แหงะ ตอนอวสาน ยาวเกินโพส เดี๋ยวขอตัดแบ่งเป็นสองโพสนะคะ
ฮึบๆๆๆๆๆๆๆๆ
..........................................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: 10000 milhas = 16 mil quilômetros
“Hah…Como posso acreditar que você pode viver sozinho….”
“……Eu nunca vou viver sozinho.”
…………………………………………………..
“Nossaaaa!!”
“อ๊อยยยยย ซื้ดดดดด.....”
“Nossa Iss, o que você está fazendo?”
ง่า.....ถามมาได้ว่าทำอะไร ก็เห็นอยู่ว่าทำน้ำร้อนลวกตัวเอง แล้วดูมันสิครับ สบถเสียงดังคับบ้าน
อย่ามาทำหน้าตาตื่นอย่างนั้นนะเว้ย น้ำมันไม่ได้แบบกำลังเดือดซะหน่อย โดนหลังมือนิดเดียวเองด้วย
“เจ็บมั้ย?”
“อืม แต่แค่นิดหน่อย”
ว่าแล้วผมก็เดินลากไอ้คนเป็นห่วงแต่ช่างเลือกวิธีปฐมพยาบาลมาได้น่ามอบมะเหงก ด้วยการดึงมือที่เริ่มแดงจัดของผมไปจ่อตรงปากมันแล้วเป่าซ้ำๆเหมือนกับจะไล่ความร้อน ให้ก้าวตามไปทางอ่างล้างจาน เปิดน้ำเย็นราดรดลงบนหลังมือโดยที่ไม่ได้ขอให้ไอ้คนจับมือไปกุมมันปล่อยก่อนแต่อย่างใด
แหะๆ คือสองสามเดือนหลังมานี่ ก็ตั้งแต่เรากอดกันวันไปกินไอศกรีมรสมะนาวนั่นแหละครับ ผมกับมันเห็นหน้ากัน อยู่ในระยะสายตากันและกันทีไร เราก็ต้องหาเรื่องให้มีส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายแตะกันไว้ตลอด
อย่างเวลาผมมาทำตัวเป็นเห็บขอกินข้าวฝีมือแม่ของเอดูมัน เราก็จะนั่งข้างกัน แล้วเอาหัวเข่า ไม่ก็ขาทั้งท่อนแตะแนบกันเอาไว้ ถ้าผมหอบหนังสือข้อสอบตัวอย่างเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกมาลองทำที่บ้านมัน แทนที่เราคนใดคนหนึ่งจะนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วอีกคนนั่งพิงเตียงอย่างเคยๆ เราก็เลือกจะนั่งบนพื้นกันคนละฟากของเตียง แล้วคนหนึ่งก็ส่งปลายเท้าไปวางแหมะไว้กับตักของอีกคน....
อันนี้ขึ้นกับว่าใครชิงความได้เปรียบสำเร็จ แต่ผมมักจะเป็นฝ่ายอุทิศตักครับ ไม่อยากจะตอกย้ำตัวเอง แต่เอดูมันได้เปรียบเพราะช่วงขายาวกว่า....
ไหนใครว่าอะไรเตี้ยๆนะครับ ฮะ? เตี้ยอะไรที่ไหน ไม่มี้!!
ผมปล่อยให้น้ำเย็นๆไหลผ่านหลังมือที่แสบร้อนสักพักจนรู้สึกดีขึ้น ก่อนจะปิดน้ำแล้วยื่นมือที่ยังมีอีกคนจับประคองอยู่ที่ข้อมือไม่ยอมปล่อยซับกับเสื้อเจ้าตัวลูกอีช่างจับมันหน้าตาเฉย พยายามกลั้นยิ้มไว้สุดความสามารถ ก็อยากจับไม่ปล่อยเองนี่นะ สมน้ำหน้ามัน ฮ่าๆๆๆๆ
แต่อย่าได้หวังครับว่าอย่างนายเอดูวาร์โด้จะสะเทือน แทนที่จะโกรธกับการกลั่นแกล้งของผม ไอ้บ้านี่กลับส่งเสียงหัวเราะเบาๆแล้วยกมือข้างนั้นแหละขึ้นไปแตะเข้าที่กึ่งจมูกกึ่งปาก ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกตอบโต้เป็นคำพูดไม่ได้ นอกจากขยับตัวเองเข้าไปใกล้ๆแล้วซบหน้าลงกับอกคนพูดแบบหมดอารมณ์จะแกล้งมันได้ทันที
“Aah…Como posso acreditar que você pode viver sozinho….” โคโม ปอสโส อะเครดิตา คิ โว้เส ปอเด วิเวร์ ซอซิงโหง่
.....เฮ้อ....จะให้เราเชื่อได้ยังไงเนี่ย ว่าอิสจะอยู่คนเดียวได้
ผมซบหน้าอยู่กับอกอุ่นๆที่ชื้นไปด้วยน้ำจากมือของผมเอง ลอบสูดกลิ่นประจำตัวยี่ห้อเอดูวาร์โด้เข้าไปเต็มปอด
จะให้ตอบได้ยังไง ว่าผมอยู่คนเดียวได้ อยู่ได้แน่ๆ....
มันก็แค่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ต่อไปแบบไหน รอยยิ้มของผมจะเปลี่ยนไปรึเปล่า.....ผมไม่รู้เลยการสอบปลายภาคที่โรงเรียนผ่านไปแล้ว และอาจารย์ทั้งหลายก็เมตตากรอกคะแนนลงช่องให้ผมได้โล่งอกโล่งใจว่าจะได้กลับไปพร้อมกับสิทธิ์การสอบปลายภาคพร้อมเพื่อนๆที่โรงเรียนที่กรุงเทพบ้านเราแน่นอน คราวนี้ก็อยู่ที่เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนสอบแล้วล่ะครับ ว่าผมจะบรรจุความรู้ระดับชั้นม.๖ ที่ไม่ได้เข้าห้องเรียนเลยสักนิดเข้าเนื้อสมองได้เข้มข้นแค่ไหน
อย่าได้คิดเชียวครับว่าผมจะฉลาดล้ำลึก จินตนาการบรรเจิดยิ่งกว่าคุณไอน์สไตน์จนพอจะทำข้อสอบวิชาภาษาโปรตุกีสได้ ก็แค่ ข้อสอบมีสามข้อ แล้วผมก็เขียนตอบไปข้อครึ่งเท่านั้นเอง เข้าใจว่าอาจารย์ท่านให้คะแนนค่าความพยายาม เพราะไม่มีการเนียนตอบเป็นภาษาอังกฤษหลุดไปแม้แต่นิดเดียว
ส่วนไอ้คนที่เดินอยู่ข้างๆตอนนี้น่ะหรือครับ มันได้รับจดหมายตอบกลับจาก UNICAMP มหาวิทยาลัยคัมปินัสเรียบร้อยว่าผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว และกำหนดสอบรอบสองก็เป็นสาเหตุให้ทั้งผมทั้งมันหาเรื่องออกจากบ้าน แล้วพากันซ้อนจักรยานออกมานอกเมืองแบบนี้
อย่าครับ!! มันไม่ใช่แบบที่คุณคิดหรอก ที่ว่ากำหนดเดินทางไปขึ้นเครื่องกลับบ้านของผมจะตรงกับวันสอบของมันพอดี แล้วเราสองคนจะมีฉากอำลานองน้ำตาแบบเดียวกับละครหลังข่าว
แบบที่ว่าเอดูมันนั่งทำข้อสอบไปคิดถึงผมไป ส่วนผมก็ชะเง้อชะแง้อยู่ที่ช่องทางสำหรับผู้โดยสารขาออก รอว่าเมื่อไหร่จะมีเสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาหา พร้อมกับเสียงเรียกชื่อ
‘อิส.......อิสสสสสส!!’ พอหันกลับไปมองก็พอดีกับร่างสูงใหญ่วิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เอื้อมแขนสองข้างมารวบเอวผมไว้แล้วยกขึ้นหมุนๆ ก่อนจะลดตัวผมลงให้ยืนกับพื้นส่งสายตาหวานซึ้งตรึงจิต แล้วเราสองคนก็มอบจุมพิตดูดดื่มให้กันต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน และผู้โดยสารอีกกว่าพันชีวิตกลางสนามบินนานาชาติเซา เปาโล เปลี่ยนให้บรรยากาศรีบเร่งรอบด้านกลายเป็นภาพสโลว์ขุ่นมัว และรับรู้ถึงการมีอยู่แค่เพียงกันและกัน.....
อา.......นั่นคือจินตนาการครับ แต่มันแย่ตรงที่ ความเป็นจริง ต่างจากจินตนาการนิดเดียว
กำหนดเดินทางกลับของผมคือ 21 มกราคม 2001 ส่วนวันสอบของนายเอดูวาร์โด้วันแรกคือวันที่ 22 มกราคม 2001ครับ
ความเป็นจริง.....โหดร้ายกว่าภาพในจินตนาการเสียอีก
“จะไปส่ง.....”
“ไม่ต้อง.....”
“ทำไม? ไม่อยากให้ไปส่งหรือไง?”
“อย่าพูดอย่างนั้น......อย่าพูด” อย่าพูดด้วยอารมณ์แบบนั้นสิเอดู อย่าทำร้ายกันทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมกระชับฝ่ามือข้างที่สอดประสานกันอยู่ของเราสองคนให้แน่นขึ้นอีก
“......ขอโทษ อิส....เราขอโทษ” เอดูมันหยุดเดินแล้วรั้งตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่นด้วยแขนข้างที่ว่าง โดยไม่ยอมปล่อยมือข้างที่ต่างคนต่างจับกันไว้
ผมรู้ที่มันถามออกมาสุ้มเสียงน้อยใจแบบนั้นก็แค่เสี้ยวอารมณ์พาไป
จะให้โกรธมันได้ยังไง ในเมื่อเวลานี้ตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน......ผมอยากหยุดเวลาเราสองคนเดินไปเรื่อยๆ ถึงจะเข้าหน้าร้อน แต่พอมาเดินบนถนนลูกรังเวลาแดดร่มลมตกที่มองไปทางไหนก็มีแต่เนินเขาสูงๆต่ำๆปกคลุมไปด้วยไร่ข้าวโพด สลับกับไร่อ้อย ภายใต้ท้องฟ้าสีฟ้าสดและขอบฟ้าสีเหลืองส้มแบบนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด
ไม่ได้อุปาทานหรอกนะว่ายิ่งเวลาผ่านไป เราทั้งสองคนยิ่งพยายามก้าวเท้าให้ช้าลง
แต่ถึงอย่างนั้น....ระยะทางที่เหลืออยู่มันก็น้อยลงทุกที
“เอดู....พักก่อนได้มั้ย?”
ผมกระซิบถามออกไปเบาๆ กลัวว่าถ้าเปล่งเสียงออกมาดังเกินไป จะทำลายภาพที่เห็นและสัมผัสอยู่ตอนนี้ให้พังครืนลงไม่มีชิ้นดี
เอดูมันก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่มันดึงผมให้ก้าวตามไปที่โคนไม้ขนาดสูงกว่าเราสองคนไม่มากนักที่ขึ้นยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ริมทาง ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพิงโคนต้นไม้แล้วให้ผมนั่งซ้อนลงบนตัก
“เหนื่อยเหรอ?”
“....อืม”
ผมพยักหน้าพร้อมกับทิ้งน้ำหนักลงพิงมันไว้ทั้งตัว แล้วกดแขนทั้งสองข้างของมันที่พาดวางอยู่รอบเอวให้แนบกระชับยิ่งขึ้น ยอมรับไปว่าเหนื่อย น่าจะง่ายกว่าบอกออกไปตรงๆว่าผมยังไม่พร้อมจะก้าวไปถึงสุดปลายทางที่เห็นอยู่ลิบๆนั่น
เรานั่งกันเงียบๆอยู่ในท่านั้น เดี๋ยวมันก็แตะปากแตะจมูกลงมาที่ซอกคอบ้าง ที่ขมับบ้าง นานๆทีผมก็จับมือมันมาแตะปากลงไปบ้าง จนแสงท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเริ่มจะเป็นสีส้มจัดขึ้นทุกที
“อิส.....ปล่อยมือนิดสิ”
ผมหันไปมองหน้าเลิกคิ้วถามมันว่าจะเอามือคืนไปทำอะไร แต่ก็ยอมปล่อยโดยดี
แย่จังครับ.....พอไม่มีแขนหนาๆนั่นกอดอยู่ตรงที่ๆเคยแล้วมันรู้สึกโล่งๆโหวงๆยังไงไม่รู้ ร่ำๆอยากจะเผด็จการฉวยมือมันมาวางไว้ที่เดิมเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“ใช่จริงๆด้วย หึๆๆ”
ผมเห็นมันหยิบอะไรสักอย่างสีดำๆขึ้นจากพื้นข้างๆที่เรานั่งกันอยู่ แล้วก็มองหน้าผม ทำสีหน้าเหมือนกับพึงพอใจกับอะไรสักอย่างมากๆ
“อะไรน่ะ?”
“Amora”“อะมอร่า?”
ที่เอดูมันแบมือยื่นให้ผมดูคืออะไรสักอย่างที่แห้งๆสีดำคล้ำ ลักษณะเหมือนพวงองุ่นแต่เล็กกว่ามาก ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือเท่านั้นเองครับ น่าจะเป็นผลไม้ประเภทเบอร์รี่ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเบอร์รี่ชนิดไหน
“ลุกขึ้นยืนก่อน มีร่วงมาแห้งแบบนี้ แปลว่ากำลังสุกแน่เลย”
มันว่าอย่างนั้น แล้วก็ดันทั้งตัวเองทั้งผมให้ลุกขึ้นมายืนงงๆมองมันให้ความสนใจกับต้นไม้สูงไม่เกินสองเมตรที่เพิ่งจะใช้เป็นที่พิงหลังเมื่อกี้ แต่ผมไม่งงนานหรอกครับ เห็นมันทำหน้าตาอารมณ์ดีปลิดลูกที่มันเรียกว่าอะมอร่านั่นแล้ว ผมก็เลือกๆกิ่งที่อยู่ต่ำๆมองหาเป้าหมายแล้วปลิดมาบ้าง
ยังไม่ทันที่ผมจะเก็บอะมอร่าได้เต็มกำมือ ไอ้คนชวนมันก็ทรุดตัวนั่งลงที่เดิม แล้วบุ้ยปากให้ผมเข้าประจำที่
ผมก็เป็นผู้ตามที่ดีครับ นั่งลงบนตักมัน แต่คราวนี้นั่งหันข้าง จะได้มองด้วยว่ามันเก็บลูกสีม่วงเข้มจนเกือบดำพวกนี้มาทำไม
“อ้าปากสิ”
โอเคครับ ให้อ้าก็อ้า หวังว่าคงไม่วางยาให้เป็นเจ้าชายนิทราแล้วพาไปซ่อนใต้เตียงนะเว้ย
แค่ผมอ้าปากตามคำสั่ง เอดูมันก็จัดการหย่อนอะมอร่าหนึ่งลูกใส่ปากผม
“อร่อยมั้ย?”
ผมเริ่มเคี้ยว อา......หวานๆอมเปรี้ยว แถมยังมีกลิ่นหอมสดชื่นเสียด้วยสิครับ ผมพยักหน้าแล้วกลืนเจ้าอะมอร่านั่นลงคอ
พอจะหย่อนที่อยู่ในมือตัวเองลงปากตามไปไอ้คนชวนกินมันก็รั้งมือเอาไว้แล้วทำท่าลูกนกน้อยอ้าปากรอแม่มาป้อนอาหารบ้าง ผมก็เลยหย่อนอะมอร่าในมือลงปากมันไปตามคำขอ
มันเคี้ยวๆกลืนแล้วดึงผมเข้าไปจูบไม่ทันได้ตั้งตัวหนึ่งครั้งหนักๆ คาดว่าปากคงเจ่อแน่นอน
มือที่ยังมีลูกไม้สีม่วงเข้มอยู่ก็เผลอกำแน่นจนน้ำหวานสีม่วงไหลเยิ้มเต็มฝ่ามือและง่ามนิ้วไปหมด พอมันปล่อยให้ผมมีช่องว่างพูดได้ก็ส่งเสียงโวยวายทันทีครับ
“ไอ้บ้า!! เลอะหมดเลยดูซิ” อ๋า.....อายครับ.....บ้าเอ๊ย อุทิศเสื้อให้เช็ดก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเลียเลย
ผมอายครับ ถึงจะแน่ใจได้ว่าไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่ใกล้ๆมารู้เห็นแน่ๆ แต่ผมอายตัวเอง แถมยังอายไอ้คนหน้าไม่อายที่เลียกินน้ำหวานจากมือผมไปส่งสายตาวาววับให้ไปด้วยคนนี้มาก
เลยตัดสินใจซุกหน้าเข้าซอกคอมันซะ กะว่ามันไม่เห็นหน้าผม ผมไม่เห็นหน้ามัน จะได้ไม่ต้องอายนาน แหะๆๆ
สักพักจากที่รู้สึกถึงการขยับของลิ้นชื้นๆ ผมก็รู้สึกว่ามือข้างนั้นถูกประทับจูบลงกลางฝ่ามือก่อนที่จะได้ยินไอ้พนักพิงมันส่งเสียงนุ่มๆตั้งคำถามมา
“อิส.....รู้รึเปล่า อะมอร่า นอกจากแปลว่าผลที่เราสองคนเพิ่งป้อนให้กันเมื่อกี้ มันหมายถึงอะไร?”
“หึ....ไม่รู้” ไม่รู้อะไรเล่า.....เพราะตัวรู้มันผุดขึ้นมากลางความคิดน่ะสิ ถึงยิ่งอายจนไม่กล้าเงยหน้าขนาดนี้
“งั้นเอาใหม่ amor....อะมอร์ แปลว่าอะไรครับ?”
“ความรัก.....” กลั้นใจตอบมันไป แต่อย่าหวังว่าผมจะเงยหน้าจากซอกคอที่ลี้ภัยเชียวครับ ไม่มีทางหรอก
“เราตั้งใจป้อนให้อิส แล้วอิสล่ะ ที่ทำไปเมื่อกี้ เสียใจรึเปล่า?”ผมแอบๆหรี่ตามองหน้ามัน ก็ดันเห็นมันกำลังจับตามองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว เล่นเอาหันหน้าหนีเข้าที่ลี้ภัยแทบไม่ทัน
“ว่าไง......ที่ป้อนอะมอร่าให้เราเมื่อกี้ เสียใจมั้ย?”
ไอ้บ้านี่มันเจ้าเล่ห์ จงใจเน้นคำนั้นซะชัดเชียว อาย อายสุดจิตสุดใจ
แต่ๆๆๆ ถึงอายยังไงผมก็ไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเองหรอกครับ....ไม่มีทาง
“ว่างายยยยยยยยยย?”
“ไม่เสียใจ....ที่จริง....เต็มใจแล้วก็ดีใจมาก........”
“ชื่นใจ......”มันพูดแค่นั้นแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนเราสองคนจะจับมือกัน แล้วเริ่มออกเดินไปตามทางที่ทอดไปข้างหน้าอีกครั้ง
.
.
.
(มีต่อค่ะ)