โอ้ยยยยยยยยยยยยยย เจ๊น้ำนิ่ง เอาแล้วๆ
ขอเดาว่า สุดท้ายก็มีพระเอกขี่ม้าขาว เข้ามาช่วยนางสนม เอ้ย นางเอก ออกไปจากฝูงเสือ สิงห์
แล้วทั้งคู่ก้อ............................
โห้ อิหนูคะ ไปเป็นหมอดูได้เลยนะเนี่ย เจ๊คอนเฟริ์มว่า ต้องรวยแน่นอน อิอิ
ต่อๆๆๆๆ
ตอนที่ 41
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ก็มีแสงไฟจากรถส่องมายังกลุ่มของพวกฉัน มีดวงเดียวน่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซด์ สามคนนั้นหยุดชะงักไป พวกมันไม่กล้าทำต่อเพราะตอนนี้แสงไฟมันทำให้บริเวณนั้นสว่างไปหมด
“ใครวะ แม่งไม่ยอมดับรถอีก” มันคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย
“เออดิวะ กูอยากรู้จริงๆว่าใคร”
ช่วงจังหวะที่พวกมันกำลังสงสัยกันอยู่นั้น ฉันก็รีบฉวยโอกาสลุกขึ้นจากที่ตรงนั้น แล้วก็วิ่งไปที่รถคนนั้นทันที ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นใคร แต่ฉันก็ขอเอาตัวรอดก่อนก็แล้วกัน
“เฮ้ย....” มันเห็นฉันวิ่งไปแบบนั้นก็ทำอะไรไม่ได้
“ช่วยด้วย ช่วยพาฉันกลับบ้านที” ฉันมองฝ่าแสงไฟนั้นเข้าไป เพื่อที่จะเห็นใบหน้าของเจ้าของรถ
“เอ๋...” นายภูนั่นเอง คนที่ขี่รถมาที่นี่
“เป็นไงมั่งล่ะ” มันถามฉัน
“อะไรเป็นไง แล้วแกมาทำไมที่นี่ล่ะ”
“พอดีกระเป๋าตังค์มันหล่นน่ะ เลยขี่รถมาหาดู” มันตอบ
“เจอมั้ย” จะยังไงก็ตาม มันก็คือโชคดีของฉันแล้ว
“เจอแล้ว ขึ้นรถสิ จะพาไปส่ง” ฉันไม่รอช้ารีบขึ้นไปซ้อนท้ายมันทันที
พวกนั้นมองมาทางฉัน แต่ฉันไม่กล้ามองพวกมัน ไม่อยากแม้แต่จะสบตา ส่วนนังแนทพอเห็นฉันกระโดดขึ้นรถตาภูแล้ว มันก็ถามขึ้นมาก่อนที่พวกฉันจะไป
“จะกลับแล้วเหรอเจ๊”
“อือ... กลับก่อนนะ พวกนายไปส่งน้องเค้าด้วยล่ะ” ฉันยังอุตส่าห์เป็นห่วงมันอีกนะ
“ภู... รีบไปกันเถอะ”
“อืม” มันไม่พูดอะไร แต่ฉันรู้ว่าภูมันรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วฉันก็กลัวแค่ไหน ให้ตายเหอะ ไอ้เรื่องโดนรุมเนี่ย ฉันเกลียดที่สุดเลย (ตั้งแต่ตอนม.ปลายแล้ว)
นายภูขี่รถมาจนถึงทางขึ้นบ้านฉัน มันไม่ได้ขับขึ้นไปจนถึงหน้าบ้านเลย เพราะเกรงว่าเสียงรถจะไปรบกวนคนอื่นเข้า ฉันเข้าใจดี ก็เลยลงมายืนอยู่ข้างๆมัน
“ขอบใจนะ”
“ขอบใจเรื่องอะไรล่ะ” มันยังจะมาถามฉันอีกนะ
“ก็... เรื่องเมื่อกี้” ฉันไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่
“ไม่เป็นไร ทีหลังก็จำไว้ด้วยล่ะ” ฮึ... มาสอนฉันอีกนะแก
“จ้า จะจำไปจนวันตายเลย ฉันขึ้นบ้านก่อนนะ”
“จืด....” นายภูเรียกฉันไว้ก่อน
“หืม มีอะไรเหรอ” ฉันหันไปสบตากับนายภู เพียงชั่วแวบเดียวฉันก็เห็นอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกเหมือนกันในแววตาคู่นั้น
“เปล่า... ไม่มีอะไรหรอก ขึ้นบ้านเถอะ”
“อะไรเล่า อยู่ๆก็มาเรียก” ฉันเลยเดินขึ้นบ้านไป ส่วนนายภูก็ขับรถกลับบ้าน คืนนี้คงจะเป็นอะไรที่ฉันคงเข็ดไปอีกนาน หุหุ (แน่ใจเร้อ)
หลายวันต่อมา ฉันก็ไม่ได้ไปเจอหน้าพวกทหารอีกเลย ถึงเจอก็หลบตลอด แต่สำหรับนายตุ๊ยนั้น ฉันมีแผนเอาไว้แล้ว อีกไม่กี่วันนายนั่นก็จะกลับไปแล้ว ยังไงก็ต้องรีบทำตามแผนที่วางไว้ให้ได้ แต่ไม่รู้จะสำเร็จรึเปล่าน่ะสิ (กลัวอดใจไม่อยู่นี่สิ เหอๆ)
“วันนี้ไปในเมืองด้วยกันหน่อยสิ” นายภูมาชวนฉันอีกแล้ว
“ไปทำไรอีกล่ะ เห็นไปบ่อยจังเลยนะ” ฉันแอบบ่นนิดนึง แต่ก็เห็นไปด้วยทุกที
“เอาเถอะน่า จะไปมั้ย” มันถาม
“ก็รู้อยู่แล้วนิ ยังจะมาถามอีก” มันยิ้มแยกเขี้ยวใส่ แหวะ อุบาทว์ชะมัด
ตั้งแต่วันนั้นมา เราสองคนก็สินทกันมากขึ้นไปอีก ส่วนฉันที่เคยคิดว่าตัวเองอาจจะชอบนายภูอยู่นั้น มาถึงตอนนี้ฉันว่า ฉันแอบรักมันเข้าแล้วล่ะ จะทำยังไงดีล่ะทีนี้
“เป็นอะไรน่ะ นั่งเหม่ออยู่ได้” มันถามฉันขึ้น หลังจากที่นั่งเงียบกันอยู่นาน ตอนนี้เราสองคนนั่งอยู่ในร้านข้าวมันไก่แห่งหนึ่ง ซึ่งอร่อยมากเลยล่ะ
“อ๋อ... คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” เรื่องอะไรที่ฉันต้องพูดตรงๆด้วยล่ะ
“ว่าแต่แกเหอะ พามากินข้าวมันไก่เนี่ยอ่ะนะ ถึงกับต้องชวนฉันมาด้วยน่ะ”
“มาไม่ได้หรือไง”
“เอ้า... ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่มานี่ แกก็” ตานี่มันชักจะยังไงแฮะ
สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของมันก็ดังขึ้น มันมองไปที่หน้าจอแล้วก็บอกกับฉันว่า ขอตัวออกไปคุยข้างนอกหน่อย ฉันก็อือออมันไป ว่าแต่ใครนะ โทรมาหามัน อยากรู้อีกและ
“คงจะเป็นแฟนมันแน่ ๆ เลย” ฉันคิดแบบนั้น แต่เด๋วก่อน ไม่เคยเห็นมันบอกว่ามีแฟนเลยนี่นา สงสัยฉันจะคิดไปเองคนเดียวล่ะมั้ง
พอมันคุยเสร็จแล้วก็เดินเข้ามานั่งที่เดิม สีหน้าดูเคร่งเครียด ไม่ค่อยสบายใจยังไงยังงั้น ไอ้ฉันรึก็อยากจะถามว่ามันมีอะไรรึเปล่า แต่ก็ไม่กล้าไปยุ่งเรื่องของเค้า
“ข้าวมันไก่ที่นี่อร่อยเนอะ สมกับคำร่ำลือจริงๆ” ฉันหาเรื่องชวนมันคุย
“อืม” มันไม่ตอบอะไรมากไปกว่านั้น
“มีอะไรรึเปล่า ทำไมดูเครียดจัง” เฮ้อ... ถามไปจนได้สิฉัน
“ทะเลาะกับแฟนน่ะ” มันตอบฉันมา
นี่ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย นายภูมีแฟนแล้วเหรอ เป็นยังงั้นจริงๆเหรอ แล้วฉันล่ะ ฉันชอบมันไปแล้วนะ จะให้ฉันทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี ทำไมฉันถึงต้องเจอแต่เรื่องแบบนี้ด้วย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หมดเวลาแรดของหล่อนแล้วย่ะ ถึงเวลาต้องร้องไห้แล้วนังจืด คริคริ