ย่องๆมาแปะตอนพิเศษ
ไม่ทราบจะหวานได้อย่างที่เรียกร้องกันรึเปล่านะคะ
คิดถึงทุกท่านมากมาย และ....คิดถึงเอ๊ดูด้วย
...............................................................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Primeira Neve de Nós
‘We wish you a Merry Christmas
We wish you a Merry Christmas
We wish you a Merry Christmas and a Happy New Year.’
“Iss, onde você vai?”นั่นไงครับ แค่ผมขยับตัวลุกไอ้คนที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สองมือกอดอกสองเท้าในรองเท้าผ้าใบตระกูลแอร์ยี่ห้อไนท์กี้พาดไปบนกระเป๋าเป้ใบโตที่ตั้งอยู่บนพื้นด้านหน้ามันก็ลืมตาคมๆภายใต้กรอบแว่นขึ้นแล้วส่งเสียงเข้มๆถามว่าจะไปไหนออกมาทันที
เฮ้อ.......ทำอย่างกับว่าภายใต้สถานการณ์เหมือนถูกกักขังชั่วคราวแบบนี้ผมจะไปไหนไกลได้งั้นแหละ
“จะไปห้องน้ำ....”
อ๊ะ......แล้วทำไมผมต้องทำสุ้มเสียงเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นด้วยล่ะเนี่ย ไอ้ตัวและตีนโตนี่มันแฟนนะครับ ไม่ใช่พ่อ!!
“งั้นเราไปด้วย”
เออ! ตามติดเป็นเจ้ากรรมนายเวรเลยนะไอ้บ้า ไม่ไปก็ได้วะ!
ผมกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆกันเหมือนเดิม และพอเห็นผมทำอย่างนั้น
ไอ้ตัวขี้ตามมันก็กลับไปนั่งหลับตาปล่อยตัวตามสบายราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไรสักนิด ท่าเดียวกับเมื่อกี้ไม่ผิดเพี้ยน
ผมมองไปรอบๆซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาแถมยังหลากหลายเชื้อชาติอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้
ติดแหง็กเหมือนถูกขังแบบนี้มาตั้งแปดชั่วโมง จะออกไปไหนก็ไม่ได้เพราะไม่มีวีซ่า หนังสืออ่านเล่นที่พกติดมาก็อ่านจนจบไปเรียบร้อย
จะให้หลับอีกก็ไม่ไหวครับ เพราะผมหลับมาตั้งแต่เครื่องออกจากสุวรรณภูมิไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ
ตอนนี้ผมกับคุณแฟน.....ฮ่าๆๆๆ ขอเรียกมันแบบนี้ด้วยความภาคภูมิใจนิดนึงนะครับ
เพราะกว่าเราสองคนจะลงเอยกันได้ บททดสอบที่ชื่อว่ากาลเวลาก็ทำเอาแทบขาดใจ.....อย่าเพิ่งทนกับความเน่าของผมไม่ไหวเชียว ฮ่าๆๆ
แต่อย่างว่าแหละครับ คนเรามันคู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วกันหรอก
คุณว่าจริงมั้ยครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่เชื่อในพรหมลิขิตเต็มที่....
มาเล่าสถานการณ์ตอนนี้ต่อดีกว่า
คือว่าผม...นายอิสรภาพกับคุณแฟน...นายเอดูวาร์โด้ ตั้งใจจะไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวของมันที่บ้าน หลังจากที่มันไม่ได้กลับไปสามปีเต็มแล้ว
ในขณะที่สำหรับผม.....สิบสามปีเต็มๆที่ไม่ได้กลับไปเหยียบซาน โฮเซ่
.......แผ่นดินที่ทำให้ได้พบกับความรักครั้งแรก และไอ้คนที่นั่งหลับตาปล่อยตัวตามสบายอยู่ข้างๆนี่
หลังเราสองคนเจอกันอีกครั้งที่โรงพยาบาลในดูไบ เราสองคนก็พุ่งเข้าใส่กันแบบไม่ยอมให้อะไรมารั้งเอาไว้ได้อีก
แต่เพราะสังคมของที่นั่นไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ต่อหน้าคนอื่นเราจึงเป็นแค่เพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน เลยต้องหาเรื่องมาเจอกันบ่อยๆ
ส่วนเวลาที่เราอยู่ในที่ที่มีแต่เราน่ะหรือครับ.....เอ่อ....ผมว่าผมไม่เล่าดีกว่า
ก็อย่างที่พวกคุณคิดนั่นแหละ.....ใครว่าความสูงไม่มีผลในแนวราบกัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับมันทุกที.......
ใครบอกไอ้เอดูมันช่างเอาใจ ทำเพื่อผมได้ทุกอย่างกัน
ฮึ่ย!! ผมว่าที่มันทำท่าเอาใจผมน่ะ เป็นเพราะมันเตรียมพร้อมจะเอาคืนมากกว่า
แล้วพอมันเอาคืนแต่ละทีนะครับ.....มันก็เล่นเอาจนคุ้มซะทุกทีเลย
หลังจากผมหมดสัญญาการจ้างงานที่ดูไบ ผมก็ย้ายกลับมาบางกอกครับ เงินเก็บสองปีที่ตั้งใจจะใช้เป็นค่าเดินทางตามหาใครบางคนก็เลยไม่ได้ใช้
ผมหอบเงินก้อนนั้นไปธนาคารขอสินเชื่อเพิ่ม แล้วเปิดคลินิกเล็กๆตามสายวิชาชีพขึ้นบนที่ดินเปล่าของมรดกจากพ่อ
ซึ่งอยู่ในจังหวัดที่ห่างจากกรุงเทพไปประมาณ 120 กิโลเมตร
หลังคลินิกก็สร้างบ้านหลังเล็กๆไว้ แล้วให้คุณนายที่เกษียณอายุราชการเรียบร้อยไปทำหน้าที่หลักเป็นคนดูแลเรื่องเงินๆทองๆให้
บ้านหลังเก่าที่กรุงเทพคุณนายท่านก็ให้เด็กนักศึกษาที่เป็นลูกของเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานเช่าอยู่ เด็กมันจะได้ไม่ต้องไปหาเช่าหอแพง
อย่าเพิ่งสงสัยกันนะครับ ว่าระหว่างนั้นนายเอดูวาร์โด้หายไปไหน
ไอ้บ้านี่ติดต่อบริษัทแม่ขอย้ายมาทำงานในประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆเมืองไทยนี่เองครับ มันได้ย้ายหลังจากผมกลับบ้านได้สองเดือน
แล้วผมก็เลยตัดสินใจพามันมาแนะนำตัวในฐานะคนรักกับผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักตั้งแต่วันแรกที่มันหอบหิ้วสังขารทรหดบึกบึนมาโผล่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
แล้วโทรเรียกให้ผมไปรับโดยไม่บอกล่วงหน้า.....
ก็จะให้ทำไงได้ล่ะครับ คลินิกเพิ่งสร้างเสร็จยังไม่ทันตบแต่ง
คุณนายของผมคงตกใจไม่น้อยหรอกที่อยู่ๆผมที่ใส่หมวกเกษตรกร มีผ้าพันคอเก่าเก็บของคุณนายท่านพันตั้งแต่ใต้ลูกตามาจนถึงคอเพื่อกันแดดจะเดินเข้าไปในบ้านเล็กที่สร้างเสร็จใหม่ๆเหมือนกัน แต่มีเฟอร์นิเจอร์แบบบิลท์อินพร้อมแล้วซึ่งคุณนายกำลังออกแรงเสียงบงการให้เด็กวัยรุ่นที่จ้างมาช่วยจากบ้านแถวนั้นวางที่นอนลงไปบนเตียง ในขณะที่ตัวเองเริ่มรื้อหนังสือออกจากกล่องจัดเรียงใส่ตู้ริมผนัง
“อิส.....หน้าตาตื่นเชียว มีอะไร?”
หลังจากผมเข้าไปยืนตรงหน้าแล้วพยายามเรียบเรียงเรื่องที่จะบอกให้เป็นประโยคสักพัก คุณนายท่านก็คงอดทนรอไม่ไหวเลยเปิดฉากถามเอง
“แม่....คนคนนั้นของอิส เขามาแล้วนะ”
รอให้เด็กๆวางที่นอนเรียบร้อยแล้วออกไปเตรียมขนของชิ้นต่อไปกันข้างนอกผมจึงกระซิบบอกกับแม่เบาๆ
“อ้าว.....มาก็ดีสิ แล้วนี่จะมาหาที่นี่หรือว่าจะยังไงล่ะ?”
“แม่....เผื่อว่าแม่ยังไม่รู้ คนคนนั้นของอิส เขาไม่ใช่ผู้หญิงนะแม่”
ผมรวบรวมกำลังใจบอกออกไปในที่สุด แล้วก็รู้สึกเหมือนขอบตาตัวเองร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนกำลังทำให้แม่เสียใจ
แล้วสักพักผมก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจยาว ตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ
พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่า.......แม่กำลังยิ้ม
“เอาเหอะ......ไม่ใช่ผู้หญิง แต่ถ้ารักไอ้ขี้แยของแม่จริงแม่ก็โอเค”นั่นแหละครับ ผมเลยต้องถอดหมวกเกษตรกร ปลดอุปกรณ์กันแดด แล้วตะบึงรถญี่ปุ่นคันเก่าแก่เข้ากรุงเทพไปสุวรรณภูมิรับไอ้บ้าที่ต้องรอเงกอยู่ที่สนามบินไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง......สมน้ำหน้ามัน
หลังจากวันนั้นเราสองคนก็คบกันระยะไกลมาตลอด ตกลงสลับกันบินไปหาเดือนละครั้ง
อย่างเดือนที่แล้วมันบินมานี่ เดือนก่อนหน้าโน้นผมบินไปหามัน
ได้กอดกันเดือนละสามวัน แต่เราก็รักกันดี ทะเลาะกันนี่แทบไม่มีเลยครับ
ยิ่งคุณนายรับรู้แถมรับได้แบบนี้ ผมเลยรู้สึกสบายใจที่จะรักไอ้บ้าเอดูมันอย่างเต็มหัวใจมากขึ้น
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไม่รักมันนะครับ....แต่จะว่าไงล่ะ
รักไปรู้สึกผิดไปต้องแอบๆซ่อนๆไป กับรักไปยิ้มกว้างๆกับโลกไป ยังไงมันก็ไม่เหมือนกันหรอกนะครับ
มาใกล้เทศกาลหยุดยาวปลายปีนี้ เอดูมันก็โทรทางไกลมาแง้วๆว่าอยากกลับบ้าน
พอผมบอกว่าก็กลับไปสิวันหยุดมันนี่ มันก็อ้อนให้ผมไปกับมันด้วย มันจองตั๋วเผื่อแล้ว แถมบอกคุณนายของผมเรียบร้อยอีกต่างหาก
......ใช่ครับ ไอ้บ้านี่ยังชอบทำเรื่องที่มันคิดว่าเซอร์ไพรส์ดีไม่เปลี่ยนแปลง แถมคราวนี้ยังเซอร์ไพรส์มากด้วย
ก็.....ผมไม่รู้เลยนี่ครับว่าจะเข้าไปหาแม่มัน ครอบครัวมันยังไง
จะว่าผมตีตนไปก่อนไข้ก็เอาเหอะครับ ก็ผมกลัวว่าถ้าครอบครัวมันรับไม่ได้ ผมจะทำยังไง
ถึงจะมั่นใจว่ามันจะเลือกผม.....แหะๆ ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะครับ แต่มันบอกกับผมแบบนั้นเอง
ว่าต่อให้ครอบครัวมันจะว่ายังไงมันก็ไม่มีวันแยกจากผม แต่.....ผมไม่อยากให้มันต้องเลือกนี่ครับ
แล้วด้วยความเจ้ากี้เจ้าการของมัน ตอนนี้เราสองคนเลยมาค้างเติ่งอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงค์เฟิร์ต
ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิด....แฟรงค์เฟิร์ต เยอรมันนี หนาวมาก จอแจมาก แถมยัง.......เบื่อมากด้วย
เหอะๆๆๆ สิบสามปีผ่านไป สิ่งที่ยังเหมือนเดิมกับการเดินทางครั้งแรกไปซาน โฮเซ่ บราซิล ของผมก็คือ
ไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพถึงบราซิลครับ
ครั้งนี้ไอ้เอดูมันเป็นคนจัดการเรื่องตั๋ว ได้ตั๋วของสายการบินลุฟต์ฮันซามา มีแวะพักที่เดียวคือที่แฟรงค์เฟิร์ตนี่แหละครับ
มันบอกว่าเราจะได้ไปถึงเซา เปาโล ตอนเจ็ดโมงเช้า แล้วไม่เกินเที่ยงก็ถึงบ้านที่ซาน โฮเซ่แล้ว....แถมยังเป็นคริสต์มาสอีฟพอดี
‘นอนพักพอหายเหนื่อย แล้วกลางคืนเราจะได้ไปรำลึกความหลังกันที่เนินดูดาวของเราไง นะอิสนะ’มันว่าอย่างนั้นแถมส่งเสียงออดอ้อนซะ แล้วผมที่ขนาดมันไม่อ้อนก็รักมันจะตายอยู่แล้ว จะใจแข็งตอบปฏิเสธไหวเหรอครับ
เลยพลอยฟ้าพลอยหิมะมาติดแหงกอยู่ที่แฟรงค์เฟิร์ทนี่ แทนที่จะหยุดพักเครื่องตามกำหนดแค่สามชั่วโมงแล้วไปต่อ
เป็นไงล่ะครับ พายุหิมะเข้า สภาพอากาศไม่อำนวย......แปดชั่วโมงเต็มๆแล้วครับ
แล้วไอ้ผนังกระจกนี่ก็แสดงสภาพอากาศภายนอกอาคารซะจนผมแน่ใจ.....
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหิมะใกล้ๆนอกจากหิมะที่เมืองหิมะในดรีมเวิรลด์ ว่าต่อให้รุ่งขึ้นอีกวัน สภาพอากาศก็คงไม่อำนวยอยู่ดี
ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงกรี๊ดใส่หูไอ้คนชวนไปแล้ว แต่นี่ผมกรี๊ดไม่เป็นครับ จะให้ทำไงได้
ไอ้บ้าข้างๆนี่ก็นิ่งดีแท้ ทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวสักนิด
.......ไหนล่ะ คืนคริสต์มาสอีฟกับเนินดูดาว ไหนล่ะไปรำลึกความหลังกันสองคน?!
“Onde você vai, meu bem?”อ๋า.......ดูมันสิครับ พอผมคิดโน่นคิดนี่เสียว้าวุ่นจนจะลุกขึ้นไปเดินไปเดินมาอีกรอบแล้วเลยเผลอขยับตัวนิดเดียว
คุณแฟนที่นั่งหลับตาพิงพนักอยู่ก็เลื่อนปากตัวเองมาอยู่ที่ข้างหูแล้วกระซิบคำพูดแบบนี้ซะได้.....
จะไปไหนครับ,คนดีของผม?ไม่ใช่แค่นั้น ไอ้คุณแฟนยังสอดแขนของมันที่เมื่อกี้ผมยังเห็นว่ากอดอกอยู่หลวมๆมาโอบไหล่ผม แล้วรั้งให้ซบลงไปที่บ่าของมันอีก
ผมจะทำไงได้ล่ะครับ ไม่มีแรงจะขืนตัวออกซะง่ายๆ อายครับ......ก็ใครว่าฝรั่งมักไม่สนใจเรื่องของคนอื่นเล่า
ในเมื่อคู่รักหัวทองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แถวตรงกันข้ามผม ห่างไปไม่ถึงสองเมตรนั่นกำลังมองมา แถมคนผู้หญิงยังอ้าปากค้างด้วย
“Edu!!” ผมทำเสียงโหดแบบกระซิบๆเรียกมันครับ มันจะได้รู้ตัวว่านี่เราอยู่ท่ามกลางสายตาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนคนอื่นนะเว้ยเฮ้ย แต่.......
“รู้หรอก....ว่าที่อารมณ์เสียเพราะกลัวไปถึงบ้านไม่ทันคืนคริสต์มาสอีฟใช่มั้ยล่ะ”
ผมน่ะ ทำเสียงเข้มครับ แต่ไอ้บ้านี่มาเหนือเมฆเล่นจุดอ่อนทำเสียงรู้ทันยั่วกันซะงั้น
“เฮ้ย....ใช่ที่ไหนเล่า”
ง่า......เพราะอากาศมันหนาว แล้วก็ต้องติดอยู่กับที่นานเกินไปหรอก ไม่ใช่อย่างที่มันบอกซะหน่อย
“ah…..é?” ......เร้อออออออ?
“ก็.......ก็อุตส่าห์วางแผนไว้แล้วนี่......น่าเสียดายออกไม่ใช่เหรอ....”
จนได้ครับ ก็แหม.....มีไอ้บ้ามากระซิบอยู่ข้างหูแบบนี้ แถมไอ้บ้าที่ว่ายังรู้จักรู้ใจกันขนาดนี้ ปฏิเสธไปก็เมื่อยปากเปล่านะครับ
เมื่อผมยอมรับออกไปง่ายๆ เอดูมันก็ดันตัวผมออกแล้วลุกขึ้นยืน
พอผมเงยหน้ามอง มันก็คว้าเอากระเป๋าเป้ที่รองเท้าอยู่เมื่อกี้ขึ้นสะพายไหล่ แล้วดึงมือให้ผมเดินตาม
ไม่ได้ถามมันหรอกครับว่าจะไปไหน
จนมันเดินมาถึงเคาน์เตอร์รับฝากสัมภาระนั่นแหละ ถึงได้เข้าใจว่ามันจะเอาเป้ที่ถือติดขึ้นเครื่องแต่น้ำหนักไม่ใช่น้อยมาฝาก
หลังจากนั้นมันก็เดินจูงมือผมเข้าซอกโน้นออกซอกนี้ ปากก็ฮึมฮัมเพลงเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสที่ทางสนามบินเปิดวนไปวนมาจนร้องตามได้ทุกเพลงแล้วไปด้วย
ผมไม่รู้ตัวหรอกครับว่าอารมณ์บูดๆที่มีอยู่มันหายไปทางไหนหมด รู้ตัวอีกทีก็ร้องเพลงประสานเสียงกับมันไปเรียบร้อยโรงเรียนเอดูแล้ว
“อิส......เคยเห็นหิมะรึเปล่า?”“เคยเห็นแต่หิมะที่เขาสร้างขึ้นน่ะ ของจริงก็เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกนี่แหละ”
พอผมตอบไปแบบนั้น เอดูมันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วครับ จัดการแกะห่อตัวผม......คือผมหมายถึงผ้าพันคอน่ะ
แล้วขยับพันให้ใหม่จนกระชับ หยิบถุงมือที่ผมถอดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตสีดำตัวหนาออกมาใส่ให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะจัดการกับตัวเองบ้าง
ผมคิดว่าผมรู้นะว่ามันจะทำอะไร แต่......มันหนาวนะเว้ย เอาจริงอ้ะ?
ไม่ต้องเสียน้ำลายถามครับ เพราะคุณแฟนที่รักมันเอาจริงแน่นอน
แล้วผมก็เต็มใจที่จะให้มันลากไปจนเราสองคนหลุดออกจากประตูหนาๆที่กั้นเราจากโลกสีขาวด้านนอกเอาไว้จนได้
เกล็ดหิมะกำลังร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่างจากสายฝน
และบนพื้นที่เรากำลังเหยียบยืนอยู่ก็ปกคลุมไปด้วยหย่อมสีขาวกระจัดกระจายทั้งๆที่ยังเห็นไฟจากท้ายรถกวาดหิมะห่างออกไปไม่ไกล
ผมอดใจไม่ไหวถอดถุงมือออกทั้งสองข้างแล้วใช้มือเปล่านั่นแหละแบออกรอรับเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง
ปุยสีขาวที่เห็นว่าสวยนั่น เพียงแค่สัมผัสถูกก็ละลายกลายเป็นหยดน้ำอย่างรวดเร็ว
พอหันกลับไปมองไอ้ตัวต้นคิดอีกครั้งก็เห็นสายตาอบอุ่นทอประกายอ่อนหวานมองจับมาอยู่ก่อนแล้ว
“นี่ก็ครั้งแรกเหมือนกัน.....ที่เราได้เห็นหิมะจริงๆ เราดีใจนะที่ได้มาอยู่ที่นี่ แล้วได้เห็นมันเป็นครั้งแรกกับอิส”
ผมเอื้อมมือขึ้นปัดปุยสีขาวเย็นเฉียบที่ยังไม่ละลายบนบ่าหนาของเอดู อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรักผู้ชายตรงหน้าเพิ่มขึ้นอีก....
ตอนนี้ยังไม่เช้า ขอผมทำอะไรตามใจสักนิด คงไม่มีใครอิจฉาหรอกนะครับ
ผมไม่เสียเวลาเหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมีสิ่งมีชีวิตกำลังมองมารึเปล่า แต่เขย่งตัวขึ้นวางมือทั้งสองข้างทาบลงกับบ่าของไอ้คนบ้าแต่น่ารักตรงหน้า
แล้วก็ไม่รอให้มันตั้งตัว แต่แตะจูบลงไปบนริมฝีปากแดงจัดเพราะอากาศหนาวของคุณแฟนคนดีหนึ่งครั้งเน้นๆ
ก่อนผละออกมาแล้วกระซิบเบาๆว่า
“é primeira neve de nós…vou lembrar disso até o dia que eu morrer.”
หวานไปมั้ยครับ....ที่ผมบอกกับเอดูแบบนั้น.....
บอกว่าจะจำหิมะแรกของเราสองคนตลอดไป จนกว่าจะถึงวันตายนั่นเชียวเอาเถอะครับ ผมอนุญาตให้ทุกท่านโก่งคออาเจียนโถใครโถมันได้ตามสะดวก
แต่ ณ เวลานี้ ผมมีความสุขที่สุด แล้วก็รู้สึกทุกอย่างตามที่พูดจริงๆซะด้วยสิครับ
ไอ้ความกังวลว่าเวลาเจอครอบครัวมันแล้วผมจะทำยังไงมันสลายไปเหมือนกับหิมะที่กลายเป็นหยดน้ำแล้วแทรกซึมไปตามพื้นทางเดินเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่ที่เอดูมันรั้งตัวผมเข้าไปจูบบ้าง แล้วกอดผมเอาไว้แนบอก ปล่อยให้ผมซุกตัวรับไออุ่นจากตัวมัน
แล้วก้มลงมากระซิบที่ริมหูว่า......
“Feliz natal, meu bem…..”
ใช่ครับ......Merry Christmas คนดีของผม.....................................................................................
..จบตอนพิเศษค่ะ..
♥ขอให้ทุกท่านมีความสุข และอบอุ่นหัวใจกับครอบครัว กับเพื่อน กับคนรักนะคะ ♥