บทที่ 9 “มีธุระอะไร!!..”
“อ้าว!!.. ทำไมทักกันอย่างนี้ล่ะครับท่าน ผมมาหาท่านต้องมีธุระด้วยเหรอ..”
“เออซีวะ!!.. ฉันไม่มีเวลาว่างเหมือนคนบางคนที่อ้างว่างานเยอะ แต่กลับมีเวลาไปเดินพักผ่อนในสวนสาธารณะกับครอบครัวของคนอื่น ”
กรัณย์กรอึ้งไปอึดใจก็หัวเราะก๊ากกับคำพูดค่อนขอดของเพื่อน
“ ฮะ ฮะ ฉันไม่แปลกใจเลยว่ะที่นายรู้ แต่สงสัยว่าถ้านายหมายถึงคุณวีกับเจ้าหนูโมจิเป็นครอบครัวของคนอื่นล่ะก็ คนอื่นที่ว่าน่ะ.. ใครเหรอ..”
คิ้วเข้มขมวดเมื่อเจ้าเพื่อนแมวขโมยจอมแสบย้อนกลับ ร่างสูงลุกพรวดขึ้นโน้มกายเข้าไปกระชากคอเสื้อกรัณย์กร
“อย่ามาแกล้งโง่ ไอ้คาเบะ!!.. แกเป็นคนบอกให้ฉันห่างเขาเพื่อรูปคดีจะได้ง่ายขึ้น พอฉันห่างมา แกกลับไปแอบสนิทสนมตีท้ายครัวฉัน ไอ้เพื่อนทรยศ!!..”
“โอ๊ะ!!.. ฉันเปล่านะโว้ย~~ หายใจไม่ออก ไอ้บ้า!!.. ปล่อย~~”
เตชิตปล่อยมือ แต่ยังตะคอกใส่อย่างหัวเสีย
“แกไปหาวีทำไม!!.. มีความจำเป็นอะไรต้องไปหาเค้าที่บ้านทุกวัน หา!!..”
“ฉันไปทุกวันที่ไหน แค่วันเว้นวันเอง”
“ไอ้หน้าด้าน!!.. วันเว้นวันก็บ่อยแล้วโว้ย!!..”
กรัณย์กรชักฉุนลุกพรวดขึ้นยืนเถียง
“ทนายมีเรื่องต้องคุยกับลูกความทุกวันไม่ใช่เรื่องแปลกโว้ย!!..
คนเป็นเจ้านายหวงลูกน้องซีวะแปลกกว่า.. แกกลัวฉันจะจีบคุณวีรึไง ฉันไม่ใช่ทนายรับจ้างมานะโว้ย!!.. ฉันเป็นเพื่อนแก ไม่ใว้ใจแล้วเรียกฉันมาทำคดีทำไม!!.. ถามจริงๆ เถอะ นายรู้ตัวหรือเปล่าว่ารู้สึกยังไงกับคุณวี นี่มันไม่ใช่แค่ชอบพอธรรมดาแล้ว นายรักคุณวีถึงขนาดอยากเป็นครอบครัวเดียวกับเค้า ใช่มั้ย!!.. ทาโร่..”
เตชิตจ้องหน้าเพื่อนนิ่งไปอึดใจ ก่อนทรุดตัวลงนั่งกล่าวน้ำเสียงเรียบเหมือนไม่มีเรื่องฉุนเฉียวก่อนหน้า
“มีธุระอะไรก็ว่ามา อีก 10 นาที ฉันจะเข้าประชุมแล้ว”
กรัณย์กรทรุดตัวลงนั่ง นึกหมั่นไส้เพื่อนที่เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่ตอบคำถามเขา เตชิตเคยหัวเราะเมื่อรู้ว่าเขาชอบนอนกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงและถามว่าผู้ชายมีอะไรดี อ่อนหวานนุ่มนวลสู้ผู้หญิงก็ไม่ได้ ตอนนี้เขาอยากย้อนถามกลับไปมั่งว่าคุณวีมีอะไรดีวะ ถึงหลงรักหัวปักหัวปำ.. ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนล่ะก็ หึ!!.. ฉันแย่งคุณวีจากแกแน่ไอ้ทาโร่..
กรัณย์กรนึกเขม่นเพื่อนแค่ในใจ ไม่ได้ต่อความยาวให้เสียอารมณ์ต่อกัน
“ฉันมาแจ้งความคืบหน้าเรื่องคดีของคุณวี.. ศาลนัดสืบพยานวันจันทร์ 9 โมงเช้า แต่คุณวีไม่มีพยานสนับสนุนแล้ว เมื่อไม่มีพยานศาลก็อาจตัดสินเลย”
“เกิดอะไรขึ้น!!.. ทำไมถึงไม่มีพยาน วันนั้นวีเพิ่งโทรบอกฉันว่าได้พยาบาลห้องคลอดช่วยเป็นพยานให้แล้วนี่..”
“เธอโทรมาหาฉันขอยกเลิกการเป็นพยาน เธอถูกยื่นข้อเสนอจากตระกูลเฉลิมวงศ์ให้เข้าทำงานในตำแหน่งและเงินเดือนที่ดีกว่าในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนใจเพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัว”
เตชิตพึมพำสบถสีหน้าร้อนใจและเป็นทุกข์
“แล้วนายจะทำยังไง จะปล่อยให้วีแพ้ไม่ได้นะ คาเบะ.. นายสัญญากับฉันแล้วว่าวีต้องชนะ ”
“ไม่ต้องห่วง เพื่อน.. ฉันมีแผนสองสำหรับคุณวี.. และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันต้องไปหาเค้าบ่อยๆ ยังไงซะโมจิต้องได้อยู่กับอาวีแน่ นายทำตัวให้ว่างและไปนั่งฟังคำตัดสินอย่างสบายใจได้เลย”
“นายมั่นใจแค่ไหน ว่าวีจะชนะ”
กรัณย์กรยิ้มและตอบอย่างมั่นใจ
“99.99% มั่นใจพอมั้ยครับท่าน”
เตชิตยิ้มออก สีหน้าคลายกังวล
“ถ้างั้นฉันไม่ต้องทำตัวห่างจากวีแล้วใช่มั้ย ฉันไปหาเขาที่บ้านได้รึยัง”
“เอ่อ..
ถ้าจะให้ดีรอให้คดีเสร็จก่อนเถอะ แต่แค่เลี่ยงไม่พบเจอก็พอ ไม่ต้องถึงกับทำตัวเหินห่างมาก โทรไปพูดคุยถามทุกข์สุขบ้างก็ได้..”
สถานการณ์ตอนนี้เตชิตไม่ต้องเลี่ยงการพบปะกับกานต์รวีแล้ว แต่กรัณย์กรยังนึกหมั่นไส้เพื่อนอยู่ ไม่ปฏิเสธว่าไม่ชอบคุณวี แต่ไม่ยอมพูดออกจากปากว่าชอบ แบบนี้ต้องแกล้งไม่ให้เจอหน้านานๆ จะได้รู้ว่า
...เวลาคิดถึงคนรักที่เป็นผู้ชาย มันต่างจากคนรักที่เป็นผู้หญิงยังไง... เห็นสีหน้าเพื่อนหงอยลงกรัณย์กรรีบตัดบทลุกขึ้นขอตัวกลับก่อนจะใจอ่อน เตชิตลุกขึ้นเดินตามไปส่งหน้าลิฟต์
“แผนสองที่ว่าคืออะไร”
“ฉันอยากให้นายถามเรื่องนี้จากคุณวีเอง”
“เพราะอะไร ”
“คุณวีขอร้องให้ปิดนายไว้ก่อน...”
“ปิดฉัน?”
“เขาอยากให้นายเซอร์ไพรส์มั้ง”
ประตูลิฟต์เปิดออก ร่างสูงโปร่งเดินก้าวเข้าไป
“เดี๋ยว!!..” เตชิตเอามือกันประตูค้างไว้
“วีมีพูดอะไรถึงฉันบ้างรึเปล่า”
กรัณย์กรเลิกคิ้ว
“ถามทำไมครับ ท่านประธาน..”
“คาเบะ!!..” น้ำเสียงตวาดบอกให้รู้ว่าอาการไม่สบอารมณ์กำลังเริ่มขึ้นอีกแล้ว
“ยอมรับมาก่อนว่าท่านรักอาวีของโมจิ ผมถึงจะบอกว่าคุณวีพูดถึงท่านยังไงบ้าง”
คิ้วเข้มขมวดเมื่อกรัณย์กรลอยหน้าลอยตาพูดใส่ เสียงทุ้มลอดไรฟันตอบทุกเรื่องที่อีกฝ่ายอยากให้เขาพูด
“ฉันรักกานต์รวี.. รักโมจิ... รักทั้งอาและหลาน อยากอยู่ร่วมเป็นครอบครัว พอใจรึยัง ” “โอเค!!.. อยากรู้ก็จะบอกให้ คุณวีไม่ได้พูดถึงนายเลย คุยเรื่องคดีจบฉันก็จะคุยเรื่องอื่นๆ ที่ช่วยให้เขาสบายใจ และช่วยให้หายเหงาไม่คิดถึงใครบางคน.. ”
ร่างสูงยืนนิ่งมือยันประตูค้างไว้เหมือนต้องการคำตอบที่กระจ่างกว่านั้น แต่กลับถูกอีกฝ่ายผลักถอยออกมา
“โทรหาตอนนี้เลยซีครับท่าน จะได้ชุ่มชื่นหัวใจก่อนเข้าประชุม”
เสียงกระเซ้าก่อนประตูลิฟต์จะปิดลง
3 ทุ่ม
กานต์รวีวางร่างเล็กนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ
วันนี้โมจิไม่ยอมนอนง่ายๆ ทั้งที่เมื่อกลางวันก็ไม่ได้นอนเต็มอิ่ม ปกติถ้าอุ้มกล่อมไม่ถึง 5 นาทีก็หลับแล้ว วันนี้ทำยังไงก็ไม่ยอมนอน แถมยังร้องไห้โยเยจะให้อุ้มท่าเดียว ให้นั่งเล่นหรือนอนเล่นก็ไม่ยอม เขาต้องอุ้มกระเตงอยู่เป็นชั่วโมงจนในที่สุดก็ผล็อยหลับซบอกไป
“หลับฝันดีนะคร้าบ ตื่นมาไม่ร้องไห้โยเยแล้วนะลูก~~ ”
กานต์รวีห่มผ้าและจุ๊บแก้มนุ่มของหลานเบาๆ ตั้งแต่พี่ชายและพี่สะใภ้จากไป ถ้าทั้งคู่ไม่ทิ้งทารกน้อยไว้ให้ เขาคงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังในโลก ดังนั้นแม้คนอื่นจะมองว่าการดูแลหนูน้อยเป็นภาระที่ใหญ่หลวง แต่สำหรับเขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นภาระเลย โมจิช่วยเติมเต็มความสุขในชีวิตให้เขา เขาจะไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากชีวิตน้อยๆ นี้ไปจากอ้อมอก นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่ใช่แค่อาวีแต่จะอยู่ในฐานะพ่อของโมจิด้วย ครอบครัวพี่สะใภ้จะว่าร้ายยังไงเขาไม่สนใจ รู้อย่างเดียวว่าเขาเสียโมจิให้ใครไม่ได้..
กานต์รวีเหลือบดูเวลาก่อนเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือเรียกดูเบอร์
... เขาบอกว่าจะโทรมาตอน 2-3 ทุ่ม ให้เราคอยรับโทรศัพท์... เมื่อตอนบ่ายโทรมาแล้วยังไม่ทันได้คุยกันเลขาก็มาเชิญเข้าห้องประชุมซะก่อน...
“วีเหรอ.. ทำอะไรอยู่ คุยได้มั้ย..”
“เอ่อ.. ทำบัญชีของคุณภา แต่ไม่ยุ่งครับ คุยได้..”
“นายกับโมจิเป็นไงบ้าง สบายดีรึเปล่า..”
“สบายดีครับ”
...มีเสียงผู้หญิงแทรกเข้ามาว่าที่ประชุมพร้อมแล้วค่ะ..
“แค่นี้ก่อนนะ วี.. คืนนี้จะโทรหาประมาณ 2-3 ทุ่มนะ” ใบหน้าหวานอมยิ้ม ^__^ นึกถึงน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อตอนบ่ายแล้วความน้อยใจที่มีอยู่แทบจะมลายหายไปในนาทีนั้น ได้คุยกันคืนนี้เขาจะบอกเรื่องที่รับโมจิเป็นลูกให้รู้ด้วยเลย เพราะถ้าไม่บอกแล้วไปรู้เรื่องที่ศาลวันนั้นต้องโกรธใหญ่โตแน่