุ่นร้อนที่ซุกเข้ามาข้างแก้มทำให้ผมคว้าคออีกฝ่ายเบียดเข้ามาให้ใกล้ยิ่งกว่าใกล้ เห็นอยู่ว่าสายตาสามสาวเริ่มมองมาอย่างติดใจสงสัย แต่นาทีนี้ผมลืมหมดละครับว่าใครเป็นใคร จะรู้จะสงสัยอะไร ขอเพียงได้กระชับอ้อมแขนกอดไอ้มิคตัวเป็นๆไว้แน่นๆ ขอแค่ให้มีคนที่คิดถึงแต่ผมยิ่งกว่าใครคนนี้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว
_____________________