14.5
Do you believe in destiny?. แม่ของผมท่านเป็นคนไทย ส่วนพ่อผมเป็นคนอังกฤษ สองประเทศที่ภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม่มักจะพูดกรอกหูผมตั้งแต่เด็ก ว่าการที่ท่านทั้งสองมาเจอกันได้ เป็นเพราะพรหมลิขิต นั่นนะ..ผมว่ามันเป็นทฤษฎีที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเพราะโลกเรามันกลมต่างหาก แล้วเส้นผ่านศูนย์กลางของทรงกลม มันก็มีค่าเป็นอินฟินิตี้ มันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ ที่คนบางคนจะเดินอยู่บนเส้นผ่านศูนย์กลางเดียวกันกับอีกคน และในขณะเดียวกันกับอีกหลายคนที่เดินคนละเส้น... แล้วพอผมพูดสิ่งที่คิดออกไป..
"ไร้ซึ้งความโรแมนติค จะขายออกไหมเนี้ยะลูกเรา" แม่แกล้งทำเป็นยกมือทาบตก อย่างกับว่าตกใจนักหนา
"นั่นซิ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร!!" สองเสียง..ชนะขาด กลายเป็นว่าสิ่งที่ผมพูด ไปขัดต่อหลักโรแมนติคของคู่รักเข้า ใครจะมาหวานเกินครอบครัวผมนะ..
"ฉันคิดออกแล้วคุณ ...ส่งธีโอไปอยู่เมืองไทยซักพัก เผื่อว่าจะได้เจอ...พรหมลิขิตแบบเราสองคน" พ่อผมพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่มีขัด ..
นั่นแหละครับ สาเหตุที่ผมต้องมายืนแบกเป้ใบโตบนหลัง ท่ามกลางอากาศร้อนระอุในเมืองไทย ที่จริง..บ้านคุณตา คุณยายอยู่กรุงเทพฯ แต่..บังเอิญเหลือเกิน ผมนั่งเครื่องผิดยังไม่รู้ ก็เลยมาลงที่จังหวัดทางภาคใต้ของประเทศซะได้ (ที่จริงเป็นความตั้งใจล้วน ๆ )
หลังจากหยุดนั่งพักอาลัยอาวรณ์กับชะตาชีวิตตัวเอง ผมก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องไปให้ถึงรีสอร์ทก่อนค่ำให้ได้ ประเด็นคือ..จะไปยังไง
ธีโอเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างปลงตก แต่แล้วสายตาก็ไปสุดเข้ากับใบหน้าของใครบางคนเข้า ใครบางคนที่เหมือนกำลังนั่งเหม่อมองไปยังทะเล แต่ถ้าดูให้ชัด ๆ สายตาคู่นั้น กำลังจับจ้องอยู่ที่คนสองคน ที่กำลังเดินเล่นอยู่ไม่ไกลนัก แล้วตอนนั้นขามันก็ก้าวเข้าไปหา โดยไม่รู้ตัว..
"Excuse me, เออ...resort นี่ รู้จักหม้าย" ผู้ชายคนนั้นหันหน้ากลับมามองผมด้วยความแปลกใจ อาจจะเป็นเพราะสำเนียงภาษาไทยแปร่ง ๆ ของผมก็ได้
"เดินตรงไปทางโน้น เลี้ยวขวา แล้วตรงไปอีกประมาณ 200 เมตร.." กรรม!! เพราะผมถามเป็นภาษาไทยไป เค้าก็เลยตอบกลับมาเป็นภาษาไทยอย่างเร็วเลย...ที่ฟังทันก็มีแค่.. '200 meter'
"Say that again, please..." ธีโอทำเป็นลากเสียงยาวอ้อนวอน แต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่ปรายตามองมา รู้นะว่าฟังออก แต่ไม่ตอบกลับมา ถ้าเป็นคนอื่น คงจะเดินหนีไปแล้ว ไม่สนใจเซ้าซี้คนไร้น้ำใจหรอก
"Please~~ ..." บอกไปว่าผมไม่เคยมาที่นี่ ไม่รู้จัก ไม้คุ้นทาง และอีกสารพัดเหตุผลที่นึกออกตอนนั้น พอพูดจบก็ต้องยกน้ำขึ้นกระดกกลั้วคอกันเลยทีเดียว..
ส่วนคนที่ยืนฟัง(บ้าง) ชักเริ่มรู้สึกรำคาญ คนกำลังต้องการความสงบเงียบ มีไอ้เด็กนอกตัวขาว เดินแบกเป้เข้ามาพูดพร่ำยาวเหยียด เหมือนกำลังเล่าประวัติส่วนตัวให้สถานทูตฟัง หน้าตาก็พอดูออกหรอกว่าเป็นลูกครึ่ง แต่...คนอย่างไอ้เนส ไม่นิยมของนอกวะ
"ฟังรู้เรื่องไหม ที่พูดอยู่นี่!!" หลังจากที่ทนฟังจนมันพูดจบ หมอเนสก็หันไปถามด้วยภาษาบ้านเกิดไทยแท้ ชัดถ้อยชัดคำ
"นิดเดียว.." คำตอบเป็นภาษาไทยแปร่ง ๆ พร้อมกับทำท่ายกมือขึ้นมาประกอบคำพูดของตัวเอง
"ชื่ออะไร!?" ธีโอยืนทำตาปริบ ๆ เหมือนกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง นึกถึงประโยคที่แม่เคยสอน
"ธีโอ..ผมธีโอ!!" หมอเนสเหลือบมองผู้ชายตัวโตกำลังฉีกยิ้มกว้าง แค่ตอบชื่อของตัวเองไอ้เนี่ยนะ ความรู้สึกนี้...มันเหมือน เคยเจอที่ไหน...นึกออกล่ะ!! มันเหมือนลูกชายคนเล็กของแม่พันโกลเด้นที่ชื่อ 'ไอ้แตงกวา'
"เอาล่ะธีโอ เห็นซอยตรงนั้นไหม เดินไปถึงแล้วเลี้ยวขวา ตรงไปอีกนิด ก็จะถึง" ธีโอเหลือบมองตามปลายนิ้วมือเรียว ที่กำลังชี้บอกทางอย่างตั้งใจ พร้อมกับจดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงบนแผ่นพับในมือด้วย
"ขอบคุณ.." ยังดีที่พูดออกไปเป็นภาษาไทย ไม่อย่างนั้น คนใจดีที่ยอมบอกทางให้ คงได้หน้าบึ้งอีกรอบ
"ไม่เป็นไร คนไทยมีน้ำใจเสมอ.." พอพูดจบ หมอเนสก็ย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ชายหาดตัวเดิม ไม่ได้หันมาสนใจ ว่าคนแปลกหน้าตัวโต ยังคงยืนทำท่าอึดอัดเหมือนกำลังคิดอะไรซักอย่าง ก่อนจะตัดสินใจ ยื่นมือไปแตะที่ไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ
"ชื่อคุณ..?" หมอเนสขมวดคิ้วเข้าหากัน เหมือนหันกลับมาเห็นว่า ไอ้เด็กตัวโตมันยังไม่ยอมขยับไปไหน แถมยังมีหน้ามาสะกิดไหล่เหมือนรู้จักกันมาซักชาติหนึ่ง
"ไม่ต้องรู้หรอก เพราะ...เราก็คงไม่ได้เจอกันอีก" จบประโยคที่ธีโอยังฟังไม่เข้าใจ อีกฝ่ายก็เดินตัวปลิวไปที่ชายหาด จะคว้าเอาไว้ก็ไม่ทัน ทำได้แค่ยืนถอนหายใจออกมายาวเหยียด ...
จะไม่ได้เจอกันอีกรึ ผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นหรอก กล้องที่คล้องอยู่ที่คอ ถูกหยิบขึ้นมาจับภาพใบหน้าของใครบางคนเอาไว้ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที มือก็กดชัตเตอร์รัวไปแล้ว
-------------
"คุณหมอเนส มีญาติมาขอพบ รออยู่ที่เคาท์เตอร์คะ" คุณหัวหน้าพยาบาล เปิดประตูห้องพัก โผล่หน้าเข้ามาบอก
"ญาติ!? ผมเนี้ยนะ!!?" ไม่ใช่แค่หมอเนสหรอกที่งง เพราะไอ้คุณเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันยังอดแปลกใจไม่ได้
"คุณน้าจะมาเหรอ ไม่เห็นบอกกันเลยวะ!!?" หมอปุ่นหันมาถามเพื่อนที่ยังยืนทำหน้าเป็นหมอสงสัย ก่อนที่มันจะส่ายหน้ารัวแทนคำตอบ
"แม่จะมาได้ไง ใครมาเล่นตลกวะ!!" ประตูห้องถูกกระชากเปิดออก พร้อมกับตัวหมอเนสที่เดินลิ่วออกไปจากห้อง โดยมีเพื่อนอย่างหมอปุ่นวิ่งตามมาติด ๆ
"ไหนครับ ญาติผม!!?" ประชาสัมพันธ์สาวชี้ไปทางที่นั่งรวมของผู้ป่วยที่รอซักประวัติ หมอเนสขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ที่เห็นว่า'ญาติ'คนที่ว่า กลายเป็นไอ้คนที่เข้ามาถามทางเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้มันกำลังยืนฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ
"เจอกันแลว.." สำเนียงภาษาไทยเหน่อ ๆ พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้ ท่ามกลางสายตาสนใจของผู้ที่มารอซักประวัติ
"เราเป็นญาติกัน ตั้งแต่เมื่อไรวะ!!" จากที่กำลังฉีกยิ้ม ก็กลายเป็นว่าทำหน้างงแทน เพราะยังไม่เข้าใจประโยคยาว ๆ ที่สำคัญ เร็วจนฟังไม่ทัน
"what...?" ธีโอเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ทางฝ่ายหมอเนสกลับทำหน้าเรียบเฉย แต่เหลือบมองด้วยหางตา แล้วไม่ยอมพูดซ้ำเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก
"ที่นี่มันโรงพยาบาล ไม่ใช่ที่ที่จะเข้ามาวิ่งเล่น!!" คราวนี้หมอเนสพูดช้า ๆ ชัด ๆ พอมองออกว่าอารมณ์คนพูดตอนนี้เป็นยังไง ธีโอชี้ไปที่เท้าตัวเองแทนคำตอบ
"บาดแผล..." ที่จริงมันบังเอิญมากกว่า ไม่ได้อยากทำให้ตัวเองมีแผล ดันเดินไปเหยียบเศษขวดแตก ที่ไม่รู้ว่าคนมักง่ายที่ไหนเอามาโยนทิ้งไว้ ถึงตอนนี้ก็เลยต้องขอบคุณล่ะมั่ง ที่ได้แผลมาเป็นข้ออ้าง
"สงสัยจะมาทำแผล.." ไอ้คุณเพื่อนปุ่นบอกคำแปลง่าย ๆ ที่แค่มองก็เดาออก (มันจะบอกเพื่อ..?)
"แล้วใครบอกว่านาย กับฉันเป็น'ญาติ'กัน" ธีโอยืนนิ่งไปอีกรอบ ก่อนจะส่ายหัวรัว แล้วชี้ไปทางเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์
"บอกว่าอยากเจอคนนี้.. ไม่ได้บอกเป็นญาติ..." ตรงข้างเคาเท์เตอร์จะมีบอร์ดตารางแพทย์เวรประจำวันแปะเอาไว้ ตอนที่ทำแผลเสร็จ กำลังจะเดินกลับ สายตาก็เหลือบไปเห็นรูปคุณหมอ ที่หน้าคล้ายกับรูปที่อยู่ในอกเสื้อตัวเอง ก็เลยรีบกลับไปบอกประชาสัมพันธ์สาวคนนั้น
"จะอยากเจอทำไม คนไม่รู้จักกัน!!" หมอเนสเริ่มยกมือกอดอก จำต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายสูงกว่า
"ผมธีโอ..คุณล่ะ..?" คนที่แนะนำตัวเองอีกครั้งคลี่ยิ้มจนตาปิด ชี้ที่อกตัวเอง ก่อนจะชี้ไปทางหมอเนส ..อันที่จริงรู้ตั้งแต่ตอนที่หันกลับไปถามสาวประชาสัมพันธ์แล้ว แต่อยากได้ยินจากปากของเจ้าตัวเอง แต่อีกฝ่ายก็กลับยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่ถาม
"สวัสดีธีโอ เรียกว่าปุ่นก็ได้ ส่วนนี่ไอ้หมอเนส ยินดีตอนรับสู่ประเทศไทย.." เวร!! ไอ้เพื่อนปุ่น มันยื่นมือไปเช็คแฮนด์กับไอ้เด็กลูกครึ่งหน้าตาเฉย แถมยังแนะนำตัวเองให้เสร็จสรรพ
"อยากรู้แค่นี้ใช่ไหม กลับไปได้ละ จะไปทำงานต่อ!!" ธีโอทำหน้าเจื่อนลงไปทันที ทั้งที่กำลังจะยื่นมือมาเช็คแฮนด์ด้วย แต่ก็โดนสายตาดุ ๆ นั่นมองมาเสียก่อน ก็เลยต้องหดมือกลับไปอยู่ข้างตัวเหมือนเดิม ขนาดเพื่อนหมอด้วยกันที่กำลังจะอ้าปากพูดยังต้องปิดปากลง
"จะได้เจอกันไหม...?" คนที่เดินกะเผลกคอตกไปทางประตู หันกลับมาถาม แววตาละห้อยเหมือนน้องหมาเวลาโดนดุ หมอเนสที่แกล้งทำเป็นนิ่งอยู่นาน แทบจะหลุดหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะมองท่าไหนก็เหมือนไปหมด(เหมือนลูกชายคนเล็กของแม่นะ)
"ถ้าโลกมันกลมนะ" หมอเนสพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ปล่อยให้ธีโอยืนงงอยู่พัก แล้วคลี่ยิ้มออกมา...เพราะ"โลกมันกลม"ไงล่ะ
=======================
แล้วคุณล่ะ เชื่อในพรหมลิขิตไหม
หึหึ และแล้วตอนที่สอง(ขัดดอก)ก็คลอดออกมาจนได้
ทุกคนก่อนไป