ไปต่อกันครับบบบบ
********************************************************************************************************
๑๔
“นิมิตนี่คือระลึกชาติหรืออย่างไรครับ”
“ไม่ใช่ค่ะคุณพาทิศ ระลึก คือนึกได้ จำได้ เกิดได้หลายแบบ บางคนมีติดตัวมาแต่เกิดไม่ยอมลืมชาติที่แล้วของตน เช่นไปที่ไหนแล้วก็จำได้ว่าเคยมาที่นี่ เคยอยู่ที่นี่มาก่อน หรือไม่ก็เห็นใครแล้วจำได้ว่าเคยรู้จักกันในชาติที่แล้ว อีกวิธีคือถอดจิตย้อนกลับไปในอดีตค่ะ วิธีที่แม่นยำที่สุดคือเพ่งกสิณ ฝึกกรรมฐาน ถ้าเป็นอย่างนื้คือคุณจะจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณในชาติก่อนๆอย่างแม่นยำ แน่นอน แต่ถ้าเรื่องเป็นแบบนี้ คือคุณเห็นภาพของเหตุการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในอดีตคล้ายชมภาพยนตร์แล้ว โดยที่จำเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย อย่างนี้คือนิมิต
“นิมิต จะคล้ายฝัน แต่เป็นฝันที่เป็นความจริงโดยมีคนบันดาลให้เห็น อย่าง บุพนิมิต อย่างนี้ก็คือเทวดามาดลใจให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิด หรือจะเกิดขึ้น ซึ่งนิมิตเกิดได้ทั้งตอนหลับ หรือตอนตื่น หากเป็นตอนตื่นก็เป็นในกรณีที่ คุณนั่งเฉยๆ ปล่อยให้ใจลอยไปแล้วจู่ๆก็เห็นภาพโน้นภาพนี้อย่างนั้นล่ะคะ เหมือนที่สระอโนดาต นั่นก็เป็นนิมิตที่เกิดขึ้นในขณะตื่น ตอนคุณคิดถึงดิฉันแล้วเห็นหน้าดิฉัน นั่นก็เช่นกัน
แต่ถ้าหากเป็นตอนหลับ มันก็จะคล้ายๆฝัน หลายคนไม่ติดใจอะไร คิดว่าเป็นฝันธรรมดา สำหรับคุณพาทิศหลับฝันไปเห็นเหตุการณ์ในสมัยก่อน ก็ต้องเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงๆกับคุณ เพียงแต่ว่า เป็นเหตุการณ์ “ของคุณ” หรือ “ของคนอื่นที่เกี่ยวกับคุณ” เท่านั้นค่ะคุณพาทิศ”
“ผมไม่เข้าใจครับ” พาทิศว่า ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจจริงๆ
“หมายความว่า มีคนบางคนปราถนาอย่างแรงกล้าให้คุณจำเรื่องของคุณ หรือเรื่องของเขาที่เกี่ยวกับคุณในอดีตได้อย่างไรล่ะคะ เขาจึงดลใจให้คุณเห็นภาพเหตุการณ์นั้นๆ”
“คือผมเห็นเหตุการณ์ในชาติก่อนโดยคนอื่นมาดลใจอย่างนี้หรือครับ” จิตราพยักหน้า “อย่างนั้นหมายความว่า ผมอาจเคยเป็นหลวงพินิจราชอักษร หรือ เส็ง อย่างนี้หรือครับ”
“หรือคุณหยาด หรือเจ้าคุณ ไพรัชกิจ หรือคุณหญิงไพรัชกิจ หรือบ่าวไพร่คนใดคนหนึ่งในเหตุการณ์ที่คุณเห็นค่ะ เป็นใครก็ได้ เพราะนี่อาจเป็นเหตุการณ์ของคุณโดยตรง หรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนบางคน แล้วดันมาเกี่ยวกับคุณไงคะ เช่น คุณอาจเคยเป็นหลวงพินิจ เส็งเห็นว่าคุณมาเกิดแล้วจำเขาไม่ได้จึง ดลใจให้คุณเห็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น อย่างนี้ค่ะ”
“แต่อย่างนั้นก็หมายความว่า ผมอาจเคยเป็นเพียงบ่าวไพร่สักคน แล้วคุณหลวงอยากให้ผมเห็นเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นบนบ้านนั้น เพราะผมเข้าไปอยู่ในที่ของเขาในชาตินี้ แบบนี้ก็เป็นไปได้ใช่ไหมครับ”
“ถูกต้องค่ะ หรือไม่ คุณอาจไม่ใช่ใครเลยในเหตุการณ์นั้น แต่คนที่ดลใจคุณอาจจะอยากให้คุณรู้เรื่องในอดีต เพื่อให้คุณยำเกรง ให้ความเคารพคนที่เคยอยู่ในสถานที่นั้นๆ หรือ ขอความช่วยเหลือก็ได้ค่ะ”
พาทิศเข้าใจแล้ว
“แปลว่า ก็ยังบอกไม่ได้หรือครับว่าผมเป็นใครในอดีต”
“บอกไม่ได้เลยค่ะ” ป้าจิตราตอบเบาๆ ด้วยใบหน้าเฉยเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆเช่นเคย
“แล้วผมหลับไปตั้งเป็นอาทิตย์ได้อย่างไรครับคุณป้า”
“สภาวะของจิต เป็นอกาลิโกค่ะคุณพาทิศ มันไม่ขึ้นกับเวลา เมื่อจิตคุณหลุดออกจากกายหยาบโดยการดลบันดาลของใครสักคนแล้ว คุณจะอยู่เหนือกาลเวลาทั้งปวง ถ้าคุณไปในอดีตได้ หากคิดจะไปในอนาคตก็ย่อมได้เช่นกัน และเมื่ออยู่เหนือเวลา จะไปในสถานที่อื่นก็ย่อมได้อีกค่ะ อย่างพระมาลัยที่ไปสวรรค์หรือไปนรกอย่างไรล่ะคะ”
พาทิศขนลุกซู่ แต่จิตราก็ยังพูดต่อไปไม่คิดจะหยุดเมื่อยังไม่ครบความที่หล่อนต้องการจะสื่อให้เขาเข้าใจ
“ทีนี้ พอจิตมันหลุดจากกายไปแล้ว คุณไม่ใช่คนที่ฝึกมาดีอย่างดิฉัน คุณก็จะคุมมันให้กลับมายาก บางครั้งอาจไม่ได้เลย จะให้จิตคุณกลับเข้ากายละเอียดก็ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ดลใจคุณนั้น ให้คุณเห็นสิ่งที่เขาอยากให้เห็นครบแล้วหรือยัง ที่คุณหลับไปเป็นอาทิตย์ก็เพราะ เขาอยากให้คุณเห็นเหตุการณ์มาสิ้นสุดตรงที่คุณตื่นพอดี และ ร่างกายคุณก็ไปได้ไกลที่สุดแค่นั้น”
“หมายความว่าใครบางคนอยากให้ผมเห็นความเป็นไปของบ้านหลังนั้นจนถึงตอนที่หลวงพินิจอะไรนั่น เดินทางไปหัวหินหรือครับ”
“ค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้น เขาอยากให้คุณเห็นมากกว่านี้ก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายคุณไม่รับแล้ว”
“ไม่รับแล้ว”
“ค่ะ คุณอยู่แต่กับที่ ในท่าเดียวเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ขาดสารอาหารไปตั้งกี่มื้อ เซลล์คุณกำลังจะตาย ถ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปเพราะคุณดึงดันอยากรู้ต่อ หรือเขาก็ดึงดันอยากให้คุณรู้อีก คุณก็จะต้องเป็นอัมพาตแน่ๆ หรือไม่ก็ตายไปเลยทีเดียวล่ะค่ะ”
พาทิศขนลุกซู่ด้วยความกลัว กลัวจนไม่นึกอยากเห็นอะไรอีก นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาปวดหัวแทบเป็นบ้า ชาไปหมดทั้งตัว รวมถึงหิวมากอย่างกับอดตายซีนะ
“แต่ คนเราอดอาหารได้ไม่กี่มื้อนี่ครับ จริงๆผมควรจะตายไปแล้ว”
“ค่ะ แต่เมื่อจิตไม่ยอมตายคุณก็ไม่ตายค่ะ” หล่อนอธิบายอย่างเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุด ราวกับอธิบายว่า ทำไมหนึ่งบวกหนึ่งจึงเป็นสองอย่างนั้น “ไม่เคยได้ยินหรือคะ ที่ว่าคนเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย หรือเป็นเอดส์ระยะสุดท้าย ถ้าจิตเข้มแข็ง รู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้ง รู้สึกมีกำลังใจจะใช้ชีวิตต่อไป ก็ย่อมยื้อเวลาออกไปได้อีก น่ะค่ะ”
“แต่สุดท้ายก็ต้องตาย”
“ค่ะ ถ้าคุณดื้อดึงอยากรู้เรื่องในอดีตอีก คราวหน้าถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ คุณอาจยื้อเวลามาเป็นอาทิตย์แบบคราวนี้ได้ แต่สุดท้าย ถ้ายื้อจนสุดแล้ว คุณอาจกลายเป็นเจ้าชายนิทรา จมอยู่แต่ในอดีต ไม่ฟื้นขึ้นมาใช้ชีวิตในปัจจุบันอีกเลย ไปจนตายก็ได้ค่ะ”
จิตรายิ้มมุมปาก
“ยังอยากรู้เรื่องในอดีตอีกหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีวิธีอื่นหรือครับ ที่มันปลอดภัย”
“ดิฉันบอกคุณพาทิศแล้วค่ะว่า ทำได้ คุณพาทิศต้องมาฝึกกรรมฐาน กับดิฉัน ฝึกเพ่งกสิณ และงดเว้นจากการทำบาปทั้งปวง จะถอดจิตออกจากกายหยาบได้ด้วยตัวเอง คุณพาทิศจะระลึกชาติได้ และเผื่อว่าในกรณีที่เขาดึงคุณออกไป ให้เข้าสู่อดีตอีกครั้ง คุณพาทิศจะได้ดึงตัวเองกลับมาในโลกปัจจุบันได้ทันก่อนที่ร่างกายคุณจะไม่รับค่ะ”
“แต่มันจะต้องยากมากๆ แน่ๆครับ”
“ไม่ยากหรอกค่ะ เพียงแต่คุณพาทิศต้องอดทนเท่านั้นเอง”
พาทิศ ขมวดคิ้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“ผมจะต้องทำอย่างไรบ้างครับ”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นค่ะ คุณพาทิศไปให้คนที่คุณเคยทำไม่ดีไว้ อโหสิกรรมให้คุณให้ได้ แล้วเว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทานมังสวิรัติ แล้วก็ลองถือศีล 8 นะคะ ถ้าอยากจะเร่งให้ได้เร็วๆ ต้องถึงขั้นศีล 8 ทำให้ได้สักอาทิตย์หนึ่งก็พอ แล้วมาหาดิฉัน ดิฉันจะฝึกกรรมฐานให้ค่ะ”
ราวกับรู้ว่าทั้งสองคุยกันเสร็จ เข้าใจตรงกันแล้ว สร้อยฟ้าและณัฐ ก็เข้ามาในห้องนั่งเล่นในที่สุด พาทิศมองหน้าณัฐก็รู้ว่าเพื่อนหนุ่มเป็นคนแรกที่เขาจะต้องให้อหสิกรรมให้ เพราะคนใกล้ตัวเขาที่สุดคนนี้เอง ที่เขาทำให้ทุกข์ที่สุดแม้จะเป็นไปด้วยความไม่ตั้งใจก็ตาม
ณัฐ เสิร์ฟเงาะ ในขณะที่ สร้อยฟ้าเสิร์ฟน้ำเปล่าให้ทั้งคู่ บทสนทนาคลายจากความเครียดไปจนพาทิศลืมเรื่องกังวลใจไปในที่สุด กระทั่งเมื่อลาออกมาจากบ้านของคุณป้าจิตรา ชายหนุ่มถึงนึกขึ้นได้ว่า อาหารว่างที่สร้อยฟ้าเตรียมให้นั้น คือ เงาะคว้าน เย็นฉ่ำ เหมือนที่หลวงพินิจราชอักษรได้กินจากเส็ง ทำไมเขาถึงจำเหตุการณ์นี้ได้แม่นนัก จำได้กระทั่งกลอนจากสังข์ทอง ทั้งที่เขาไม่เคยจำกลอนเหล่านี้ได้เลย พาทิศสงสัยเสียแล้วว่า ในอดีตเขาคงเป็นคนใดคนหนึ่งบนโต๊ะอาหารนั้น หรืออย่างน้อยก็อยู่ในห้องอาหารนั้นด้วยกระมัง