งานฌาปนกิจของจิตรา จัดขึ้นที่วัดหนึ่งใกล้กันกับบ้านของหล่อน ไม่กี่วันหลังจากนั้น แขกเหรื่อมากันมากมายอย่างสมเกียรติ ตัวหล่อนนั้นแม้จะเคยเป็นคนไม่ดีไม่มีใครรักมาก่อนในอดีต แต่ก็กลับใจได้เร็ว และปฏิบัติตนเป็นคนดีมาตลอด ทำให้คนทั่วไป ไม่คิดจะตำหนิ หรือโกรธเกลียดหล่อน ต่างพากันให้อภัยสรรเสริญยกย่องหล่อนจากใจจริงกันทั้งนั้นศาลาที่ไว้ศพจึงแน่นขนัดไปหมดในวันนี้
สร้อยฟ้า และสร้อยสุวรรณ ซึ่งปกติจะแต่งหน้าแต่งตัวจัด กลับใส่ชุดเดรสสีดำแค่เข่าง่ายๆ แต่งหน้าอ่อนๆทั้งสองคน ดูแปลกตาสำหรับแขกทั้งหลาย สองสาวคอยยืนช่วยแจกธูปเทียนให้ไหว้ศพกันอยู่อย่างพยายามไม่ให้บรรยากาศดูหดหู่นัก แต่ก็ได้แต่พยายาม หล่อนไม่อาจทำให้งานนั้นดูหดหู่น้อยลงได้จริงๆหรอก
ใครก็อาลัยจิตรา ใครก็รักและเคารพหล่อนกันทั้งนั้น
จิตมาศ เป็นเจ้าภาพในวันนี้ หล่อนคอยเดินต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ได้ไม่นานนักก็เหนื่อยอ่อนต้องเดินไปนั่งพักที่เก้าอี้แถวหน้า ปล่อยให้หน้าที่รับรองแขกเป็นของหนุ่มน้อยที่หล่อนเพิ่งจะรู้จัก แต่ถูกชะตาอย่างเหลือเชื่อรับผิดชอบแทน
ณัฐใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ พอดีตัว กางเกงแสลคดำ รองเท้าหนังอย่างให้เกียรติ เมื่อจิตมาศเห็นครั้งแรกก็รู้สึกสงสัยในใจว่า หนุ่มคนนี้จะใช่ “เพื่อน” อย่างที่สร้อยฟ้าแนะนำหรือเปล่า เพราะแม้จะอยู่ในสภาพที่เศร้าโศกจากงานศพ แต่ลูกสาวคนโตของหล่อนก็ดูเหมือนอุ่นใจ สบายใจที่ได้พบกับหนุ่มน้อยอย่างเห็นได้ชัด
ณัฐไหว้หล่อนอย่างนอบน้อมตั้งแต่เห็นหน้า กิริยา ท่าทางของเขาดูเรียบร้อย นุ่มนวล ผิวพรรณก็ดูสะอาด สะอ้าน ดูดีมีชาติตระกูล มีหลักฐานสนับสนุนเป็นพ่อ กับแม่ที่เขาพามาด้วยในวันนี้ ทำให้รู้ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเป็นอย่างไร ทั้งพ่อทั้งแม่ของณัฐเองก็เรียบร้อยดูผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วเสียจริง ข้อเสียเดียวของณัฐคือดูนุ่มนิ่มไปสักนิด แต่สำหรับจิตมาศนั้น ความประทับใจแรกของหล่อนต่อหนุ่มผู้นี้ ถือว่าผ่านฉลุยได้เอบวกไปอย่างง่ายดาย
หล่อนจึงไว้ใจให้เขาช่วยดูแลแขกให้หล่อนดยไม่คิดลังเล “ช่วยแม่เถอะจ้ะ แม่เหนื่อยเหลือเกิน อะไรก็ปุบปับไปหมด เร็วไปหมดยังทำใจได้ไม่ทัน”
ชมนาด เพื่อนของพี่สาวมาถึงก่อนพระสวดไม่นานตามมาด้วยเพลงพิณ และสามี ทั้งสามแต่งตัวอย่างไม่มีใครยอมใคร แม้เป็นชุดดำเรียบๆก็เป็นของดีมีระดับของดีไซเนอร์ดังๆทั้งนั้น ขนเครื่องประดับมาเต็มตัวราวมางานประกวดมิใช่งานศพอย่างนั้น แต่จิตมาศไม่ถือสา เพราะเข้าใจดีว่าถึงบ้านนี้จะดูน่าหมั่นไส้อย่างไร ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ คบได้ดีทีเดียว
เข้ามาในงาน ชมนาดก็ตรงเข้าไปหาหล่อน น้องสาวของผู้เสียชีวิต ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบคุณที่มาค่ะ คุณพี่ชมนาด”
“ขอบคง ขอบคุณอะไรเพื่อนเสียทั้งทียังไงก็ต้องมา”
“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” เพลงพิณเอ่ยเสียงหวาน
“ขอบคุณค่ะ เอ แล้วลูกชายไม่มาด้วยหรือคะ”
“คุณลูกกำลังตามมาค่ะ หลงทางเล็กน้อย แต่คิดว่าคงจะใกล้ถึงแล้ว”
ใกล้จะถึงแล้วของเพลงพิณคือ อีกกว่าครึ่งชั่วโมงต่อมา พระเริ่มสวดไปแล้ว ชายหนุ่มผู้รู้สึกผิดเต็มหัวใจว่าตนเป็นต้นเหตุของความตายในวันนี้ก็มาถึง เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีดำสนิท ตัวนอกเป็นเสื้อของเวอร์ซาเช่ อย่างดีทับไว้ กางเกงแสลคพอดีตัวสวมทับอยู่บนขา ที่เท้าเป็นรองเท้าหนังหัวแหลมใส่ไว้ ดูสง่างามจนใครต่อใครต้องหันมอง
กระนั้นเมื่อเข้ามาในบรรยากาศของงานอย่างนี้ ชายหนุ่มกลับดูเซื่องซึม ไม่เหมือนกับเขาแม้สักนิด สีหน้าของเขาดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเขาเริ่มผมยาวมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมตัดเสียที หวีเสยให้พ้นหน้าผากกลมสวยเอาไว้เท่านั้น ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนมองออกว่า เสียใจกับสิ่งที่ตนทำไปจริงๆ
พอเข้ามาถึงศาลาเขาก็ตรงเข้าไปไหว้เจ้าภาพ ท่าทางของจิตมาศดูไม่ผิดปกติอะไร แสดงว่าคงไม่รู้เรื่องที่เขาเป็นคนก่อให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งนั้นเองเป็นแน่
“ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ”
“พาทิศ” เสียงหนึ่งดังจากข้างหลัง ณัฐเดินตรงเข้ามาหาอย่างเดิม ไม่มีแววโกรธขึ้งแฝงไว้ แต่ก็ไม่มีแววสุขเป็นประกายอย่างเดิมเช่นกัน “ไปไหว้พระก่อน”
เขาพยักหน้าตามเพื่อนหนุ่มไป พอเดินห่างออกมาได้สักพักเพื่อนหนุ่มน้อยก็เอ่ยปากเบาๆว่า “บอกทุกคนว่า ไฟตะเกียงตกลงมา ไม่มีใครอยู่ในบ้านก็เลยไฟไหม้ ป้าจิตรามาที่เรือนเทาพร้อมพวกกูดึงดันจะเข้าไปหยิบของ แล้วก็ติดอยู่ในนั้น กว่าจะเรียกรถดับเพลิงมาถึงบ้านก็ไหม้หมดแล้ว”
เพื่อนหนุ่มผายมือไปที่พระพุทธรูป “บอกไว้ได้รู้ตรงกันเผื่อใครเขาถามตอบผิดจะซวยเอา”
เท่านั้นเอง ไม่พูดถึงเรื่องของเขาสองคนเลย
พอไหว้พระเสร็จ ณัฐก็พาเขามาที่โลง ในโลงไม่มีศพป้าจิตราก็จริง แต่เลือกชุดที่ป้าจิตราชอบใส่ และลูกแก้วใสที่เคยใช้ฝึกกสิณกับพาทิศมาใส่ไว้ราวกับว่าให้วิญญาณของจิตรามารับรู้ด้วยในวันนี้ ไม่มีใครรู้เลยว่า หล่อนได้ขึ้นสวรรค์ไปกับเส็งแล้ว กำลังพร้อมจะมาเกิด
สร้อยฟ้ายิ้มให้เขาอย่างแปลกๆ คล้ายมุมปากกระตุกเท่านั้น หล่อนไม่ได้โกรธ เกลียดชายหนุ่ม แต่ก็อดขุ่นข้องในใจไม่ได้ว่าชายหนุ่มเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้จริงๆ หล่อนยื่นธูปให้พาทิศหนึ่งดอก แล้วชายหนุ่มก็นั่งคุกเข่าลง
อธิษฐานถึงหลวงพินิจราชอักษร
“คุณหลวงครับ ผมไม่ทราบมาก่อนว่าคุณหลวงคือป้าจิตรา ขอบคุณจริงๆที่อโหสิกรรมให้ผมตั้งแต่ชาติที่แล้ว มาชาตินี้ยังอุตส่าห์ตามมาช่วยเหลือกันอีกอย่างนี้ ผมขอบคุณมากจริงๆ ผมเสียอีก ทำกรรมไว้ในชาติที่แล้วอย่างไร ชาตินี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ยังทำให้คนอื่นเสียใจเพราะผม ผมตัดสินใจจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดทั้งมวลรอบตัวผมให้เรียบร้อย เรื่องณัฐ เรื่องคุณสร้อย เรื่องงานเขียนนิยายเรื่องสุดท้ายของผม แล้วผมก็ตัดสินใจแล้วว่า จะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป
คุณหลวงบอกผมในร่างของป้าจิตราว่า
กรรมเป็นแค่ตัวกำหนดสภาพของมนุษย์เท่านั้น มันกำหนดปัจจุบันของเราได้ แต่มันกำหนดอนาคตเราไม่ได้ เราตัดกรรมได้ด้วยการทำความดี ที่ผ่านมาผมพยายามแก้ไขมามากแล้วแต่ ถ้าในอนาคตจะทำอะไรอีก ก็แล้วแต่ผมจะคิดได้
ตอนนี้ผมคิดได้แล้วว่าจะทำอย่างไร และก็มั่นใจแล้วด้วยว่า จะทำอย่างนั้นได้จริงๆขอให้คุณหลวงช่วยเป็นแรงใจให้ผมด้วยนะครับ
ฝากบอกเส็งด้วยว่าผมขอโทษจริงๆ และหากชาติหน้ามีจริง ผมขอให้คุณหลวงกับเส็งได้เกิดมาคู่กัน ครองรักกันอย่างมีความสุขเสียทีเถอะครับ ส่วนผมนั้น อย่าได้มาเจอกันอีกเลย ขอให้คุณหลวงไปสู่ สุคติครับ”
พาทิศปักเทียนลงกระถางธูป ลมพัดน้อยๆเจือกลิ่นน้ำอบของเส็ง คู่มากับกลิ่นสุคนธรสฝรั่งที่หลวงพินิจใช้ประพรมร่างกาย ราวกับจะบอกว่า รับรู้เรื่องที่อธิษฐานในใจมาแล้ว ขอบใจมาก...
พระสวดเสร็จแล้ว แขกเหรื่อทยอยกลับกันไปเป็นคู่ๆ แต่พาทิศยังพยายามรั้งท้ายให้อยู่เป็นคนท้ายสุด เพื่อได้หาโอกาสคุยกับณัฐให้รู้เรื่องรู้ราวในสิ่งที่เขาคิดทบทวนมาโดยตลอดสองสามวันที่ไม่เจอกันนี้ เพลงพิณชวนลูกชายกลับบ้าน แต่พาทิศก็ปฏิเสธเบาๆ อ้างว่า
“ผมเคยไปรบกวนคุณป้าจิตราเรื่องฝึกกรรมฐาน อยากอยู่ช่วยงานต่ออีกครับคุณแม่” เหตุผลเท่านั้น เพลงพิณก็ฟัง หล่อนพบว่าลูกชายของหล่อนเปลี่ยนไปมาก นับแต่รู้จักกับจิตรา สุขุมขึ้น อ่อนโยนขึ้น ดูเป็นคนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่ลูกของหล่อนได้ดีขั้นมาได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะจิตราด้วยจึงไม่คิดอยากขัด
ช่วยกันเก็บกวาดอยู่สักพัก พาทิศก็เดินไปเก็บแก้วน้ำ บริเวณที่ณัฐกวาดพื้นอยู่อย่างตั้งใจ เดินไปกระซิบว่า
“กลับพร้อมกันนะ เรามีเรื่องจะคุยด้วย”
ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเดาไปเองต่างๆนานาว่า เพื่อนหนุ่มจะตอบอย่างไร จากนั้นก็โล่งใจเมื่อเห็นเพื่อนหนุ่มพยักหน้า ทำความสะอาดต่อไปไม่นานเท่าไหร่นัก ณัฐก็ลากลับบ้าน พาทิศจึงรีบลาออกไปด้วย เดินคู่กันมาจนถึงลานจอดรถ พอเห็นว่าลับตาคนดีแล้วก็คว้าข้อมือของเพื่อนหนุ่มไว้ ณัฐไม่สะบัดมือนั้นออกอย่างที่ชายหนุ่มกลัว แต่กลับหันมามองพาทิศเต็มตา
สายตาที่พาทิศเกลียดที่สุดที่จะเห็นจากณัฐ ไม่ใช่สายตาขุ่นข้อง รำคาญ หรือเคียดแค้นอย่างที่เขาจะเกลียดเมื่อมันมาจากคนอื่น แต่สายตาที่รื้นไปดวงน้ำตายามต้องแสงไฟฟ้าในเวลากลางคืนอย่างตอนนี้สิ ที่พาทิศเกลียดจับใจ
มันเป็นสายตาตัดพ้อ ที่แฝงความหมายไว้มากมายเกินกว่าจะอธิบายออกมาได้หมด มันเป็นสายตาที่ย้ำเตือนเขาว่า ณัฐดีแค่ไหน และเขาเลวแค่ไหนที่ทำให้ณัฐเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเป็นเหตุผลหลักที่เขาไม่ยอมปลงใจรักณัฐสักครั้งหรือเปล่า หากว่าคบกันไปแล้วเขานอกใจไปตามประสาหนุ่มเจ้าชู้ เขาก็คงจะเลวมากหากตกลงเป็นแฟนแล้วทำณัฐเสียใจอย่างนั้น
เขาไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร ไม่รู้เลย จึงได้แต่เงียบมองณัฐอยู่อย่างนั้น จนคนที่ถูกมองต้องหลบตาก่อน และพูดขึ้นในที่สุด
“ไหนว่ามีเรื่องจะคุย ถ้าบอกว่ามีเรื่องจะมอง จะได้ไม่มาเสียแต่แรก”
“ณัฐ ทำไมต้องพูดถึงขนาดนี้” เขาว่า “พูดเหมือนเกลียดกัน”
พาทิศเข้าไปใกล้คล้ายจะดึงเพื่อนหนุ่มมากอด
“อยู่ในวัดนะ อย่าเลย” ณัฐเป็นฝ่ายเดินห่างออกไป “มีอะไรคุยกันบนรถ”
สองหนุ่มเดินขึ้นรถไปในที่สุด ทุกอิริยาบถ มีสร้อยฟ้าเป็นจักษุพยาน เห็นทุกๆอย่างหมดเรียบร้อยแล้ว
รถนั้นเป็นรถคันเดิมที่คุ้นเคย แต่เหตุใดพาทิศถึงรู้สึกว่า ณัฐปฏิบัติต่อมัน ราวกับเพิ่งรู้จัก เพื่อนหนุ่มนั่งเบาๆ ปิดประตูเบาๆ ตาจ้องออกนอกกระจกอย่างไม่มีโฟกัส มองล่องลอยเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น
“ณัฐ” พาทิศรวบรวมกำลังใจถามขึ้นในที่สุด “เห็นดาวดวงนั้นหรือเปล่า”
ชายหนุ่มชี้ดาวเหนือ เสียงสั่นคลออย่างไม่ตั้งใจทว่าก็ดูจริงใจเหลือเกินเมื่อมันไม่ได้เป็นการเตรียมตัวมาล่วงหน้า จนหนุ่มน้อยข้างๆ น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่ตั้งใจอีกเหมือนกัน เมื่อคิดถึงเรื่องเก่าๆ เขาพยักหน้าเบาๆ
“รู้หรือเปล่าว่าชื่ออะไร” เพื่อนหนุ่มไม่ตอบ พาทิศจึงพูดเอาเอง “เราเรียกมันว่าดาวณัฐจำได้หรือเปล่า มันสว่าง สุกใสเหมือนตาของณัฐ”
พาทิศเอื้อมมือไปจับมือของชายหนุ่ม
“ดาวที่อยู่ตรงกันก็ดาวทิศไง ตอนนั้นอยู่ตรงกัน ตอนนี้ก็ยังอยู่ตรงกัน เห็นไหม" เขาหันมามองหน้าณัฐเต็มตา แต่ก็ไม่เห็นว่า เพื่อนหนุ่มจะหันกลับมามองบ้าง “จะไม่หันมามองจริงๆ หรือ”
ไม่ตอบ พาทิศสูดหายใจเข้า
“โกรธเราเรื่องอะไรณัฐ”
ชายหนุ่มที่ถูกถามไม่หันมาตอบ แต่พูดขึ้นลอยๆราวกับพูดกับกระจกรถนั้น “ไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกแปลกๆ... รู้สึก เสียใจมั้ง ผิดหวัง น้อยใจ เรียกว่าอะไรดี” บทจะพูดณัฐก็พูดอย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน คำพูดหลั่งไหลออกมา พรั่งพรูพร้อมกับน้ำตาของเขา “นายเคยเห็นใจเราหรือเปล่า เคยแคร์เราบ้างไหมตลอดเวลาที่ผ่านมานี้”
กลับไปใช้สรรพนามอย่างตอนเด็กๆอีก พาทิศก็รู้สึกสะเทือนใจ คิดถึงวันวานเก่าๆ ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“เคยคิดถึงคนทางนี้ไหมว่าเขาเป็นห่วงแค่ไหน ตอนนั้นหายไปอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ พอเจอกันก็ผอมซูบไม่มีแรงเหมือนคนป่วย รู้หรือเปล่าว่าเป็นห่วงแค่ไหน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่รู้จะทำอย่างไร พอกลับมาดีเหมือนจะมีความสุข ได้อยู่ด้วยกันไปพักหนึ่ง ก็ดีก็อุ่นใจ แล้วอย่างไร ไปหาเรื่องให้รถชน เราไปเฝ้าทุกวัน ข้าวต้องซื้อใส่กล่องมากินในห้อง อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่มีอะไรทำ ได้แต่นั่งรอว่า เมื่อไหร่จะฟื้น เมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมาสักที เป็นเดือน กว่าจะฟื้นขึ้นมา พอฟื้นแล้วจะเห็นใจหรือเปล่า จะเข็ดหรือเปล่า ก็ไม่ ไปเพ่งกสิณอะไรอีก ทั้งที่ก็รู้ว่าไม่เคยทำ น่าจะรอป้าจิตรา แล้วเกิดอะไรขึ้น เห็นหรือเปล่า เราเข้าไปช่วยเพราะเป็นห่วง ป้าจิตราไปช่วยเพราะเป็นห่วง คุณสร้อยเองรู้จักกันไม่นานก็ยังเป็นห่วง นายจะทำให้คนอื่นห่วงไปถึงไหนพาทิศ ผลที่ได้คืออะไร นอกจากเสียใจแล้ว ป้าเขาก็มาจากไปอีก เราไม่อยากโทษว่าเป็นเพราะนาย แต่เคยคิดสักนาทีหนึ่งไหมว่าคนเขาเป็นห่วง คนเขาแคร์ คิดถึงแค่ไหน” ณัฐสูดหายใจเข้า “คิดไหมว่าเรารักนายแค่ไหน!”
พาทิศสะอึก หากณัฐคว้าปืนขึ้นมายิงทะลุหัวใจเขาตอนนี้ ชายหนุ่มยังมั่นใจเลยว่า เขาจะเจ็บน้อยกว่านี้อยู่มากนัก กัดฟันตอบไปว่า
“คิดซี เรารู้มาตลอดว่า ณัฐดีกับเราเหลือเกิน ทำทุกอย่างเพื่อเรา รักเรามากกว่าใคร” เขาว่า “เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ขอให้ผ่านไปเถอะนะณัฐ เราตั้งใจจะบอกณัฐวันนี้ หลังจากที่คิดมาอย่างดีแล้วว่า เราเองก็รักณัฐเหลือเกิน รักเกินกว่าจะรักใครอีก หากจะหยุดชีวิตเราไว้กับใครสักคน ก็คงเป็นณัฐนี่แหละ”
ชายหนุ่ม เลื่อนหน้าเข้าไป จะจุมพิตที่แก้มเนียนใส แต่อีกฝ่ายกลับหันหน้าหนีอย่างขุ่นเคือง พาทิศจึงว่าต่อไป
“ณัฐ ไปอยู่กับเรานะ ไปอยู่ที่บ้านที่ไหนก็ได้ ที่สีลม สาธร หรือที่ไหนก็ได้ที่ณัฐอยากไป เราสัญญาว่าเราจะไม่มีวันทิ้งณัฐไปไหนอีก... นะ”
ณัฐได้ยินอย่างนั้นก็ถอนมือออกจากมือของพาทิศ หันหน้ามามองเขาอย่างประหลาดใจ เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม
“สัญญาหรือ นายสัญญากับเรามาแล้วกี่ครั้งพาทิศ” เจ้าของชื่อไม่ตอบ ผู้พูดจึงว่าต่อไป “เราไม่นับสมัยเด็กๆ หรือสมัยวัยรุ่น เอาสัญญาเฉพาะไม่กี่เดือนนี้ วันก่อนที่จะไปงานเลี้ยงป้าจิตมาศ ก็สัญญาไม่ใช่หรือว่าจะไม่ทิ้งให้เราเหงาอีก แล้วทำได้หรือเปล่า... ไม่ แล้วตอนที่ฟื้นขึ้นมา ตอนไปฝึกกรรมฐานสัญญาว่าอย่างไร จะอยู่กับเราที่เรือนเทา จะไม่ทิ้งเรา ทำได้หรือเปล่า พาทิศ ...ไม่ได้ไง!”
“โธ่ ณัฐ มันเป็นเพราะเราติดเรื่องในอดีตเท่านั้นแหละ” เขาว่า “ต่อจากนี้จะไม่มีอีกแล้วนะ ณัฐนะ”
“ข้ออ้างมันมีเรื่อยๆแหละ คนเราจะอ้างอะไรก็ได้ แต่ถ้าทำให้เห็นไม่ได้ แม้ครั้งเดียวก็เกินพอที่จะไม่เชื่ออีกแล้ว นายจะเอาอะไรมารับประกันว่า ถ้านายไปเจอเรื่องอื่นๆอีก อย่างนิมิตประหลาดๆอะไรอีก นายจะไม่เอาใจไปผูกไว้กันมัน”
“ณัฐ ที่เราเป็นอย่างนี้ก็เพราะเรื่องในอดีตนะ” เขาว่า “นายกำลังจะปฏิเสธเรา เพราะกรรมของเรา ในอดีต เพราะเราไปพรากคุณหลวงจากเส็ง เราก็เลยไม่อาจลงเอยกับใครได้ ณัฐแต่นายต้องไม่สนเรื่องนั้นนะ แม้ว่านาย... แม้ว่านายกับเรา... จะเคยคู่กันมาก่อนก็ตาม”
“ไม่เข้าใจ”
“ณัฐ เรามาพิจารณาดูแล้ว” เขากลืนน้ำลาย “ถ้าเราเป็นหยาด นาย... นายก็คือเทิด!”
แปลกตรงที่พอคิดได้ พาทิศตกใจเสียเต็มที่ แต่ณัฐกลับไม่สนใจ ไม่ยินดียินร้าย หรืออะไรเลยทั้งสิ้น นั่งฟังอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด ไม่น่าสนใจที่สุดที่คนสองคนจะยกมาคุยกันได้
“เรามาคิดๆดูแล้ว ตามคำอธิษฐานของหยาดที่ให้เทิดมาเกิดแล้วรักหยาดตั้งแต่เด็กๆเหมือนที่หยาดรักคุณหลวง แล้วจะได้รักกันตั้งแต่เริ่มแรก สมหวังด้วยกันทั้งคู่นี้ มาคิดดูแล้วก็ตรง นายกับเราก็รู้จักกัน รักกันแต่เด็ก แล้วก็ผิดใจกันหลายครั้ง อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เพราะกรรมเรื่องเส็งกับคุณหลวงพินิจราชอักษรนี่แหละ ของร้องนะณัฐ อย่าไปสนใจกรรม ขอร้อง... ไปอยู่กับเรานะณัฐ”
ชายหนุ่มถอนใจ ตามองที่พาทิศอย่างเหนื่อยอ่อน
“ทิศ เราไม่สนเรื่องนั้น เราคือณัฐ ไม่ใช่เทิด ต่อให้ใช่จริงๆ เราก็จำเรื่องในอดีตไม่ได้ เราไม่ได้คิดว่าอะไรทุกอย่างที่เราทำและตัดสินใจในชาตินี้ ต้องเป็นผลมาจากชาติที่แล้ว เราไม่คิดว่าเราเป็นเทิด และไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องตกลงปลงใจอยู่กับนาย” พาทิศตกใจ น้ำตาซึมคลอเบ้า
เหมือนถูกบีบหัวใจ เหมือนว่าสิ่งที่คิดที่รอมาตลอดมันไม่สมหวัง เขาไม่ได้คิดจะมาหลอกณัฐ อันที่จริงเขาไม่คิดหลอกณัฐสักครั้ง แต่สิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาสัญญานั้น เป็นสิ่งที่เขาคิดมาดีแล้วว่าเขาจะทำได้ หากทำไม่ได้ พาทิศก็ไม่คิดว่าเป็นการผิดสัญญาแต่อย่างใด เมื่อสิ่งที่ผิดสัญญานั้นไม่เป็นไปเพราะความตั้งใจ
ณัฐยังพูดต่อไปอีก
“นายกำลังหลงทาง เส็งคงไม่ได้อยากให้นายเห็นอดีตแล้วมาจับแพะชนแกะตีความอะไรเอาเองอย่างนี้ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็คือผ่านมาแล้ว อะไรที่เป็นความผิดแก้ได้ก็แก้ แต่ไม่จำเป็นต้องเอามากำหนดชีวิตตัวเองเสียหมด เรากับนายอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกพาทิศ”
“ทำไม นายไม่รักเราแล้วหรืออย่างไร ณัฐ”
“ไม่ใช่ไม่รัก รักมาก รักมากจนเจ็บมาก แต่ชีวิตคนเราเกิดมาก็มีทุกข์ติดตัวกันทุกคนอยู่แล้วทิศ เราไม่จำเป็นต้องหาความทุกข์ใส่ตัวอีกหรอก เรารักนาย แต่ไม่เหมาะกับนาย เราต้องการความมั่นคง ต้องการตื่นมาเจอคนที่เรารักทุกเช้า หลับพร้อมกับเขาทุกคืน ไม่ใช่หลับไปแล้วกลัวว่าวันรุ่งขึ้นเขาจะหายไปไหนอีก จะตื่นขึ้นมาหรือเปล่า จะไปเป็นไปตายที่ไหนให้เป็นห่วงไหม นายให้เราไม่ได้พาทิศ”
ณัฐว่าเศร้าๆ อย่างนั้น จนพาทิศคล้อยตาม ไม่อยากดึงดันอีกต่อไป
“เชื่อเถอะ คงมีคนที่เหมาะกับนายมากกว่าเรา”
“แล้วนายหรือไงคิดว่ามีคนที่เหมาะกับนายมากกว่าเรา”
“มีแล้ว เราตั้งใจจะแต่งงานกับเขา” เท่านั้น ทุกอย่างก็จบลง ง่ายๆ ต่างจากตอนเริ่มที่ยากเหลือเกิน พาทิศใจลอย เสียใจ ผิดหวัง ท้อแท้ ยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต แต่ก็มีสติ มีแรงพอที่จะขับรถไปส่งเพื่อนหนุ่มที่บ้าน เขาอยากขอกอดณัฐสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจเอ่ยปากขึ้นมาอีกได้ เพราะหากเขาอยู่กับณัฐอีกแม้นาทีเดียว เขาคงจะลงไปกอดขาเพื่อนหนุ่ม ร้องไห้ขอร้องไม่ให้ไปอย่างน่าสมเพชเวทนา แล้วหากเพื่อนหนุ่มไม่ยอมอีก เขาคงไม่มีหน้าไปรักใครอีกแล้ว และต่อให้ณัฐตอบตกลง พาทิศก็รู้ดีว่าคงตกลงเพราะเห็นใจ มากกว่ารักและตัดสินใจอยากอยู่กับเขาจากใจจริงๆ ชายหนุ่มจึงปล่อยณัฐลงไปจากรถ เห็นเขาเดินจากรถไปขึ้นบ้านก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ณัฐกำลังเดินจากชีวิตเขาไปหาคนอื่นแล้วเช่นกัน... กรรมมีวิธีทำงานของมันเองอย่างนี้เสมอหรือเปล่านะ
ณัฐเดินช้าๆ แต่มั่นคงเข้าไปในห้องอโนดาต เห็นหญิงสาวนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม ก็ตรงเข้าไปหา เขาไม่ได้เจอสร้อยฟ้ามาเกือบอาทิตย์ตั้งแต่เสร็จงานศพของป้าจิตรา เพราะหญิงสาวเดินทางไปเที่ยวกับครอบครัว เพื่อหย่อนใจถึงยุโรป ป้าจิตราเคยบอกว่าอยากไปยุโรปสักครั้ง หากตายแล้วให้เอาอัฐิไปที่ยุโรปด้วย แต่ในเมื่อไม่มีอัฐิก็เอาลูกแก้วลูกนั้นไปแทน หล่อนเพิ่งกลับมาเมื่อวาน ณัฐรู้ข่าวจากสร้อยสุวรรณว่ายังทำใจพักที่บ้านของจิตราไม่ได้จึงมาอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว เสียงเท้าของเขาคงจะดังไปกระมังหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่เขาจะถึงตัวเสียอีก ณัฐยิ้มกว้าง แล้วก็พบว่า หญิงสาวยิ้มกลับอย่างสดชื่น
“กลับมาแล้วมีของฝากให้ผมหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีไม่ได้ค่ะ” หล่อนยิ้มกว้าง “ซื้อมาแล้ว แต่ไม่ได้อยู่กับตัว อยู่ที่ห้องข้างบนค่ะ ก็จริงๆเรานัดกัน ค่ำๆไม่ใช่หรือคะ สร้อยว่าจะเอาไปให้ตอนนั้น”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
“มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ ไม่ได้เจอกันนาน ...คิดถึง รอไม่ไหว”
หญิงสาวหลบตาไม่กล้ามองเขา กระนั้นณัฐก็ยังมองออกว่าสร้อยฟ้าอายจนหน้าแดง ผมตรงเรียบสีดำขลับยาวสลวยปรกใบหน้าจนณัฐอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเสยมันขึ้น ทัดหูหญิงสาวไว้ สร้อยฟ้าพูดเบาๆ
“คิดถึงสร้อยทำไมคะ คิดถึงคุณพาทิศดีกว่า” หล่อนว่า เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่า ชายหนุ่มมองหน้าหล่อนอยู่อย่างไม่เข้าใจ “วันนั้นสร้อยเห็นค่ะ ที่งานศพ คุณพาทิศจับมือณัฐอย่างสนิทสนมเกินเพื่อน สมัยนี้เขายอมรับกันแล้ว สร้อยก็รับได้นะคะ ถ้าณัฐอยากจะบอก บอกสร้อยเป็นคนแรกได้ค่ะ รับรองว่าไม่บอกใคร”
“ตกลง” เขาว่า “งั้นฟังให้ดีนะ”
“สำหรับคุณผมอาจจะเป็นเกย์คนหนึ่ง แต่ผมอยากให้รู้ว่าผมไม่เคยรักผู้ชายคนไหนในโลก นอกจากพ่อและพาทิศเท่านั้น ผมไม่เคยชอบ หรือสนใจผู้ชายที่เดินคนไหนก็ได้ ผมรู้แต่ว่าผมรักใคร ผมก็รักเขาคนนั้นที่เป็นเขา ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิง คุณอาจจะมองว่าผมเป็นไบเซกชวลก็ได้แต่ผมมองว่าผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ผมจะรัก จะชอบใคร เพศอะไรก็เรื่องของผม ผมไม่อยากให้ใครมาคิดคำจำกัดความให้”
เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“ผมเคยรักพาทิศก็จริง รักมาตลอดโดยที่ถูกเขาทำร้ายมาโดยตลอดเช่นกัน แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมไม่จำเป็นที่จะต้องรักใครเพื่อให้เขาไม่แคร์ ไม่ห่วง หรือให้เขามาทำให้เราเสียใจ ในเมื่อผมสามารถรักคนอีกคนหนึ่งได้ โดยไม่ต้องเจ็บเพราะเขาเลย” ณัฐเงียบ พักหายใจแปบหนึ่งก่อนจะว่าต่อไป “รู้หรือเปล่า ว่าคนที่ทำให้ผมคิดแบบนี้ได้ก็คือคุณ”
สร้อยฟ้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง หล่อนงงงัน ตกใจ ดีใจระคนกันไปหมด หล่อนรักเขามากก็จริง แต่ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาก็รู้สึกอย่างเดียวกับหล่อน ต่อให้เขาเคยมีสัมพันธ์กับพาทิศหล่อนก็รับได้ ด้วยรักและเข้าใจผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ใครจะมองอย่างไร หล่อนไม่สนใจอีกแล้ว แต่จะให้พูดอะไรตอบ ก็อายเกินกว่าจะทำได้ จึงยิ้มให้เขาอย่างจริงใจเท่านั้น
“สร้อยฟ้า คุณไม่ติดใจอะไรใช่ไหม ไม่คิดว่าผมมาหลอกคุณ หรือประชดพาทิศนะครับ” เขาว่าเบาๆ พอหญิงสาวพยักหน้า ชายหนุ่มก็ลุกขึ้น เดินไปข้างๆหล่อน คุกเข่าลงกับพื้น หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงเล็กๆออกมา เปิดให้หล่อนเห็นแหวนเพชรที่อยู่ข้างใน แล้วเอ่ยประโยคที่เขาไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้พูดกับใครเลย “สร้อยครับ ผมรักคุณ ...แต่งงานกับผมนะครับ”
พาทิศวางการ์ดเชิญร่วมงานแต่งงาน ระหว่าง สร้อยฟ้าและ ณัฐ ลงบนโต๊ะทำงานของเขา ยิ้มให้กับแผ่นกระดาษสีขาวนวลนั้น ไม่อยากคิดว่าสุดท้ายแล้วเขากลับไม่โกรธเกลียด หรืออิจฉาณัฐเลยที่ได้มีความสุขเป็นฝั่งเป็นฝาในที่สุด พาทิศเพิ่งเข้าใจว่า “รักคือการให้” เป็นอย่างไรก็ตอนนี้ ชายหนุ่มเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นแต่งนิยายเรื่องสุดท้ายของเขา ก่อนที่จะพักทางโลกไว้ตลอดชีวิต แต่เขาจะเริ่มเรื่องอย่างไรดี ที่จะเกริ่นเรื่องให้คนอ่านเห็นภาพกว้างๆของความรักระหว่างเส็ง และหลวงพินิจที่มากมาย เหลือล้นไม่ขึ้นกับการเวลา ให้ดึงดูดความสนใจคนอ่านได้ตั้งแต่บรรทัดแรก... คิดได้สักพัก เขาก็เริ่มพิมพ์...
“เวลากว่าร้อยปีไม่ได้ทำให้เส็งเหนื่อย แก่ โทรมหรือเจ็บป่วยแต่อย่างใด
เวลาไม่มีความหมายสำหรับเขา…”
พาทิศไม่เห็นว่าจะมีแบบไหนที่เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
**************************************************************
จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับเรื่องรักที่แสนจะยุ่งเหยิงทั้งในอดีต และปัจจุบัน อาจจะไม่ถูกใจใครไปบ้าง ก็ขอโทษด้วยนะครับ แหะๆ เรื่องหน้าจะไม่ทำร้ายจิตใจคนอ่านอีกแล้วคร้าบบบบบ สัญญา
สำหรับตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้าย แต่จะเกี่ยวกับอะไรนั้น ขอไม่บอกนะครับ
อย่าลืมติดตามกันล่ะ
ตอบเพื่อนๆ ผู้อ่าน
@คุณ Berlyn ขอบคุณมากครับ ถึงจะอ่านตรวจยังไงก็หลุดทุกทีเลย ขอโทษด้วยนะครับ เบลอจริงๆ ขอรับผิดทุกประการ 555+
@คุณ maple ผมเพิ่งลงเรื่องนี้จบเรื่องเป็นเรื่องแรก ยังไม่รู้เลยว่าถ้าอยากรวมเล่มจริงๆ จะต้องทำยังไง และจะมีคนซื้อรึเปล่า (แหะๆ) ยังไงช่วยแนะนำหน่อยนะครับ
@คุณ dezzetoeiiz คุณ นุ่นนี่ หมายถึงใครหรอครับ? แหะๆ ผมงง
@คุณ samsoon, pinky, zeen … หึหึ หุหุ
ขอบคุณทุกคนจากใจจริงอีกครั้งครับ สำหรับกำลังใจ ผมซึ้งมากเลยจริงๆนะครับ
เรื่องแรกก็ตอนรับอย่างดีขนาดนี้ ขอบคุณจริงๆครับ
ปล. ขอถามนิดนะครับ ถ้ามีรวมเล่มจริงๆ จะมีใครอยากได้มั๊ยอ่า ><
ปล.2 ถามอีกข้อ แหะๆ ที่นี้เค้านิยม ลงนิยายหลายเรื่องพร้อมกันไหมครับ?
ผมมีโปรเจคต์อยู่ 2-3 เรื่อง คนละรส คนละแนวเลย อยากลองลงดูพร้อมกัน เป็นการทดลองเกี่ยวกับกลการเขียนนิดหน่อยอ่ะครับ เพื่อนๆคิดว่าไงกันเอ่ยยย
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบครับ (ฮา)