กานต์รวีเหลือบมองเวลาที่ผนัง อีก 15 นาที จะหนึ่งทุ่มแล้ว
...ทำไมยังมาไม่ถึงอีก หรือว่างานยุ่งจนปลีกเวลามาไม่ได้ คงไม่หรอกมั้ง รับปากแล้วว่าจะเข้ามาก็แปลว่าต้องมาได้ สงสัยรถคงติดมั้ง...
ร่างเพรียวลุกพรวดขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน ชะเง้อดูก็แย้มยิ้มด้วยความดีใจก่อนก้มลงอุ้มร่างเล็กที่นั่งเล่นอยู่ในรถเข็นขึ้นมา
“คุณลุงมาแล้ว ไปรับลุงทาโร่กัน โมจิ..”
คิ้วเรียวขมวดเมื่อพบว่าเตชิตไม่ได้มาคนเดียว ร่างสูงเดินเคียงมากับหญิงสาวรูปงาม ชุดที่เธอสวมเหมือนกับจะไปออกงานกาล่าดินเนอร์
“หวัดดีครับ” กานต์รวีเอ่ยทักก่อนตามมารยาท
“คอยนานรึเปล่า วี.. พอดีแวะรับคุณภาศิรา ก็เลยมาช้าหน่อย”
“สวัสดีค่ะ คุณเลขา จำภาได้มั้ยคะ”
หญิงสาวเอ่ยทักเสียงหวาน กานต์รวียืนงงอยู่อึดใจก็จำได้ว่าเธอเป็นแขกคนสำคัญที่ประธานเตชิตเคยรับรองในห้องทำงานอย่างสนิทสนม
“จำได้ครับ สวัสดีครับคุณภาศิรา” กานต์รวีน้อมศีรษะทักทายอย่างมีมารยาท เขาอุ้มหลานอยู่ไม่สามารถยกมือไหว้ได้
“หลานน่ารักจังเลยนะคะ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเคยเห็นแว่บๆ ที่ทำงานด้วย กี่เดือนแล้วคะเนี่ย..”
“จะแปดเดือนแล้วครับ”
“จ้ำม่ำน่ารักจริงๆ ด้วยค่ะ ทาโร่.. ถ้าน้าสาวชนะคดีแล้วได้ตัวแกไป คุณวีคงเสียใจแย่เลยนะคะ”
“ไม่มีทาง ยังไงวีก็ต้องชนะ ผมให้เจ้ากรดูแลคดีนี้ สั่งมันแล้วว่าแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ”
กานต์รวีตกใจ นึกไม่ถึงว่าเตชิตจะเล่าเรื่องส่วนตัวของเขาให้เธอฟัง
“คุณภาเป็นเจ้าของบริษัท แลนด์สเคป รับจัดสวนในโครงการรามิลกรุ๊ป เธอมีงานบัญชีให้คุณทำ..”
ร่างเพรียวยืนนิ่ง คำเรียกชื่อที่แสดงความสนิทสนมระหว่างคนทั้งสอง ในขณะที่คำเรียกแทนตัวเขาเปลี่ยนจากนายเป็น ‘คุณ ’ ทำให้กานต์รวีรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเตชิตย้อนกลับไปสู่จุดเดิม ตอนนี้ร่างสูงตรงหน้าอยู่ในฐานะเจ้านาย ส่วนเขาเป็นเพียงลูกจ้างเท่านั้น
กานต์รวีกอดร่างเล็กในอ้อมแขนแน่นขึ้นเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้กับตัวเอง โมจิเห็นหน้าเตชิตก็โผเข้าหาจะให้อุ้มด้วยความคุ้นเคย กานต์รวีรีบรั้งร่างเล็กไว้และก้าวถอยออกมา
...อย่า!! ลูก.. วันนี้เขาไม่ใช่ครอบครัวของเรา... “เชิญเข้าบ้านก่อนครับ.. ผมเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว”
“โอ! ขอโทษด้วยวี.. พอดีคุณภาชวนไปดูแฟชั่นโชว์ ผมมีนัดกับคุณก็เลยแวะเข้ามาก่อน แต่คงไม่ได้อยู่กินข้าวด้วย”
ทั้งที่รู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างมากแต่กานต์รวีก็ยิ้มให้คนทั้งคู่และเชื้อเชิญเข้าไปนั่งในบ้านตามมารยาท
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเชิญนั่งก่อน.. คุณภาจะดื่มอะไรดีครับ..”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณวี.. เราสองคนต้องไปดินเนอร์ที่งาน มานั่งคุยเรื่องงานบัญชีกันดีกว่า..”
“เอ่อ.. ครับ”
หญิงสาวมีท่าทีเร่งรีบเหมือนอยากจะรีบไปงาน ทำให้กานต์รวีต้องรีบทรุดตัวลงนั่งคุยด้วย เตชิตเข้ามาขอรับเจ้าตัวเล็กไปอุ้ม หนูน้อยเห็นหน้าก็โผเข้าหาทันที
“ไปเดินเล่นข้างนอกกับลุงก่อน โมจิ.. ไม่ได้เจอตั้งหลายวันคิดถึงลุงมั้ย หือ..”
จมูกโด่งหอมแก้มนุ่มของเจ้าตัวน้อยหลายฟอดใหญ่ กานตร์รวีมองตามหลังร่างสูง สีหน้านิ่งเฉยแต่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม ??
“คุณทาโร่บอกว่าคุณวีต้องการรับงานมาทำที่บ้าน เพราะต้องเลี้ยงหลานไปด้วย ภามีงานให้คุณวีทำ ทุกเดือนจะให้คนนำเอกสารและรายการที่จะลงบัญชีมาให้ค่ะ...”
กานต์รวีนั่งพูดคุยเรื่องงานกับหญิงสาว แต่จิตใจกลับพะวงไปนอกบ้าน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ 5 วันที่ไม่ได้เจอกัน ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนไปได้...
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณวีจะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ ”
การพูดขณะเคี้ยวอาหารถือเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ แต่กับลูกความหนุ่มผู้นี้กรัณย์กรรู้สึกเป็นกันเองมากจนไม่จำเป็นต้องวางฟอร์มกัน
“อร่อยก็ทานเยอะๆ เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ” กานต์รวีอุ้มร่างเล็กไว้ที่ตักและนั่งทานอาหารไปด้วย
เตชิตพาหญิงสาวกลับออกไปไม่กี่นาที กรัณย์กรก็แวะมาหา เขามีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับกานต์รวี และเป็นทางผ่านกลับบ้านพอดีจึงแวะเข้ามาโดยไม่ได้นัดไว้
แม้จะเสียใจที่ทำอาหารไว้คอยเก้อ แต่เมื่อกรัณย์กรแวะมา กานต์รวีก็รู้สึกดีใจจึงเชื้อเชิญให้ทานอาหารด้วยกัน
“ถ้ารู้ว่าคุณทำอาหารอร่อยแบบนี้ ผมแวะมาขอกินข้าวทุกวันแล้ว นึกแล้วอิจฉาเจ้าทาโร่มัน คงได้กินอาหารอร่อยฝีมือคุณเกือบทุกมื้อเลย”
“เอ่อ.. ผมไม่ได้ทำทุกวันหรอกครับ บางวันก็ซื้อกิน หรือไม่ก็ทำอาหารง่ายๆ แล้วคุณเตชิตก็ไม่ได้แวะเข้ามาทุกวัน ช่วงนี้เขางานยุ่งมากไม่ค่อยมีเวลามาครับ ” ต่อหน้ากรัณย์กร กานต์รวีเคยเรียกเตชิตว่าทาโร่ แต่วันนี้ไม่กล้าเรียกชื่อนี้แล้ว
ทนายหนุ่มพยักหน้าหงึก
“แสดงว่าวันนี้ผมโชคดี ประธานเตชิตมีนัดกับแฟนสาว ผมก็เลยได้กินอาหารอร่อย ฮะ ฮะ”
กานต์รวีรู้สึกเจ็บแปลกๆ ในอก กับประโยคที่ว่า ประธานเตชิตมีนัดกับแฟนสาว ใบหน้าหวานฝืนยิ้มให้ทนายและตัดบทไปคุยเรื่องอื่น
“ครับ ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ เลย กินไปคุยไปดีมั้ยครับ คุณกร.. ที่ว่ามีเรื่องสำคัญมาแจ้ง เรื่องอะไรเหรอครับ..”
“เอ่อ.. ผมว่าเดี๋ยวเราคุยกันหลังอาหารดีกว่า คุยไปจิบกาแฟไป บรรยากาศดีกว่าเยอะครับ..”
กรัณย์กรเลี่ยงไม่พูดคุยเพราะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขาอยากให้กานต์รวีกินข้าวให้อิ่มก่อน เพราะขืนพูดอะไรออกมา นอกจากคุณอาหนุ่มหน้าหวานผู้นี้จะกินข้าวไม่ลงแล้ว ยังอาจทำให้เขาต้องวางมือจากอาหารอร่อยตรงหน้าไปด้วย
“เพราะอะไรครับ ทำไมเธอถึงปฏิเสธ”
“ตระกูลเฉลิมวงศ์เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เสนอผลประโยชน์ให้เธอเข้ารับงานในตำแหน่งและเงินเดือนที่ดีกว่าที่ทำอยู่ เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนใจเพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัว ผมให้เธอโทรมาคุยกับคุณเอง เธอขอให้ผมบอกแทน เธอไม่กล้าคุยกับคุณเพราะรู้สึกละอายใจ”
ใบหน้าหวานสลด ริมฝีปากบางเม้มแน่น
“ถ้าไม่มีพยานเลย ผมจะแพ้ใช่มั้ยคุณกร..”
น้ำใสเอ่อรื้นดวงตาคู่สวยจนทนายหนุ่มแทบอยากจะเข้าไปกอดปลอบ
“คุณวีครับ.. ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมพยายามหาช่องทางให้มากที่สุด แต่ต้องยอมรับว่าการที่คุณไม่มีพยานบุคคลหรือพยานหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าพี่ชายและพี่สะใภ้มีความประสงค์ที่จะให้คุณเป็นคนเลี้ยงดูหลาน ก็เท่ากับว่าทั้งคุณและคุณลดามณีซึ่งอยู่ในฐานะอากับน้าของหลาน ต่างก็มีโอกาสที่จะได้เลี้ยงดูและเป็นผู้ปกครองเด็กเท่ากัน การมีพยานรู้เห็นและยืนยันกับศาลว่าคุณมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูเด็กได้อย่างดีจะทำให้คุณมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น แต่ผลชี้ขาดจริงๆ อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล”
“นอกจากพยานแล้ว มีวิธีอื่นที่จะช่วยให้ผมมีโอกาสมากกว่าคุณลดามณีมั้ยครับ..”
ใบหน้าหวานหม่นเศร้าแต่น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้
“เอ่อ.. ถ้าผมเป็นศาล ผมจะไม่คิดถึงฐานะการเงินเป็นประเด็นหลัก ผมจะคำนึงถึงความรักความเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูเด็กโดยเฉพาะเด็กทารก ซึ่งประเด็นนี้คุณมีภาษีเหนือกว่าตรงที่ช่วยเลี้ยงดูแกมาตั้งแต่แรกเกิด แต่ศาลอาจไม่ได้คิดแบบผม ศาลอาจมองถึงอนาคตของเด็ก และคำนึงถึงฐานะและความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กของคู่ความ”
“คุณกรหมายถึงโมจิอยู่กับผมจะไม่มีอนาคตงั้นเหรอ..”
“นี่ไม่ใช่ความเห็นของผม ผมสมมติว่าอาจเป็นดุลยพินิจของศาล”
“สรุปแล้วผมมีโอกาสที่จะแพ้ใช่มั้ยครับ.. ฮึก.. ”
ร่างเพรียวสะท้านน้ำตาร่วงผล็อย ถ้าร่างสูงที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตอนนี้เป็นคนคนนั้น กานต์รวีคงโผซบอกร้องไห้โฮแล้ว
กรัณย์กรใจหายวาบ เห็นกานต์รวีร้องไห้แล้วนึกถึงเตชิตขึ้นมาทันที รู้สึกเย็นสันหลังวาบกับคำสั่งของเพื่อน ...ต้องทำทุกวิถีทางที่จะให้กานต์รวีชนะคดี ถ้าวีต้องเสียน้ำตาเพราะแพ้คดีนี้ล่ะก็ ฉันเอาเรื่องนายแน่ คาเบะ.. เรื่องแรกเลยก็คือ นายต้องชดใช้หนี้ที่ยืมฉันไปทั้งต้นทั้งดอกภายใน 3 วัน..
“อย่าร้องไห้คุณวี.. คุณยังไม่ได้แพ้ ผมแค่สมมติให้ฟัง ผมตั้งใจมาหารือกับคุณเพื่อตั้งรับสถานการณ์นี้ด้วย หากคดีนี้ศาลชี้ขาดให้ฝ่ายโน้นได้เด็กไป ผมอยากให้คุณสู้ต่อด้วยการร้องขอเป็นผู้ปกครองร่วม เพราะโอกาสจะเป็นไปได้มากกว่า”
“ยังไงครับ”
“คุณต้องร้องขอมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูเด็ก กรณีนี้ศาลอาจเห็นใจและกำหนดเวลาให้เด็กได้อยู่กับคุณบ้าง”
กานต์รวีนั่งนิ่ง นึกถึงภาพที่หลานชายตัวน้อยถูกน้าสาวพรากไปจากอ้อมกอดของเขาก็รู้สึกเจ็บร้าวที่อก ร่างเพรียวสะท้านอย่างหนักและปล่อยโฮออกมาอย่างหมดความอดกลั้น
“ผมทำไม่ได้ ฮือ~~ พี่ดลไม่ต้องการให้โมจิไปอยู่กับพวกเค้าหรอก พวกนั้นดูถูกพี่ชายผม หาว่าพวกเราเป็นลูกเจ๊ก แต่กลับจะมาเอาลูกของเขาไป ผมยอมไม่ได้หรอกครับ พี่ดลต้องนอนตายตาไม่หลับ ผมรับปากพี่แล้วว่าจะดูแลโมจิอย่างดี ผมจะผิดสัญญากับพี่ได้ยังไง ฮือๆ ~~”
กรัณย์กรโอบไหล่ร่างเพรียวปลอบประโลม ตกใจที่เห็นอาการเสียใจอย่างหนักของชายหนุ่ม ความรู้สึกรุนแรงเหมือนไม่ใช่อาที่กำลังจะสูญเสียหลาน!!..
“ได้โปรดเถอะนะ คุณวี.. อย่าร้องไห้.. คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังทำคดีพ่อร้องขอเป็นผู้ปกครองบุตรตัวเอง รู้มั้ย.. จะว่าไปแล้วคุณน่าจะร้องขอรับโมจิเป็นบุตรบุญธรรมไปเลย..”
ร่างเพรียวหยุดสะอื้นจ้องหน้ากรัณย์กรอย่างชั่งใจก่อนเอ่ยถามน้ำเสียงแผ่วเครือ
“รับโมจิเป็นลูก... ทำได้เหรอครับ..”
“ได้ซี.. ขอรับเป็นลูกบุญธรรม เราจะยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเพิ่มเข้าไป แต่ถ้าเราขอฝ่าย
โน้นก็อาจจะขอบ้าง ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับศาลอีก”
คิ้วเรียวขมวด แต่ละวิธีที่ทนายกรัณย์กรแนะนำไม่ได้ให้ความหวังที่เขาจะเป็นฝ่ายชนะขาดเลย เพิ่งรู้วันนี้เองว่าคดีที่เกี่ยวกับครอบครัวและเด็ก ต่อให้เป็นทนายความชั้นไหนก็ช่วยให้ลูกความชนะไม่ได้หรอก อะไรๆ ก็ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของศาล ศาลก็เป็นมนุษย์ปุถุชน การตัดสินใจของศาลจะถูกต้องเสมอไปงั้นเหรอ..
กานต์รวีตัดสินใจสู้ด้วยตัวเอง เขาจะรอให้แพ้ก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไขไม่ได้ เขาให้โมจิไปอยู่กับใครไม่ได้ทั้งนั้น ร่างเพรียวยืดตัวตรงกล่าวน้ำเสียงมาดมั่น
“ตกลงครับ คุณกร..”
“ตกลง? เรื่องอะไรครับ”
“
ผมจะรับโมจิเป็นลูกครับ คุณกรต้องช่วยผมด้วยนะ”
“ได้ครับ ผมต้องช่วยคุณวีแน่นอนอยู่แล้ว.. ”
ต่อพรุ่งนี้ค่ะ