มาตามเสียงเรียกร้องเจ้าค่ะ
ภาคสอง เอ่อ...คงจะยาก
แต่ๆๆๆ ตอนพิเศษ ที่พิเศษมาแล้วนะเออ เชิญอ่านเจ้าค่ะทุกท่าน
ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆที่มีให้กันนะคะ
.................................................................................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง
คุณชอบฤดูไหนมากที่สุดครับ?
สำหรับผม....คำตอบคือฤดูหนาว เพราะแม้ข้างกายจะยังว่างเปล่า แต่หัวใจของผมจะอิ่มสุขที่สุดเมื่อลมแผ่วๆของฤดูหนาวมาเยือน
อากาศที่แห้งจนผิวแตกปากเป็นแผล......และอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของทั้งปี
ยิ่งได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในเมืองหลวงออกมาอยู่ท่ามกลางทุ่งโล่งกว้างที่เพียงเงยหน้านิดเดียวก็เห็นท้องฟ้ากระจ่างเต็มสองตาแบบนี้......
ความทรงจำที่ผมเก็บซุกไว้ในซอกลึกสุดของหัวใจ มันก็เหมือนจะถูกคลี่แผ่ออกมาห่มคลุมและแทรกซึมอยู่ทุกอณูของบรรยากาศ...
“อิส.....ปีใหม่นี้หยุดกี่วัน?” สาวงามหนึ่งเดียวในชีวิตของผมเดินตุบตับมาแง้มหน้าดูลูกชายคนเดียวอยู่หน้าประตูห้อง
“เจ็ดคร้าบบบบบบ คุณนาย” แม่....ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักขมวดคิ้วฉับเมื่อเห็นอาการแหวกปากเป้ผ้าร่มสีเทาใบเก่าออกกว้างแล้วเริ่มม้วนๆเสื้อสองสามตัวเรียงลงไปโดยไม่มีอาการหยุดมือ
“อีกแล้วเหรอ ปีใหม่ทีไรหาเรื่องเที่ยวตลอด ทิ้งฉันทุกที หึ” เอาเข้าไปคุณนายของผม ท่าตวัดค้อนนั่นคงเป็นความสามารถพิเศษของสาวไทยนะครับ อยู่มา 27 ปีเต็มแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นสาวชาติอื่นค้อนได้งามน่ามองอย่างสาวไทยเลย
ผมวางเสื้อที่ยังอยู่ในมือลงกับผ้าปูที่นอนสีเขียวเหมือนชาเขียวใส่นมตัดขอบสีน้ำตาลเปลือกไม้ แล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงปลายเตียง เอื้อมมือดึงตัวคุณนายขี้งอนเข้ามาหาแล้วซบหน้าเข้ากับห่วงยางรอบเอวนุ่มนิ่ม สูดกลิ่นหอมของแป้งตรางูหนึ่งเฮือก รับรู้ถึงฝ่ามือนุ่มนิ่มที่ลูบลงบนศีรษะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดเข้าไปในกลุ่มผมแล้วออกแรงรั้งให้เงยหน้าขึ้นสบตาเบาๆ
“เฮ้อ......เข้าใจก็ได้ คราวนี้จะไปไหนล่ะ?” หลังสบตากันอยู่เกือบนาทีคุณนายของผมก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวก่อนจะออกปากถามถึงจุดหมายปลายทางของผม
“เขาใหญ่......อิสกะไปแค่สามสี่วันน่ะแม่ อะ....โอ๋ๆๆๆ ไม่เข้าไปลึกหรอกน่า ไม่ได้ตั้งใจเดินป่า รับรองว่ากางเต็นท์แถวสถานีแค่น้านนนน” ผมรั้งเอวกลมที่ใช้เนื้อที่เกือบเต็มอ้อมแขนให้นั่งลงบนตัก แล้วจัดการรับรองความปลอดภัยของตัวเองอย่างแข็งขัน
“เชอะ! ฉันรู้ทันหรอก นี่ถ้าหลังปีใหม่ไม่ต้องเดินทางไกลลูกชายที่รักคงไม่กะไปแค่สามสี่วันแน่ ปีใหม่ทีไรหายหัวตลอด สมน้ำหน้า นี่ฉันเตรียมของไว้เรียบร้อยจะทำทับทิมกรอบมะพร้าวกะทิ อดไปละกัน”
“โอย......เจ็บจี๊ดดดดดด คุณนายเห็นใจลูกช้างตาดำๆ เหลือไว้ให้บ้างนะคร้าบบบบ”
“เดี๋ยวเหอะ ลูกช้างอะไรเล่า ถึงฉันจะอ้วนชั้นก็ไม่มีงวงนะยะ!!”
ดูสิครับ คุณนายของผม กระเง้ากระงอดไม่แพ้สาวน้อยที่ไหนเลย แล้วจะไม่ให้ผมรักได้ยังไง เสียอย่างเดียวแหละมือหนักเหลือเกิน ยิ่งจับได้ว่าตั้งใจล้อแบบนี้นะ เพียะๆๆ กระหน่ำตีลงมาไม่มียั้งเลยครับ
ผมไม่ได้มีความรักความหลังอะไรที่เขาใหญ่หรอกครับ แต่นี่กลับเป็นหนึ่งในสถานที่พิเศษที่ผมมาใช้เวลาในวันหยุดยาวแทบทุกปี เพราะทิวทัศน์กว้างไกลสุดสายตา ที่สุดขอบฟ้ามีทิวเขาสลับซับซ้อนนั้น ส่งให้ผมรู้สึก.......ว่าขอบฟ้าที่เห็นอยู่ไกลๆ มันขยับใกล้เข้ามาอีกนิด ถ้าเราตั้งใจจะเดินไปไม่หยุดพัก แค่ไม่นานเราก็จะไปถึงปลายทางที่ขอบฟ้านั้นได้
คุณชอบฤดูไหนมากที่สุดครับ?สำหรับผม....คำตอบคือฤดูหนาว เพราะแม้ข้างกายจะยังว่างเปล่า แต่หัวใจของผมจะอิ่มสุขที่สุดเมื่อลมแผ่วๆของฤดูหนาวมาเยือน อากาศที่แห้งจนผิวแตกปากเป็นแผล.....และอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของทั้งปี ยิ่งได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในเมืองหลวงออกมาอยู่ท่ามกลางทุ่งโล่งกว้างที่เพียงเงยหน้านิดเดียวก็เห็นท้องฟ้ากระจ่างเต็มสองตาแบบนี้......
ความทรงจำที่ผมเก็บซุกไว้ในซอกลึกสุดของหัวใจ มันก็เหมือนจะถูกคลี่แผ่ออกมาห่มคลุมและแทรกซึมอยู่ทุกอณูของบรรยากาศ
“……Eu nunca vou viver sozinho.” .....อืม....เราไม่มีวันที่จะต้องอยู่คนเดียวหรอกนะ “Você vai estar aqui comigo, no meu coraçáo……” ......เอดูจะอยู่กับเรา อยู่ในหัวใจของเรานี่
“Para sempre?”
“อืม.....ตลอดไปสิ ตลอดไปแน่นอน”คำว่า ‘ตลอดไป’ มันกินเวลานานแค่ไหนกันครับ มันจะเท่ากับ ‘นิรันดร’ รึเปล่า?
นี่ผมคงแก่มากแล้วถึงมานั่งมองฟ้ามองจันทร์แล้วกอดตัวเองคิดเรื่องแบบนี้........ตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งปีสองแล้วที่เพื่อนๆบอกว่าผมใช้ชีวิตเหมือนฤๅษี แตกต่างและแปลกแยกจากวัยเจริญพันธุ์ทั่วไป ฮ่าๆๆๆๆ พวกมันใช้คำว่า ‘วัยเจริญพันธุ์’ จริงๆนะครับ ผมไม่ได้ล้อเล่น แล้วก็ไม่ใช่เพราะผมถือศีล เหล้าไม่ดื่มบุหรี่ไม่แตะ แต่ที่พวกมันพูดแบบนั้นพวกมันบอกว่าเพราะผมทำตัวเหมือนพวกนักบวชในนิกายที่จงใจถือวัตรสันโดษ รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียนกับเล่น ทำเหมือนกับการมีคนรักเป็นบาปอย่างนั้น
พอผมโต้ตอบไปว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะโสดสักหน่อย ไม่มีใครมาสนผมเองต่างหาก พวกมันก็บอกว่า.....
‘มึงจะรอให้สาวมาจีบมึงก่อนหรือไง ไอ้อิส ไอ้สัตว์!’
‘หรือมึงไม่ชอบสาวๆแต่ชอบหนุ่มๆ มึงก็หัดอ่อยใครเขาบ้าง ไม่ใช่วันๆเอาแต่อยู่กับพวกกู มึงมองรอบตัวบ้าง แล้วมึงจะรู้ว่ามีคนเขามองมึงอยู่เหมือนกัน’ผมก็ทำตามที่พวกมันบอกนะครับ เปิดตาออกมองไปรอบๆบ้าง มองไปที่คนอื่นบ้าง....
แต่ ณ เวลานั้น ผมกลับไม่เคยมองเห็นถึงความรู้สึกพิเศษจากใครเลยสักคน ผมคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะผมตาถั่วเอง
ก็คงเพราะเพื่อนๆผมมันตาดีเกินไปแหงๆ
จนเวลาผ่านไปอีกหลายปี เมื่อผมเกิดอาการรักและพยายามเลิกรักอีกหนึ่งหน ผมถึงมานั่งพิจารณาจนพบกับความจริง.....
มันไม่ใช่เพราะผมตาถั่วหรือเพื่อนๆมันตาดี แต่เป็นเพราะคำว่า ‘ตลอดไป’ ที่ออกจากปากผมเมื่อมกราคม ปี2001 นั่นต่างหาก ที่มันไม่ใช่แค่ลมปากของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง แต่มันเป็นของจริง.....เป็นความจริงที่ยังเป็นอย่างนั้นอยู่จนวันนี้
เอดู.......ไม่เคยจากไปไหนไกล แต่ยังอยู่ในใจของผมตลอดมา
มันไม่แปลกไม่ใช่หรือครับ เมื่อเคยมีใครสักคนทำให้คุณมากขนาดนั้น ทั้งใส่ใจ ดูแล และรัก.....
และพร้อมจะแสดงออกในทุกๆวันว่ารักคุณมากขนาดนั้น เต็มใจให้โดยที่คุณไม่จำเป็นจะต้องร้องขอสักนิด
แล้วคุณจะมองเห็นแต่เขา มีแต่เขา...... จนไม่มีตา ไม่มีใจจะมองใครได้อีก......หลังทิ้งหัวใจไว้กับเจ้าของลักยิ้มแก้มบุ๋มนั่นสี่ปีเต็ม ความรักของผมก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มันไม่ได้สวยงามและทำให้หัวใจลอยละล่องเหมือนปุยนุ่นและรสชาติจัดจ้านทั้งหวานทั้งหอม แถมทำให้ตื่นตัวตลอดเวลาเหมือนรสชาติของกาแฟเข้มจัดอย่างรักครั้งแรกก็จริง แต่ผมก็คิดว่าจะรักษารักครั้งนี้ให้ดีที่สุด
ไม่รู้ว่าเพราะผมระมัดระวังกับความสัมพันธ์นี้เกินไป หรือเพราะเหตุผลอื่นใด แต่ในที่สุดหลังผ่านความสัมพันธ์ลุ่มๆดอนๆสามปี มันก็จบลงไปเงียบๆ เพราะคำว่า ‘ไม่ใช่’ ที่ออกมาจากปากเธอ และ ‘ไม่ใช่’ ที่อยู่เพียงข้างในใจผม
ผมตอบคำถามทุกคน ทั้งแม่ ทั้งเพื่อนแบบเรียบง่ายที่สุด.....เราสองคนเลิกรักกันและเราจบกันด้วยดี.....
และหลังจากนั้น แทนที่ผมจะคิดถึงคนที่ไปไหนมาไหนในฐานะคนรักด้วยกันถึงสามปี แต่ยิ่งเวลาผ่าน คนที่ผมคิดถึงและอยากให้มาอยู่ใกล้ๆ อยากให้เราได้กอดกันเอาไว้ กลับเป็นคนเดิมคนเดียว....เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม เอดูวาร์โด้
ผมตั้งหน้าทำงาน เก็บเงินเป็นกอบเป็นกำ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า.....ถ้าผมไปที่นั่นแล้วมันไม่เหมือนเดิมล่ะ ถ้า....เอดูมันแต่งงานมีลูกสามไปแล้วล่ะ หลายปีแล้วนะ......ยังจะมีใครมานั่งยึดติดกับคำพูดไม่กี่ประโยคพวกนั้นอยู่หรือ?
อีกอย่าง......หน้าที่ของลูกที่รู้ว่าแม่ไม่มีใครนอกจากเราคนเดียว
มันหนัก และมันก็ผูกพันแน่นหนา......ก็นี่ไม่ใช่หรือเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้พยายามตัดใจตั้งแต่จากมา
เพราะยังไงก็รู้ตัวว่าทิ้งแม่ไม่ได้นี่ไม่ใช่หรือ.....ที่ทำให้ไม่ยอมผูกมัดกับคนไกล ไม่ยอมมีแม้แต่คำมั่นสัญญา
แต่ทั้งอย่างนั้น ผมรู้ดี.....
ในใจผมยังเชื่อมั่นกับประโยคนั้น ประโยคง่ายๆที่บอกว่า ให้รอ....ต่อให้นานแค่ไหน จะมาหา เมื่อสองปีผ่านไป รับรู้แก่ใจว่าตัดไม่ได้ ยังเสียน้ำตาทุกครั้งที่บรรยากาศเป็นใจ เสียน้ำตาทุกครั้งเมื่อคิดถึงอกอุ่นๆและมือที่เคยจับจูงไว้ ก็เป็นคนตัดสินใจเองแท้ๆที่จะเก็บกดมันเอาไว้
พับความทรงจำแสนงามนั้นไว้ลึกสุดใจ......
อนุญาตตัวเองให้เปิดกล่องความทรงจำออกมาให้ได้รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตายด้านกับความรักก็แค่ยามลมหนาวมาเยือน
คิดถึงไออุ่นที่เคยได้รับเมื่ออยู่เพียงลำพัง.......ให้ความทรงจำนั้นโอบกอดหัวใจที่เริ่มชาเพราะความหนาว
ส่งยิ้มแห่งความสุขตอบกลับรอยยิ้มทั้งปากทั้งตาของคนในความทรงจำ
‘อิส......ถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องเอาตัวเองมาผูกติดกับแม่’
‘แม่!!’
‘อิสเป็นลูกแม่นะ ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าอิสเป็นยังไง.....อย่าให้แม่ต้องเป็นสาเหตุให้อิสไม่มีความสุข เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น แม่จะเสียใจมาก’
ผมไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรไปไกลแค่ไหน ไม่กล้าถามว่าที่บอกว่า ‘รู้’ แม่รู้อะไร.......
แต่ผมตัดสินใจอีกครั้ง วิธีเก็บเงินให้เร็วที่สุด ให้พอกับที่จะเดินทางตามหาใครบางคน และไม่ต้องพะวงหลังกับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรัก
หลังวันหยุดยาวปีใหม่นี้ผมจะเดินทางอีกครั้ง ยังหรอกครับ ปลายทางของผมยังไม่ใช่ซาน โฮเซ่ บราซิล แต่เป็นประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง ผมจะไปขายแรงงาน เก็บเงินสักก้อนใหญ่ๆก่อน สิบปียังรอได้ นับประสาอะไรกับอีกแค่สองปีตามสัญญาว่าจ้างล่ะครับ
ก่อนที่คุณจะเข้าใจไปถึงไหนๆว่าผมจะไปเป็นชนชั้นแรงงานแบกหินแบกปูนให้ไม่เข้ากับร่างกายชายไทยที่ถึงจะตัวโตขึ้นกว่าเมื่อสิบปีก่อนแต่ก็ยังไม่สามารถจะสูงได้เกิน170
ผมจะไปทำงานในโรงพยาบาลครับ ประเทศนั้นรวยน้ำมัน แต่กลับขาดแคลนบุคลากรทางสาธารณสุข เข้าทางผมเลยเพราะค่าตอบแทนและสวัสดิการกับสัญญาว่าจ้างระยะเวลาสองปี มันเพียงพอเสียยิ่งกว่าพอสำหรับเป็นทุนให้ผมเดินทางเข้าหาจุดหมายปลายทางที่ขอบฟ้าอีกครั้ง โดยไม่ต้องพะวงหลัง
ผมบอกลาทุ่งกว้างและผืนป่าเขาใหญ่ สถานที่พักใจเพื่อสัมผัสใยความทรงจำอย่างมีความหวัง กลับบ้านเคล้าเคลียคุณนายท่านทุกวันเอาให้ติดกลิ่นท่านจะได้ไม่ต้องคิดถึงมาก แล้วเก็บกระเป๋าเตรียมออกเดินทางไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผมได้งานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในดูไบ เมืองใหญ่ ค่าครองชีพสูง แต่ผมคำนวณดีแล้วว่าถ้ากินอยู่อย่างประหยัด เวลาสองปีเหลือจะพอกับการเก็บเงินหยอดกระปุก
ใช้เวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงผมก็หลุดออกมาเจอกับอากาศไม่ต่างจากกรุงเทพนัก คงเป็นเพราะนี่ยังอยู่ในฤดูหนาว แต่ผมทำใจเตรียมรับอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศาเซลเซียสในฤดูร้อนมาเรียบร้อยแล้ว เอาน่า....วันไหนร้อนจัดนักก็อยู่แต่ในร่ม อาบน้ำบ่อยหน่อยคงไม่เปลืองเท่าไหร่หรอก
ผมก้มหน้าก้มตาทำงาน มีเพื่อนคนไทยที่มาทำงานที่นี่พอให้ไม่เหงานัก แต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะค่าแรงที่ได้รับมาคุ้มกับหยาดเหงื่อที่ต้องเสียไป ถึงห้องพักผมก็หลับเป็นตายทุกคืน แทบไม่มีเวลาได้โผล่หน้าไปทักทายทั้งพระจันทร์ทั้งดาวไถเลยด้วยซ้ำ
ก็ตอนอยู่เมืองไทยบ้านเรา ผมมักจะมองดาวคิดถึงเอดูตอนกลางคืน กะเอาว่าจะได้พร้อมๆกับตอนที่มันมองพระอาทิตย์ตอนกลางวันแล้วคิดถึงผม......ถ้าหากว่ามันยังไม่ลืมน่ะนะครับ
แต่พอมาอยู่ที่ดูไบนี่.....เวลาของเอดูตามหลังผมอยู่แค่หกชั่วโมงเองนี่ครับ ดังนั้น....ถ้ามันขยันตื่นมาทักทายพระอาทิตย์ตอนหกโมงเช้า ผมก็แค่เงยหน้ากระพริบตาส่งให้พระอาทิตย์เที่ยงวัน ก็ได้เจอกับมันแล้ว
8 สิงหาคม 2011
พระพรหมคงเห็นใจในความพยายามของผม......ไม่สิ ของเราสองคนมากกว่า
หลังจากก้มหน้าก้มตาทำงานมาเจ็ดชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้า.....
ผมเอื้อมมือรับแฟ้มประวัติคนไข้ใหม่ที่แพทย์ส่งตัวมาเพื่อทำการเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อศอกเนื่องจากใส่เฝือกหลังข้อศอกแตกเพราะอุบัติเหตุจากเครื่องจักรในโรงกลั่นน้ำมันเมื่อสองเดือนก่อน
“ผมต้องซักประวัติเพิ่มอีกนิดหน่อย ช่วยตอบทุกคำถามตามตรงนะครับ”
“Claro!” .......ครับผม
“Foi casada?” .........แต่งงานรึยัง?
“ยังครับหมอ สักครั้งยังไม่เคย หึๆๆ”
“ผมไม่ใช่หมอ แต่เอาเหอะ ตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าภาษาบ้านคุณเรียกอาชีพผมว่าอะไร”
ผมถ่วงเวลาด้วยการอ่านผลเอ็กซเรย์ครั้งล่าสุดอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มปกสีน้ำตาลนั่นช้าๆ
อยากเห็นหน้าคนไข้ใหม่ใจแทบขาด แต่ก็กลัวว่าจะไม่ใช่.......
ถ้าเป็นแค่คนชื่อเหมือน วันเดือนปีเกิดเหมือน คนไข้ใหม่ของผมคงไม่ตอบคำถามประหลาดของเจ้าหน้าที่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแบบเมื่อกี้หรอกน่า
“Como está? Iss”
“Estou bem, Edu…… Se saudade é bom.” ผมส่งยิ้มทั้งน้ำตาที่เอ่อคลอจนเกือบล้นให้กับคำถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีมั้ยอิส? ของคนไข้ใหม่
แล้วตอบไปอย่างจริงใจที่สุดว่า ‘เราสบายดีเอดู..... ถ้าจะนับว่าอาการคิดถึงอย่างรุนแรงมันดีอ้ะนะ’
ขอบฟ้าที่ผมเคยมองทุกครั้งที่เหงา มองหาเงาของใครอีกคนที่เคยรู้สึกว่าไกลแสนไกล
ตอนนี้กลับเลื่อนมาอยู่ตรงหน้า.....แค่เอื้อมมือคว้าก็จะได้ไออุ่นนั่นกลับมาอีกครั้ง เราสองคนต่างก็เดินทางมาไกลเหลือเกิน
ในที่สุดถึงจุดหมายปลายทางจะยังอีกไกล แต่ผมก็รับรู้ได้.....ว่าขอบฟ้าแสนไกลนั้น มีอยู่จริง
............................................................
......................จบจริง(ไม่ทิ้งให้เศร้า) ^o^