บทที่ 13
“มาทำอะไรที่นี่!!..”
ร่างเพรียวสะดุ้งกับเสียงตวาด เงยหน้าขึ้นก็พบคุณเกียรติชัยยืนจ้องมองอย่างไม่ชอบใจ
“เลขาเตชิตใช่มั้ย!!.. ออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ..”
“เอ่อ.. ครับ” กานต์รวีลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีนอบน้อม
“แล้วมาทำอะไรที่นี่!!.. อย่าบอกนะว่ามาเยี่ยมเจ้านายเก่า”
กานต์รวีมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ...การมาเยี่ยมเจ้านายเก่าเป็นเรื่องผิดเหรอ.. ตั้งใจพูดดักคอแบบนี้จะให้เราตอบยังไง
“ผมมากับคุณกรัณย์กรครับ”
คำตอบของกานต์รวีทำให้นายเกียรติชัยแสยะยิ้มหันไปเหล่มองกรัณย์กรที่กำลังนั่งคุยกับบิดาของเตชิต
“อ้อ!!.. ที่แท้ก็เป็นคู่ขาของนายกร.. ไอ้หมอนี่มันแสบจริงๆ เลขาเพื่อนก็ไม่เว้น”
กานต์รวีหน้าชากับคำพูดเหน็บแนม เสียงใสสวนกลับอย่างไม่เกรง
“ผมไม่ได้เป็นคู่ขาคุณกรครับ อย่าเข้าใจผิด คุณกรเป็นทนายว่าความให้ผม”
“โอว!!.. ให้เจ้ากรว่าความให้งั้นเหรอ.. แล้วไง!!.. ทนายกับลูกความเป็นคู่ขากันไม่ได้หรือไง..”
“คุณเกียรติชัย!!..”
กานต์รวีเสียงสั่น รู้สึกโกรธมากแต่สถานที่และบรรยากาศไม่เอื้ออำนวยให้เขาตอบโต้ด้วยความรุนแรง
“ว่าไง~~ ไอ้หนู..” เกียรติชัยลอยหน้ายียวน
“ที่จริงฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะเป็นคู่ขากับใคร แค่ข้องใจว่าอดีตเลขาหนุ่มมานั่งหน้าเศร้าอยู่หน้าห้องไอซียูด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ หรือว่ากำลังนั่งภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้เจ้านายเก่ารอดตาย หือ..”
“ถูกต้องครับ อาเกียรติชัย.. ไม่ใช่แค่คุณวี.. ผม คุณลุงและทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ต่างก็ช่วยกันภาวนาให้เตชิตปลอดภัยทั้งนั้น..”
กรัณย์กรก้าวมายืนเคียงข้างกานต์รวี
“ผมเป็นทนายส่วนตัวของคุณวี.. ผมชวนคุณวีมาด้วยเพราะเค้าเคยทำงานกับเตชิต ใครที่รู้จักเพื่อนผมต่างก็รักและเป็นห่วงเขาทุกคน
หรือว่าอาไม่ได้คิดแบบเดียวกับเรา..”
เกียรติชัยสะอึกก่อนย้อนกลับเสียงดังให้ทุกคนในบริเวณนั้นได้ยิน
“พูดจาดีๆ นะโว้ย เจ้ากร.. ถ้าฉันไม่ห่วงจะถ่อมายืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ทำไม!!.. งานที่บริษัทตอนนี้กำลังยุ่ง โครงการใหม่กำลังจะเปิด คงไม่พ้นฉันต้องเข้าไปช่วยดู..”
เกียรติชัยตีหน้าเครียดผละจากกรัณย์กรเข้าไปคุยกับคุณเชิดศักดิ์ บิดาเตชิต
“งานที่บริษัทต้องมีคนดูแล ผมจะเรียกประชุมฝ่ายบริหาร อยากให้พี่ช่วยไปสั่งการว่าจะเอายังไง.. ถ้ายังไงผมขออาสาช่วยดูงานแทนเตชิต..”
เชิดศักดิ์นิ่งเฉยไม่มองหน้าน้องเขย
“จะบ้าเหรอ!! คุณชัย.. มาพูดเรื่องงานอะไรเวลานี้!!..” เสียงใสของภรรยาแหวใส่สามี
“อ้าว!!.. ม่พูดตอนนี้จะให้พูดตอนไหน โครงการใหม่จะเปิดในสัปดาห์หน้าแล้วนะครับพี่..”
“ไม่จำเป็น ดูแลงานในหน้าที่ของแกให้ดีก็พอ.. ”
เชิดศักดิ์ตอบกลับน้ำเสียงเรียบ หากแต่เด็ดขาดและแฝงอำนาจไว้จนอีกฝ่ายไม่กล้าเซ้าซี้ต่อคำด้วย เครือวัลย์ค้อนสามีนึกสมน้ำหน้าในใจที่ไม่รู้จักเลือกเวลาพูดให้เหมาะสม..
ร่างสูงของหนุ่มใหญ่เดินจ้ำอ้าวหน้าตื่นมาพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองคน
“คุณเตชิตเป็นยังไงบ้างครับท่าน..”
“เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด กระสุนเฉียดหัวใจ ยังรอดูอาการอยู่.. งานที่บริษัทช่วงนี้คงต้องฝากคุณดูแลนะ ณรงค์..”
“อย่าเป็นห่วงเลยครับ ท่าน.. เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว”
เกียรติชัยชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อกรรมการผู้จัดการของรามิลกรุ๊ปมาฮุบความหวังของเขาไป
“ผมมีธุระต้องทำ ขอตัวก่อน!!..”
เกียรติชัยกระแทกเสียงและผลุนผลันจากไปอย่างไร้มารยาท เชิดศักดิ์ส่ายหน้าเหนื่อยใจ
:เศร้า1:
“ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับ คุณกร..”
“เดี๋ยวซี!!.. เมื่อกี้คุณลุงถามว่าคุณเป็นใคร ผมยังไม่ได้แนะนำคุณกับท่านเลย..”
“เอ่อ.. ต้องแนะนำด้วยเหรอครับ ผมว่าอย่าดีกว่า ท่านกำลังยุ่งและมีเรื่องไม่สบายใจอยู่..”
กานต์รวีเคยเห็นรูปคุณเชิดศักดิ์ในห้องประชุม ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นท่านประธานที่ตัวเองต้องทำงานด้วย ตัวจริงดูอ่อนโยนและใจดีกว่ารูปที่เห็น สีหน้าเครียดของบิดาเตชิตขณะกำลังคุยกับพนักงานฝ่ายบริหารของบริษัททำให้กานต์รวีรู้สึกเห็นใจ
..นอกจากจะห่วงลูกชายแล้ว คุณเชิดศักดิ์คงเป็นห่วงเรื่องการโกงกินของนายเกียรติชัยด้วย...
“ผมกลับก่อนดีกว่าครับ คุณกร..”
“อีกสักครู่ได้มั้ย เดี๋ยวกลับพร้อมผม ผมจะไปส่ง..”
“ได้ครับ..”
กานต์รวีรับคำและทรุดตัวลงนั่งด้วยอาการห่อเหี่ยว ใจจริงอยากเฝ้าคอยจนกว่าจะแน่ใจว่าคุณเตชิตปลอดภัยแล้ว เพราะถึงกลับไปก็คงกระวนกระวายใจและเป็นห่วงจนนั่งไม่ติด แต่อยู่.. ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ทุกคนที่นี่ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับคุณเตชิต นอกจากคนในครอบครัวและญาติสนิทแล้ว ยังมีพนักงานกลุ่มหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ด้วยความเป็นห่วง...
นายแพทย์หนุ่มใหญ่เดินสีหน้าเครียดออกจากห้องไอซียู บิดาเตชิตรีบลุกขึ้นถามไถ่อาการลูกชาย
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณหมอ..”
“ผมยังให้คำตอบไม่ได้ ต้องรอดูอาการถึงพรุ่งนี้เช้า แต่ถ้าคนไข้จิตใจไม่สงบผมเกรงว่า.. คืนนี้อาการอาจจะทรุดลง”
“หมายความว่ายังไงครับหมอ..”
“คนไข้มีปัญหาอะไรก่อนจะถูกลอบยิงรึเปล่าครับ..”
“ปัญหา?” เชิดศักดิ์นึกถึงปัญหางานที่เตชิตแบกรับอยู่
“ปัญหางานที่บริษัทรึเปล่าครับ ลูกผมเป็นห่วงเรื่องนี้มาก”
“ไม่แน่ใจครับ แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ คนไข้เหมือนพยายามจะเรียกใคร ใช่มั้ยคุณรส..” หมอหันไปถามพยาบาล
“ค่ะ.. คนไข้กระสับกระส่ายและออกเสียงเรียก แต่ฟังไม่เป็นคำพูดค่ะ”
บิดาเตชิตสีหน้าวิตก ...ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องงานแล้วลูกยังมีปัญหาหนักใจเรื่องอื่นอีก...
“มีใครพอจะรู้มั้ย ว่าเตชิตมีปัญหาอะไรกับใคร..”
เชิดศักดิ์หันไปถามภรรยาและสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ต่างก็ส่ายหน้าปฏิเสธ หันมาทางกลุ่มผู้บริหารของรามิลก็ไม่มีใครรู้ จึงกล่าวกับกรัณย์กรเหมือนเป็นความหวังสุดท้าย
“ไม่มีใครรู้เลย เราล่ะ กร.. นายชิตคบกับใครอยู่ มีคุยอะไรให้ฟังรึเปล่า เป็นเพื่อนกันน่าจะรู้บ้างนะ..”
“เอ่อ..” กรัณย์กรหันไปถามพยาบาล “ฟังไม่ออกสักนิดเลยหรือครับ.. คนไข้ออกเสียงยังไงครับ..”
“เป็นเสียงครางค่ะ อี~~ อี~~ ประมาณนี้ล่ะค่ะ”
กรัณย์กรครุ่นคิด ... เรื่องที่เขาพูดคุยกับเตชิตในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคดีของกานต์รวี...
...คุณวี~~ วี~~ วี~~~~~ ….
กรัณย์กรเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งชะเง้อและเงี่ยหูฟังอยู่ห่างๆ กานต์รวีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก จึงไม่กล้าเข้ามายืนฟังด้วย
“ถ้ารู้ว่าเป็นใคร จะทำยังไงหรือครับ”
“หมออยากให้เข้าไปคุยและช่วยให้กำลังใจคนไข้หน่อย จิตใจสงบ ร่างกายจะได้พักผ่อนและมีกำลังต่อสู้..”
“เรารู้หรือกร.. เป็นใครรีบติดต่อเร็วเข้า!!..” บิดาเตชิตเร่งกรัณย์กรด้วยความกังวลและเป็นห่วงลูกชาย
“ผมไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า.. ”
“ลองดูก็ไม่เสียหาย รีบโทรหาเธอเลย อย่าชักช้า”
“ไม่ใช่เธอครับ แล้วก็ไม่ต้องโทร เขาอยู่ที่นี่แล้ว..”
:เศร้า1: