๒๘
ร่างของพาทิศบนเตียงนอนสีขาวสะอาดของโรงพยาบาล กระตุกขึ้นอย่างแรงจนตัวลอยขึ้นจากเตียงคล้ายโดนปั๊มหัวใจ คุณนายเพลงพิณร้องว๊ายขึ้นอย่างตกใจ แล้ววิ่งเข้ามาเกาะขอบเตียง ท่ามกลางสายตาของ จิตรา ณัฐ และ สร้อยฟ้าที่มองอยู่ตกใจไม่แพ้กัน
“คุณลูกเป็นอะไรคะ คุณพี่จิตรา!” เพลงพิณร้องเสียงแหลมกดปุ่มเรียกพยาบาล เมื่อเห็นลูกชายที่สะดุ้งคล้ายคนตื่นจากฝันร้าย แต่แล้วก็กลับลงไปนอนนิ่งตามเดิม
พยาบาลสาวหน้าหมวยร่างอวบวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น เพราะขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว หล่อนนึกว่าคนไข้ที่หลับไปเป็นเดือนนั้นกำลังจะฟื้นขึ้นมา แต่ที่ไหนได้พอเห็นเขานอนอยู่หล่อนก็ถอนใจ อย่างรำคาญ
“คุณพยาบาลคะ คุณลูกของดิฉัน แก... แกกระตุก แต่ยังไม่ฟื้นค่ะ”
“คุณแม่ต้องให้ผู้ป่วยพักนะคะ ไม่อย่างนั้นบาดแผลจะกระทบกระเทือนได้” หล่อนว่าเมื่อเห็นเพลงพิณกอดร่างลูกชายเอาไว้เสียแน่น กลัวกระดูกกระเดี้ยวที่น่าจะสมานกันดีแล้วเกิดหักไปอีกรอบ “คนไข้ยังไม่ฟื้นหรอกค่ะ คลื่นหัวใจก็ยังเต้นคงที่อยู่เลย”
“แต่คุณลูกกระตุกจริงๆนะคะ ไม่เชื่อถามคนอื่นซี ใช่มั๊ยคะคุณพี่ ใช่มั๊ยจ๊ะลูกณัฐ หนูสร้อย”
“ครับ” ณัฐเป็นคนอ้าปากตอบ “พาทิศกระตุก ตัวลอยเหมือนจะฟื้นแต่แล้วก็ลงไปนอนอยู่ตามเดิม เอ๊ะ... คุณพยาบาลครับทำไม...”
ณัฐอ้าปากค้างหน้าซีดด้วยความตกใจ จู่ๆ ร่างของพาทิศก็มีเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว ทั้งที่อุณหภูมิในห้องยังคงที่อยู่เท่าเดิม ผ้าที่พันรอบศรีษะที่แตกและเย็บไว้แล้ว เกิดแต้มสีแดงเข้มขึ้นเป็นวงเล็กๆ ก่อนจะขยาย เลือดไหลออกจากแผลเก่า ย้อยลงมาที่หน้ามากจนเปียกหมอนไปหมด พยาบาลสาวเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ เปิดประตูออกไปตะโกนเรียกหมอเวรให้รีบวิ่งเข้ามา
“คุณหมอคะ คนไข้แผลแตกค่ะ” หมอชายวัยกลางคนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พอเห็นสภาพของพาทิศก็รีบให้พยาบาลเข็นร่างที่ไร้สติของเขาไปห้องผ่าตัด เพื่อห้ามเลือดและเย็บแผลเสียใหม่ แต่ก็ไม่วายหันมาถามญาติผู้ป่วยว่า
“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมคนไข้ถึงแผลแตกเลือดออกมากขนาดนี้”
“ไม่ทราบค่ะ จู่ๆแกก็กระตุกตัวโยน แล้วเลือดก็ไหลออกมาเอง”
“ไม่ใช่ว่าคุณไม่กระทบแผลเขาเข้านะครับ”
“คุณหมอคะ ดิฉันเป็นแม่นะคะ! แม่ที่ไหนจะอยากเห็นลูกเจ็บบ้างคะ” เพลงพิณเถียงเสียงแหลม สั่นเครือเพราะน้ำตาที่ไหลริน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสำหรับคนเป็นแม่ เพียงลูกแผลถลอกเจ็บนิดๆหน่อยๆก็ร้อนใจแล้ว นี่ต้องมาเห็นลูกชายเลือดท่วมตัวมาสองครั้งสองครา ก็อดใจหายไม่ได้
“ผมขอโทษครับ เคสนี้เป็นอะไรที่หินมากสำหรับเรา มันมีอะไรประหลาดไปหมด จนแพทย์ผู้เกี่ยวข้องเครียดกันไปหมดแล้ว ผมเองก็เครียดไปด้วย ต้องขอโทษนะครับหากพูดจาไม่ดี” เขาว่าเบาๆอย่างรับผิด “แล้วจู่ๆแผลก็มาแตกอย่างไร้สาเหตุเหมือนโดนอะไรตี อย่างนี้โดนของหรือเปล่าไม่รู้”
เงียบ สายตาทุกคู่หันมามองจิตรา ราวกับหล่อนเป็นตัวการที่ทำให้พาทิศกลายเป็นแบบนี้ หญิงชราไม่ถือสากลับพูดขึ้นมาเบาๆว่า
“คุณหมอรีบไปเถอะค่ะ” หล่อนเดินมาที่โต๊ะเล็กข้างเตียงคนไข้ “ฝากเอาโถนี้ไปด้วย คุณพาทิศจำเป็นต้องให้มันอยู่กับเขาตลอดเวลาค่ะ”
นายแพทย์ผู้นั้นไม่ว่าอะไร แต่ก็รับโถลายครามนั้นรับเดินตามไป ที่ห้องฉุกเฉิน เพลงพิณเดินตามหมอไป จะไปอยู่เฝ้าลูกชายหน้าห้องผ่าตัด จิตราเห็นว่าน้องสาวเพื่อนกำลังเสียขวัญจึงเดินตามไปเป็นเพื่อนอย่างมีน้ำใจ ฝ่ายหลานสาวของหล่อน และเพื่อนหนุ่มของผู้ป่วย เห็นว่าอยู่ในห้องนี้เฉยๆก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจึงเดินตามทั้งสองออกไปด้วย
“ โธ่! คุณพี่จิตรา เมื่อไหร่ลูกชายจะฟื้นคะ นี่หลับมาเป็นเดือนแล้ว ลูกชายต้องเป็นเจ้าชายนิทราจริงหรือคะ” ผู้เป็นแม่ร้องไห้ออกมาด้วยความรัก และเป็นห่วงเปี่ยมล้นหัวใจ หากเลือกได้ คุณนายเพลงพิณย่อมต้องการมานอนนิ่งไม่รู้สึกตัวอย่างนี้แทนลูกชายเสียด้วยซ้ำ “แล้วเลือดเมื่อกี้มาจากไหน”
“แม่พิณ อย่าเพิ่งฟูมฟายเลย เชื่อฉันเถอะ ไม่นานพาทิศก็จะฟื้นแล้วที่ร่างกระตุกก็เป็นเพราะจิตเขากลับเข้าร่างแล้ว เพราะเรื่องเกี่ยวกับเขามันน่าจะจบแล้วเหลือรอให้ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น ทีนี้พอจิตกลับเข้าร่างก็มีปฏิกิริยาต้านเล็กน้อยเพราะมันออกไปนานเกิน ผลก็ออกมาเป็นเลือดทะลักนั่นละ” หล่อนว่า แต่เมื่อเห็นสายตาของเพลงพิณที่มองมาราวกับว่าหล่อนเป็นตัวประหลาด จิตราก็เข้าใจ “เธอจะว่าฉันเลอะเลือนก็ตามใจ ฉันพูดแต่สิ่งที่ฉันรู้”
เพลงพิณโทรเรียกสามี มาอยู่เป็นเพื่อน พอพ่อของพาทิศมาเกือบชั่วโมงหนึ่งถัดมา จิตราก็ทิ้งให้พ่อแม่เขาอยู่เฝ้าลูกไป ขอตัวกลับบ้านเดี๋ยวนั้น
ณัฐกับสร้อยฟ้าเห็นว่าเป็นการดีที่จะได้ซักถามเรื่องราวความเป็นไปของอาการที่พาทิศกำลังเป็นอยู่ จึงขอตัวขับรถไปส่งหญิงชรา ซึ่งฝ่ายจิตราก็ไม่ได้ปฏิเสธ ซ้ำยังยิ้มเหมือนจะพอใจที่ ดึงเอาณัฐและ สร้อยฟ้าออกมาจากเพลงพิณได้ ต่อหน้าเพลงพิณ หล่อนเป็นหญิงแม่มดแก่ๆที่เสียสติเท่านั้น แต่ต่อหน้าณัฐ และสร้อยฟ้า หล่อนเป็นเหมือนผู้รู้ในทุกเรื่อง เป็นที่พึ่งพาและเลื่อมใสของหนุ่มสาวทั้งสอง เห็นดวงตาก็รู้ว่าสองคนนี้เชื่อในเรื่องที่หล่อนพูดและต้องการรู้มากกว่านั้น
พอณัฐขึ้นรถไปนั่งที่คนขับ จิตราก็เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างหลังโดยที่ไม่ต้องให้ชายหนุ่มบอกอะไร กลายเป็นว่าสร้อยฟ้าต้องไปนั่งข้างคนขับเป็นเพื่อนณัฐไปอย่างนั้น
“เอ้อ พ่อณัฐ อย่าไปบ้านฉันเลย วานพ่อไปส่งฉันอีกที่จะได้ไหม”
สร้อยสุวรรณ กำลังจะออกจากโรงแรม ก็พบเข้ากับป้าของหล่อน มาพร้อมพี่สาวและเพื่อนหนุ่ม ก็ออกจะตกใจ ถอดแว่นกันแดดอันโตสีชาออกมองหน้าทั้งสามคนอย่างไม่แน่ใจว่าเห็นเขาเหล่านั้นที่นั่นจริงๆหรือเปล่า นี่มันเกือบตีหนึ่งแล้วเหตุใดยังมาอยู่ที่นี่กันอีก ไม่แยกย้ายกันกลับบ้านเล่า
“คุณป้า สวัสดีค่ะ” หล่อนน้อมตัวไหว้อย่างงดงาม เหมือนทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณป้า ไม่มีมาดของนางแบบสาวหัวฝรั่งอย่างที่แสดงกับหลายๆคน “มาถึงนี่เสียดึกดื่นมีธุระอะไรหรือคะ”
“หาที่เงียบๆคุณกับสองคนนี้จ้ะ ร้านที่อื่นปิดหมดแล้วต้องมาอยู่ตามโรงแรมนี่ละ” หล่อนตอบอย่างเยือกเย็น ยิ้มให้นิดๆ เพราะไม่เจอหลานสาวคนเล็กมานานแล้ว “แม่สุ จะไปไหนหรือสวมแว่นอย่างนี้แดดจ้ามากหรือจ๊ะ ตอนตีหนึ่ง”
“เอ้อ ไม่ได้ไปไหนเป็นพิเศษค่ะ” หล่อนตอบอย่างเอียงอายติดนิสัยชอบสวมแว่นเสียแล้ว ด้วยความที่เป็นคนดังแม้มีเพียงแสงจากไฟฟ้าเท่านั้นหล่อนก็ต้องสวมแว่นไว้เสมอ เหลือบมองสร้อยฟ้าแล้วเลยไปมองณัฐก่อนจะกลับมามองพี่สาวส่งสายหน้ารู้ทันแบบที่ทำให้พี่ของหล่อนหน้าแดงได้ไปให้ “คุณป้ามาดูดวงหาฤกษ์แต่งงานหรือคะ”
ณัฐไม่เข้าใจ คิดว่าปกติจิตราทำอย่างนั้นอยู่แล้วจึงไม่ติดใจอะไร แต่สร้อยฟ้าซี เข้าใจดีว่าน้องต้องการแหย่ตามประสาคนขี้เล่น จึงหน้าแดง ส่งสายตาแบบ แกตายแน่ ให้น้องสาว
“เปล่าหรอกคุยเรื่องทั่วๆไป” หล่อนว่า “แม่สุจะมานั่งด้วยกันไหมล่ะ”
หล่อนลังเลไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดีใจหนึ่งอยากนั่งอยู่ด้วย จับพิรุธในพฤติกรรมของพี่สาว แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากได้ยินอะไรที่จิตราว่า นอกจากหล่อนจะไม่นับถือแล้ว หลายๆครั้งยังรำคาญเอาเสียด้วย ใจหลังดูจะหนักแน่นกว่า หล่อนจึงตัดสินใจตอบว่า “ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ตามใจเถอะ” คนป้ายิ้ม ก่อนจะเดินหน้าต่อไปยังร้านกาแฟในโรงแรม แต่ก็หยุดชะงัก หันมาหาสร้อนสุวรรณอีกครั้ง “เอ้อ แม่สุ พอจะรู้ไหมว่า พ่อของหนูเขาเคยงมดูใต้สระบัวหลังเรือนเทาก่อนจะเอามาทำโรงแรมหรือเปล่า”
สร้อยสุวรรณขมวดคิ้ว เรื่องนี้สำคัญอะไรหรือ
“เอ เหมือนจะไม่เคยพูดถึงเลยนะคะ แต่คงช้อนบัวช้อนปลาออก แล้วทำเป็นสระน้ำเฉยๆ มังคะเพราะไม่มีบัวหรือปลาหรืออะไรแล้วในสระ จะเคยดำไปใต้น้ำหรือเปล่า ไม่เคยเล่าค่ะ” หล่อนว่า เห็นจิตราไม่พูดอะไรอีกก็ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย เดินออกจากโรงแรมไป
ณัฐและสร้อยฟ้าต่างก็พิศวงว่า ป้าจิตราพูดถึงอะไร ต่างจากหญิงชราที่หมดข้อสงสัยใดๆแล้ว
ในที่สุดหล่อนก็เข้าใจเสียทีว่า เพราะเหตุใดเส็งจึงยังไม่ไปผุดไปเกิด นอกเสียจากจิตของเขาจะผูกพันรอคอยคุณหลวงเป็นบ่วงพันธนาการไว้ชั้นหนึ่งแล้ว สิ่งที่อยู่ใต้สระ และสิ่งที่อยู่กับพาทิศที่ห้องผ่าตัดในตอนนี้ก็ยังจะเป็นเหมือนกุญแจอันใหญ่ ล็อกบ่วงแห่งความผูกพันนั้น มิให้คลายออกได้ แน่นหนามากขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งด้วย ไม่แปลกใจเลยที่เส็งจะต้องติดต่อกับพาทิศ หรือหากพาทิศเป็นเส็งเองก็ไม่แปลกเลยที่เขาจะต้องมาในร่างมนุษย์ เพื่อปลดทั้งกุญแจ ทั้งบ่วงที่ขังตัวเองไว้ที่นี่เสีย
“คุณป้าคะ” พอสร้อยฟ้าเรียกนั้นแหละจิตราถึงได้รู้ว่าหล่อนปล่อยให้จิตตัวเอง ลอยไปถึงไหนๆแล้ว เห็นหลานสาวมองอย่างเป็นห่วงหล่อนก็ยิ้มให้
“ว่าอย่างไร”
“คุณป้าเงียบไปนะคะ” หล่อนว่าเบาๆ
“อ้อ ใช่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะจ้ะ แต่ว่า เราคงจะไม่ไปที่ร้านกาแฟอย่างที่ฉันอ้างกับแม่สุหรอกนะ ฉันตั้งใจมาที่นี่” หล่อนบุ้ยใบ้ไปทาง “สระอโนดาต” แล้วก็เดินนำหนุ่มสาวไปล่วงหน้า
สร้อยฟ้าหันหน้ามองณัฐอย่างไม่เข้าใจ ตามความคิดของหญิงชราไม่ทัน
“คุณป้าครับ ผมอยากรู้ว่าทำไปพาทิศถึงกระตุกอย่างนั้นล่ะครับที่โรงพยาบาล” ณัฐเดินตามหล่อนมาทันในที่สุด กระซิบถามอย่างร้อนใจ
“อย่างที่ป้าบอกคุณเพลงพิณนั่นแหละ หลานเอ๋ย” ป้าจิตราเปลี่ยนสรรพนามไปเป็นอย่างนี้มาพักใหญ่แล้ว หล่อนรู้สึกสนิทสนมกับณัฐมากราวกับจะเป็นหลานชายป้าหลานกันจริงๆ “จิตของคุณพาทิศ เพิ่งกลับเข้าร่างตอนนั้นจ้ะ พอจิตมันไม่ชินกับร่างที่มันทิ้งไปนาน เลือดก็ไหลอย่างนั้นละ เป็นเหมือนผลข้างเคียงอะไรอย่างนี้ล่ะ”
ณัฐงงงวย
“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ ทำไมคราวที่แล้วถึงนอนไปเฉยๆ ตื่นมาเฉยๆ แต่คราวนี้ถึงกับต้องเลือดออกด้วย”
จิตราเงียบไปพักหนึ่งเรียบเรียงเรื่องในใจให้เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับหนุ่มน้อย พอมั่นใจแล้วว่าจะพูดอะไรก็กล่าวเบาๆว่า
“เคยได้ยินเรื่องที่อาถรรพ์เจ้าของสมบัติไหม อย่างที่พีระมิด มีสมบัติฟาโรห์อยู่ ใครเอาออกมาก็ต้องมีอันเป็นไปน่ะ” หล่อนเห็นณัฐพยักหน้าก็พูดต่อ “ที่จิตหลุดออกจากร่างเพราะโถลายครามนั้น มันดลให้พาทิศเขาถูกรถชน ของเขาอยู่ในบ้านไปเอาของเขาออกมาเจ้าของบ้านเขาหวง ทีนี้ พาทิศควรตายตั้งแต่โดนรถชนแล้ว เพราะชนฝั่งที่เขานั่งอย่างจังพอดี”
ณัฐขนลุกซู่
“แต่เจ้าของนิมิตเขาเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่คุณพาทิศหมดสติพอดีก็ดึงจิตของพาทิศไปดูเรื่องในอดีตต่อจากคราวที่แล้ว ปกติคนเขาถอดจิตไปดูนิมิต จะเริ่มจากเพ่งกสิณ พอวัตถุที่เพ่งมันหายไปแล้วจิตก็กลับเข้าที่เดิม หรือไม่ก็คนที่ดลใจให้เขาเห็นอนุญาตให้กลับได้ แล้วทีนี้เรื่องมันก็คงจบแล้วในส่วนของเขาจิตก็เลยกลับเข้าร่างอย่างไรล่ะ แล้วตอนที่จิตหลุดออกไป มันถูกกระชากออกไปแรงมาก ตอนกลับเข้ามาก็คงต้องใช้แรงพอๆกัน เลือดก็เลยออกกระมัง”
หล่อนว่า แต่ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจเป็นครั้งแรก
“คุณป้าบอกว่าพาทิศควรจะตายไปแล้ว แล้วอย่างนี้ถ้าจิตของพาทิศกลับเข้าร่างแล้ว มันจะต้องตายไหมครับ”
จิตราไม่ได้ตอบในทันที อันที่จริงหล่อนกลัวคำตอบ ทั้งที่ค่อนข้างมั่นใจตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลแล้วก็ตามแต่บางทีอาจมีทางช่วยพาทิศได้ หล่อนจึงมาที่นี่ พอหญิงชราเข้ามาในห้องอโนดาต หล่อนก็ตรงเข้าไปที่สระ จุ่มมือลงในในน้ำนั้น
ฉับพลัน
ใบหน้าของหนุ่มลูกจีน ขาวซีดดวงตาเรียวเล็กก็เงยหน้าขึ้นมาจากสระ เลือนรางคล้ายจิตของเขาถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่แสดงให้จิตราเห็นจึงเลือนเกือบจะใส ไม่เข้มแข็งเท่าจิตที่แข็งแรงอยู่เต็มดวง จิตราเข้าใจแล้วว่า จิตของเส็งถูกแบ่งเป็นสองส่วนจริงๆ ส่วนหนึ่งอยู่ที่นี้ อีกส่วนอยู่ที่โรงพยาบาล ในห้องผ่าตัดที่เพลงพิณนั่งเฝ้าอยู่! ไม่ใช่แค่จิตรา แต่ณัฐและสร้อยฟ้าก็เห็นใบหน้านั้นด้วย
หญิงสาวนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยกมือชี้อากาศ ปากอ้าพะงาบคล้ายจะกรีดร้องแต่ก็ไม่มีเสียงผ่านลำคอออกมา หล่อนพยายามเรียกป้าให้กลับออกมาจากสระ แต่เมื่อไม่อาจพูดได้ จิตราจึงไม่ได้ยินความคิดหลานสาว ยังจุ่มมือลงใปในสระ ราวจะทดลองอะไรบ้างอย่าง
แล้วหญิงชราก็ถูกผลักออกจากสระน้ำนั้น ล้มหงายตึงลงไป จึงหนุ่มสาวที่ติดตามมาต้องรีบเข้ามาช่วยประคอง จิตราหลับตาพริ้ม กระซิบถามเบาๆว่า “เป็นฉันก็ไม่ได้หรือ”
แล้วเหมือนหล่อนจะถามเองตอบเอง หล่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ หยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม ยิ้มให้กับสิ่งที่อยู๋ในสระ เขาใจทุกอย่าง กระจ่างชัดแล้วในวันนี้เอง หนุ่มสาวที่ประคองหล่อนอยู่ตกใจ น้ำตาของหญิงชรา แต่จิตราก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็นนานนัก หล่อนปาดน้ำตาแล้วหันมาพูดว่า “คำตอบของคำถามคุณณัฐคือ ใช่ค่ะ คุณพาทิศอาจตายได้ แม้แต่ดิฉันเองก็ไมมีสิทธิ์เข้าไปช่วย”
.ในขณะเดียวกันที่ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล พาทิศไม่รู้ตัวเลยว่า เหตุใดนิมิตที่ดูเหมือนจบลงแล้ว จึงยังไม่จบ เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าที่แสดงให้รู้ว่าจิตของเขากลับเข้าร่างแล้วพร้อมจะเข้าสมาธิดึงตัวเองออกจากนิมิต แต่แล้วไม่กี่นาทีต่อมานั้นเอง ชายหนุ่มก็รู้สึกวูบวาบที่หน้าท้อง นิมิตใหม่เริ่มขึ้นทันทีโดยที่เขาไม่อาจควบคุมมันได้อีก
เมื่อหยาดสะดุ้งตื่นในวันรุ่งขึ้นหล่อนก็พบว่า เทิดไม่ได้นอนอยู่ข้างกายหล่อนอีกแล้ว หญิงสาวปาดเหงื่อที่ผุดพราวทั่วใบหน้าจากฝันร้ายเมื่อคืนนี้ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปยังสระบัวที่อยู่ห่างจากตัวเรือนออกไปหลายสิบก้าว ขนลุกซู่จนต้องลูบแขนเบาๆ หล่อนฝันเห็นเส็งตะเกียกตะกาย ร้องหาความช่วยเหลือจากหลวงพินิจราชอักษร เห็นดวงตาที่ถลนโปนออกมาเมื่อชายหนุ่มหายใจไม่ออกอีกต่อไป หล่อนก็กลัวจับใจ ปากสั่นมือสั่นไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรดี หล่อนไม่อยากฝันร้ายไปตลอดชีวิต อยากจะเล่าให้ใครฟังอยากระบาย อยากสารภาพบาปกับใครสักคน แต่ก็ทำไม่ได้ หล่อนไม่อยากเป็นฆาตกรในสายตาคนอื่น คงไม่มีใครรับได้แน่หากหล่อนเล่าออกไปตามตรง
แล้วเทิดก็ดันมาหายไปอีก หายไปไหน จะเล่าเรื่องที่เกิดขี้นให้ใครฟังหรือเปล่า หล่อนกัดริมฝีปากล่างอย่างระแวงแคลงใจ ตัดสินใจเดินออกจากห้องไปตามหาเทิด แต่ไม่ทันจะได้เปิดประตูก็เห็นทนายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น หยาดโผเข้าหาเทิด กอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน ตัวสั่นราวกับลูกนกลูกกากกตัวเข้าหาแม่ของมัน
“เทิด เธอหายไปไหนมา ฉันกลัวแทบตาย” เสียงหล่อนสั่นเครือ เมื่อพูดไป น้ำตาก็พาลจะไหลไป “ฉันกลัว ฉันเห็นมัน เห็นอ้ายเส็ง ฉันเห็นมันในฝัน มันคงแค้นคงผูกใจเจ็บกับฉันมาก ฉันจะทำอย่างไรดีหาเทิด ฉันตกใจตื่นก็หวังจะพบเธอ เธอก็มาหายตัวไป เธอไม่รุ้หรอกว่าฉันใจเสียแค่ไหนที่ไม่พบเธอ”
“คุณหยาดเสียใจที่ไม่พบ หรือกังวลว่ากระผมจะเล่าเรื่องเมื่อคืนนี้ให้ใครฟังกันแน่” ทนายหนุ่มเอ่ยปากถาม
หยาดถอดตัวออกจากอ้อมกอดของเทิด หล่อนมองเขาราวกับไม่รู้จัก จริงอยู่เทิดเดาใจหล่อนออก หล่อนไม่ได้กลัวที่ไม่ได้เจอเขาในฐานะคนที่รักใคร่ผูกพันกันจนมีลูกด้วยกัน หล่อนกลัวว่าเขาจะเอาเรื่องไปบอกใครจริงๆ แต่หยาดก็ยังไม่อยากเชื่อว่า เทิดจะกล้าพูดแบบนี้กับหล่อน ราวกับว่าไม่ใช่เขาที่เคยบอกหล่อนกับหูว่าเขารักหล่อนเสียเหลือเกิน
“ทำไมเธอพูดอย่างนี้ ฉันไม่เหลือใครให้พึ่งแล้วนะเทิด สามีฉันก็ไม่อยู่ เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ของฉันก็กำลังลำบาก จะกลับไปหาก็ไม่ได้ ส่วนเธอ... เธอก็เป็น” หยาดนึก หล่อนจะใช้คำว่าอะไรดีนะ “เธอเป็นพ่อของลูกฉัน ฉันคงขาดเธอไม่ได้ ขาดเธออีกสักคนฉันคงไม่มีอะไรให้ยึดมั่นในชีวิต”
เทิดมองหยาดอย่างสมเพชเวทนา ไม่เชื่อสักคำที่หล่อนพูด แต่ในใจก็ยังสงสารอยู่ดี จึงรั้งหล่อนมากอดไว้หลวมๆ พร้อมกับเอ่ยปากบอกหล่อนในเรื่องที่เขาจำเป็นต้องบอก
“กระผมกลับไปที่เรือนของเจ้าคุณไพศาลมาเมื่อเช้านี้”
คำว่า เจ้าคุณไพศาลทำให้หยาดถอนตัวออกมาจากอ้อมกอดของเทิด ยืนมองเขาอย่างใจจดใจจ่อรอคอยสิ่งที่เขาจะบอกต่อไป หล่อนหวังในใจว่าอย่าให้เป็นเรื่องร้าย หวังว่าเทิดคงไม่หลุดปากบอกเจ้าคุณพ่อ หวังต่างๆนาๆ
“จะไปลา แล้วจากไปเสีย กระผมทนอยู่กับความรู้สึกผิดบาปไม่ได้”
“เทิด เธอบอกเจ้าคุณพ่อหรือเปล่า!”
“คุณคงกลัวแค่นี้ซีนะ” เขาว่าเสียงเย็นชาหันหลังให้หล่อน อย่างไม่ใส่ใจนัก “ผมไม่ได้บอกดอก ไม่มีโอกาสได้บอก พอรู้เรื่องก็รีบมาบอกคุณว่าเจ้าคุณและคุณหญิงถูกฆ่าตายเสียแล้ว พบศพระหว่างทางกลับเรือน คนแถวนั้นบอกมาสันนิษฐานกันว่า โดนลอบฆ่าเพราะไม่มีเงินใช้หนี้ เจ๊กกิม”
หยาดทรุดลงนั่งน้ำตาไหลโดยไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ นี่นะหรือ เวรกรรม มันตามหล่อนทันเร็วขนาดนี้เทียวหรือ หล่อนอดไม่ได้ที่จะหันไปทางสระบัว เสี้ยวนาทีหนึ่งไม่รู้ว่าหล่อนคิดไปเองหรือไม่ หยาดเห็นใบหน้าของเส็ง จ้องมองหล่อนมาจากบริเวณนั้น สีหน้าสะใจราวกับมีชัยชนะเหนือหล่อนจนได้
วันต่อมา พอทำใจเรื่องพ่อแม่ได้แล้ว หยาดก็ทำทีเข้าไปหาเส็งที่บ้านสวน แล้วก็เดินกลับออกมาอย่างที่เตรียมแผนไว้ในใจแล้วอย่างแยบยล แสร้งร้องตะโกนหน้าเรือนบ่าวอย่างหัวเสีย
“พวกเอ็งออกมาทีซี ข้าหาอ้ายเส็งมันไม่เจอ”
บ่าวไพร่โผล่หน้าออกมา มะลิ และชิดมองหน้ากันหวาดกลัว บ่าวทั้งคู่รู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า เส็งหายไปจากบ้านสวน แต่ก็ไม่กล้าบอกคุณหยาด เพราะนายสาวกำลังเศร้าเรื่องพ่ออยู่
“มันหายไปไหนมีใครรู้บ้าง” ไม่มีใครตอบ หยาดก็ตะโกนถามมะลิ “เอ็งเป็นคนยกข้าวปลาไปให้มันมิใช่รึ มะลิ เอ็งรู้ไหมว่ามันหายไปไหน”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” บ่าวสาวตอบ “ยกกับข้าวไปให้แต่เมื่อวานก็ไม่เห็นแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าหายไปไหน”
“มันคงทนลำบากไม่ไหวซีท่า” หยาดว่า “อยากรู้นักว่าถ้าคุณหลวงรู้ จะเป็นอย่างไร บ่าวคนรักที่ถูกใจหนักหนา รอเธอกลับมาไม่ได้ หนีหายไปเสียแล้ว”
เท่านี้ก็สำเร็จตามแผน หยาดแอบยิ้มเมื่อหมุนตัวกลับขึ้นเรือน แต่ก็ต้องมานั่งเสียใจอีกทุกคืนเมื่อคิดถึงเจ้าคุณพ่อและคุณหญิงแม่ของตัวเอง หล่อนไม่มีโอกาสได้ไปงานศพพ่อ เพราะเทิดแนะนำให้ซ่อนตัวเสียแต่ที่นี่ไม่ให้ใครเห็นหน้าค่าตา เพราะอาจโดนดักฆ่าได้ ตัวเขาไปเป็นตัวแทนหล่อนเอง ญาติพี่น้องถามหาอย่างไร เทิดก็เอาแต่บอกว่าหล่อนติดตามหลวงพินิจราชอักษรไปยุโรปด้วย หลายคนเชื่อเสียสนิทแถมต่อว่าผ่านทนายหนุ่มมาว่าหยาดนึกอยากไปไหนก็ไป ไม่ยอมมาลาไหว้ใครสักคน
หญิงสาวทนทุกข์ทรมาณทางใจอยู่ได้ไม่กี่เดือน ก็ต้องมาทรมาณกายเพิ่มอีก เมื่อหล่อนเจ็บท้องขึ้นมาวันหนึ่ง
“เทิด ฉันเจ็บท้อง ฉันว่าลูกจะออก” หล่อนร้องอย่างคนไร้สติ เทิดเองก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกพักหนึ่ง เพราะจู่ๆก็มาเจ็บท้องเอาตอนกลางคืนจะตามหมอที่ไหนก็ไม่รู้ จึงได้แต่วิ่งไปปลุกบ่าวไพร่กันจนหมดเรือน ยายนอมก็ใช้บ่าวผู้ชายพายเรือไปตามหมอตำแยที่คุ้งน้ำถัดไป มาทำคลอดให้อย่างเร็วที่สุด
ทนายหนุ่มดูร้อนรนจนหลายคนผิดสังเกต เพราะไม่มีใครรู้ว่าเด็กในท้องหยาดเป็นลูกของเขา บ่าวไพร่จึงพาลคิดไปว่าเทิดคงไม่เคยเห็นผู้หญิงร้องโอดครวญหนักเท่านี้มาก่อน บวกกับนายเทิดก็เป็นคนรับใช้สนิทกันมาแต่ไหนแต่ไร จะตื่นเต้นตกใจไป ใครๆก็ว่าเป็นเรื่องธรรมดามิได้ติดใจอะไรนัก
พอหมอตำแยมา เทิดก็ถูกไล่มาอยู่ชั้นล่าง ได้ยินเสียงหยาดร้องครวญครางราวกับถูกฆ่าฟันก็เดินงุ่นง่านไปมา จนมะลิรำคาญ เอ่ยถามว่า
“พี่เทิดเป็นพ่อเด็กหรือไง อยู่ไม่ติดที่เลย”
“อีบ้า มึงพูดอะไรเดี๋ยวเหาก็ขึ้นหัวดอก เขาเป็นนายพูดอย่างนี้คุณหยาดเธอเสีย ไม่ใช่กู” เทิดตวาดลั่น พอดีกับที่ได้ยินเสียงเด็กร้องดังลั่น
เทิดวิ่งขึ้นไปด้านบน มะลิและชิดก็อดตามขึ้นไปไม่ได้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หมอตำแยเดินออกจากห้องมาพอดี ก็บอกว่า “เป็นเด็กผู้ชาย”พอเทิดเดินเข้าห้องไปก็ยกเด็กทารกตัวแดงใหญ่ดูสมบูรณ์ดีขึ้นมาไว้ในอ้อมอก มองดูด้วยความรัก พูดเบาๆว่า “ลูกพ่อ”
โชคดีที่มะลิ และ ชิดไม่กล้าเข้าไปในห้องจึงไม่ได้ยิน แต่ก็อดสงสัยกันตามประสาสาวช่างพูดช่างคุยว่า เหตุใดเทิดจึงดูรักเด็กคนนี้เหลือเกิน