95
#
กูขอติดรถพี่โชคลงกลางทาง เพราะบ้านเค้าอยู่บางกะปิ แต่กูต้องไปพระอาทิตย์...
แม่งเอ๊ย... ร้อนบวกเหนื่อยจากงานมาทั้งวันยังต้องมาเหนื่อยกับการเดินทางบ้าๆ บอๆ อีก
ถามสายรถเมล์จากพี่โชคได้แล้ว ก็ต้องยอมรับชะตากรรมที่ว่า... กูต้องรอรถเมล์
ที่ป้ายท่ามกลางคนนับสิบ ....โคตรเกลียดการที่ต้องไปยืนรวมกับคนแปลกหน้าชิบหายเลยว่ะ
แถมเกิดความเซ็งในอารมณ์ขึ้นมาอีกเพราะถูกมอง
เหอะ จะมองอะไรกันนักกันหนาวะ กูรู้แล้วว่ากูหล่อ
แต่บางทีแม่งก็หงุดหงิด มองแล้วซุบซิบกัน มีอะไรทำไมไม่บอกกันตรงๆ ต่อหน้า
นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิง ป่านนี้กูอาจจะเดินเข้าไปถีบให้หายรำคาญลูกตาแล้วก็ได้
ยืนรอรถเมล์ด้วยความหงุดหงิด มันนานมาก นานเกินไปแล้ว... แต่ทางเลือกสำหรับคนไม่ค่อยมีตังค์อย่างกู มันก็มีไม่มากนักหรอกว่ะ ยิ่งรถติดบรรลัยแบบนี้อีก... แท็กซี่คือตัวเลือกที่โง่มาก
เมื่อก่อนกูอาจจะคิดว่า ร้อยสองร้อย แค่เศษเงิน บางทีให้ขอทานยังมากกว่านี้เลย
แต่ตอนนี้ แค่ร้อยเดียวก็หาให้มันได้เองก่อนเหอะว่ะ
ที่จริง..กูติดนิสัยใช้เงินเหมือนกระดาษมาตั้งแต่ไหนแต่ไร... นึกภาพมีกระดาษเอสี่สักรีมนึงก็ได้
ตัดเป็นรูปแบงค์ ระบายสีจำนวนได้ตามใจชอบ... เฮ้ย แค่เปรียบเทียบ
แต่แม่งก็เป็นแบบนั้นล่ะว่ะ เหมือนจะมีค่านะเว้ยเงิน แต่มันโคตรไร้ค่าในความรู้สึกกู
......เงินเหมือนกระดาษ
แต่ตอนนี้... เงินเหมือนอะไรสักอย่าง ที่ทำให้กูรู้สึกว่ามันมีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตคน ทำให้คนทำตามใจชอบไม่ได้ ทำให้คนต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ทำให้คนรู้จักการใช้ชีวิต
ถ้ากูทำนา ทำไร่ อยู่บ้านนอก เงินก็อาจจะไม่จำเป็นมากขนาดนี้
แต่กูนึกภาพตัวเองนั่งคูโบต้าไถนาอยู่กลางทุ่งไม่ออกเลยว่ะ
ถ้าจะลำบาก กูคงถนัดลำบากในแบบคนเมืองมั้ง...
อยู่แบบสมถะใส่เสื้อม่อฮ่อมเป็นไอ้คล้าวคงไม่ใช่แนวกูเท่าไหร่ มันไม่ตื่นเต้น เร้าใจในวิชั่นของกูว่ะ
(เหอะๆ อันนี้ก็แล้วแต่คนจะคิด)
#
ในที่สุดรถเมล์ก็มา.... กูให้พวกที่แย่งๆ กันขึ้นไปให้หมดก่อน แล้วค่อยขึ้นคนสุดท้าย.... ไม่ใช่ไม่รีบ แต่ไม่อยากจะไปเบียดกับคนอื่น
ขึ้นมา ดูเหมือนจะโชคดีที่เหลือที่นั่งว่างหลังสุดให้อยู่ที่นึง
ถึงจะไม่ชอบหน้าไอ้คนที่นั่งข้างๆ แต่ยืนรอนานมันก็เมื่อยเป็น แถมยังหงุดหงิดกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวอีก กูเลยเรื่องมากไม่ได้
จ่ายตังค์เสร็จ นั่งเบื่อไปสักพัก ก็รู้สึกว่าไอ้คนข้างๆ แม่งหันมามองบ่อยๆ
มองเหี้ยอะไรวะสัด..
คาใจ เลยจะถามมันว่า มีปัญหาอะไรกับกูรึเปล่า?
แต่มันชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
“ขอเบอร์ได้ป่าวครับ?”
ห่ะ...แม่งตุ๊ดนี่หว่า!! ไม่พูดนี่ดูไม่ออกเลย หน้าอย่างแมน
จะขอเบอร์กูส่องกระจกดูหน้าตัวเองก่อนออกจากบ้านยังวะไอ้สาส
“กูไม่ให้” สามคำ... แถมยั้งมือไว้ไม่ให้ฟาดยอดหน้ามันเกือบไม่ทัน ห่า... กูไม่นั่งใกล้มึงและ สยอง
เลยรีบ move ตัวเองไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พอดีมีคนลงป้ายหน้า เหลือที่ว่างข้างผู้หญิงคนนึง กูเลยไปนั่งแทน...
ตอนแรกก็นึกว่าจะไม่มีอะไรแล้ว เสือกมีอีกจนได้
“อุ๊ย!” สิ้นเสียงอะไรกลิ้งตกมาโดนตรีนกูสักอย่าง ก้มลงมอง มันเป็นลิปสติค
กูหันมองหน้าคนข้างๆ.... ก็ปะทะกับตาเยิ้มๆ กำลังมองมาอยู่
“ช่วยเก็บให้หน่อยได้มั้ยคะ?”
แสด จะเล่นมุขอะไรกับกูหรือไงป้า บอกไว้ก่อนเลยนะว่า ไม่ได้ผล
กูก้มเก็บ แล้วลุกขึ้น วางลิปสติคไว้ข้างเบาะ
“เอ่อ....ขอบ.......” พอเลยๆ กูเดินไปโหนราวอยู่กลางรถเมล์...
กูผิดเองว่ะ ที่เกิดมาหล่อ
ฮ่าๆๆ เอ๊ย ซีเรียสดิวะ แค่กูไม่อยากเสียเวลาเสวนากับคนพวกนี้ต่างหาก มันน่ารำคาญ แถมไม่เจริญหูเจริญตา เดี๋ยวจะพาลกินข้าวไม่ลงเปล่าๆ
สิ่งเดียวที่จะล้างความสยองออกจากตาได้ คือต้องเอารูปน้องอิฐจากมือถือมาดูแก้ขัด
อิอิ เวอร์มั้ยกู ก็เมียกูน่ารักอ่ะ เห็นแล้วชื่นใจ หายนอยด์
#
ถึงที่หมายด้วยความเซ็ง รถติดไม่พอ หัวหน้ายังโทรมาบอกให้พรุ่งนี้เอาแลปท้อปไปอีก... เหี้ยเอ๊ย ไหนบอกมีคอมให้วะ ลำบากกูอีกนะมึง ยิ่งไม่มีรถอยู่
วันนี้ พรุ่งนี้กูอาจจะทนการกดขี่ได้ แต่ต่อไป..... ถ้ากวนส้นกันมากๆ กูจะลาออกไปทำที่อื่นแม่งซะ
อิฐบอกว่าร้านที่มันทำงานอยู่ อยู่ติดกับ xxx กูเดินเข้าไป แม่งโคตรจะฝุ่นเลย มันจะมีพวกเศษซากของวัสดุทำฝ้า วางเกลื่อนอยู่นิดหน่อย เหมือนคนงานเพิ่งทำเสร็จ แต่ยังไม่ได้เก็บงาน
ที่รักกูอยู่ไหนวะเนี่ย... กูเดินตามหา... ลึกเข้าไปเป็นที่โล่ง outdoor มีต้นไม้ยังไม่ได้แกะเชือกตั้งอยู่สี่ห้าต้น
กูหันกลับมามองกำแพงข้างหลัง เพราะเหลือบเห็นอะไรเหลืองๆ อยู่ตรงหางตา..
อ่อ ทานตะวันแปะอยู่บนฝาผนัง... ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าใครทำ กูยืนมองภาพที่มีก้อนสีเหลือเป็นเส้นๆ จากรอยลากของแปรง...
“อา-ทิตย์!” เฮ้ย แม่งตกใจ มาเงียบๆ แถมตะโกนเรียกซะดังเลย
“หายไปไหนมา?” กูมองอิฐสภาพมอม เปื้อนสีทั้งหน้าทั้งเสื้อผ้า เหอะ ไม่รู้จะขำหรือสงสารมันดีว่ะ
“ไปล้างหน้าล้างมือมา มันล้างไม่ออกอ่ะ”
“เอาสีอะไรระบายวะ? ถ้าสีน้ำอะคริลิคก็ล้างไม่ออกหรอก”
“ไม่รู้สีไร สีทาบ้านเนี่ยแหล่ะ”
“เสื้อเลอะหมดเลย ไอ้เหมียวเอ๊ย ไม่รู้จักใส่ผ้ากั้นเปื้อน” กูขยี้หัวมันอย่างหมั่นเขี้ยว ตกถังสีมาชัดๆ เลย
“กะให้เปื้อนอ่ะ เป็นที่ระลึก มาสเตอร์พีชงานแรก”
“หึ เค้าให้มึงเพ้นท์ทั้งร้านเลยเหรอรึไง?”
“ก็....นั่นดิคับ เค้าว่างั้น” เหอะ ไว้ใจเกินไปป่าววะ ให้มือสมัครเล่นรับผิดชอบคนเดียว มันน่าสงสัย
“ใครลูกค้ามึง อยากเจอหน้าว่ะ” กูข้องใจ มีไรป่าวล่ะ
“ไม่รู้ฮะ... อาจารย์รับงานมาให้อีกที คนที่มาคุยงานกับผมเป็นแค่คนวางคอนเซปอ่ะ เค้ามาสั่งๆ ว่าเจ้าของร้านอยากได้อย่างนี้ๆ ผมก็ทำไปตามนั้น”
“นี่มันร้านอะไรวะ?”
“อ่า....ผมว่า gallery”
“แปลกๆ”
“แปลกไง ผมว่าไอเดียเค้าเจ๋งมากเลยพี่ต้าน... แกลแบบ green อ่ะ อะไรนะ ซัดๆ ไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ”
“ซัดอะไร สัดรึเปล่า?”
“โห่ พี่... ก้าวร้าวตลอด วัดป่า xxx จะเอาอยู่มั้ยเนี่ย” ไปฟังพวกไอ้ขิงแพล่มมาแน่ๆ
“อิฐว่าไงล่ะ?” กูหัวเราะหื่นๆ ใส่มัน คิดว่ามีสิ่งใดในโลกนี้จะหยุดยั้งกูบ้าง....เอิ๊กส์ ถั่ว
“ผมว่าได้”
“อะไรได้?”
“ก็ธรรมะ ฮะๆๆ อาจจะทำให้พี่ต้านใจเย็นลงได้มั่ง ...นิ๊ดนึง” มันทำท่าเอาปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งแต่กัน.... ฮะๆ
“กูใจเย็นอยู่แล้ว... เย็นกว่านี้อีก ก็ไม่ใช่คนแล้วว่ะ”
“ฮะๆๆ เวอร์..... พี่ต้านว่าอิฐระบายสวยป่ะ?” อิฐชี้ไปที่กำแพงดอกทานตะวัน แบคกราวน์สีม่วงน้ำเงิน ตัดสีเหลือง แม่งคอนทราสต์โคตรจะลงตัวสุดๆ
กูคว้าเอวอิฐแล้วกอดมันไว้จากด้านหลัง
“สวยครับ เห็นแล้วนึกถึงตัวกู” กูพูดเอาคางเกยไหล่เล็กไว้
“อืม... เหมือนดวงอาทิตย์” มันพูดยิ้มๆ
“เหนื่อยมั้ย?” อิฐหัวเราะเหมือนจะอายที่กูถาม
“ไม่อ่ะ หนุกดี” มันตอบแล้วเหล่ตามามองกู “เป็นไรป่าวเนี่ย?”
“คิดถึง...” กูกดจมูกลงซอกคอมัน กลิ่นเหงื่อจางๆ ผสมกลิ่น cologne กลบความเหม็นของสีไปเลยว่ะ
“ฮะๆๆ ไปทำงานวันเดียว ก็นอยด์แดรกเลยเหรอพี่”
“แดกไปทั้งกบาลกูแล้วเนี่ย เหนื่อยชิบหาย” คิดแล้วอยากจะเอาปืนอาก้ายิงแม่งให้หมดทั้งโครงการ คนแก่นี่เรื่องมากกันเหลือเกิน
อิฐหันกลับมาหา แล้วเอาสองมือจับแก้มกู “ดำขึ้นนะเนี่ย”
“ก็ตากแดดทั้งวัน ชอบผิวแทนป่ะล่ะ กูต้องอยู่ไซต์อาทิตย์นึง” แม่ง...โคตรบัดซบบบ
“ถ้าไม่ชอบ พี่ต้านจะทำไงอ่ะ?” อิฐอมยิ้มขำๆ
“ถ้าเมียกูไม่ชอบ กูจะตบกะโหลกหัวหน้าแล้วบอกให้เปลี่ยนงานกูเดี๋ยวนี้ อย่างกูต้องทำกราฟฟิคอยู่ในออฟฟิศเท่านั้น.... และเวลาที่กูเบื่อทำงาน ต้องให้กูออกไปหาแรงบันดาลใจข้างนอกก่อน ห้ามบังคับทำงานต่อ”
“ฮะๆๆ จะทำได้จริงๆ เร้ออ?” ไม่ได้หรอก ตบหัวเจ้านายกูคงโดนไล่ออกทันที
“ล้อเล่น เดี๋ยวเอาครีมกันแดด โบกทั้งตัว แล้วเปลี่ยนไปใส่ black pajamas เหอะๆๆ คงพอไหวมั้ง”
“อะไรอ่ะ ชุดนอนสีดำ?”
“ที่พวกตะวันออกกลางชอบใส่ไง ชุดคลุมดำๆ ปิดหน้าปิดตาอ่ะ”
“ฮ่าๆๆ ชุดประจำชาติต่างหาก”
อิฐหัวเราะตาปิด แล้วมันก็เกาะไหล่กูเขย่งมาหอมแก้มแรงๆ ทีนึง
“หายเหนื่อยชิบหายยัง?” เอามาทั้งประโยคเลยเหรอวะ เหอะๆ
“ตรงนี้ดิ ถึงจะหาย” กูเอาลิ้นแตะริมฝีปากล่าง ไม่รู้จะใช้อะไรชี้มือไม่ว่าง กอดที่รักอยู่
“อือออ” มันจูบปากกูตามคำขอ
“หายยัง?”
“ยัง เอาอีก” อิฐจูบอีกที
“หายเหนื่อยน้า... หิวข้าวแล้ว”
“ฮะๆๆ ไปก็ได้” ท้องร้องแล้วเหมือนกันว่ะ
“แล้วนี่ ทำไมอยู่คนเดียว ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนเลยเหรอ?” ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อกี้ละ หายหัวไปไหนกันหมดวะ ปล่อยแฟนกูทำงานงกๆ อยู่ได้คนเดียว
“อ๋อ... คนคุมงานมีธุระ เค้าเลยฝากป้าร้านข้างๆ ให้ช่วยปิดประตูร้านให้ ถ้าเราจะออกไปก็เดี๋ยวไปบอกป้าเค้าอ่ะ”
“เวรเอ๊ย ถ้าจุดไฟเผาร้านแล้วแม่งจะรู้มั้ยเนี่ย” กูว่าระบบการทำงานที่นี่มันแปลกๆ ไงไม่รู้ว่ะ ปล่อยเด็กทำงานเหงาๆ แถมไว้ใจให้อยู่ร้านคนเดียวอีก... มันน่าสงสัยเกินไปป่าววะ พวกกระป๋องสี แผ่นไม้สักที่วางกองอยู่นี่ก็หลายบาทอยู่นะเว้ย
“อิฐไม่เผาร้านอยู่แล้ว เค้าก็เลยปล่อยให้ทำงานไป”
“ไว้ใจดีนัก อยากเจอหน้าแม่งสักที” กูไม่ชอบที่มันปล่อยให้อิฐอยู่คนเดียว เกิดใครเข้ามาทำอะไรแฟนกูจะทำยังไงวะ security อะไรก็ไม่มี ตอนกูเข้ามาแม่งก็ปล่อยทิ้งซะไม่ใยดี
“เป็นคุณลุงแก่ๆ อ่ะ ใส่แว่น ท่าทางงานยุ่งด้วย”
“สาด แก่แล้วก็น่าจะลาออกไปเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวอยู่บ้าน จะมายุ่งอะไรเรื่องงานนักหนาวะ” ที่พูดนี่คืออารมณ์พาลล้วนๆ
“อ่า...ช่างเค้าเหอะ ไปหาไรกินดีกว่า หิว”
#
พออิฐไปบอกให้เค้ามาปิดร้านเสร็จ มันก็พากูเดินไปหาอะไรกิน แต่กูยังข้องใจไม่หาย
“มันไว้ใจได้แน่เหรออิฐ ไอ้ลุงอะไรนั่น”
“หือ...ได้ดิครับ อาจารย์ฝากมาให้นี่”
“ไม่แน่เสมอไปหรอก”
“คิดมาก” ไม่รู้ดิวะ... แต่เดี๋ยวกูจะมาเจอหน้าไอ้ลุงนั่นให้ได้สักวัน
“ร้านนี้โอเคป่ะ?” ร้านก๋วยจั๊บ.... บรรยากาศวุ่นวายสัด ไม่รู้จะแย่งกันพูดไปทำไม กูรำคาญ
“ที่ทำอ่ะก็อร่อยดี แต่สิ่งแวดล้อมแม่งห่วย”
“เอ้ยยย” อิฐยกมือเหมือนจะห้ามอะไรกู
“อย่าพูดเสียงดังดิ” มันกระซิบ
กูหันมองรอบๆ ก็เห็นสายตาหลายคู่กำลังมองดูอยู่
“คุยกันเสียงปกติไม่ได้รึไงวะ หนวกหู”
“พี่ต้าน!”
“หรืออิฐไม่หนวกหู?” อิฐยิ้มแห้ง แล้วรีบลากแขนกูออกมาจ่ายตังค์หน้าร้าน
มันเดินลากกูจนมาถึงสวนสันติถึงปล่อย
“คิดอะไร เก็บไว้ในใจบ้างก็ได้นะพี่ต้าน” อิฐว่า
“เก็บแล้ว” มีที่กูคิด แต่ไม่ได้พูดตั้งหลายอย่าง
“เหรอ? แต่ว่า... อะไรไม่ควรพูด ไม่ต้องพูดก็ได้”
“สร้างความรำคาญให้คนอื่นแบบนี้ พูดน้อยไปด้วยซ้ำ”
“ก็มันเป็นที่สาธารณะนี่”
“นั่นแหล่ะ มารยาทในที่สาธาณะไง” อิฐหน้ามู่ เพราะเถียงกูไม่ได้...
เออ ไม่ต้องเถียงหรอก ความจริง
แต่มันพูด กูก็เข้าใจ เพียงแต่แม่งหนวกหูจริงว่ะ มันดังเกินกว่าที่ควรจะเป็นก็เลยปากหมาไปหน่อย เหอะๆ
“เออๆ ทีหลังจะอ้าปากเวลากินอย่างเดียว พอใจยัง?” เห็นอิฐทำหน้าบึ้งแล้วกูต้องเลิกนิสัยเสียแป้บนึง
“ไม่เต็มใจทำเลยนะเนี่ย”
“ก็มึงไม่ให้กูพูด”
“ป่าวสักหน่อย แค่จะบอกว่าอย่าเอาแต่ใจตัวเองมาก มันไม่ดี” เอออ ไม่ดีก็ไม่ดีวะ
ไม่ดีก็เหี้ย
กูเดินเซ็งไปนั่งเก้าอี้ว่างริมเจ้าพระยา... ไม่ได้งอนอิฐ แค่รู้สึกว่าตัวเองแม่งเชี้ยขนาดนั้นเลยเหรอวะ
อิฐเดินตามมายืนตรงหน้ากู
“อย่าบังดิ จะดูสะพาน” พระรามแปดตอนกลางคืนสวยนะเว้ย เหอะๆ แต่กูอยู่อารมณ์ไหน ไม่แน่ใจเหมือนกัน
บรรยากาศก็ดี แต่ทำไมโดนเมียด่าแล้วจุกวะ
“โกรธเหรอ?” อิฐเขยิบมาทางซ้ายอีกนิดให้กูมองสะพานได้
“โกรธพวกแมร่ง คุยเสียงดัง” กูพูดใส่สะพาน
“........................”
“ทั้งรำคาญ ทั้งหนวกหู ...แต่ก๋วยจั๊บอร่อยว่ะ” กูเบนสายตามามองอิฐ แล้วยิ้มให้มันนิดๆ
“วันหลังพาไปกินอีกนะ”
อิฐเริ่มยิ้มออก
“จะไปจริงเหรอ? เดี๋ยวก็เหวี่ยงอีก”
“ไม่เหวี่ยงแล้ว เมียไม่ชอบ”
“ไม่ได้ทำเพราะคิดถึงส่วนรวมหรอกเหรอ?” แอบหลอกด่ากูอีกและ
“ไม่ว่ะ เพราะอิฐคิดแทนให้แล้ว” ก็จริงนี่หว่า มันคิดถึงคนรอบข้างให้แล้วมาบอกกู... กูทำตามที่มันบอก เพราะงั้นก็ถือว่ากูคิดถึงส่วนรวม เหอะๆๆ
“ขยับมาทางขวาหน่อยดิ” กูบอก
“เดี๋ยวบังสะพาน?” อิฐหันไปมองข้างหลัง ก่อนหันกลับมาหากู
“อยากมองมึงมากกว่าไง” เหมือนตากูเลื่อนตัวมันให้มาตำแหน่งที่ต้องการได้ซะงั้น
“you’re crazy.” อิฐพูดแล้วหัวเราะ
“I am...” H
กลายเป็นนิยายรักหวานแหววไปแล้ว
ออฟฟิศ - - เขียนถูกแล้วนะ (แต๊งกิ้วหลาย)
ผิดตรงไหนบอกได้นะทุกท่าน... จะแก้ไขในตอนต่อไป... ตอนนี้ไม่แก้ละ (นิสัย)
อิฐ - - พูดแปลกเป็นนิสัยอยู่และคับพี่น้อง...
ต้าน - - จะรอดจากงานมั้ย ไม่แน่ใจ