พิมพ์หน้านี้ - บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: anajulia ที่ 18-05-2010 12:17:11

หัวข้อ: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 18-05-2010 12:17:11
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


สวัสดีทุกท่านที่เข้ามานะคะ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ลองเขียนดู
เนื่องจากเมื่อคืนก่อนมีน้องคนนึงที่คุยกันบนหน้าแชทบอกว่าอยากอ่านเรื่องที่ตัวเอกเป็นแบบต่างชาติบ้าง
คนเขียนใจง่าย เลยลองๆมาคิดดูว่าพอจะเขียนออกมาได้แบบไหน เลยลองดูก็ออกมาเป็นแบบนี้ เรื่องนี้จะสั้นแน่นอนค่ะ
ไม่น่าเกินสิบตอนเพราะเวลาของทั้งเรื่องมันก็แค่สิบเอ็ดเดือนเท่านั้นเอง

ปล.เรื่องนี้ไม่หวานเลี่ยนแบบ "เรื่องรัก...ไม่กล้าบอก" ของตัวป่วนกับพี่อากาศนะคะ
.....................
.....................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ


San Jose’, São Paulo
Brasil
มีนาคม ค.ศ. 2000


“Oi, ola!!!........... Bom dia, bonita”


ผม.......เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครับ เพิ่งมาถึงที่นี่ได้แค่สองวัน แล้วก็ นี่ถึงวันเปิดเทอมแล้ว จะว่าผมไม่เตรียมตัวเลยก็ไม่ใช่ แต่คอร์สภาษาโปรตุกีสที่ลงไปแค่ 15 ชั่วโมงก่อนมา ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจคนบราซิลสักเท่าไหร่
.....โดยเฉพาะภาษาโปรตุกีสในแถบบ้านนอกของบราซิลอย่างนี้ด้วย แต่เท่าที่จำได้ “bonita” ลงเสียงท้ายด้วยเสียง “อา” มันใช้กับผู้หญิง ดังนั้น...คนนั้นคงไม่ได้พูดกับผมหรอก..ผมคิดว่านะ?
................................
................................

“นักเรียนคะ ปีนี้เราจะมีเพื่อนใหม่มาเรียนด้วยคนนึง เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เดี๋ยวครูจะให้เพื่อนแนะนำตัว เท่าที่ทราบ เพื่อนใหม่ของเราพูดโปรตุกีสไม่ได้เลย นอกจากนับหนึ่งถึงสิบ ดังนั้น ใครอยากฝึกภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยก็คุยกับเพื่อนให้มากๆนะ”

“ฮิ้ววววววววววว........”
เอ่อ...ผมไม่ได้หูฝาดนะ แล้วสายตาของผมก็ไม่ได้หลอกตัวเองด้วย แต่พออาจารย์ยังสาวที่แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดด้วยกระโปรงยีนส์สั้นเหนือเข่ากับเสื้อแขนกุดคอถ่วงสีชมพูอ่อนพูดจบ ทั้งเสียงโห่ เสียงเคาะโต๊ะระรัวนั่นก็ดังขึ้นทั้งห้องเรียนทันที

“ผมชื่ออิส อิสรภาพ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
แน่ล่ะว่าประโยคแรกของผมกับห้องเรียนนี้ ผมพูดออกไปในภาษาอังกฤษ ทันทีที่ผมพูดจบ เสียงในห้องนั่นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ครู่เดียวเท่านั้น แล้วในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเป็นภาษาอังกฤษแปลกแปร่ง แปร่งเสียจนผมต้องใช้เวลาอีกเกือบนาทีที่ประโยคนั้นจบลงถึงจะพอเข้าใจว่าคนพูดตั้งใจจะบอกว่า

“Nice to meet you, too. I am Edu….Eduardo”

ผมเงยหน้ามองคนพูดถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่ผมเดินผ่านก่อนเข้าประตูโรงเรียนมาเมื่อเช้า กลุ่มที่ส่งเสียงทักใครไม่รู้ว่า “bonita”  ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานผมถึงรู้ว่ามันหมายถึง “คนน่ารัก”

ผมส่งยิ้มไปให้เขาที่มีสีหน้าแปลกใจอยู่หน่อยๆ ก่อนที่จะกราดยิ้มส่งไปทั่วห้องซึ่งมีคนที่จะได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับผมในปีนี้อยู่ประมาณ20 คน  บางคนก็ส่งยิ้มตอบมา โดยเฉพาะสาวๆ
สวยครับ.....ผู้หญิงบ้านนี้เมืองนี้สวยแทบทุกคนเลย ตาโตคม จมูกโด่ง แล้วก็...ทุกคนดู โตกว่าวัย เทียบกับผู้หญิงไทยอายุเท่ากันที่ผมเจอมาน่ะเหรอ สัดส่วนต่างกันเยอะครับ

อาจารย์หันมาส่งภาษาอังกฤษที่แปร่งไม่แพ้ลูกศิษย์บอกกับผมว่าอาจารย์ชื่อ Rosa เป็นครูภาษาอังกฤษ แล้วก็เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของผมด้วย ถ้ามีปัญหาอะไรให้ปรึกษาได้ทุกเรื่อง แล้วก็ไล่ให้ผมเดินเข้าไปหาโต๊ะนั่งเอาเอง

ผมไม่ต้องหานานหรอกเพราะโต๊ะที่ว่างมีอยู่ตัวเดียวตรงด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของคนที่ชื่อเอดูนั่นแหละ
พอผมเดินตรงไปนั่งเขาก็หันมาส่งยิ้มให้ผมอีกที....เออ ผู้ชายคนนี้ยิ้มสวย ลักยิ้มที่แก้มซ้ายนั่นน่ามอง แล้วยังมีเขี้ยวโผล่ออกมาโชว์อีก

วิชาแรกผ่านไปโดยที่ผมได้แต่นั่งเบื่อ แล้วก็เต็มไปด้วยความง่วงงุน ก็โรงเรียนที่นี่ไม่มีเคารพธงชาติก็จริง แต่ต้องมาเข้าเรียนให้ทัน ไม่งั้นจะถูกเช็คสาย
แล้วเวลาเริ่มเรียนก็ทรมานใจเหลือเกินน่ะสิครับ เริ่มวิชาแรก 7.30 น.


วันนี้ผมมาทันเพราะพ่อที่เป็นโฮสท์ของผมขับรถมาส่ง โดยบังคับให้น้องสาว ก็น้องสาวโฮสท์นั่นแหละ ซึ่งเรียนโรงเรียนใกล้ๆต้องตื่นมาแต่เช้าด้วย ทั้งที่โรงเรียนของน้องเริ่มเรียนตอน 8.30 น.

ความจริงผมก็อยากจะปฏิเสธความช่วยเหลือแล้วเดินมาเรียนเองหรอกนะ เพราะระยะทางจากบ้านมาโรงเรียน ถ้าเดินเร่งหน่อยก็คงไม่เกินสิบห้านาที

แล้วเมื่อวานทั้งๆที่เป็นวันแรกที่มาถึง ผมก็ถูกผู้ดูแลที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนประจำเมืองลากตัวมาโรงเรียนตั้งแต่สายๆ เขาพาผมมาติดต่อลงทะเบียนนู่นนี่นั่น ซื้อเครื่องแบบนักเรียนซึ่งก็คือเสื้อยืดสีขาวคอกลมมีสกรีนตราโรงเรียนอยู่ที่อกเบื้องซ้าย ใส่กับยีนส์ ซึ่งสารภาพว่าผมเอาติดมาจากเมืองไทยแค่สองตัว แต่ไม่เป็นไรหรอก ปกติผมก็ใส่ยีนส์ซ้ำๆได้เป็นหลายวันอยู่แล้ว

สาเหตุที่ผมรู้สึกง่วงได้ขนาดนี้คงเพราะเจ็ทแล็คแน่ๆ เฉพาะเวลานั่งเครื่องก็เกือบๆจะสามสิบชั่วโมงเข้าไปแล้ว

ผมขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง เปลี่ยนเครื่องที่นาริตะ จากนั้นนั่งข้ามแปซิฟิคไปลงที่ลอสแองเจลิส ได้พักบนพื้นดินไม่ถึงชั่วโมงก็ขึ้นเครื่องต่อไปไมอามี่ แล้วจากสนามบินสีสันสดใสเหมือนลูกกวาดนั่นผมถึงได้มาจนถึงที่นี่รัฐเซา เปาโล รัฐที่ได้ชื่อมีความเจริญทางเศรษฐกิจมากที่สุดรัฐหนึ่งในบราซิล

ใครจะคิดว่าผมจะถูกส่งมาอยู่ในเมืองที่เล็ก เล็กมากกว่ากรุงเทพหลายสิบเท่า ก็...ซาน โฮเซ่ ทั้งเมืองมีคนอาศัยแค่เจ็ดหมื่นกว่าคน เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดห่างออกไประยะทางรถวิ่งสองชั่วโมงกว่า

แต่เดี๋ยวผมก็จะได้เรียนรู้แล้วล่ะว่าเมืองเล็กๆนี้ มีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิดเยอะ.....
และ จะทำให้ผมได้รู้จักกับบางอย่างที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน
บางอย่างที่จะมีอิทธิพลกับผมในอนาคต จากวันนี้ไปอีกนาน....อาจจะนานจนตลอดชีวิตเลยก็ได้
..........................
..........................


..โปรดติดตามตอนต่อไป..


หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 18-05-2010 12:22:26
จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่าเพลินกะเรื่องใหม่ จนลืมต่อหนูป่วนนะนุ่น ^^

เดี๋ยวมาอ่าน


ดูจากปี คศ.แล้ว (คาดว่า)จะลากยาวใช่มั้ยฮับ ตอนแรกก็น่าสนใจแล้วววว
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 18-05-2010 12:38:39
^
^
^
จิ้มแนน ไม่ลืมต่อตัวป่วนหรอก
บทต่อไปอยู่ในหัวหมดแล้ว แต่เพิ่งพิมพ์ไปได้แค่หน้ากว่าๆเอง

แล้วก็ เรื่องนี้ไม่ยาวนะ นักเรียนแลกเปลี่ยนนั่นได้อยู่บราซิลแค่สิบเอ็ดเดือนเอง ^o^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 18-05-2010 12:50:36
^
^
^
^
^
^
 :z13: จิ้มคุณนุ่น


เรื่องใหม่ น่าสนุกอะค่ะ...ชอบหนุ่มบราซิล...ชอบบอสซาโนว่า...ชอบบราซิลค่ะ


มาต่อบ่อยๆ นะคะคุณนุ่น...... o13
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Classical ที่ 18-05-2010 12:56:28
 :z13: :z13: :z13: :z13:



ไอ่เบียร์ มาตามอ่านดัวะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-05-2010 13:05:18
พี่นุ่นทำไมเลือกบราซิลคะ...เค้าว่าผู้ชายเซ็กซี่ใช่ป่าว :-[
น่าติดตามมากค่ะ อยากรู้ว่าตอนกลับไทย อิสจะหนีบเอดูกลับไทยด้วยป่าว คริๆ :z1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 18-05-2010 13:20:00
แหะๆ ได้กลิ่นอายแฟนฝรั่งเว้ย 55555555555
เปลี่ยนบรรยากาศบ้างเพื่อความสำราญและอรรถรสในการอ่านเนอะคะ อิอิ

ให้กำลังใจนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 18-05-2010 13:28:51
 :-[

ชอบแนวนักเรียนแลกเปลี่ยนจังเลยค่ะ~

หนุ่มบราซิล ฮิ้ว~

พี่นุ่นเคยไปบราซิลเหรอคะถึงได้เลือกมา O.O

bonita คนน่ารัก คิกๆ :o8:

 :กอด1:พี่นุ่นให้กำลังใจ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 18-05-2010 13:54:40
มาอ่านด้วยจ้า  เรื่องน่าสนใจมากๆ ท่าทางสนุกอ่ะ o13
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: อนันตกาล ที่ 18-05-2010 13:58:36
กรี๊ดมาลงชื่อ อ่านแล้วอยากเขียนมั่ง กรี๊ดๆๆๆ
(มองไปที่3เรื่องยาวของตัวเองไว้ก่อนละกัน)
พี่นุ่นอะมาเขียนยั่วกาล 555+ บ้าจี้เอามั่งดีไหมเนี่ย   
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: posshiza ที่ 18-05-2010 14:02:33
แวะมาเป็นกำลังใจให้เรื่องใหม่คะ
คอมเสียไปหลายวันไม่ได้เข้ามาอ่านเลย
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ANUNTAYA ที่ 18-05-2010 14:13:21
มาต่อ ๆ นะนะ


น่าลุ้นมากกก


 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nine-poo ที่ 18-05-2010 14:21:45
โหยชีวิตเด็กไทยในต่างแดน  เสียดุลย์ให้ต่างแดนอีกแว้ววว

มาติดตามตอนต่อไปค้าบบบ ขอบคุณคับ
 :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanjantra ที่ 18-05-2010 14:40:56
รักต่างสัญชาติ รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 18-05-2010 15:06:01
มาลงชื่ออ่านด้วยคนค่าาาา
มาตอนแรกก้อโดนเลย คนน่ารัก  :o8:

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 18-05-2010 15:59:51
 :L2:   เข้ามาให้กำลังใจค่ะ


และก็รออ่านอีกเรื่องด้วยนะค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 18-05-2010 21:33:18
มาช่วยพี่นุ่นดันกระทู้ค่ะ

ตัวป่วนมันแฮบปี้ละมาแต่งอันนี้ก่อนค่ะ อิๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Phelyra ที่ 18-05-2010 21:46:00
ความทรงจำแห่งรักต่างเชื้อชาติ Romance :impress2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-05-2010 21:56:32
เสน่หหนุ่มน้อยจากเมืองไทยจะพิชิตใจหนุ่มต่างชาติต่างภาษาได้แค่ไหนเอ่ย  :mc4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-05-2010 22:12:53
ช่วยเจิมเรื่องใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: me_alone ที่ 18-05-2010 22:29:00
 :z13: +  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ (18/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-05-2010 04:11:53
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณมากๆสำหรับท่านที่เข้ามาเมนท์ให้กำลังใจนะคะ
เรื่องนี้จะเรื่อยๆนะคะ ไม่มีอะไรรุนแรง ถ้าเบื่อก็....ขอโทษล่วงหน้าแล้วกัน
อีกอย่าง คาดว่าจะไม่ได้อัพเพิ่มทุกวันนะคะ เพราะคนเขียนมีเรื่องยาวอีกเรื่องค้างอยู่ที่ติดจะอัพแทบทุกวันเป็นนิสัยไปแล้ว
ว่าแล้วก็.......มาอ่านตอนต่อไปกันเลยค่ะ ^o^

***********

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
:เพื่อนคนแรก......

“อืม......”
ใครกันนะที่กำลังลูบผมผมอยู่ สบายดีจัง อย่าเพิ่งเลิกลูบเลยนะ ขอนอนให้สบายอีกนิดเถอะ


“หึๆๆ”
เอ๊ะ....แล้วใครมาหัวเราะใกล้ๆกันล่ะ อย่ามาส่งเสียงดังสิ คนกำลังนอนสบายไม่เห็นหรือไง
แล้วนั่นเสียงใครคุยกัน ทำไมต้องมาคุยกันใกล้ๆ
แล้ว.....พูดอะไร ทำไมฟังไม่รู้เรื่องเลยล่ะ


หืม???? ซวยแล้วไง
นี่ผมเผลอหลับไปได้ไง เอ่อ...สติผมกลับมาแล้วครับ จำได้แล้วว่ารู้ตัวครั้งสุดท้ายกำลังนั่งง่วงอยู่ในห้องเรียน
แล้ว...นี่ไม่แสดงว่าไอ้ที่รู้สึกว่ากำลังหลับสบายคือผมนั่งหลับในห้องเรียนตั้งแต่วันแรกคาบเรียนแรกเลยงั้นเหรอ

ทำไงดี แกล้งเนียนหลับต่อไป......หรือจะค่อยๆตื่นดี
ระหว่างที่ผมกำลังชั่งใจว่าจะทำไงถึงจะรักษาภาพลักษณ์ที่ไม่ทันไรก็ต้องมาเสียไปซะแล้วไว้ให้ดีที่สุดอยู่ ก็รู้สึกถึงสัมผัสบางอย่าง

มีใครบางคนใช้ปลายนิ้วลูบผ่านเปลือกตา ไม่สิแค่ขนตาของผมเบาๆ

“muita bonita….."
เสียงพึมพำอะไรหว่า ไม่รู้เรื่องเลย อึดอัดจัง ไอ้อาการสงสัยว่าคนอื่นกำลังพูดอะไร โดยที่แน่ใจว่าตัวเองต้องตกเป็นหัวข้อสนทนาแต่ไม่มีทางรู้นี่มันแย่มากจริงๆนะ

ว่าแต่....ไอ้เสียงพึมพำข้างหูแบบนี้ มันก็แปลว่าไอ้คนพึมพำมันต้องอยู่ใกล้มากแน่ๆเลยสิ
แล้วไอ้คำนี้มันแปลว่าอะไรกันแน่นะ โบนิต้า โบนิต้า ได้ยินมาสองครั้งแล้ว ก็จำได้ว่าถ้าลงท้ายเสียงอามันใช้กับผู้หญิงนี่นา

“Hey you! อิส Wake.”
มาอีกแล้วภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่ง เมื่อไหร่จะชินก็ไม่รู้ เอาวะ ทำเป็นเพิ่งรู้ตัวน่าจะเวิร์คสุด

ผมค่อยๆลืมตาขึ้น รอบโต๊ะที่ผมฟุบหลับถูกรุมล้อมไปด้วยเพื่อนใหม่ที่ผมยังไม่รู้จักชื่อสักคน
อ้อ..ยกเว้นอยู่หนึ่งคน คนที่พอผมเงยหน้าขึ้นมาปรับโฟกัสสายตาได้ก็เห็นกำลังเงยหน้าขึ้นไปพอดี....เอดู

“Oi.” โอเค ‘โอ๊ย’ แปลว่า สวัสดี คำนี้ผมจำได้แล้ว คงต้องตอบกลับไปบ้างมั้ง

“อืม หวัดดี” อ้าว ผมว่าผมก็ตอบไปถูกแล้วนี่นา หวัดดีมาผมก็หวัดดีตอบ แล้วพวกนี้มันหัวเราะอะไรกัน แล้วพูดอะไรอีกเนี่ย ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ หรือเห็นว่าผมสวัสดีตอบเป็นภาษาเดียวกับพวกเขาได้แล้วจะแปลว่าผมเข้าใจทุกอย่างที่เขาพูดมาน่ะ

แล้วก็อย่าคิดเชียวว่าภาษาอังกฤษผมจะดีเลิศ เฮ้อ.....ตัดสินใจถูกรึเปล่านะที่สมัครมาที่นี่
“I don’t know what you’re talking.”

“Qué?”
ซวยแล้วไง พวกนี้ไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร แถมผมยังไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรด้วยเหมือนกัน แล้วไอ้ “เค้” นี่มันอะไรหว่า

ผมตัดสินใจหันไปหาคนที่ดูจะพูดกันรู้เรื่องที่สุด แล้วพยายามพูดให้ช้าและชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้
“What’s that mean?”

“What.” อ้าว ไอ้นี่ ก็ถามอยู่ว่าแปลว่าไอ้เค้นั่นแปลว่าอะไร ดันมาถามกลับอีก จะพึ่งได้แน่มั้ยเนี่ย

“Hmm?”

“Qué is ‘what’.”
อ๋อ เข้าใจแล้ว เอดูมันไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนหรือถามกลับ แต่มันจะบอกว่าไอ้คำที่ออกเสียง เค้ มันหมายถึง อะไร ต่างหาก

ผมคิดไปคิดมาเลยใช้ภาษาแรกของมนุษย์ ภาษาใบ้
ก็ไม่ยากนี่เนอะ ถ้าอยากรู้ชื่อก็ต้องบอกชื่อตัวเองก่อน เรื่องพื้นฐานแบบนี้ไม่เกินความสามารถของผมหรอกน่า ก็เมื่อวานตอนหิวผมยังใช้วิธีบอกคุณแม่บ้านที่บ้านด้วยการเอามือลูบพุงได้เลย


ผมเริ่มทำความรู้จักเพื่อนๆในอนาคตอันใกล้ด้วยการชี้เข้าหาตัวเองแล้วบอกชื่อซ้ำๆ
“อิส อิส........”

“เอดู”
ดูเหมือนนายแว่นลักยิ้มข้างเดียวคนนี้จะเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีพิเศษ แถมยังเข้าใจอะไรง่ายๆอีกด้วย เขาพูดชื่อตัวเองแล้วก็ชี้เข้าหาตัวบ้าง

“กี กีเลห์เม่”
นี่ก็อีกคนที่นั่งๆยืนๆอยู่ข้างรั้วเมื่อเช้า ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นคนนี้ที่ส่งเสียงโหวกเหวกตอนผมเดินผ่าน กีนี่ดูท่าทางเป็นคนขี้เล่น ผมสั้นๆนั่นสีบรอนซ์ทอง ตาของเขาเป็นสีฟ้า โห...พอผมถูกแดดยิ่งเป็นประกายเลย
ผมทวนชื่อเขาแล้วก็หันไปถามเอดูทันทีที่นึกออก

“What’s ‘bonita’ mean?”
ทันทีที่ผมหันไปถามเสียงคนอื่นๆที่ยังมุงอยู่รอบตัวก็ดังอื้ออึงขึ้นทันที แต่แน่ล่ะ ผมจับใจความอะไรไม่ได้สักนิด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนต่างด้าวยังไงไม่รู้ แต่...ผมก็เป็นจริงๆนี่นะ

“Cute. It’s mean you’re cute”

“Bonita is for girl, isn’t it?”
เมื่อผมถามไปอย่างนั้น เอดูมันก็พยักหน้ารับว่าใช่ ผมเลยหันไปยิ้มให้ผู้หญิงที่อยู่ใกล้มากที่สุดแล้วบอกกับเธอว่า
“Bonita”

ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม แล้วเธอก็เอื้อมมือมาลูบหัวผม แล้วก็พูดอะไรไม่รู้ยืดยาว ผมจับได้แค่ไม่กี่คำ โอเม็ง มูแลร์ อะไรก็ไม่รู้ แล้วเธอก็จิ้มแก้มผมอีกทีแล้วก็พูดคำเดียวที่ผมเข้าใจ ใช่ครับ.....โบนิต้า

เธอคนนี้ชื่อวาเนสซ่าครับ สูงพอๆกับผม คือ...ผมไม่ได้เตี้ยนะ เด็กม.6 อายุยังไม่เต็ม 17 ปี สูง 162 เซ็นต์ ง่า.....ก็ผมยังไม่ยี่สิบเลย ยังสูงได้อีกเยอะหรอก

วาเนสซ่าผมสีน้ำตาลเข้ม ตาสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งแหลมเปี๊ยว ขนตาหนางอน แต่คุณสมบัติจมูกโด่งแล้วก็ขนตาหนางอนนี่คงเป็นคุณสมบัติทั่วไปของคนบราซิลมั้งครับ ก็รอบๆตัวผมตอนนี้ทุกคนเป็นแบบที่ว่ากันหมดเลย

นายเอดูนี่ก็เหมือนกัน ขนาดที่มีแว่นกรอบดำบังอยู่ยังเห็นชัดเลยว่าขนตาทั้งหนาทั้งยาวนั่นงอนเช้ง ถ้าเอาไม้ขีดวางก็คงตั้งอยู่ได้สบายๆเลยแน่ๆ แล้วก็เท่าที่เห็น ผมว่าผู้ชายทุกคนในห้องนี้สูงกว่าผมหมดเลยด้วยสิ แย่จัง นี่คนทั้งโรงเรียนมาเห็นผมยืนอยู่กับพวกนี้ไม่เหมาคิดว่าคนไทยทุกคนตัวเปี๊ยกหมดเหรอ
.........................
.........................


นั่งส่งยิ้มและส่งภาษาใบ้ได้สักสิบนาทีอาจารย์คนต่อไปก็ดินเข้ามา วิชาฟิสิกส์ครับ แต่....อาจารย์สอนเป็นภาษาโปรตุกีส ดีนะที่เป็นเรื่องง่ายๆแค่แตกเวคเตอร์ คือ...ไม่อยากจะคิดถึงตอนสอบเลย เพราะผมต้องสอบเหมือนคนอื่นในห้องเรียน แล้วก็เก็บใบเกรดกลับบ้านไปด้วยเนี่ยสิ

เฮ้อ.......แค่คุยยังต้องใช้ภาษาใบ้ เขาว่าทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน การเขียนคือส่วนที่ยากที่สุด แล้วอีกนานแค่ไหนนะกว่าผมจะสามารถเขียนภาษาโปรตุกีสได้ จะทันสอบไฟนอลรึเปล่าก็ไม่รู้
แต่เอาเหอะ ผมตัดสินใจจะมาเองนี่นา ถ้าผลการเรียนจากที่นี่มันใช้ไม่ได้เอาจริงๆ ผมจะยอมกลับไปเรียนม.6 อีกปีก็ได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยช้ากว่าเพื่อนๆแค่ปีเดียวไม่เป็นไรหรอก

น่าเบื่อ.....ทำไมที่นี่ฟิสิกส์ม.6 ถึงง่ายนักก็ไม่รู้ แต่ผมไม่ยอมเบื่อจนนั่งหลับอีกหรอก เลยจัดการเอาสมุดจดที่เตรียมมาเล่มเดียวนั่นมาเป็นสมุดวาดรูปเล่นเสียเลย

ผมเริ่มมองไปตามเพื่อนๆที่นั่งอยู่ เริ่มที่คนข้างหน้าก่อนนี่แหละ ถ้าจำไม่ผิดเธอชื่อ ฟลาวิอา ผิวขาว ผมหยักศกธรรมชาติสีน้ำตาลเข้มจัด กับตาสีฟ้าเหลือบเขียว สวย มีเสน่ห์ แถมยังพอจะกล้อมแกล้มพูดภาษาอังกฤษกับผมได้นิดหน่อยด้วย ที่สำคัญกว่านั้น ตัวเธอเล็กกว่าผมครับ ฮ่าๆๆๆ

สเก็ตช์ฟลาจากด้านหลังคร่าวๆพอให้ดูออกว่าเป็นใคร แล้วก็เลื่อนสายตามองไปทางซ้าย ทางขวา สเก็ตช์คนโน้นคนนี้ไปเรื่อย รวมทั้งเสี้ยวหน้าด้านข้างของเอดูด้วย ผมจมจ่อมอยู่กับการสเก็ตช์ภาพเพื่อนในห้อง รู้ตัวอีกทีก็มีมือใหญ่ๆมาดึงสมุดออกไปจากโต๊ะผมเสียแล้ว

“หึๆๆๆ”

“หัวเราะอะไร?”
ผมถามไอ้เอดูคนมือบอนเป็นภาษาอังกฤษนะครับ อย่าได้คิดเชียวว่ามันจะเกิดบรรลุวิชาภาษาไทยกะทันหัน

“เก่งนี่ นี่เราใช่มั้ย?”
เออแฮะ เราก็มีฝีมือเหมือนกันนี่นา อย่างน้อยคนถูกแอบวาดก็รู้ว่าเป็นตัวเองล่ะ

“อืม”
พอผมรับว่าใช่ นายนั่นก็จัดการพลิกไปดูหน้าอื่น ยิ้มๆแล้วก็จัดการเรียกเพื่อนๆมามุงรอบโต๊ะผมอีกครั้ง แล้วก็จัดการถามคนนู้นคนนี้ว่านี่ใครๆไปทีละรูป ก็ไม่เยอะหรอกครับ สเก็ตช์คร่าวๆ ในเวลาคาบเดียว เห็นใครมุมไหนผมก็วาดๆไว้ สักสามสี่คน

“Quem é?”
ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอก ไอ้ “เคง แง” นี่มันแปลว่าอะไร แต่ก็ใช้สังเกตเอาน่ะว่า พอไอ้เอดูมันถามอย่างนี้แล้วชี้ไปที่รูปวาด เพื่อนๆก็เถียงๆกันแล้วก็ตอบมาเป็นชื่อของคนที่ผมวาดไว้ แหม...พวกนี้นี่ตาถึงนะครับ ดูออกด้วยว่าผมวาดใคร หุๆ

เอดูมันหันมาส่งยิ้มแก้มบุ๋มให้ผมอีกแล้ว ผมว่ามันคงตั้งใจจะช่วยผมแหละ คงจะอยากให้ผมมีเรื่องคุยกับเพื่อนๆได้เรื่อยๆ  คิดได้อย่างนั้นพออาจารย์คนต่อไปเดินเข้ามาในห้องและเพื่อนๆเริ่มสลายตัวไปจากโต๊ะผม ผมเลยหันไปขอบคุณมันเสียหน่อย

“Thanks, Edu.”

“Obrigado, you have to say ‘Obrigado’.”

“Ok, obrigado Edu.”

เอาล่ะผมจะจำไว้ เวลาขอบคุณต้องพูดว่าโอบริกาโด้ นี่ไง....ลงท้ายด้วยเสียงโอ คราวนี้ไม่ผิดแน่

“De nada….”

“De nada.”

ผมพูดตามไอ้คนตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนภาษาโปรตุเกสเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่ให้เดาประโยคนี้คงไม่พ้นแปลแบบเดียวกับ You’re welcome

เอดูมันก็ยิ้มเหมือนจะขำกับท่าทางของผม พอมันหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ของตัวเองเรียบร้อย มันก็หันมาส่งเสียงกระซิบเบาๆอีกประโยค


“Eu já gostou de você.”  

“Eu já gostou de você.”
 
เอ....ไม่รู้ไอ้ประโยคสุดท้ายนี่มันแปลว่าอะไรนะ แต่ไอ้เอดูมันดูอารมณ์ดีแบบแปลกๆ
แต่.....ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้.........
จดเอาไว้ก่อนดีกว่าว่าพูดอะไรไปบ้าง จะได้รู้ด้วยว่าคำไหนจำได้
........................
........................


..โปรดติดตามตอนต่อไป..


**มาย้อนอ่านเองแล้วกลัวคนอ่านค้างค่ะ แต่ในเรื่องอิสมันยังไม่รู้เลยนะ
Eu já gostou de você แปลว่า ผมว่าผมชอบคุณซะแล้วล่ะ ^o^

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 19-05-2010 09:58:05
^
^
^
^
^
 :z13:


คุณนุ่นนนนนนนนนน.....

น้องอิสมาแล้ว ดีใจ...

เอดูน่ารักอะ ใจดี แล้วก็ปากหวานด้วย อิอิ...


เป็นกำลังใจค่ะ...มาต่อทุกวันไม่ได้ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมมาต่อเรื่อยๆ นะ ชอบเรื่องนี้จังค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 19-05-2010 10:08:26
นั่นไงๆๆ แอร๊ยยย ถ้าอิสรู้ว่าแปลว่าอะไรแล้วจะเป็นไงเนี่ย :-[
ไม่เ้ห็นว่าน้ำตาลจะน้อยกว่าตัวป่วนตรงไหนเลย น่ารักมากๆ :o8:
แต่จะเศร้าหรือเปล่าคะ ความรักของนักเรียนแลกเปลี่ยนมัน.... :monkeysad:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-05-2010 11:00:17
อา.....ลูกค้าสองคนแรกมาแล้ว

..................

^
^
^
^
^
 :z13:


คุณนุ่นนนนนนนนนน.....

น้องอิสมาแล้ว ดีใจ...

เอดูน่ารักอะ ใจดี แล้วก็ปากหวานด้วย อิอิ...


เป็นกำลังใจค่ะ...มาต่อทุกวันไม่ได้ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมมาต่อเรื่อยๆ นะ ชอบเรื่องนี้จังค่ะ
ช่ายเอดูตัวเป้นๆก็น่ารักใจดีอย่างนี้แหละค่ะ  :impress2: แต่ๆๆๆ อ่านๆต่อไปแล้วจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่น่ารัก ใจดี โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ

นั่นไงๆๆ แอร๊ยยย ถ้าอิสรู้ว่าแปลว่าอะไรแล้วจะเป็นไงเนี่ย :-[
ไม่เ้ห็นว่าน้ำตาลจะน้อยกว่าตัวป่วนตรงไหนเลย น่ารักมากๆ :o8:
แต่จะเศร้าหรือเปล่าคะ ความรักของนักเรียนแลกเปลี่ยนมัน.... :monkeysad:
จริงอ้ะ? หวานจริงอ้ะ ไม่อยากจะบอกว่าคำพูดทั้งหมดที่เขียนลงไปในทั้งสองตอนนี้เกิดขึ้นจริงนะคะ
แล้วก็เรื่อง...ตอนจบของความรักของนักเรียนแลกเปลี่ยน...น้องเบียร์ต้องรอลุ้นนะ เป็นตอนจบที่อุ่นมากเลย :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 19-05-2010 12:28:01
เอดูเจ้าเล่ห์นะหลอกให้พูดตามกันซะอย่างงั้น 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 19-05-2010 12:53:59
เปิดอากู๋เป็นตัวช่วยระหว่างอ่านไปด้วยจะได้อินไซด์เอดิชั่นทันเหตุการณ์~

อ๊ายๆๆๆๆ เอดูอ่ะ หลอกให้หนูอิสเค้าพูดอะไร -///-

พี่นุ่นจ๋า ปล่อยหนูป่วนไปก่อนได้ค่ะ เขาแฮบปี้กันแล้ว มาคู่นี้ดีกว่า~  (ยุขึ้นมั้ย? อิๆ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 19-05-2010 13:08:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 19-05-2010 13:32:12
ลงชื่ออ่านด้วยคนครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 19-05-2010 21:31:46
คุณนุ่น เรื่องนี้มัน..ค่อดน่ารักเลยอ่ะ
อิสกับเอดู ตายแล้วๆๆๆ “Eu já gostou de você.”  :-[
อร๊ายยยย เดี๋ยวเค้าแอบจำไปใช้มั่ง 555+

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-05-2010 22:28:58
เรื่องนี้ดีเนอะ มีนิยายหนุกๆ อ่านแถมได้รู้ภาษาเพิ่มอีกตะหาก
Obrigado naka
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 20-05-2010 22:46:24
^
^
^
แอบเห็นค่ะ

obrigado ผู้ชายพูด
ถ้าเป็นผู้หญิง เราต้องพูดว่า obrigada นะคะ ^o^

ดีใจที่ชอบค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 20-05-2010 23:26:28
พี่นุ่นจ๋า อยากอ่านต่อจางงงงงงงงงงงงงง

อยากเห็นว่าเอดูจะเนียนเรียกbonitaอีกมั้ย อิๆ

ปล.ต่ายอัพคริสแมนละเน่อ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanjantra ที่ 21-05-2010 01:29:44
ถ้าอิสรู้แล้วจะว่าไงเนี่ยฮิฮิฮิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 23-05-2010 14:07:21
 :z13: จิ้มนุ่น ตามด้วย :กอด1: แถมด้วย  :จุ๊บๆ:
 ให้กำลังใจ :L2: นุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nataxiah ที่ 23-05-2010 14:48:20
 :z13: :z13: นุ่นอ่ะ

มาเปิดคอร์สสอนภาษาด่วนเลยนะไม่งั้น :fire:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Classical ที่ 23-05-2010 16:52:41
ป้านุ่น    มาเอาเพื่อนเมทอินเดีย ผมไปเขียนด้วยยยยยยยยยยยย    เบื่อมัน  อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก



 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: vvivy ที่ 23-05-2010 19:39:56
ชอบค่ะๆๆ..รอติดตาม^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: minnyminmin ที่ 24-05-2010 23:22:12
มาต่อนะคะ

จะรอคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:เพื่อนคนแรก......[2] (19/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 25-05-2010 09:32:33
มาต่อให้แล้วนะคะ เชิญอ่านค่ะ
เตือนอีกครั้ง เรื่องนี้จะเรื่อยๆ เอื่อยๆ แอบอุ่นทีละน้อย นะคะ  :กอด1:

ปล.แอบมากดบวกให้รีบนฐานที่มาเรียกได้ตรงวัน 55555
.........................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: “Eu já gostou de você.” 



ในที่สุดการเรียนของวันแรกก็จบลงครับ วันๆหนึ่งที่นี่เรียนแค่ครึ่งวันเท่านั้น
ผมเลยเลิกเรียนตอน 11 โมงครึ่ง


ผม.....อยากได้ของจำเป็นในการดำรงชีวิตที่นี่ แล้วคนที่จะช่วยได้ก็คงมีคนเดียว...เอดู

“I want to buy dictionary.”

“Qué?”


“ดิกชันนารีน่ะ นายช่วยพาไปร้านขายหนังสือได้มั้ย?”
เหอะๆนี่ขนาดดูท่าเป็นคนที่ภาษาอังกฤษดีที่สุดในชั้นแล้วนะ ประโยคที่ผมพูดไปมันก็ธรรมดาๆไม่ยากสักหน่อย แต่ในเมื่อผู้ช่วยหนึ่งเดียวที่พอหาได้ของผมไม่เข้าใจ
ผมเลยเขียนคำว่า dictionary ใส่กระดาษแล้วยื่นให้เอดูมันดูซะเลย

“Ahh dicionário” เฮ้อ.....เข้าใจจนได้

“อืม ดิซิโอน้าริโอ้ของแกนั่นแหละ ช่วยพาไปซื้อหน่อยได้มั้ย?”
ผมถามเอดูอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าจะยิ้มเรี่ยราดขนาดนั้นทำไม สงสัยสำเนียงของผมเวลาพยายามออกเสียงภาษาบ้านเขาคงจะเหน่อมากแน่ๆ

“Claro!”

หงะ ไอ้บ้าเอดู มันจะพยายามสอนมากไปมั้ย
ผมเงยหน้ามองมันที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ กำลังล้วงเอาหมวกแก๊พที่สอดไว้กระเป๋าหลังกางเกงยีนส์สีซีดทรงกระบอกขึ้นมาใส่
คาดว่าแววตาของผมคงแสดงออกถึงความหมั่นไส้มันเต็มแก่
มันเลยหัวเราะร่วนออกมาแล้วก็ยอมพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษจนได้
“Sure!”

“อ๋อ...... คลาโร อืมๆ โอบริกาโด้ เอดู”

“อ๋อออออออ”
กร้ากกกกกกกกส์ เอดูมันเลียนเสียงผมครับ มันออกเสียงอ๋อแล้วลากยาวๆ ตลกสุดๆ ฮ่าๆๆๆ ผมชักเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเพื่อนๆถึงหัวเราะทุกทีที่ได้ยินผมพูดภาษาของพวกเขา

“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

“Qué?”
แน่ะๆมันทำหน้าตากึ่งงงกึ่งอยากหาเรื่องมาให้ผม
ทีนี้เข้าใจกันบ้างรึยังล่ะว่าเวลาที่ผมพูดอะไรแล้วโดนเพื่อนๆรุมหัวเราะน่ะ มันเป็นยังไง

“อ๋อ is the sound we use when we’re understanding in something.”
เอ่อ....เอาน่า แกรมม่าช่วยคุณไม่ได้หรอกเวลาต้องมาอธิบายอะไรแบบนี้ การสื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจได้ดูจะสำคัญกว่ารูปประโยคสละสลวยงดงามเป็นไหนๆ

“อ๋อออออออ entende!”
เอดูมันพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจอยู่คนเดียว ส่วนผมสิเริ่มงงกะไอ้ ‘เองเทนจิ’ ของมันอีกแล้ว
คง....ประมาณว่าเข้าใจแล้วเหมือนกันล่ะมั้ง

ร่ำลาเพื่อนๆที่ยังเหลืออยู่ในห้องไม่กี่คนแล้วผมก็เดินตามเอดูออกมา
“ร้านอยู่ไกลมั้ย?”

“ไม่หรอก ขี่จักรยานไปไม่เกินสิบนาทีก็ถึง”

“แล้วถ้าเดินล่ะ?”

“สิบห้านาที ไม่สิ ยี่สิบนาทีได้”

“อืมๆ ไปกันเถอะ” ผมตั้งท่าจะเดินออกจากประตูโรงเรียนก็ถูกมือที่เพิ่งสังเกตว่าใหญ่เบ้อเริ่มคว้าแขนเอาไว้
“อะไรเหรอ?”

“เอาจักรยานก่อน”
ผมเดินตามเอดูไปเข้าไปในทางที่มองจากหน้าประตูจะเห็นว่าเป็นซอกเล็กๆอยู่ด้านข้างตึกอำนวยการ เมื่อเข้าไปถึงได้เห็นว่าภายในแบ่งเป็นช่องไว้สำหรับจอดจักรยาน
ตอนนี้จักรยานที่เหลืออยู่มีไม่ถึงสิบคัน คงเป็นเพราะโรงเรียนเลิกมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว

แปลกใจอยู่เหมือนกันที่พอถึงเวลาเลิกเรียนก็แทบไม่มีใครมัวอ้อยอิ่งอยู่เลย
ทำให้ผมนึกเปรียบเทียบกับบรรยากาศหลังเลิกเรียนที่โรงเรียนของผมในกรุงเทพขึ้นมา เสียงเจี๊ยวจ๊าวจะแข่งกันลอดออกมาจากทุกห้องเรียน
ไม่มีใครรีบกลับบ้าน ถ้าไม่อยู่จับกลุ่มเตะบอลเล่นบาส ก็มักจะนัดกันออกไปเดินสยาม ไปดูหนัง หรือไม่ถ้าเป็นพวกที่มีสาระมากๆก็พากันไปรอเรียนพิเศษ

เอดูจูงจักรยานออกมาแล้ว หึๆๆจักรยานสีแดง
ผมว่าก็เข้ากันดีนะ เด็กหนุ่มร่างใหญ่กับผมสกินเฮด ใส่หมวกแก๊พสีเทากับเป้ติดหลังสีเทาอ่อนกว่า
และก็เหมือนเดิม มันพยายามสอนคำศัพท์ใหม่ให้ผม

“bicicleta”
อย่างนี้แหละเข้าใจง่าย เพราะมีของให้เห็นอยู่ตรงหน้า ผมก็ได้แต่ออกเสียงตาม แล้วก็ควักสมุดโน้ตเล่มเล็กๆออกมาจดไว้เป็นภาษาคาราโอเกะ ‘บิซิเคลตะ’

“จักรยาน”
ผมลองแลกเปลี่ยนด้วยการสอนภาษาไทยมันบ้าง มันเองก็พยายามจะออกเสียงตามนะ แต่ให้พูดออกมากี่ครั้งมันก็ไม่คล้ายสักที ผมว่าน่าขันยิ่งกว่าตอนผมพูดตามมันอีก

เอดูมันขึ้นคร่อมจักรยานแล้ว ผมเลยเริ่มตั้งท่าจะออกเดินอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม มันส่งเสียงเรียกผม
แปลกแฮะ ที่ชื่ออิส ทำไมมันออกเสียงชัดจัง
“อิส”

“Qué?”


มันบอกให้ผมซ้อนจักรยานมันไป
มันไม่ได้บอกด้วยคำพูดหรอกครับ ผมรู้ว่ามันคงคิดไม่ออกว่าจะพูดภาษาอังกฤษยังไงให้ผมเข้าใจ ว่าต้องการให้ผมขี่จักรยานไปกับมันด้วย มันเลยใช้ภาษาใบ้เอา ชี้มือชี้ไม้ให้วุ่นวาย แต่ผมก็เข้าใจนะว่ามันหมายความว่าอะไร

“não”
ผมพัฒนาแล้วครับ อยู่มาเข้าวันที่สองแล้ว แค่คำปฏิเสธง่ายๆนี่สบายมาก ฮ่าๆๆ

“por qué não?”
ซวยแล้วไง ถ้าแค่ เนา ที่แปลว่า no น่ะ ผมรู้ แต่ไอ้ที่เอดูมันเพิ่มขึ้นมาข้างหน้านี่มันอะไรกัน???

สีหน้าผมตอนนั้นคงบอกมันหมดแล้วล่ะ ว่าผมงงและไม่เข้าใจเอาจริงๆ
แต่จะให้อธิบายว่าเพราะจักรยานมันมีอานเดียว แล้วจะให้ผมไปนั่งตรงไหน มันก็ยากเกินไป
ไม่ใช่ว่าผมไม่ลองนะ ผมลองอธิบายมันในภาษาอังกฤษแล้ว แต่มันก็ไม่เข้าใจ

เอ......หรือว่ามันแกล้งทำตีมึนไม่เข้าใจก็ไม่รู้

การสนทนาภาษาใบ้เพื่อเถียงกันเป็นครั้งแรกของผม จบลงด้วยการยื่นนาฬิกาข้อมือมาให้ดูจากไอ้เอดูมัน แถมซ้ำยังเอานิ้วอีกมือมาชี้ๆเป็นการย้ำอีกว่าเสียเวลามานานแล้วนะ ผมล่ะอยากจะด่ามันจริงๆว่าถ้ามันไม่มัวยื้อให้ผมนั่งซ้อนไปด้วยป่านนี้คงใกล้ถึงร้านหนังสือแล้ว

ในที่สุดผมก็แพ้ ......แหงล่ะ ก็ถึงเถียงกันไปก็ไม่จบสักที
ตอนนี้เลยกำลังหามุมเหมาะๆจะขึ้นไปอยู่บนจักรยานอีกคน เอดูมันคงเห็นผมหมุนไปหมุนมาไม่ขึ้นสักที มันเลยดึงผมให้นั่งบนคานจักรยานด้านหน้ามันทั้งๆที่ตัวมันยังยืนคร่อมจักรยานอยู่นั่นแหละ

มันจะรอดมั้ยเนี่ย ผมก็ไม่ใช่จะตัวเบาๆนะ แต่เอาเหอะ จักรยานของมัน
อยากให้นั่งตรงนี้ก็ตามใจมันแล้วกัน.....


ระหว่างทางผมก็ให้เอดูมันบอกคำศัพท์ไปเรื่อย พอผมชี้ไปที่อะไร มันก็จะบอกว่าบ้านมันเรียกว่ายังไง
ที่ออกเสียงตามง่ายๆผมก็จะจำได้
อย่าง rua ฮัว.....ถนน, carro คาห์โฮ....รถยนต์
céu เซว.....ท้องฟ้า, terra เตฮา.....พื้นดิน

ทางที่มันขี่จักรยานพาไปเดี๋ยวก็ขึ้นเนินเดี๋ยวก็ลงเนิน มีช่วงหนึ่งที่เนินลาดชันมากจนทั้งผมทั้งมันต้องลงเดินแล้วจูงจักรยานไป

คือว่าเมืองที่ผมมาอยู่นี่จะเป็นอย่างนี้ทั้งเมืองเลยครับ คุณๆที่ดูหนังที่ฉากหลังเป็นซานฟรานซิสโกก็แบบนั้นแหละครับ เป็นเนินสูงๆต่ำๆไปทั้งเมือง
เพียงแต่ซาน โฮเซ่ เล็กกว่ามาก แล้วก็ไม่มีรถรางด้วย ฮ่าๆๆ

อย่าว่าแต่รถรางเลยครับ รถประจำทางเองยังมีแค่สองสาย แถมจะผ่านมาเป็นเวลาชั่วโมงละครั้งเท่านั้น ข้อมูลพวกนี้นี่ผมรู้มาจากผู้ดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนประจำเมืองตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ

เพราะผมก็ถามไปแหละว่ามันมีรถประจำทางผ่านโรงเรียนมั้ย ซึ่งสรุปได้ว่าถ้าจากบ้านผม ต้องเดินไปที่ป้ายรถเมล์ก็เกือบๆห้านาที แถมรถจะมาผ่านตั้งแต่เจ็ดโมงตรงด้วย ถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลย
แต่ถ้าผมเดินจากบ้านตรงไปโรงเรียนเลย ถ้าเดินเร็วๆก็จะใช้เวลาประมาณสิบนาที ผมเลยตัดสินใจว่าเดินไปกลับโรงเรียนเองดีกว่า

พอถึงร้านขายหนังสือ ผมก็ตรงเข้าไปซื้อดิกชันนารีอังกฤษ-โปรตุกีส โปรตุกีส-อังกฤษ ขนาดที่พอจะพกพาได้ไม่ยากมาเล่มหนึ่ง คราวนี้ล่ะ ชีวิตผมที่นี่คงง่ายขึ้นเยอะ

ออกมาจากร้านเอดูมันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากตัวผมขึ้นจักรยานท่าเดิมทันที
ได้ยินมันบ่นอะไรงึมงำไม่รู้เรื่อง ถามผมว่าบ้านอยู่ไหน ผมก็บอกชื่อถนนไป เพราะที่อยู่เป็นอะไรที่ถูกบังคับให้ท่องเป็นอย่างแรก
ตอนแรกมันก็ทำหน้างงกับสำเนียงของผมนิดหน่อย แต่สุดท้ายมันก็หนีบผมมาส่งถึงหน้าบ้านจนได้

“obrigado.”
ผมขอบคุณพร้อมส่งยิ้มกว้างขวางไปให้มันหนึ่งครั้ง ขณะกำลังจะเดินไปกดออดเรียกให้คนในบ้านเปิดประตู มันก็ดึงแขนผมไว้

ผมหันไปเลิกคิ้วส่งสีหน้าสงสัยว่ามันรั้งผมไว้ทำไมไปให้ มันก็ดึงผมเข้าไปใกล้ เอาแก้มแนบแก้ม
ผมสะดุ้งนิดๆแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพราะที่นี่เวลาเจอกันหรือเวลาลาก็มักจะทำอย่างนี้
เพียงแต่ว่านอกจากพ่อที่ทำตอนเจอกันครั้งแรกแล้ว ก็ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำแบบนี้กับผมอีกเลย
เพื่อนๆผู้หญิงสิ แทบทั้งห้องแล้วมั้งที่เข้ามาทักทายผมด้วยท่าทางแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อเช้า


เอดูมันโน้มหน้ามาเอาแก้มแนบแก้มแล้วห่อปากส่งเสียงจุ๊บ แล้วก็พูดลา
“tchau”

“เชา”
ผมก็ได้แต่ปล่อยให้มันทำไปแหละ ตัวเองยืนแข็งค้างไปแล้ว แถมยังเริ่มรู้สึกหน้าร้อนอีกต่างหาก
เอาล่ะสินี่ผมคงไม่ได้หวั่นไหวกับสัมผัสง่ายๆที่คนอื่นๆก็ทำเพื่อทักทายและล่ำลาหรอกนะ
อีกอย่าง....เอดูกับผม เราเป็นผู้ชายเหมือนกันนี่นา ทำไมตอนสาวๆทำแบบนี้ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะรู้สึกร้อนเลยสักนิด

“เชา”
ผมสรุปในใจว่าอาจจะเป็นเพราะเวลาเที่ยงกว่าๆแบบนี้แดดแรง เมื่อเอดูมันเลี้ยวจักรยานย้อนไปทางโรงเรียน
ยกมือซ้ายขึ้นมาในลักษณะโบกลาแล้วปั่นขึ้นเนินกลับบ้านมันบ้าง
แถมไอ้เพื่อนคนแรกของผมยังอารมณ์ดีจนมีเสียงผิวปากเป็นเพลงลอยตามลมมาด้วย
................................
................................

พอเข้าบ้านได้ แม่บ้านจัดการหามื้อกลางวันให้ผมเรียบร้อย ผมก็เข้าไปนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัว หยิบพจนานุกรมที่เพิ่งได้มาออกมากาง
พร้อมกับเทียบหาความหมายของคำที่เขียนเป็นภาษาคาราโอเกะไว้ในสมุดโน้ตเล่มเล็ก
จนมาเจอกับประโยคนี้ ‘เอว จา กอสโตว ดิ โว้เส’


‘Eu já gostou de você.’  ผมชอบคุณเข้าแล้ว 

แหม....อย่างกับประโยคสารภาพความในใจเลยแฮะ
แต่ มันอาจจะหมายถึงชอบ แบบเดียวกับเวลาที่เราตื่นเช้าขึ้นมาเจออากาศดี
แล้วก็บอกว่า ชอบอากาศแบบนี้จังก็ได้นี่นา.......

ผมปัดความรู้สึกแปลกๆที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วออกไป แล้วก็ผล็อยหลับไปทั้งที่ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนเสื้อยืดขาวกางเกงยีนส์
แล้วก็......พร้อมกับคำแปลของประโยคนั้นที่ดังก้องอยู่ในสมอง ‘ผมชอบคุณเข้าแล้ว’


...................................
...................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-05-2010 10:24:56
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ น่ารักดีจัง
obrigada นะคะ (คราวนี้ถูกแล้วใช่ปะค่ะ  :-[)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 25-05-2010 10:56:00
อร๊ายยยย,,,พี่นุ่นอ่านเรื่องนี้  อ่านไปยิ้มไป  คล้ายคนบ้า,,,ชอบอ่ะ อบอุ่นดี 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 25-05-2010 11:26:32
ดีใจจังมาต่อเรื่องนี้แล้ว....


น้องอิสมันฮาๆ ดีเนอะ ชอบเรื่องนี้จังเลยค่ะ มาต่อบ่อยๆ นะคุณนุ่น


จะรอว่า เมื่อไหร่เีค้าจะพูดคำว่า Eu te amo ให้กันเนอะ... :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: sin ที่ 25-05-2010 11:59:50
อ่า เนื้อเรื่องน่ารักจังเลยอ่ะ

แปลกมากที่เป็นประเทศบราซิล ไม่ใช่ประเทศยอดฮิตอื่นๆในยุโรป หรืออเมริกา

อ่านแล้วคิดถึงสมัยที่เคยไปเรียนภาษาเหมือนกัน

งงเหมือนน้องอิสเลย 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 25-05-2010 12:12:38
 :o8:เขินแทนอิส 55
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 25-05-2010 12:31:37
ชอบจังเลยค่ะ ทั้งอิสทั้งเอดู น่ารักเนอะ~~
 :กอด1: และ บวกให้คุณนุ่นข้อหาแต่งนิยายน่ารัก  :o8:

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Classical ที่ 25-05-2010 12:38:26
‘Eu já gostou de você.’  ผมชอบคุณเข้าแล้ว



ป้า  สนุกดี +1 ให้เป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 25-05-2010 16:21:42
ตอบเมนท์ดีกว่า ตอบย้อนหลังด้วย หุๆ
......................

เอาแบบรวมๆก่อนแล้วกันนะคะ คือ
คำถาม1 ทำไมถึงเลือกบราซิล ----- เพราะเคยไปมาจริงๆค่ะ เลยมั่นใจที่จะเขียนถึงมากกว่าที่อื่น
คำถาม2 --------ไม่มี เอ่อ...ไม่มีคำถามจริงอะไรจริง

งั้น เล่าเลยละกันนะคะ คือว่า พยายามใส่เรื่องจริงให้มากที่สุดค่ะ อย่างน้อยเท่าที่เขียนไปสามตอนแล้วเนี่ย
มันเกิดขึ้นจริงทั้งหมดเลย ต่างก็แต่ "อิส" ตัวเป็นๆมันคือผู้หญิงก็เท่านั้นเอง (เท่านั้นเองตรงไหน??)

ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เจอกับEdu (ซึ่งไม่ใช่ชื่อของตัวจริง) มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
เอดูเป็นคนแรกในห้องที่คุยกับอิสก็เรื่องจริง คำพูดที่มันพูดออกมาก็เป็นคำพูดของมันจริงๆ
วันแรกก็กล้าขอให้มันพาไปร้านหนังสือเลยก็เรื่องจริง(ดิกเล่มนั้นปัจจุบันยังเอามาเปิดเพื่อเป็นวัตถุดิบเขียนเรื่องนี้อยู่เลยค่ะ ^^)
รูปร่างหน้าตาของเอดู ลักษณะจักรยานของมัน สีหมวกสีเป้ เรื่องจริงทั้งหมดเลยค่ะ

ที่คนเขียนบอกว่าเรื่องนี้จะใช้เวลาหน่อยในการมาต่อแต่ละตอนก็เพราะแบบนี้
เพราะเอามาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว แต่คนจริงๆมันดันเป็นผู้หญิง
ก็เลยยากกับการเขียนออกมาโดยยังมีบุคลิกของเจ้าของเรื่องโดยที่เปลี่ยนเป็นผู้ชาย
(และพยายามให้พฤติกรรมมันดูเป็นผู้ชาย)

แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าพอเรื่องผ่านช่วงต้นๆนี้ไปจะมีส่วนผสมของการแต่งเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆค่ะ
ที่พยายามจะคงไว้คือพฤติกรรมของEdu มันทำอะไรบ้างจะเก็บมาใส่ไว้ให้ตรงที่สุด
แต่การตอบสนองของอิสคงต้องต่างกับเรื่องจริงบ้างเพราะไอ้เจ้าของเรื่องมันดันเป็นผู้หญิงน่ะค่ะ

แล้วคนเขียนจะคอยมาบอกเรื่อยๆว่าตรงไหนจริงตรงไหนไม่จริง
หรือไม่ คนอ่านลองทายๆมาก็ได้นะคะว่าในแต่ละตอนที่อ่านไป มีอะไรบ้างที่คนเขียนแต่งขึ้นมาเอง ^o^
.....................................

เอดูเจ้าเล่ห์นะหลอกให้พูดตามกันซะอย่างงั้น 555
ถูกกกกกแนน เอดูตัวเป็นๆทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งขี้เล่น ขี้แกล้งเป็นที่หนึ่งเลย

เปิดอากู๋เป็นตัวช่วยระหว่างอ่านไปด้วยจะได้อินไซด์เอดิชั่นทันเหตุการณ์~

อ๊ายๆๆๆๆ เอดูอ่ะ หลอกให้หนูอิสเค้าพูดอะไร -///-

พี่นุ่นจ๋า ปล่อยหนูป่วนไปก่อนได้ค่ะ เขาแฮบปี้กันแล้ว มาคู่นี้ดีกว่า~  (ยุขึ้นมั้ย? อิๆ)
พยายามมาต่อบ่อยๆอ้ะกระต่ายน้อย แต่เพราะมันต้องเค้นความทรงจำสิบปีที่แล้วจริงๆไงมันเลยยาก แหะๆ

:pig4:

ลงชื่ออ่านด้วยคนครับ
ยินดีที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^o^

คุณนุ่น เรื่องนี้มัน..ค่อดน่ารักเลยอ่ะ
อิสกับเอดู ตายแล้วๆๆๆ “Eu já gostou de você.”  :-[
อร๊ายยยย เดี๋ยวเค้าแอบจำไปใช้มั่ง 555+

เป็นกำลังใจให้นะคะ
เอาไปใช้โลดค่ะ แต่ถ้าจะเอาประโยคแบบ ผมชอบคุณ (ไม่ใช่รุปอดีต) ต้องบอกว่า eu gosto de você เอว กอสโต้ (ดิ) โว้เส (ในวงเล็บออกเสียงเบามากๆนะคะ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 25-05-2010 16:23:56
:z13: เข้ามาจิ้มพี่นุ่น...
แล้วก็เข้ามาแปะด้วย 555
เด๋วมาตามอ่านนะคะ

ปล. เพิ่งเห็นอวาต้าร์พี่นุ่น 555555555 เขินนะ  :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 25-05-2010 18:57:47
น่ารักอ้ะน้องพาร์ขอบคุณนะคะ พอมาเป็นดิสเพลย์แล้วรูปมันเล็ก ไม่รู้ว่าขอบไม่ชัด กร้ากกกกกกกส์

รอเวอร์พี่อากาศใส่แว่นอยู่.........อ้ะ ล้อเล่นนนนนนนนนนนน :m14:


ปล.เด็กคนนี้ชอบจิ้มคนแก่เหลือเกิน หงิงๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-05-2010 21:02:25
เอดูน่ารักจัง
ชอบเรื่องรักข้ามชาติทำนองนี้จัง
รักแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็ดีค่ะ
ไม่ต้องหวือหวามาก  แก่เลี๊ยว  หัวใจจะวายเอาง่าย ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 25-05-2010 21:52:19
แสดงว่า...อิสนี่จริงๆคือพี่นุ่นสินะคะ!

พี่นุ่น...แสดงว่าเอดูต้องหล่อจิ กรี๊ดดดดด

(เข้าโหมดกรี๊ดกร๊าดคนหล่อ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Classical ที่ 25-05-2010 22:09:19
มาต่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   เร็วป้า



แสดงว่า...อิสนี่จริงๆคือพี่นุ่นสินะคะ!

พี่นุ่น...แสดงว่าเอดูต้องหล่อจิ กรี๊ดดดดด

(เข้าโหมดกรี๊ดกร๊าดคนหล่อ)

คงไม่ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์เลยครับ  ป้านุ่นน่ะ  คานทองรออยู่ แบบว่า คงไม่มีใครมาจีบหรอกครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: vvivy ที่ 25-05-2010 23:29:00
น่ารักๆๆๆ...ชอบอิส

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 04-06-2010 00:37:56
‘Eu já gostou de você.’  ผมชอบคุณเข้าแล้ว 
 :o8:

น่ารักทั้งคู่เลย
แอบหวังว่าจะมาต่อเร็วๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 05-06-2010 19:49:18
มาต่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   เร็วป้า



แสดงว่า...อิสนี่จริงๆคือพี่นุ่นสินะคะ!

พี่นุ่น...แสดงว่าเอดูต้องหล่อจิ กรี๊ดดดดด

(เข้าโหมดกรี๊ดกร๊าดคนหล่อ)

คงไม่ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์เลยครับ  ป้านุ่นน่ะ  คานทองรออยู่ แบบว่า คงไม่มีใครมาจีบหรอกครับ


โหย  หุหุหุ



๐๐๐๐๐๐๐

เรื่องนี้น่ารักดีครับ  เชาแปลว่ารักหรือเปล่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 05-06-2010 20:54:56
จากปสก.ตรงกันเลยทีเดียว  :z1:
น่าติดตามมากมาย มาต่อบ่อยๆนะค้าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 19-06-2010 02:26:58
ได้อ่านซะที..ให้กำลังใจนานแล้ว...
น่ารักดีอ่ะ...นุ่น... :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 19-06-2010 03:22:18
มาลงชื่อให่คุณนุ่นก่อนน่ะต่ะ เดี๋ยวอ่านแล้วมาเม้นให้
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: SUICIDE ที่ 19-06-2010 19:55:37
น่ารักจัง อ่านได้แบสบายๆ รับรู้ได้ถึงบรรยากาศสงบสุขของเมืองเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 26-07-2010 21:06:19
 :-[ น่ารักอีกแล้วเรื่องนี้

ชอบมากค่ะ รอติดตามอ่านนะจ๊ะ เอดูน่ารักจริงๆ อิๆ เจ้าเล่ห์ดีมาก ชอบๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-07-2010 21:38:07
^
^
^
ฮึบๆๆ ตามไปขุดมาด้วยเหรอคะ :กอด1:
แหะๆ เรื่องนี้ไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ คนเขียนขออนุญาตจบไอ้หนูป่วนให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะต่อให้นะคะ
(แอบบอกไอ้ป่วนก็อีกไม่เกินสองตอนแล้วล่ะค่ะ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Classical ที่ 26-07-2010 22:46:44
^
^
^
เออ  เกือบลืมไปว่ามีเรื่องนี้อยู่อ่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 26-07-2010 23:39:15
^ ^ เข้ามาติดตามด้วยคนค่ะ
 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: TON1974 ที่ 27-07-2010 16:17:40
เริ่มเรื่องก็น่ารักแล้วครับนุ่น...

ต้นจะคอยเป็นกำลังใจให้นะครับ...
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: “Eu já gostou de você.” [3] (25/05/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 04-08-2010 16:24:49
ยินดีต้อนรับนักอ่านทุกท่านค่ะ

เข้ามาบอกว่าอีกสักไม่น่าเกินสิบห้านาทีจะมาแปะตอนต่อไปนะคะ
ขอไปทวนคำผิดอีกนิด ...เรื่องนี้ต้องทวนเยอะหน่อยค่ะ แอบเขียนยาก

:กอด1: ทุกท่านเล้ยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 04-08-2010 16:44:07
ในที่สุดเรื่องยาวอีกเรื่องที่ติดพันก็จบลงไปด้วยดีแล้วค่ะ
ได้เวลามาต่อเรื่องของนายอิสกับเอดูตามที่เคยสัญญาไว้แล้ว (หวังว่าจะยังจำสองคนนี้ได้นะคะ กร้ากกกกกกกกกกกกกส์)
เอาล่ะค่ะ ไม่พูดอะไรมาก ไปอ่านกันเลยดีกว่า........ติชมหรือมีคำแนะนำอะไรบอกได้ทุกอย่างนะคะ

...............................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Ana Julia

เพื่อนๆร้องเพลงให้ผม......



ผมอยู่ที่นี่มาหนึ่งสัปดาห์แล้วครับ ตอนนี้ผมเริ่มจดจำศัพท์ง่ายๆที่เกี่ยวกับของใช้ของกินได้มากขึ้นแล้ว
แต่ก็ยังรู้สึกตัวเองเหมือนคนใบ้ที่ไม่สูญเสียทักษะการฟัง คือประเภทได้ยิน แต่พูดโต้ตอบไม่ได้


เพราะสิ่งที่ได้ยิน บางครั้งก็เข้าใจ แต่ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจมากกว่า
แถมไอ้อาการพูดโต้ตอบไม่ได้ยังทำให้ผมเมื่อยมือเมื่อยหน้าชะมัดเวลาที่ต้องการจะสื่อสารกับใคร

ไอ้เอดูก็ชักจะใจร้าย มันไม่ค่อยยอมพยายามพูดอังกฤษแปร่งๆกับผมแล้ว
ผมก็เข้าใจนะว่ามันอยากให้ผมเรียนรู้ภาษาบ้านมันได้เร็วๆ
แต่ก็นั่นแหละ วิธีการที่มันใช้ฝึกภาษาให้ผมด้วยการไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษด้วยเลยนี่มัน
....ทั้งเหนื่อย ทั้งอึดอัด แล้วยังทรมานน่าดู


จากการมาเรียนไปครบหนึ่งสัปดาห์ทำให้ผมเริ่มรู้ว่าวันพุธหลังเลิกเรียนสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วจะเป็นวันที่ถ้าใครอยากอยู่ทำกิจกรรมกันต่อก็จะอยู่ได้ ที่วันอื่นๆทุกคนรีบกลับบ้านทันทีก็เพราะว่าโรงเรียนจะมีนักเรียนภาคบ่ายเข้ามาเรียนต่อ อีกอย่างเพื่อนๆบางคนก็ทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนด้วย

พุธแรกผมก็เห็นแล้วล่ะว่าพวกเพื่อนๆผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่ต่อกันหรอก แต่พวกเพื่อนผู้ชายจะจับกลุ่มแบ่งฝ่ายเตะบอลโกล์เล็กกัน
ผมไม่ได้อยู่เล่นด้วยเพราะที่ปรึกษานักเรียนแลกเปลี่ยนมารับไปรู้จักกับเด็กแลกเปลี่ยนจากนิวซีแลนด์สองคนที่เพิ่งมาถึงพอดี

เพื่อนจากนิวซีแลนด์นี่เป็นผู้ชายคนผู้หญิงคน ผู้ชายก็เหมือนคนขาวทั่วไปผมทองตาฟ้า รูปร่างสูง ส่วนผู้หญิงนี่เธอแนะนำตัวว่าเป็นชาวเผ่าเมารีครับ ผิวก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่เข้มกว่า แล้วก็ผมยาวตรงสีดำสนิท เธอน่ารัก แล้วก็ดูเซ็กซี่ได้โดยไม่ต้องพยายามเลย มีเสน่ห์น่าดู


แต่ผมกะไว้แล้วว่าพุธนี้เลิกเรียนแล้วจะอยู่เล่นบอลกับเพื่อนๆด้วย เห็นมีแป้นบาสเก่าๆแขวนตาข่ายเน่าๆอยู่

อยากเล่น.....เดี๋ยวจะลองถามดูว่าต้องเบิกลูกจากไหนหรือว่าต้องเตรียมมาเอง
เพราะลูกฟุตบอลที่เห็นเมื่อวันพุธนั่นจำได้ว่าเห็นริคาร์โด้มันเอามาจากบ้าน
แล้วตั้งแต่คาบเรียนแรกมันก็เล่นเลี้ยงไปมาด้วยขาสองข้างใต้โต๊ะตลอด

ริคาร์โด้นี่ก็เป็นเพื่อนอีกคนในกลุ่มไอ้เอดูมัน แต่บุคลิกมันจะเงียบๆขรึมๆแล้วก็ดูนิ่งมากกว่าเพื่อนคนอื่นในห้องเยอะ

เอดูบอกว่าจริงๆริคาร์โด้มันไม่ได้นิ่งแบบที่ผมเห็นหรอก แต่ที่เห็นมันนิ่งอย่างนี้เพราะมันเป็นคนขี้อาย
ผมรู้อย่างนี้แล้วเลยงงว่ามันจะมาอายอะไร

พอถามเอดูมันไปมันก็บอกว่า
“tu.”

“Qué?!?” ตู......ผมเนี่ยนะ


“ก็มันอายอิสไง”

“louco มันจะมาอายเราทำไม?”
บ้าแล้ว ริคาร์โด้มันจะมาอายอะไรผมล่ะ นี่เห็นมั้ยครับ ขนาดด่ายังด่าแบบเด็กน้อยแถวนี้ได้แล้วเลย โลโค่ แปลว่า ‘บ้า’


“ก็อิสน่ารัก ไม่รู้ตัวเหรอ”
ง่า......ไอ้เอดูบ้า ชมมาได้ไงเล่า ผมอายดีเลย์นิดนึงครับ เพราะต้องเปิดดิคก่อนเริ่มอาย
แต่ถ้าแค่รู้ความหมายคงไม่อายหรอก นี่ไอ้บ้าเอดูดันส่งสายตาแปลกๆมาด้วยดิ


ไม่รู้จะตอบโต้ไงเลย อยากจะบอกว่าอย่ามามองแบบนี้นะ แต่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
จะให้เปิดดิคพูดตอบมันก็อาย คือจะว่าอายอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่

แต่.....มันรู้สึกแปลกๆ
แบบว่า อยู่ๆก็รู้สึกว่าการมองสบตากับมันจะทำให้เกิดอันตรายกับตัวเองขึ้นเสียอย่างนั้น



“กีต้าร์ ของใคร?”
ก่อนอาจารย์โรซ่าจะเข้ามาสอนภาษาอังกฤษตามปกติ ผมก็เหลือบไปเห็นว่าวันนี้มีกีต้าร์พิงอยู่กับฝาผนังหลังห้อง

“กีต้าร์?”
นี่ไง เอาอีกแล้ว ผมชักจะรู้สึกว่าเอดูมันมักจะเข้ามาใกล้ๆโดยผมไม่ทันรู้ตัวเสมอ
นี่มันคงมาอยู่ข้างๆนานแล้ว เมื่อกี้ที่ผมพูดเบาๆกับตัวเองแท้ๆไอ้บ้านี่ยังอุตส่าห์หูดีได้ยิน แถมทวนคำอีกต่างหาก

ผมหยิบเจ้าดิซิโอน้าริโอ้ที่วางไว้มุมขวาบนของโต๊ะเป็นประจำมาเปิดหาคำว่ากีต้าร์
หลังจากย่นจมูกพร้อมส่งเสียงจิ๊จ๊ะให้ไอ้ติวเตอร์ภาษาโปรตุกีสไม่ได้รับเชิญไปทีหนึ่ง
ก็ดูมันนะ น่าหมั่นไส้แค่ไหน กีต้าร์ก็ตั้งอยู่ตรงนั้น มองตามสายตาไปก็เห็น
แทนที่มันจะบอกๆมาซะว่าเรียกในภาษาบ้านมันยังไง มันกลับอมพะนำเอาไว้ แล้วก็ยิ้มล้อเลียน....แกล้งกันชัดๆ

“guitarra” พอผมชี้ให้มันดูมันก็ยิ้มระรื่นแล้วออกเสียงให้ฟังจนได้....กีต้าหะ

“อาฮะๆ กีต้าหะ.....แล้วมันของใครล่ะ?”

“อยากรู้เหรอ? เล่นเป็นรึเปล่า?” อ้าวไอ้นี่ คนถามไม่ตอบ ดันมาถามกลับซะงั้น

“หึ......อ๊อยยยยยย!!”
ผมส่งเสียงในลำคอพร้อมกับส่ายหัวปฏิเสธ เลยโดนมันบีบจมูกเข้าให้

“ตอบดีๆสิอิส Eu não posso” หงะ....ไอ้อาจารย์โหด

“เอว เนา ปอสโซ่, โปรเฟสซอร์”
คร้าบบบบบบ.....ผมทำไม่ได้คร้าบท่านเอดู ฮึ่ย....ผมได้แต่หวังว่าน้ำเสียงของผมคงทำให้มันเข้าใจได้หรอกว่าผมกำลังประชดมันอยู่

“hahaha eu não sou o professor…..sou teu amigo.”
เอาอีกแล้ว ตอบโต้เข้าหน่อยมายาวๆอีกแล้ว แต่ผมจะทำไงได้ ด่าก็ด่าเป็นอยู่คำเดียวนั่นแหละ ไอ้บ้าๆ
แล้วอารมณ์นี้แค่ด่าว่าบ้ามันพอที่ไหน โอเค......เพราะงั้นเอาเวลาคิดคำด่ามันไปเปิดดิคดีกว่า
เข้าใจแล้ว....ฉันไม่ใช่อาจารย์ของนาย ฉันเป็นเพื่อนของนายต่างหาก

ผมเงยหน้าจากดิคชันนารีในมือขึ้นมองมัน ไอ้บ้าเอดูมันก็ส่งยิ้มกว้างขวางมาให้
ตอนนั้นเอง ผมถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองก็กำลังส่งยิ้มไปให้คนที่เพิ่งบอกว่าเป็นเพื่อนกันเมื่อกี้.....กว้างขวางไม่แพ้กันเลย


“ไปนั่งสิ อาจารย์ตัวจริงมาแล้ว”
เสียงการเคลื่อนไหวพรึบพรับดังขึ้น เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมทุกคนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ตามมุมโน้นมุมนี้ของห้องรีบกลับไปนั่งประจำที่
พร้อมๆกับที่เสียงคุยจ้อกแจ้กเงียบลง
ผมก็บอกให้เอดูกลับไปนั่งที่ของตัวเองหลังจากมันมาอาศัยมุมโต๊ะของผมแหมะก้นอยู่เป็นนาน

แต่แทนที่มันจะกลับไปนั่งที่ตามที่ผมบอก ผมกลับเห็นมันส่งภาษาบ้านมันกับอาจารย์โรซ่าจับใจความไม่ได้
แล้วก็เดินไปหยิบกีต้าร์ที่พิงอยู่หลังห้อง มีกีห์บริการลากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปตั้งรอที่หน้าห้องเรียน


“อาน่า ชู้ลิยา”
แน่ใจนะว่าชื่อเพลง แวบแรกที่ได้ยินผมคิดแบบนั้นจริงๆนะ ไอ้บ้าเอดูพูดออกมาแบบนั้นแล้วมีการขยิบตาส่งมาทางผมด้วยสิ

แต่ไม่ต้องสงสัยนาน เพราะมันเริ่มดีดกีต้าร์ในมือ แล้วเริ่มนำร้องเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมาทันที
เอ่อ....ท่าทางเพลงนี้จะดังมากแน่ๆ เพราะทุกคนในห้องร้องได้กันหมดเลย ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์โรซ่าคนงาม

http://www.youtube.com/v/AdGd26pHiE0&hl=en_US&fs=1"

เพลงที่คนทั้งห้องร้องอยู่เป็นเพลงจังหวะสนุกๆ ถ้าผมฟังออกก็คงร้องตามได้ง่ายๆ
ก็ไม่รู้หรอกว่ามันแปลว่าอะไร ตอนแรกไม่ได้อยากรู้ด้วยซ้ำ
จนเริ่มสังเกตว่าแทนที่เพื่อนๆมันจะมองไปที่หน้าห้อง....ที่ไอ้คนบ้าหน้าเป็นดีดกีต้าร์สร้างเสียงเพลงอยู่
พวกเพื่อนๆมันกลับมองมาที่ผมกันเป็นตาเดียว มองมาพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
ยิ่งผ่านท่อนแรกไป ทีนี้นอกจากเสียงร้องกับเสียงกีต้าร์ก็เริ่มมีเสียงเคาะโต๊ะป๊อกแป๊กประกอบจังหวะไปด้วย
ในวันนั้นถึงผมจะไม่เข้าใจความหมายของเนื้อเพลง แต่ผมรู้ว่าเพื่อนๆทุกคนต้องการจะบอกว่าพวกเขายินดีแค่ไหนที่เราได้มารู้จักกัน
ยิ่งไอ้คนต้นเสียงนั่น......ผมยิ่งมั่นใจว่ามันต้องรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยเชียวล่ะ


แล้วหลังจากนั้นอีกหลายสัปดาห์ เมื่อผมได้เข้าใจเนื้อหาของเพลงเพลงนี้.....ผมก็รู้ตัวทันที
ว่าต่อให้เนิ่นนานจากเวลานี้อีกกี่ปี......
ผมจะไม่มีวันลืมเพลงเพลงนี้ และมนุษย์บ้าหน้าหนาที่มันร้องเพลงนี้ต่อหน้าต่อตาเพื่อนทั้งห้องได้เลย

.....................................
.....................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..



ปล.ฟังเพลงเอาอารมณ์ไปก่อนนะคะ ยังไม่ต้องรู้ความหมายเนอะ เอาไว้รู้พร้อมอิสมันดีกว่า เอ๊ะหรือว่าอยากรู้ก่อนคะ?
ถ้าอยากรู้ใบ้ให้ว่าประมาณเดียวกับการ์ตูนในเอ็มวีนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 04-08-2010 16:55:52
 :z13: :z13:

‘Eu já gostou de você.’ ด้วยคน

 :o8: เขินจะตายแล้วเจเจ้...

ยิ่งพอได้ฟังเพลง เอร้ยยยย ชาตินี้อยากให้มีคนร้องให้ฟังบ้าง
( :beat: ตื่น ๆ )

 :-[ ชอบบบบบ ที่สุด... :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Oo๐FosfoggY๐oO ที่ 04-08-2010 17:09:38
อันดับแรกที่ต้องทำคือ กรีดร้อง ทามมายชั้นเพิ่งเหฌนเรื่องนี้ของพี่นุ่นล่ะเนี่ยยยยยย
น่าร้ากกกกกกอีกแล้วอ่าพี่นุ่น ชอบจัง
พระเอกหน้าด้านดี 555+ ถึงจะด้านเพราะรู้ว่านายอิสของเราฟังไม่รู้เรื่องก็เหอะ
ถ้าคิดกลบว่าตวเองไปเรียนต่างประเทศทั้งที่ไม่ได้ภาษาแล้วเจอเพื่อนแบบนี้คงอบอุ่นไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย
 :กอด1:&จิ้ม+ ให้พี่สาวที่โคตรเก่งของเรา ตัวเองมาเป็นครูสอนภาษาเค้าหน่อยสิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 04-08-2010 17:26:36
ดีใจมากกกกกกกกก อะคุณนุ่น

ชอบเรื่องนี้มากๆ แต่เค้าเกรงใจไม่กล้าทวงอะ...

แล้วในที่สุด ก็มาต่อ เย้!!!!!

รอฟังความหมายพร้อมอิส ก็ได้ อิอิ

อิสน่ารักจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 04-08-2010 17:41:41
 :o8:
อยากรู้แปลเพลงอ่ะ
แต่อยากรู้เนื้อเรื่องต่อด้วย

งั้นต้องรีบมาต่อเร็วๆนะครับ
 :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 04-08-2010 18:13:46
พึ่งเห็นเรื่องนี้ของน้องนุ่นวันนี้เองจ้า เอ..พี่แก้วไปมัวงมโข่งงมหอยอยู่ที่ไหนหว่า
ลงไปไม่กี่ตอน แต่ภาพเอดูเค้ากลับแจ่มชัดในมโนนึกของพี่แก้ว แถมพียังใจง่ายแอบมีใจให้เอดูด้วยแน่ะ (หน้าไม่อายเนอะ)
งานเขียนฝีมือน้องนุ่นการันตีได้เลยว่า เมื่อได้อ่านแล้ว ต้องรู้สึกสุขเคล้าความหวานหวิวแน่
    +1ให้น้องนุ่นจ้ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-08-2010 18:26:18
มาแล้ววววว  หายไปนานเลย  จนนึกว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว
เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพลงมีคงามหมายว่างัยบ้าง
แต่คงหวานน่าดู....

+1 สำหรับการกลับมาค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 04-08-2010 18:47:05
เอดู ทำไมน่ารักแบบนี้อ่ะ
จีบแบบต่อหน้าต่อตาไม่แคร์สื่อเลยค่ะคู๊ณณณณณ


แล้วแบบนี้จะรอดเงื้อมมือได้เหรอเนี่ยน้องอิส
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: p_pink ที่ 04-08-2010 19:23:05
มาตามอ่านเรื่องใหม่ของคุณนุ่น (มาช้าไปนิด ไม่ว่ากันนะจ๊ะ)
นายเอดู ไม่ใช่แค่น่ารักอย่างเดียว ต้องเป็น น่ารักแบบร้ายกาจ แน่ๆ
เล่นหยอดน้องอิสแต่ละคำ ทำเอาน้องกลายเป็น เด็กเอ๋อ เลยทีเดียว ^^

แอบฮาตัวเอง เห็นภาษาโปรตุกีสแต่ดันไปอ่านแบบภาษาสเปน
พอมาเจอที่คุณนุ่นถอดเสียงเป็นภาษาไทย ทำเอาวีเอ๋อ .. ฮ่าฮ่า
(งงๆ ในตัวเอง ไม่มีอะไรนะคะ)

 :L2: เป็นกำลังใจให้กับเรื่องใหม่นะคะ  :กอด1: กอดคุณนุ่นค่ะ จุ๊บจุ๊บ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 04-08-2010 19:35:20
อือหึ หว๊านหวาน แต่สู้หนูป่วนไม่ได้ อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 04-08-2010 20:39:33
แอบมาแวบแถลงการณ์ค่ะ

หายไปสองเดือนกว่าๆ ในที่สุดก็กลับมาแล้วนะคะ รู้สึกผิดเลยเรา (ขอโทษนะคะคุณไนท์ กอดดดดดดดดด)
เหมือนเดิมค่ะ อย่างที่เคยบอกไป เขียนยากเขียนเย็น
แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะรื้อความทรงจำนะคะ เพียงแต่พอคิดถึงขึ้นมาแล้วมันก็เขิน
คนเขียนเลยต้องเสียพลังงานกับการเขียนไปเขินไป ยิ่งเปิดเพลงฟังไปด้วยก็ยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ กร้ากกกกกกกกกกกกส์

สำหรับเนื้อหาในตอนนี้ อยากให้คนอ่านลองทายจังเลยค่ะว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนไม่จริง
อย่าบอกว่าชื่อคนในเรื่องไม่ใช่ชื่อจริงนะคะ
อันนั้นตอบให้ล่วงหน้าเลยค่ะว่าชื่อไม่จริงทุกคนแหละ บางตัวละครเอาชื่อมาสับกันเองอีกต่างหาก
ยกเว้นไว้คนคืออาจารย์โรซ่า แกชื่อ Rosa จริงๆ หุหุ (บ้านนั้นเมืองนั้นออกเสียงว่าฮอซ่าค่ะ)


อือหึ หว๊านหวาน แต่สู้หนูป่วนไม่ได้ อิอิ
อันนั้นเค้าหวานเลเวลสิบ นี่มันแค่เพื่อนกันนิแนน แถมยังคุยกันไม่รู้เรื่องอีก ได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

มาตามอ่านเรื่องใหม่ของคุณนุ่น (มาช้าไปนิด ไม่ว่ากันนะจ๊ะ)
นายเอดู ไม่ใช่แค่น่ารักอย่างเดียว ต้องเป็น น่ารักแบบร้ายกาจ แน่ๆ
เล่นหยอดน้องอิสแต่ละคำ ทำเอาน้องกลายเป็น เด็กเอ๋อ เลยทีเดียว ^^

แอบฮาตัวเอง เห็นภาษาโปรตุกีสแต่ดันไปอ่านแบบภาษาสเปน
พอมาเจอที่คุณนุ่นถอดเสียงเป็นภาษาไทย ทำเอาวีเอ๋อ .. ฮ่าฮ่า
(งงๆ ในตัวเอง ไม่มีอะไรนะคะ)

 :L2: เป็นกำลังใจให้กับเรื่องใหม่นะคะ  :กอด1: กอดคุณนุ่นค่ะ จุ๊บจุ๊บ
มาไม่ช้าค่ะ ดีออกไม่ต้องถูกทิ้งค้าง(อุย..) กร้ากกกกกกกกกกส์
ส่วนเรื่องสเปนกับโปรตุกีส งี้แหละค่ะบ้านใกล้เรือนเคียง แถมแบบที่นุ่นอ่านยังเป็นโปรตุกีสแบบบราซิลบ้านนอกๆอีก

เอดู ทำไมน่ารักแบบนี้อ่ะ
จีบแบบต่อหน้าต่อตาไม่แคร์สื่อเลยค่ะคู๊ณณณณณ

แล้วแบบนี้จะรอดเงื้อมมือได้เหรอเนี่ยน้องอิส
ใช่ค่ะเอดูมันหน้าหนามาก ไม่เข้าใจทำไมไม่อายบ้างเลย เฮ้อออออออออ......

มาแล้ววววว  หายไปนานเลย  จนนึกว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว
เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพลงมีคงามหมายว่างัยบ้าง
แต่คงหวานน่าดู....

+1 สำหรับการกลับมาค่ะ
มาต่อค่ะมาต่อ แต่เรื่องนี้เขียนแต่ละทีทำเอาหมดพลังงานเยอะเลยตั้งใจว่าตัวป่วนจบก่อนแล้วถึงจะมา ขอโทษที่ปล่อยค้างนานนะคะ ^^

พึ่งเห็นเรื่องนี้ของน้องนุ่นวันนี้เองจ้า เอ..พี่แก้วไปมัวงมโข่งงมหอยอยู่ที่ไหนหว่า
ลงไปไม่กี่ตอน แต่ภาพเอดูเค้ากลับแจ่มชัดในมโนนึกของพี่แก้ว แถมพียังใจง่ายแอบมีใจให้เอดูด้วยแน่ะ (หน้าไม่อายเนอะ)
งานเขียนฝีมือน้องนุ่นการันตีได้เลยว่า เมื่อได้อ่านแล้ว ต้องรู้สึกสุขเคล้าความหวานหวิวแน่
    +1ให้น้องนุ่นจ้ะ
ขอบคุณค่ะพี่แก้ว ไว้นุ่นลับฝีมือให้กล้าแข็งแล้วจะลองเขียนแบบแนวอื่นดูบ้าง แต่ตอนนี้ยังโหมดเดิมนะคะเน้นรสหวาน (แต่ไม่หวานจัดค่ะ อิอิ)
ดีใจแทนเอดูที่หลงเผลอใจให้มันไปนะคะ เอดูตัวเป็นๆทั้งน่ารัก ใจดี และ...เจ้าเล่ห์จริงๆค่ะ...อีกอย่าง มันไร้ยางอายค่ะพี่แก้ว โฮะๆๆๆๆๆๆ

:o8:
อยากรู้แปลเพลงอ่ะ
แต่อยากรู้เนื้อเรื่องต่อด้วย

งั้นต้องรีบมาต่อเร็วๆนะครับ
 :L2:
ได้ค่ะ ไม่เกินสองวัน ถ้ารวบรวมลมปราณได้พรุ่งนี้จะมาต่อนะคะ พี่มาร์คจุ๊บๆ กระโดดกอดแล้วสูบพลังงาน โฮะๆๆๆๆๆๆ
(ส่วนเรื่องเนื้อเพลง ลองถามดาด้าสิคะ กร้ากกกกกกกกกกกส์)

ดีใจมากกกกกกกกก อะคุณนุ่น

ชอบเรื่องนี้มากๆ แต่เค้าเกรงใจไม่กล้าทวงอะ...

แล้วในที่สุด ก็มาต่อ เย้!!!!!

รอฟังความหมายพร้อมอิส ก็ได้ อิอิ

อิสน่ารักจริงๆ o13
ขอบคุณค่ะที่ชมอิส กร้ากกกกกกกกกกกส์
ขอโทษที่ทิ้งค้างนานนะคะคุณไนท์ ดีใจที่ยังรออยู่ กอดดดดดดดดด จุ๊บๆๆๆๆๆๆ

อันดับแรกที่ต้องทำคือ กรีดร้อง ทามมายชั้นเพิ่งเหฌนเรื่องนี้ของพี่นุ่นล่ะเนี่ยยยยยย
น่าร้ากกกกกกอีกแล้วอ่าพี่นุ่น ชอบจัง
พระเอกหน้าด้านดี 555+ ถึงจะด้านเพราะรู้ว่านายอิสของเราฟังไม่รู้เรื่องก็เหอะ
ถ้าคิดกลบว่าตวเองไปเรียนต่างประเทศทั้งที่ไม่ได้ภาษาแล้วเจอเพื่อนแบบนี้คงอบอุ่นไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย
 :กอด1:&จิ้ม+ ให้พี่สาวที่โคตรเก่งของเรา ตัวเองมาเป็นครูสอนภาษาเค้าหน่อยสิ
ด้านจริงอะไรจริงเอดู คริคริ ส่วนเรื่องภาษา ให้พี่นุ่นสอนไม่ดีมั้งคะน้องฝน แบบว่ายิ่งกว่างูเล็กๆปลาเล็กๆอีกค่ะ ^o^



‘Eu já gostou de você.’ ด้วยคน

 :o8: เขินจะตายแล้วเจเจ้...

ยิ่งพอได้ฟังเพลง เอร้ยยยย ชาตินี้อยากให้มีคนร้องให้ฟังบ้าง
( :beat: ตื่น ๆ )

 :-[ ชอบบบบบ ที่สุด... :กอด1:
ครั้งหนึ่งในชีวิต มีคนเทำอะไรแบบนี้เพื่อเรา........สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่เราก็ลืมมันไม่ได้จริงๆ ซึ้งงงงงงงงงงเน้อออออออออ


หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: eastwind ที่ 04-08-2010 21:04:57
น่ารักค่ะ อืมม์ดูท่านายเอกคงเป็นพวกความรู้สึกช้าเนอะ อีกฝ่ายเขาจีบโจ่งแจ้งซะขนาดนั้น แต่คงเพราะภาษาเป็นอุปสรรคด้วยแหละ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 04-08-2010 21:49:59
เรื่องเดียวกัน บทที่หนึ่งในความทรงจำ “Eu já gostou de você.” 
รึเปล่าคะ
ชอบมากๆเลยล่ะ
นึกว่าจะดอง มาต่อแล้วดีใจมากเลย
เอดูน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 04-08-2010 21:57:01
^
^
^
ฮึบๆๆ เรื่องเดิมค่ะ “Eu já gostou de você.”  เป็นชื่อตอน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอโทษที่ให้รอนาน
พอดีนุ่นเพิ่งเขียนเรื่องยาวอีกเรื่องจบไปเมื่อสองวันก่อนค่ะ (เรื่องที่เพิ่งถูกย้ายไปห้องนิยายจบแล้วน่ะค่ะ)
เลยกลับมาต่อเรื่องนี้ ดีใจที่ชอบนะคะ แล้วจะมาต่อเรื่อยๆค่ะ คราวนี้ไม่ต้องรอนานแน่นอน ^o^


น่ารักค่ะ อืมม์ดูท่านายเอกคงเป็นพวกความรู้สึกช้าเนอะ อีกฝ่ายเขาจีบโจ่งแจ้งซะขนาดนั้น แต่คงเพราะภาษาเป็นอุปสรรคด้วยแหละ
ค่ะอิสมันความรู้สึกช้าด้วย ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองด้วย ส่วนภาษา จะว่าเป็นอุปสรรคก็ได้ค่ะ แหะๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 04-08-2010 22:01:07
ในที่สุดดดดดดดดดดดด o18

เขินเป็นเพื่อนพี่นุ่นนะคะ อิๆ  :-[

เล่นเพลงให้ อ๊ายยยย น่ารักพอๆกับพี่ฟ้าแต่งกลอนให้ตัวป่วนเลย จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 04-08-2010 22:22:04
เขินด้วยยยยยย อ๊ายยยยยยยยยยยยย   :o8:

อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Classical ที่ 04-08-2010 22:31:58

กิ๊วๆ เนื้อเพลงด่วนเลย้ป้านุ่น  อยากรู้ๆ  :m15:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 05-08-2010 02:17:55
เพิ่งเห็นเรื่องนี้ค่ะพี่นุ่น (อีกแล้ว...)

ขอปั้มไว้ก่อนนะ เด๋ววันหลังไอจะมาอ่าน~ ^^

ถามอย่างสิคะ..พี่นุ่นเป็นภาษาโปรตุเกสรึป่าวอ่ะคะ?
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 05-08-2010 16:08:04
เห็นแล้วตามมาอ่าน และอ่านทั้นแล้วด้วยค่ะ ไม่ต้องแปะ เหมือนคนข้างบน 555 (เค้าล้อเล่นนะไอ)


Eu já gostou de você.  = ฉันชอบคุณ รึเปล่าค่ะน้องนุ่น

ถ้าใช่ พี่ก็ชอบเรื่องนี้ซะแล้วสิ หุๆๆ หวานๆ แต่จะมีเลือดท่วมจอไหมอะ

คนเขียนยิ่งชอบบอกอยู่ว่าเขียนฉากแบบนี้ไม่ค่อยจะเก่งซะด้วย

รออ่านตอนต่อไปนะตะเอง 555

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 05-08-2010 16:42:56
เอดูน่ารัก...
อยากรู้คำแปลแล้วนุ่น...
ถ้าเข้าใจคงอิจฉาอิสน่าดูเลย...(ขนาดยังไม่รู้นะ)
บวกนุ่นส่งถึงเอดู
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 05-08-2010 22:17:26
เย่ มาต่อแล้ว  :mc4:

อยากรู้คำแปลอะ จะได้เขิน  :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 05-08-2010 23:34:59
 :mc4: ตามมาอุดหนุนแล้วนะ 5555 เพิ่งเห็นว่ามีเรื่องนี้

Ps.เก่งทั้งภาษไทย และ ต่างชาติเลยนะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: しろやま としんや ที่ 06-08-2010 01:39:28
เข้ามาให้กำลังใจนุ่นที่รัก :กอด1:

เป็นกำลังใจให้เธอเสมอ  :L1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 06-08-2010 02:04:31
แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พึ่งจะเห็นค่ะ ตามมาอ่านช้าไปนิดนึง

พอได้อ่านเรื่องนี้ อืมๆ เริ่ม อินกับตัวละคร อิส ขึ้นมาสักหน่อย เพราะว่าเราก็ไม่ได้รู้เรื่องภาษาเค้าเลยสักนิด
แถม เอดูยังคะยั้นคะยอให้อยากได้ภาษาบ้านเกิดตัวเองเสียขนาดนั้น... ไม่ยอมคุยภาษาอังกฤษกะเค้าเลยสักนิด เฮ้ยยย มันเหนื่อยนะแกร๊... ลองมาพูดภาษาใบ้กับคนที่อยากจะสื่อสารกันบ้างไม๊ ชิส์.. 
ถ้าเป็นอิสในตอนนั้นก็คงจะงง เพลงอะไร ทำไมถึงมองเราทั้งห้องขนาดนั้น.... อย่างนี้ต้องสืบความหมายซะแล้ว...

เอาเป็นว่ารอตอนต่อไปตอนหน้าแล้วกันเน๊อะ แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:"Ana Julia" [4] (4/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 06-08-2010 12:40:07
ฮึบๆๆๆ มาแล้วค่ะ เอาตอนต่อไปมาส่งแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังใจค่ะ :กอด1: ดีใจๆ มีคนมาอ่าน โฮะๆๆๆๆ

เอาล่ะ...ไม่พูดมากค่ะ เชิญมาอ่านกันเลยดีกว่า
(ใครอยากรู้เรื่องความหมายของเพลงจากเอดู รอตอนหน้านะคะ รู้พร้อมๆอิสมันเนอะ)
...............................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: maçã verde

“maçã verde......แอ็ปเปิ้ลเขียวอีกแล้วเหรอ?”

ผมหันไปมองหน้าไอ้คนถามที่ยื่นเข้ามาใกล้เหมือนกับจะขอชิมแอ็ปเปิ้ลในมือ
แล้วก็บุ้ยปากไปทางแอ็ปเปิ้ลเขียวที่ผมหยิบมาจากบ้านทุกวันมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว

“อาฮะ มาซา เวอห์ดิ ทำไม จะกินด้วยเหรอ?”

ระหว่างคาบเรียนที่สองและคาบเรียนที่สามเราจะมีเวลาพักประมาณสิบนาที ตอนนั้นแหละที่จะเป็นเวลาให้เราได้จับกลุ่มคุยกัน
ไม่ก็เป็นเวลาให้คนที่มักตื่นสาย.....เช่นผมเป็นต้น เติมอาหารใส่กระเพาะที่ว่างเปล่า


ที่บ้าน แม่จะเป็นคนตื่นก่อน แล้วลุกมาเตรียมอาหารไว้ให้สมาชิกในครอบครัวทุกคน อาหารง่ายๆอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเย็นของวันก่อน และอุปกรณ์ที่คุณจะโปะเข้าไปกับขนมปังได้ ทั้งแยม เนย เนยแข็ง หรือแม้แต่ซาลามี่ แม่ก็จะเอามากองๆไว้กลางโต๊ะอาหารข้างๆตะกร้าใส่ผลไม้ที่จะมีผลไม้ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแอ๊ปเปิ้ลหลากสี ส้มเปลือกหนา เสาวรส และพวกถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ

สิ่งที่แม่จะต้องลงมือทำจริงๆมีแค่อย่างเดียวคือการชงกาแฟ กาแฟดำใส่น้ำตาลจนหวานจัดที่มาจากไร่ของเราเอง แม้ว่านี่จะยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลกาแฟก็ตาม

ครอบครัวที่นี่ของผมมีพ่อเป็นคนเดียวที่หารายได้ โดยทำงานประจำเป็นอัยการและงานพิเศษคือเป็นชาวไร่ ส่วนแม่ก็ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว ส่วนงานบ้านจริงๆน่ะจ้างให้แม่บ้านรับจ้างมาทำเฉพาะตอนกลางวัน ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์

สุดสัปดาห์เราจะออกไปค้างที่บ้านในไร่กันตั้งแต่คืนวันศุกร์ แล้วกลับเข้าเมืองบ่ายๆวันอาทิตย์เพื่อเตรียมตัวไปโบสถ์ โบสถ์ประจำเมืองที่ทั้งใหญ่โตและสวยงาม ภายนอกทาด้วยสีเหลืองไข่ไก่อ่อนๆ ประดับด้วยกระจกสี ยอดหลังคาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนฟ้าเป็นกระเบื้องเก่าสีน้ำตาลเข็ม ภายในจุคนได้มากกว่าสามร้อยแบบไม่แออัด ให้ความรู้สึกที่ทั้งอบอุ่นและสงบด้วยไฟสีนวลตาจากโคมระย้าขนาดใหญ่

ฮ่าๆๆๆ อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ผมไม่ได้กำลังจะพาทุกท่านทัศนศึกษาด้านศาสนาแต่อย่างใด ประเด็นที่ผมจะบอกน่ะ มันอยู่ที่การที่ผมติดไปกับปะไป๊...ต่อไปนี้ผมจะเรียกพ่อว่าปะไป๊ และเรียกแม่ว่ามะเม้ยนะครับ

อืม....ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การไปโบสถ์ แต่การติดไปไร่กับปะไป๊ด้วยทุกสุดสัปดาห์ทำให้สองเดือนแรกผมไม่เคยได้ไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนที่โรงเรียน ทั้งเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนจากนิวซีแลนด์ที่ขยันมาชวนกันเหลือเกินเลยสักครั้ง


“maçã verde......แอ็ปเปิ้ลเขียวอีกแล้วเหรอ?”

“อาฮะ มาซา เวอห์ดิ ทำไม จะกินด้วยเหรอ?”

ผมหันไปหาแล้วส่งคำถามกลับไปให้ไอ้คนหน้าหนาที่ยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้จนรู้สึกได้ถึงละไออุ่นๆและกลิ่นสะอาดๆสดชื่นของมิ้นต์

“gosto?”

“sim” ซิง...ใช่สิ ถามมาได้ว่าชอบมั้ย ถ้าไม่ชอบคงไม่กินได้แทบทุกวันอย่างนี้หรอก ถามอะไรไม่คิด

ผมเริ่มกัดแอ๊ปเปิ้ลในมือหลังจากเช็ดๆถูๆกับกางเกงยีนส์เน่าๆของตัวเองพอเป็นพิธี มีไอ้คนข้างๆนั่งอมยิ้มแก้มพองส่ายหัวไปมาเหมือนระอาเต็มทน
นั่งกินไปได้สักพักฟลาวิอา เพื่อนผู้หญิงที่ผมเห็นว่าน่ารักตั้งแต่วันแรกก็เดินเข้ามาหา

“อิส เสาร์นี้ไปปาร์ตี้กันนะ”
อา....สาวสวยมาชวน อยากไปก็อยากไป แต่ผมก็ชอบเวลาได้ไปบ้านไร่
ชอบอิตรงตื่นแต่มืดมาช่วยปะไป๊รีดนมวัวนี่แหละ สนุกจะตาย พวกลูกวัวก็น่ารักพอเปิดคอกให้ก็วิ่งตามออกมาเป็นพรวน

“ตกลง”
ไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ ขณะกำลังสองจิตสองใจ ไอ้ติวเตอร์ประจำตัวมันก็ตอบแทนไปแล้ว
พอผมหันไปมองหน้ามันจะเอาเรื่อง ไอ้เอดูมันก็ทำเป็นไม่สนใจ แถมยังเอื้อมมือมาปิดปากผมที่กำลังจะอ้าออกส่งเสียงประท้วงอีก

“เดี๋ยวจะเป็นคนไปรับไปส่งอิสเอง”
นั่นดูมันนะ ยังไม่ได้ขอเลยมันอาสาเรียบร้อย ผมเห็นฟลายิ้มขำกับท่าทางของเราสองคนก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเรียน

แล้วจนฟลาเดินออกไปแล้วไอ้เอดูบ้ามันยังไม่ยอมเลิกแกล้งผมเลย จนผมต้องวางแอ๊ปเปิ้ลอีกเกือบครึ่งลูกลงบนหน้าปกสมุดจดบนโต๊ะ แล้วออกแรงทั้งสองมือง้างมือใหญ่ๆของมันออกจากปาก ก่อนจะหันไปชี้หน้าขู่อาฆาตมันอีกรอบ มันยังหน้าด้านหน้าทนไม่รู้สำนึก หัวเราะร่วนออกมาอีก

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นไอ้บ้าเอดูยังทำหน้าตากวนตีนใส่ผม ทำเป็นยกมือที่ปิดปากผมอยู่เมื่อกี้มาแตะๆที่จมูกตัวเองซ้ำๆทำหน้าเหมือนเพิ่งจะบรรลุสัจจธรรมอะไรสักอย่าง ตอนแรกผมก็งงว่ามันทำบ้าอะไรของมัน จนมันพูดออกมา

“smell good”

“ฮะ!!? อะ......bobo”
ก็ดูไอ้บ้านี่สิ ทีพอจะแกล้งขึ้นมากลับพูดภาษาอังกฤษออกมาได้หน้าตาเฉย
แถมพูดเสร็จก็เดินหนีไปนั่งที่ เพราะอาจารย์วิชาต่อไปเดินเข้ามาพอทีได้ถูกคิวเหลือเกินด้วยนะ
ทิ้งให้ผมได้แต่อุบอิบด่าตามหลังมันไปเบาๆอยู่คนเดียว....ไอ้บ้า ไอ้หน้าด้าน ไอ้สติวปิ้ดโบโบะ


สรุปเย็นนั้นผมเลยต้องไปขออนุญาตปะไป๊ว่าสุดสัปดาห์นี้ไม่ไปไร่ด้วย เพราะจะไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เป็นการขออนุญาตที่ใช้เวลาอธิบายนานมากเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง โปรตุกีสผสมภาษาใบ้ให้มั่วไปหมด ฮ่าๆๆๆๆ

พอเข้าใจกันได้ ปะไป๊ก็บอกแค่ว่าเจ้าปันเตร่าลูกวัวที่ผมชอบไปเล่นด้วยมันคงจะคิดถึงน่าดู ส่วนมะเม้ยที่นั่งอยู่ด้วยก็เริ่มแสดงความเป็นห่วงว่าจะไปยังไง เดี๋ยวจะหลงทางมั้ยไปตามเรื่อง จนผมบอกว่าเพื่อนจะมารับมาส่ง มะเม้ยก็ยังอุตส่าห์เป็นห่วงอีกว่าเสาร์-อาทิตย์ผมต้องอยู่บ้านนี้คนเดียว อาหารการกินจะทำยังไง

ผมต้องเดินเข้าไปกอดเอวไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรผมอยู่ได้ เดี๋ยวไอ้คนที่มันเจ้ากี้เจ้าการจะพาผมไปมันก็ต้องรับผิดชอบ มันไม่ปล่อยให้ผมอดหรอก มะเม้ยก็ลูบหัวลูบหลังแล้วยิ้มออกมาได้

คนที่มีปฏิกิริยาตลกที่สุดคือวิเวียนน้องสาวของผม เมื่อบอกว่าจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน วิเวียนก็กวาดตามองผมทั่วตัว แล้วถามว่า เตรียมพร้อมแล้วเหรอ ผมก็งงสิ....อะไรวะ แค่ไปปาร์ตี้นี่ต้องเตรียมตัวด้วยเหรอ

พอเห็นผมทำหน้างงๆไม่ตอบอะไร ไอ้น้องสาวอายุสิบหกที่ตัวโตกว่าผมทั้งส่วนสูงและเส้นรอบวงเลยเข้ามาตบไหล่ผมป้าบๆก่อนจะอวยพรว่าขอให้โชคดี
กรรมเวร นี่ผมจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนนะ ไม่ใช่ไปรบ ฮ่าๆๆๆๆๆ


สิบโมงวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงออดที่แผดดังรบกวนการนอน ก่อนจะเดินงัวเงียออกไปส่องตาแมวที่ประตูใหญ่หน้าบ้าน ทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอนเสื้อแขนสั้นกางเกงเหนือเข่าลายลูกหมีนอนหลับที่หอบหิ้วไปจากบ้านที่กรุงเทพด้วย ก็เห็นไอ้คนมาปลุกแต่....เอ่อ ก่อนสาย มันยืนพยายามสอดสายตาใต้กรอบแว่นมองลอดเข้ามาอยู่เหมือนกัน
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไอ้บ้า แกคงมองเข้ามาได้หรอกเนอะ สติวปิโด้ โบโบะ จริงๆเลยไอ้เอดู

ผมปลดล๊อคเปิดประตูแล้วเบี่ยงตัวออกด้านข้างให้มันเข้ามาในบ้านพร้อมจักรยานสีแดง.....อ้าว ไม่ใช่แฮะ วันนี้เอดูมันมากับจักรยานสีดำ

“จักรยานแม่เหรอ?”

“หึๆๆ ของเพื่อน เอาไปแลกมาใช้วันนี้โดยเฉพาะ”
มันพูดช้าๆชัดๆให้ผมเข้าใจได้ง่ายที่สุด ผมก็ไม่ว่าอะไร เดินนำมันเข้าไปในบ้าน ปากก็ด่ามันไปตลอดทาง
เอ่อ....ผมหมายถึงด่าเป็นภาษาไทยนะ ก็คนมันยังไม่ตื่นดีเลย นัดกันเที่ยงมันดันโผล่มาได้ตั้งแต่สิบโมง บ้าไปแล้ว


เอดูมันพิงจักรยานไว้ตรงไหนผมก็ไม่สนใจหรอก เดินเข้าไปถึงห้องกลางได้ก็ชี้ๆให้มันนั่ง ส่วนตัวเองก็เดินต่อเข้าไปในห้องส่วนตัวที่แต่เดิมเป็นห้องนอนแขก มีเตียงเดี่ยวสองเตียงตั้งคู่กันอยู่ ที่ตอนนี้เตียงนึงผมยึดเป็นที่นอน ส่วนอีกเตียงผมก็ยึดเป็นที่วางของจนเกือบเต็ม

เข้าไปถึงได้ผมก็สอดตัวเข้าไปในโปงผ้าห่มอีกครั้งแล้วก็หลับไปเลย รู้สึกตัวอีกทีก็เพราะท้องมันร้อง

แหะๆ ก็นะ นอนยาวมาตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นเพราะหิวคงไม่แปลก ไอ้ที่แปลกคือพอลืมตาขึ้นมาดันเจอกับตาอีกคู่ที่เป็นประกายวิบๆอยู่ในระยะประชิดนี่สิ

“เฮ้ย!!!”
หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้งเพราะความตกใจ แถมปฏิกิริยาของผมยังฉับไวด้วยการถีบไอ้ตัวบุกรุกที่นอนคนอื่นด้วยการถีบออกไปสุดแรง
สมน้ำหน้าจุกเลยสิไอ้หน้าด้าน....ด้านจริงๆไม่ขออนุญาตแต่มาแย่งที่นอนคนอื่นเขาเฉยเลย เล่นทีเผลอนี่หว่า

“É doi”    
ไอ้บ้ามันเงยหน้ามาสบตาผมจากพื้นตรงกลางระหว่างเตียงสองเตียง ส่งสายตาหมาเจ็บหวังจะอ้อน หึ....อย่าได้คิดเชียวว่าจะเห็นใจ

“Qué?”

“Doído” เอ่อ.....ผมแกล้งมันไปงั้นเองแหละครับ รู้หรอกว่ามันเจ็บ ฮ่าๆๆๆๆ

“โด๊ยอิโดะ pain?”
ผมยังไม่ยอมลุกไปช่วยดึงมือมันที่ยื่นขึ้นมาให้ช่วยหรอกครับ ยังนั่งคุกเข่าอยู่ในโปงผ้าห่ม
ขอแกล้งมันหน่อยเหอะ หมั่นไส้นัก กะแค่ถีบนิดหน่อยทำเป็นลุกเองไม่ไหว

“อิส ใจร้าย....ถีบมาได้”
โถ......ส่งเสียงหงุงหงิงเชียว มันไม่เข้ากับผู้ชายตัวโตๆอย่างแกเลยสักนิดนะเอดู

แต่คงเพราะความไม่เข้ากันของขนาดตัวกับสุ้มเสียงที่มันทำนั่นแหละ ทำให้ผมหัวเราะออกมาจนได้
ก็ผมไม่ได้โกรธนี่นา เพื่อนกัน แย่งที่นอนนิดหน่อยจะเป็นไรไป ที่ถีบมันจนตกเตียงก็เพราะตกใจ....ก็แค่นั้นเอง

ผมหัวเราะใส่หน้ามันก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วออกแรงดึงมือมันขึ้นมาจากพื้น แล้วก็ทิ้งให้มันนั่งลงข้างเตียงนั่นแหละ แต่พอกำลังหยิบข้าวของเตรียมจะเดินไปอาบน้ำก็นึกขึ้นได้เลยหันมาถามมันเสียหน่อย เดี๋ยวมันจะว่าไม่ใส่ใจ

“áqua?”
เอาน้ำมั้ย? มันก็ตอบโดยการส่ายหัวแล้วก็ส่งยิ้มมาให้ ผมเลยยักไหล่นิดนึงก่อนจะเดินไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ


กลับเข้ามาในห้องอีกทีด้วยร่างกายที่สะอาดสดชื่นในชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นแค่เข่า ก็พบว่าเอดูมันกำลังสนใจหนังสือเรียนที่ผมหอบหิ้วมาจากกรุงเทพด้วย กะเอาไว้อ่านเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย...

แต่ก็ไม่ค่อยได้อ่านหรอกครับ อ่านแค่เดือนแรกนั่นแหละ ตอนที่ยังคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง เลยไม่มีอะไรทำ
ไม่นอนก็อ่านหนังสือ เพราะปกติผมไม่ค่อยชอบดูโทรทัศน์อยู่แล้ว
อ้อ....เว้นแต่เย็นวันอาทิตย์ก่อนไปโบสถ์นะครับ ผมจะนั่งดูบอลลีกกับปะไป๊สองคน ฟังไม่ออกก็ดูเข้าใจ ฮ่าๆๆๆๆ

พอเอดูมันเห็นผมเดินกลับเข้ามาในห้องมันก็ทำหน้าเจื่อนๆมองผมสลับกับหนังสือในมือเหมือนกับกลัวว่าผมจะโกรธที่มันมายุ่งกับของของผมงั้นแหละ ผมเลยยิ้มให้มัน ให้มันรู้ว่าผมไม่ว่าอะไรหรอก ก็ถึงไอ้เล่มที่มันหยิบดูอยู่ไม่ใช่รวมตัวอย่างข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีก่อนๆ แต่เป็นเฟรนด์ชิพที่เพื่อนๆทำให้ก่อนผมจะมาที่นี่ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีผลอะไรเลย ในเมื่อยังไงเอดูมันก็อ่านภาษาไทยไม่ออกอยู่ดี


“สิบเอ็ดโมงจะครึ่งแล้ว เก็บของรึยังอิส?”

“หืม? ต้องเก็บอะไรอ้ะ? เก็บเตียงอะเหรอ? ก็ถ้านายไม่ลุก เราจะเก็บได้ยังไง”

“ไม่ใช่ เตรียมของไปปาร์ตี้ไง”

“ทำไมต้องเตรียมอะไร แค่เอาเงินไปแชร์คนละสิบเฮอัยส์ก็พอไม่ใช่เหรอ?”
หน่วยเงินของที่นี่คือหน่วย real ออกเสียงว่า เฮอัล ครับ แต่เมื่อเป็นพหูพจน์ปุ๊บ ก็จะเป็น reais สิบเฮอัยส์ก็ประมาณสองร้อยบาท

“เฮ้อ......ปาร์ตี้สระว่ายน้ำนะอิส ต้องเอากางเกงว่ายน้ำไปด้วย ส่วนพวกผ้าเช็ดตัว อิสจะใช้ของผมก็ได้”

เอ่อ....ปาร์ตี้สระว่ายน้ำงั้นเหรอ?!?

ระหว่างที่ผมยังยืนเอ๋ออยู่หน้าประตูห้อง เอดูมันก็จัดการเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แหวกๆหาของที่ต้องการ...พอไม่เห็นก็เปิดลิ้นชักด้านล่างไล่หา แล้วก็หยิบกางเกงขาสั้นแบบที่ใส่เวลาลงทะเลออกมากางดู เสร็จแล้วก็พับเรียบร้อยยัดใส่เป้ของตัวเองไปแล้ว
...................................
...................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..

ปล. ไอจัง ภาษาโปรตุกีส พี่นุ่นพอรู้แบบงูน้อยๆปลาน้อยๆค่ะ แบบว่าพอฟังออก แต่มันนานแล้วเลยโต้ตอบไปคนถามอาจไม่เข้าใจได้ ส่วนอ่านเขียนนี่ เป็นทักษะที่ใช้จริงไม่ได้ค่ะ แหะๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: marça verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 06-08-2010 12:44:06
 :z13: :z13:

เย้ยยยย รู้งี้อ่านตอนต่อไปเลยดีกว่า..(ได้คืบจะเอาศอก :serius2:)
อยากไปด้วยอ่ะปาร์ตี้สระว่ายน้ำ  :o12:

“smell good” จริง ๆ กินแอบเปิ้ลเขียวบ้างดีกว่าเรา (http://i620.photobucket.com/albums/tt285/yyza/Tzuki/4c18a2bc5ab21.gif)

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-08-2010 13:08:32
ปาร์ตี้สระว่ายน้ำเหรอ  โฮะ โฮะ โฮะ  ท่าจะสนุก อิสจะเปลืองตัวมั๊ยหนอ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 06-08-2010 13:13:32
อัพทันใจมากค่ะพี่นุ่น

ยังยืนยันว่าชอบเรื่องนี้ไม่ต่างกับตัวป่วนเลยค่ะ น่าร้ากกกกกกก

ว่าแต่กะๆดูเรื่องนี้จะยาวสั้นกว่าตัวป่วนเท่าใดฤาคะ?
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 06-08-2010 13:18:27
^
^
^
สั้นกว่ามากค่ะ ระยะเวลาแค่สิบเอ็ดเดือนเองนิกระต่ายน้อย


คุณiforgive กร้ากกกกกกกกกกกส์ เรื่องเปลืองตัว ไว้เรามาดูกันตอนหน้านะคะ

ดาด้าเอ้ย ...อย่าใจร้อน ค่อยเป็นค่อยไป



ปล. ลืมถามเลยว่าคิดว่าในตอนนี้มีอะไรที่ไม่จริง โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ดาด้าทายถูกด้วยค่ะ แอบบอก)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 06-08-2010 13:32:31
ไปปาร์ตี้แรก ก็โดนซะแล้ว อิส  . . .
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 06-08-2010 13:45:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 06-08-2010 14:03:41
กรี๊ดดดดดดดดดดด....

ปาร์ตี้ สระว่ายน้ำ... :o8: แค่นี้ก็จิ้นไปถึงบราซิลแล้วค่ะคุณนุ่น ฮ่าๆๆๆๆ

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 06-08-2010 18:11:05
 :oni1:
วิ่งตามจักรยานเอดู
ไปแอบส่องปาตี้สระว่ายน้ำ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 06-08-2010 18:48:02
แต่พี่วิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าเอา2พีช (แว่นดำกับหมวกปีกกว้าง555)มาใส่แล้วตามไปร่วมปาร์ตี้ด้วยคน555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 06-08-2010 19:22:56
เอดูท่าทางจะเนียนไม่ใช่น้อย เหอะๆ อิสจะเปลืองตัวมะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 06-08-2010 20:16:42
ปาร์ตี้นี้ท่าจะสนุกน่าดูเลย...
ไม่รู้เอดูจะทำอะไรให้อิสเซอร์ไพร์สอีก :confuse:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 06-08-2010 20:32:30
หนุ่มแว่นเอดูน่ารัก~
มาก!!!
อิสเป็นพวกความรู้สึกช้า มึนๆงงๆสินะ
ปล. ดู + อ่าน Ana Julia มาแล้วค่ะ เป็นเพลงที่น่ารักมากๆเลย ร้องเพลงจีบกันกลางห้องได้นะเอดู
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 06-08-2010 20:36:34
 :z1: เอิ๊ก ๆ อิสน้อยของเราจะเสียเอกราชหรือเปล่าเนี่ย

อย่ายอมนะ เดี๋ยวต่างชาติจะหาว่าหนุ่ม(สวย)ไทยใจง่าย....ฮ่า ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 07-08-2010 03:31:31
ประมาณว่าหาอ่านทุกเรื่องที่เขียน...

ชอบมากเลยเจ้าค่ะ ขอ กรี๊ดดดดดดดดดดด หน่อยนะคะ :-[

น่ารักมากๆเลยค่ะ แล้วอย่างนี้ ไม่อยากจะจินตนาการตอน "ปาร์ตี้สระว่ายน้ำ" เลยค่ะ นายเอดูคงหาทางแทะโลมสุุดยอด

ปล. เพลงเพราะและสดใสมากเลยค่ะ :impress2:

มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 07-08-2010 09:14:04
น่าฮักแบบเน้ ได้คืบไปอีกหลายคืบแน่เลย
^__^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 09-08-2010 21:04:31
แอบมาบอกว่าตอนนี้ตอนต่อไปมาสามหน้านิดๆแล้ว ยังไงถ้าคืนนี้ไม่ทันพรุ่งนี้ได้อ่านแน่นอนค่ะ ^o^
ขอบคุณที่ชอบเอ๊ดูมันนะคะ ดีใจๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ตอบเมนท์เล็กน้อยพอเป็นกระษัย หุหุ

น่าฮักแบบเน้ ได้คืบไปอีกหลายคืบแน่เลย
^__^

คืบๆๆ เธอคืบคลานเข้าม้าาาาาาาาาาา ม้าดจายทีละเส้นนนนน พอส่ายตามองเห็นก็มากมายยยยย ดิ้นไม่หวายยยยยยย (เอ่อ เพลงแมงมุม แสงระวี บ่งอายุอย่างแรง)

ประมาณว่าหาอ่านทุกเรื่องที่เขียน...

ชอบมากเลยเจ้าค่ะ ขอ กรี๊ดดดดดดดดดดด หน่อยนะคะ :-[

น่ารักมากๆเลยค่ะ แล้วอย่างนี้ ไม่อยากจะจินตนาการตอน "ปาร์ตี้สระว่ายน้ำ" เลยค่ะ นายเอดูคงหาทางแทะโลมสุุดยอด

ปล. เพลงเพราะและสดใสมากเลยค่ะ :impress2:

มาต่อเร็วๆนะคะ
ขอบคุณที่ตามมาอุดหนุนนะคะ จินตนาการรออีกเดี๋ยวค่ะ ไม่เกินพรุ่งนี้ได้อ่านแน่นอน ^o^

:z1: เอิ๊ก ๆ อิสน้อยของเราจะเสียเอกราชหรือเปล่าเนี่ย

อย่ายอมนะ เดี๋ยวต่างชาติจะหาว่าหนุ่ม(สวย)ไทยใจง่าย....ฮ่า ๆ
เอร๊ยยยยยยยยยยย ถึงขั้นเสียเอกราชเรยเร้อ? (ว่าแต่เสียเอกราชนี่คือแค่ไหนคะ? กร้ากกกกกกกกกส์)

หนุ่มแว่นเอดูน่ารัก~
มาก!!!
อิสเป็นพวกความรู้สึกช้า มึนๆงงๆสินะ
ปล. ดู + อ่าน Ana Julia มาแล้วค่ะ เป็นเพลงที่น่ารักมากๆเลย ร้องเพลงจีบกันกลางห้องได้นะเอดู
ใช่เลยค่ะเอ๊ดูน่ารักมาก ส่วนอิสมันก็ความรู้สึกช้า แถมไม่กล้ากลัวคิดไปเองอีก

ปาร์ตี้นี้ท่าจะสนุกน่าดูเลย...
ไม่รู้เอดูจะทำอะไรให้อิสเซอร์ไพร์สอีก :confuse:
คริคริ สนุกกระจายยยยยยยยยยยย

เอดูท่าทางจะเนียนไม่ใช่น้อย เหอะๆ อิสจะเปลืองตัวมะเนี่ย
ไม่บอกค่ะ รออ่านเอาเอง >/////////<

แต่พี่วิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าเอา2พีช (แว่นดำกับหมวกปีกกว้าง555)มาใส่แล้วตามไปร่วมปาร์ตี้ด้วยคน555
พี่พีนัท เอาทูพีซแค่สองชิ้นนั้นจริงเหรอคะ? โอวววววววววววววววววววววว

:oni1:
วิ่งตามจักรยานเอดู
ไปแอบส่องปาตี้สระว่ายน้ำ
งั้นก็สู้พี่พีนัทไม่ได้สิคะพี่มาร์ค??? คริคริ

กรี๊ดดดดดดดดดดด....

ปาร์ตี้ สระว่ายน้ำ... :o8: แค่นี้ก็จิ้นไปถึงบราซิลแล้วค่ะคุณนุ่น ฮ่าๆๆๆๆ


จิ้นข้ามมหาสมุทรกันเลยทีเดียว กอดค่ะคุณไนท์

:pig4:

คนเขียนก็ขอบคุณมากที่เข้ามาอ่านนะคะ  กอดดดดดดดดดค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: maçã verde [5] (6/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 10-08-2010 15:31:33
มาต่อแล้วนะคะ ไม่พูดใดๆ เขินมาก กร้ากกกกกกกกกกกกกกส์
ไปอ่านกันเลยค่ะ  :o8: :-[

...................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: O sol do teu olhar


เอดูมันขี่จักรยานให้ผมซ้อนออกมาทางทิศใต้ของเมือง
เท่าที่ดูคงเกือบจะสุดขอบเมืองเลยละมั้ง


บ้านเรือนที่เห็นเริ่มตั้งอยู่ห่างกันมากขึ้น จนในที่สุดมองไปรอบตัวก็มีแต่ต้นไม้ ทุ่งหญ้า แล้วจากถนนคอนกรีต ตอนนี้จักรยานก็กำลังวิ่งไปบนถนนดินโรยกรวด อากาศแห้งและแดดแรงจนแสบผิว

ที่ที่เราจะไปปาร์ตี้กันคือบ้านไร่ของวิล วิลเลอซงเพื่อนอีกคนในคลาสนั่นแหละครับ เอดูมันบอกว่าเรียกว่าบ้านไร่ แต่ที่จริงก็ไม่ได้ปลูกอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก แค่เป็นบ้านอีกหลังของครอบครัววิลที่อยู่นอกตัวเมืองเท่านั้นเอง

ที่นั่นสะดวกกับการที่เราจะทำอะไรก็ได้เพราะไม่ได้ถูกใช้เป็นที่อยู่จริงๆ ครอบครัวของวิลเองก็จะออกไปดูแลบ้านเดือนละไม่กี่ครั้ง แล้วก็อนุญาตให้เพื่อนๆของลูกชายมาเล่นได้ตลอดเวลา แค่บอกล่วงหน้าเพราะจะได้ไม่ชนกับกลุ่มเพื่อนพี่ๆของวิล ที่ก็มักจะใช้ที่นี่เป็นที่พักผ่อนสังสรรค์เหมือนกัน


ใช้เวลากับแรงขาของไอ้ถึกเอดูประมาณครึ่งชั่วโมง เอดูมันก็เลี้ยวจักรยานเข้าไปในรั้วเหล็กเก่าคร่ำคร่าที่เปิดกว้างรอรับ มีกระบะจอดอยู่คันหนึ่งริมรั้ว เสียงโหวกเหวกเฮฮาและเพลงจากเครื่องเสียงดังลอดออกมาจากหลังซุ้มไม้ที่กำบังตาไม่ให้เห็นภายในบริเวณบ้านได้โดยง่าย

จอดจักรยานข้างๆจักรยานอีกสี่ห้าคันที่จอดอยู่ก่อนเรียบร้อย เอดูมันก็ปลดเป้ของมันที่ผมสะพายติดหลังอยู่ออกไปถือไว้เอง ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปด้านใน

หลังพุ่มไม้ที่เจ้าของบ้านคงจงใจปลูกเพื่อเป็นกำบังสายตาเป็นบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัด ตัวบ้านทาสีส้มอ่อนๆแบบโอลด์โรส หลังคาเป็นกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม มีปล่องไฟที่ถูกเถาวัลย์พาดพันจนไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีช่องระบายอากาศพอให้ใช้งานได้ รองเท้าทั้งผ้าใบและแตะคีบวางเกลื่อนกลาดไม่เป็นระเบียบ

ผมถอดรองเท้าแล้วเดินตามเอดูเลยเข้าไปจนถึงส่วนหลังบ้านที่เปิดโล่ง มีสระว่ายน้ำสี่เหลี่ยมผืนผ้าพร้อมสปริงบอร์ดยื่นออกมาที่ฝั่งไกลโน่น เพื่อนๆในห้องเรียนเกือบสิบคนและคนที่ไม่เคยเห็นหน้าอีกสองสามคนต่างก็อยู่ในสภาพพร้อมลงสระ

เอ่อ....ไงดีล่ะ ผมไม่ได้ตื่นตาตื่นใจกับไอ้ล่ำหรือไอ้เกือบจะล่ำทั้งหลาย หรือแม้แต่กระบนผิวของเพื่อนๆที่ผมไม่มีหรอกนะครับ แต่เพื่อนผู้หญิงที่เคยเห็นแต่ในเครื่องแบบเสื้อยืดขาวกับกางเกงยีนส์ทุกคนอยู่ในบิกินีส์

ทุกคนจริงๆนะครับ ไม่รู้ว่านัดกันมารึเปล่า แต่สามในหกคนอยู่ในบิกินี่ส์แบบสามเหลี่ยมสามชิ้นแล้วก็มีโบผูกเหนือสะโพกทั้งสองข้างสีดำ ส่วนอีกสามคนก็มีเจ้าสามเหลี่ยมสามชิ้นนั่นปกปิดร่างกายอยู่เหมือนกัน แค่ต่างคนต่างสีเท่านั้นเอง แล้วทุกคนก็กำลังทำสิ่งเดียวกันหมดนั่นคือนอนบนเก้าอี้พลาสติกอาบแดด แม่เจ้า.....อะไรจะขนาดนั้น อาบแดดตอนเที่ยงเนี่ยนะ

พอเห็นว่าผมสองคนมาถึงพวกเพื่อนๆก็ส่งเสียงทักทายกันใหญ่ นี่ผมกับเอดูมาถึงหลังเที่ยงแค่สิบนาทีเท่านั้น แต่ดูพวกมันจะล่วงหน้ากันไปไม่ใช่น้อยเลย ก็ไอ้ล่ำทั้งหลายมันเริ่มจะทั้งล่ำทั้งแดงแล้วนี่ครับ แถมในมือแต่ละคนก็ยกกระป๋องกันถ้วนหน้า แถมยังตะโกนโหวกเหวกแนะนำให้ผมรู้จักกับอีกสองสามคนนั่นด้วย พวกนั้นเห็นไอ้ตัวเล็กๆหัวดำๆอย่างผมก็ยกมือทักทายแล้วทำท่าจะเข้ามาทำความรู้จัก แต่....ก็ได้แค่ทำท่า

“อิส ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน” จู่ๆไอ้บ้าเอดูมันก็ลากผมกลับเข้าไปในตัวบ้าน หยิบกางเกงของผมที่มันพับยัดใส่เป้ตัวเองมายื่นส่งให้ แล้วก็ส่งตัวเองเข้ามาในห้องน้ำพร้อมๆกับผม เออ......งงกับมันจริงๆไม่รู้จะรีบร้อนอะไรนักหนา สงสัยมันจะหิวจัดนะครับ

เห็นมันเริ่มเปลื้องผ้าตัวเองทั้งท่อนบนท่อนล่าง ผมเลยจัดการตัวเองบ้าง ไม่อยากมองมันนานครับเดี๋ยวเป็นกุ้งยิง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

อีกอย่าง อิจฉามันครับ ไอ้บ้านี่มันล่ำสมกับความถึกจริงๆ ตอนที่แบ่งข้างเตะบอลกันที่โรงเรียนเวลามันอยู่ข้างถอดเสื้อก็พอจะรู้หรอกนะครับว่าหุ่นมันดี กล้ามมันสวย แต่ตอนนี้พอมาอยู่ในห้องน้ำแคบๆกันสองคนระยะประชิด แถมไม่มีลูกฟุตบอลมาช่วยดึงความสนใจ แหะๆผมว่าผมหันหลังให้มันน่าจะเวิร์คกว่า


“O que é isso?!?”
สะดุ้งเลยสิครับ ถอดเสร็จกำลังสอดขาเข้าไปในกางเกงที่จะใส่ลงน้ำยังไม่ทันจะดึงขึ้นมาเหนือสะโพกเลย จู่ๆก็มีมือดีมาวางแหมะลงตรงหน้าท้องแถมไม่วางธรรมดาด้วยสิ ไอ้มือดีมันวางแล้วมันลูบด้วย

“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย......ก็ไม่คิดว่าจะสีสวยทั้งตัวแบบนี้”

อ้าว ไอ้บ้า บ้าไปแล้ว คนนะเว้ย ไม่ใช่เอ็ม แอนด์ เอ็ม จะได้ข้างนอกสีหนึ่งข้างในสีหนึ่ง แต่....ผมด่ามันได้แค่ในใจครับ อารมณ์นี้คิดคำด่าไม่ออก แค่ถามออกไปเป็นภาษาบ้านมันได้ก็เก่งมากแล้ว

ไอ้บ้านี่ก็ลูบอยู่ได้ สนุกมือนักหรือไง ที่ไม่หลบไม่ใช่เต็มใจให้ลูบเล่นนะเว้ย ก็แค่.....ตัวมันแข็งไปแล้วต่างหาก ก็ขนาดมือที่กำลังดึงกางเกงขึ้นของผมยังชะงักค้างอยู่ท่าเดิม ขยับต่อไม่ได้เลยนี่นา ไอ้เรื่องจะให้กระโดดหนีมือมันก็อย่าได้หวังเลย

“Qué?”
นั่นไง ปล่อยเสียงหลุดออกไปแล้วอยากจะดึงกลับเข้ามาในปากใหม่ชะมัด ทำไมเสียงตัวเองมันถึงไม่คุ้นเลยวะ สั่นได้อีก สั่นซะจนแทบจะฟังไม่เป็นคำแล้ว

“ก็ผิวอิสไง สีสวยจัง เหมือนกับ นมสดใส่กาแฟเลย เนียนด้วย.....เหมือนโฆษณาการบินไทยเลยเนอะ smooth as silk”

อย่าได้แปลกใจไปครับว่าทำไมคนบ้านนี้เมืองนี้ถึงรู้จักการบินไทยนุ่มนวลดุจแพรไหมได้ ก็นอกจากมวยไทย สิ่งที่คนแถวนี้รู้จักเมืองไทยก็สายการบินนี่แหละ อยากได้อันดับหนึ่งในโลกเอง เลยดังเลย

“อะ....ไอ้บ้า เอามือออกไปได้แล้ว เมื่อกี้ชั้นเห็นแต่เบียร์กะกัวราน่า แกอยากกินนมสดใส่กาแฟรอมื้อเช้าที่บ้านแกโน่น” เฮ้อ.....กลับมาแล้วครับ เสียงผมกลับมาแล้ว คาดว่าอีกไม่นานเรี่ยวแรงก็จะกลับมาด้วย

“ฮ่าๆๆๆๆ เราพูดถึงสีผิวอิสต่างหาก ไม่ได้คอแห้งจริงๆสักหน่อย แต่.....ถ้าอิสอนุญาต....”

เฮ้ย!!!!! ไอ้บ้า ไอ้คนบ้ามันกินไหล่ผมไปแล้ว
ผมไม่ได้อนุญาตนะ อีกอย่าง มันเองก็ยังไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าจะขออะไร แต่พอมันพูดแค่นั้นแล้วก็จัดการกินไหล่ผมเลย

“เดี๋ยว หยุด Stop!! เอ๊ย..... Pára!!!”
สติกระเจิงสิครับ ผมเป็นคนนี่ ถูกเพื่อนตัวเองกินไหล่ไม่พอ ไอ้สัมผัสชื้นๆอุ่นๆที่ลากขึ้นมาจนถึงท้ายทอยมันทำให้ผมไร้สติจนห้ามมันออกไปทั้งภาษาไทยอังกฤษแล้วก็โปรตุกีสให้มั่วไปหมด

“อืม..... doce”
ไอ้บ้า โด๊เซ่....หวานเนี่ยนะ เหงื่อบ้านใครวะหวาน salgado ชัดๆ ไอ้คนบ้า บ้าแล้วยังต่อมรับรสไม่ดีอีก แล้วบอกให้หยุดออกไปตั้งสามภาษา ไอ้เอดูมันยังไม่เข้าใจอีก กินอยู่ได้


“โอ๊ยยย”


ผมรวบรวมพลังงานที่เหลืออยู่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วป้อนศอกให้มันกินไปเต็มแรงหนึ่งคำ ก่อนจะดีดตัวหนีไปซุกอยู่มุมห้องน้ำซึ่งแคบเกินไป......เฮ้อออออออ

ส่วนไอ้ตัวกินไหล่มันลงไปนั่งยองๆงอตัวอยู่กับพื้นห้องน้ำ ส่งเสียงครางหงิงๆ แล้วยังมีหน้ามาส่งสายตาขอความเห็นใจอีกนะ ฮึ่ย....ไม่ต้องเลย ไม่มีให้เว้ย
แล้วแทนที่มันจะมองหน้าผม มันกลับเลื่อนสายตาลงต่ำ อะ......ต่ำเกินไปจนผมรู้นั่นแหละว่ามันจับอยู่ที่ส่วนไหน เลยต้องรีบดึงกางเกงที่ยังคาๆอยู่แถวต้นขาขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อยทันที แล้วก็พูดอะไรไม่ออก มองหน้ามันอยู่อย่างนั้นแหละ ก็จะหนีออกนอกห้องน้ำก็ไม่ได้ ไอ้บ้าเอดูมันขวางอยู่นี่นา

แล้วคำแรกที่มันพูดหลังหายจุก อย่าได้คิดเชียวครับว่าจะเป็นคำขอโทษ

“ผมไม่ได้ทำสีจริงๆด้วยเนอะ สีดำสนิท เหมือนกับตรงหน้าท้องเลย”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่คาดว่าไม่พ้นคงตาเหลือกบวกกับอ้าปากค้างแน่นอน เพราะรู้สึกตัวอีกทีไอ้บ้าเอดูมันก็ลุกยืนแล้วขยับมาจนใกล้

ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะปล่อยหมัดออกไปป้อนให้มันอีกสักหมัดนอกจากศอกแหลมๆดีมั้ย เสียงเพลงที่ดังลอดเข้ามาก็เปลี่ยนเป็นเพลงเพลงเดียวที่ผมจำชื่อได้แม่น แถมยังเริ่มฮึมฮัมตามได้แล้วด้วย

“อิส.....เคยถามใช่มั้ยว่า  Ana Julia มีความหมายยังไง?”
ใกล้ไปแล้ว เข้ามาใกล้มันคุยกันลำบากไม่รู้หรือไงไอ้ตัวกินไหล่ มองไปก็เจอแต่แผงอกกับแนวไหปลาร้า แกจะให้ชั้นตอบโต้กับไหปลาร้าเรอะ

“อืม...อ๊อยยยยยย!!”
นั่นไง มันแหละผิด ดันขยับเข้ามาจนใกล้ ผมเลยถอยจนตัวติดกับกำแพงกระเบื้อง แล้วเป็นไงล่ะ พอพยักหน้าตอบคำถามมัน หัวก็โขกเข้ากับกำแพงแข็งๆน่ะสิ นี่ดีนะผมไม่ใช่คนหัวอ่อน ไม่งั้นแรงกระแทกขนาดนี้อาจมีแตก

“จุ๊ๆๆๆ ไม่ระวังเลยน้า...ไหนหันมาดูซิ”
หงะ......เพราะแกนั่นแหละ ไม่ต้องมาทำเป็นใจดีเลย แหะๆผมก็ได้แค่คิดแหละครับ ความจริงน่ะ พอมันบอกให้หันให้ดูตรงที่เจ็บดีดี ผมก็หมุนตัวให้มันดูทันทีซะอย่างนั้น

“เจ็บมั้ย?”
พอดีฟังออกแค่นี้ครับ เพราะต่อจากนั้นมันก็บ่นอะไรงึมงำอีกก็ไม่รู้ฟังไม่ออก ไม่มีอารมณ์จะงัดดิคขึ้นมาเปิดด้วยสิ

“อืม...เจ็บสิ”

“เฮ้อ......ออกไปข้างนอกกันนะ ส่วนเรื่องความหมายของเพลงน่ะ..”

“อยากรู้...แต่ไม่ต้องบอกตรงนี้หรอก ร้อน ออกไปข้างนอกก่อนก็ได้”

.........................................

เอดูมันจูงผมออกมาถึงด้านนอก จับผมที่ยังมึนๆอยู่นิดๆ จากการกระทำของมันนั่นแหละ ไม่ใช่เพราะหัวโขกกำแพงหรอก ให้นั่งลงในที่ร่ม ได้กลิ่นเนื้อย่างแบบบาบีคิวลอยมาเข้าจมูกจนน้ำย่อยในกระเพาะมันร้องเตือนออกมาให้ไอ้คนที่กำลังจะผละไปหยิบน้ำแข็งมาประคบได้ยิน

“นั่งรอนะ เดี๋ยวเอาน้ำแข็งมาประคบแล้วจะหาอะไรมาให้กิน”
แต่ผมไม่ต้องรอจนมันเดินไปเดินมาหรอก วิลมันก็จัดการมาส่งเสบียงให้ผมแล้ว เสียแต่ว่าเสบียงที่วิลเอามายื่นให้คือเบียร์หนึ่งกระป๋องกับกัวราน่าหนึ่งกระป๋องเนี่ยสิ

“Qual?” ควัล? จะเอาอันไหน?

“สองเลยวิล ขอบใจ” วิลมันก็ไม่ว่าอะไร ยื่นกระป๋องในมือมันมาให้ผมรับไว้ทั้งสองกระป๋องนั่นแหละ แล้วก็จัดการยกซดซะ

ผ่านไปประมาณห้านาที เอดูมันก็กลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่คงห่อน้ำแข็งทุบละเอียดเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็ถือจานกระดาษที่มีเนื้อย่างชิ้นโตพร้อมมีดกับส้อมมาด้วย เหลือบตามองกระป๋องที่เปิดแล้วทั้งสองกระป๋องนิดนึง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะจับตัวผมให้หันหลังให้มันจะได้เอาผ้าห่อน้ำแข็งนั่นประคบได้ตรงจุด

“เจ็บมากมั้ย? ทำไมไม่ระวังเลย”

“เพราะแกแหละ” ผมตอบโต้มันเป็นภาษาไทยครับ ฮ่าๆๆ หันไปมองเห็นมันทำหน้าหมางงแล้วตลกดี

“หืม?”

“ไม่บอกเว้ย แบร่ๆ”
นี่แน่ะ ตอบโต้ให้มันเจ็บนักก็กลัวมันเลิกคบ เลยได้แต่กวนตีนมันเล็กน้อยแบบนี้แหละ แลบลิ้นใส่มันกลับยิ้มขำซะอีก
ฮึ่ย....ขัดใจจริงเว้ย ว่าแล้วก็จัดการเนื้อย่างตรงหน้าดีกว่า ไม่อยากเป็นตัวกินไหล่แบบมัน กินเนื้อย่างดีกว่าเยอะ อร่อยกว่าด้วย

“ไม่บอกก็ไม่บอก แต่ความหมายของเพลงน่ะ.....”

“บอกมาเลย เมื่อกี้บอกว่าจะบอกแล้วนี่”

“งั้นป้อนหน่อย”

“เหอะ กินเองดิ มือมี”

“มือน่ะมี แต่ไม่ว่างนี่ เห็นมั้ย ประคบให้คนซุ่มซ่ามอยู่”
ดูมันสิครับ ยังมีหน้ามาว่าเป็นเพราะผมซุ่มซ่ามเองอีก ผมจะทำไงได้ล่ะ อยากรู้ก็อยากรู้ หมั่นไส้ก็หมั่นไส้ แต่.....ความอยากรู้ชนะครับ ฮ่าๆๆๆ

พอผมจิ้มเนื้อใส่ปากมัน มันก็ยิ้ม ไอ้เอดูนี่นอกจากบ้าแล้วมันยังเก่งอีกนะครับ เคี้ยวไปยิ้มไปได้ด้วย ซ้า......ธุ ขอให้ติดคอทีเถิ้ดดดดดด


“อาน่าจูเลียน่ะ เธอน่ารักมาก สวยมากด้วย ใครๆก็ชอบเธอกันทั้งนั้น ผู้ชายคนนั้นเองก็ด้วย...”

“อาฮะ”

“ทีนี้ไอ้คนนั้นมันได้แต่แอบมองแอบชอบน่ะสิ จนนานเข้า วันหนึ่ง....พอมารู้ตัวอีกที ก็เห็นเธอไปกับไอ้หน้าหล่อคนอื่นเสียแล้ว”

“ฮะๆๆๆๆๆๆ ที่แท้ก็เพลงอกหัก เพราะขี้ขลาดนี่เอง โถ.... ฮ่าๆๆๆๆ”

“อืม.....ไอ้ผู้ชายในเพลงน่ะ มันขี้ขลาด ไม่เหมือนเรา...อิส......”

เฮ้ย!!! อย่ามาเรียกชื่อคนอื่นด้วยน้ำเสียงแบบนี้และมองมาด้วยสายตาแบบนี้นะเว้ย

“อะ.....อะไร?”

“รู้มั้ยว่าอิสเหมือนกับอาน่าจูเลีย อิสมี o sol do teu olhar”

Sol......พระอาทิตย์ teu olhar.....สายตาของคุณ

เวรแล้วไง......นี่มันกำลังจะบอกว่า....

“แววตาที่มีชีวิตชีวา แววตาที่อบอุ่น อิสเองก็ทำให้เรารู้สึกถึงดวงอาทิตย์ทุกทีที่พบ เหมือนที่ผู้ชายในเพลงนั่นรู้สึกกับอาน่าจูเลียเลยรู้มั้ย”


ถ้าท่านไหนกำลังลุ้นให้ผมเขินอายแล้วก็แก้ความเขินด้วยการยื่นหน้าไปจุ๊บมันสักฟอดสองฟอด ท่านลุ้นไม่ขึ้นนะครับ
เพราะสิ่งที่ผมทำหลังจากได้ฟังประโยคนั้น คือการกระดกเบียร์ในกระป๋องอึกๆๆจนเกลี้ยง
หันไปมองหน้ามันอีกหน่อยเพื่อยืนยันว่าไอ้ที่พูดอะไรแปลกๆเมื่อกี้คือไอ้เอดูตัวจริงเสียงจริง
จากนั้น.....ผมก็ก้าวเท้าจนแทบเป็นวิ่ง แล้วก็กระโดดลงสระไปเลย


คือ.....อากาศมันร้อนน่ะครับ เลยต้องรีบคลายร้อนเสียหน่อย ไม่งั้น....ผมคงได้ระเบิดตัวเองแน่ๆ
.....................................
.....................................


..โปรดติดตามตอนต่อไป..

ปล.ขออีกนิด  :m13:
....แหะๆ ขอบคุณสายตาไวไวช่วยเตือนเรื่องคำผิดจากกระต่ายน้อยและพี่มาร์คขานะคะ กอดดดดดดด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 10-08-2010 15:33:03
รอจิ้มอยู่เร้ยยยยย  :z13:


วิ่งมากระโดดงับเจเจ้ (อ้าวซวยออกจากที่ซ้อนซะงั้น)
เอร้ยยยย กััดกันแบบนี้ได้ไง แน่จริงออกมากัดข้างนอกดิ  :laugh3:
อยากจะกระโดดลงสระเหมือนอิส
อารมณ์เขินได้ใจ แล้วแบบ...กระดกเบียร์เข้าไป แล้วโดดลงสระ
เดี๋ยวก็ได้แน่นิ่ง ต้อง งม หากันหรอก
(เด๋วให้เอดูมันผายปอดให้ :haun5:)

 :กอด1: ไปแระ แอบดูต่อ...หึหึ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 10-08-2010 15:52:03
รอจิ้มอยู่เร้ยยยยย  :z13:


วิ่งมากระโดดงับเจเจ้ (อ้าวซวยออกจากที่ซ้อนซะงั้น)
เอร้ยยยย กััดกันแบบนี้ได้ไง แน่จริงออกมากัดข้างนอกดิ  :laugh3:
อยากจะกระโดดลงสระเหมือนอิส
อารมณ์เขินได้ใจ แล้วแบบ...กระดกเบียร์เข้าไป แล้วโดดลงสระ
เดี๋ยวก็ได้แน่นิ่ง ต้อง งม หากันหรอก
(เด๋วให้เอดูมันผายปอดให้ :haun5:)

 :กอด1: ไปแระ แอบดูต่อ...หึหึ

ฝากด้วย นะ ดาด้า 555

หวานๆ กำลังดี แต่เริ่มจะหวานมากมายตอนไหนบอกด้วย

จะได้งดออกอากาศ เทพ-นิว สักตอน 555

อารมณ์มันปรับไม่ทัน 555555555555555555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-08-2010 16:37:00
หวานซะ  :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 10-08-2010 18:30:42
อิสเขินแบบนี้  แล้วกระดกเบียร์หมดกระป๋อง ตามด้วยกระโดดลงน้ำ "ตูม"
ระวังจุกนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 10-08-2010 18:49:34
เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ง่าาาา  :-[
น่ารักอะพี่นุ่น ><
อ่านไปแล้วอยากพูดได้หลายๆภาษา ฮ่าๆๆๆ
ว่าแต่...ปาร์ตี้สระว่ายน้ำ? 

ปล. อยากกินกาแฟนมมั่งจังอะค่ะ กรั่กกกกก :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 10-08-2010 21:51:47
“เจ็ยมั้ย?”
พอดีฟังออกแค่นี้ครับ เพราะต่อจากนั้นมันก็บ่นอะไรงึมงำอีกก็ไม่รู้ฟังไม่ออก ไม่มีอารมณ์จะงัดดิคขึ้นมาเปิดด้วยสิ

----------------------

อร๊ายยยยยยยยยยยยยย

เห็นถึงตรงไหนค้า >///////<!

สารภาพรักกันดื้อแบบนี้เลยนะเอดู เขินนนนนนน

แต่แหม ไม่หวงเหรอคะ อิสโชว์ผิวเนียนให้คนอื่นเห็นน่ะ - -+
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 10-08-2010 23:26:02
 :-[
ชอบบบบบ
เอดูใจกล้าจริง
อิสก็น่ารักซะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 10-08-2010 23:39:23
วิ๊วววววววววว หว๊านหวาน ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 11-08-2010 00:07:31
^
^
จิ้มมมมมมมมมมม จึกๆแนนเลย
คิดถึงน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา กอดรวบบบบบบบบบบบนักอ่านที่น่ารักทุกคนค่ะ

ปล.ขอบคุณกระต่ายน้อยสำหรับสายตาไวไวเจอคำผิดมาฝากพี่นุ่นนะคะ ^o^

แล้วก็ยินดีต้อนรับนักอ่านทุกคนด้วยค่ะ (ตอนนี้เขิน ตอบเมนท์มากมิได้ กร้ากกกกกกกกกส์)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 11-08-2010 18:21:23

แน๊...พระเอกนี่เนียนได้ที่จริงๆเลยทีเดียว แอบไล้ลิ้นโลมเลียน้องอิสอย่างนี้ไม่ดีไม่เอานะเธอ :laugh: :laugh:

เอาอีก เอาอีก เอาอีก เอาอีก เอาอีก :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 11-08-2010 20:12:43
 :z1: เสร็จแน่ ๆ อิสน้อยของเรา ไม่รอดแน่ ๆ  :m25:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 12-08-2010 09:56:20
ตอบเมนท์พร้อมรายงานว่าตอนต่อไปอาจนานหน่อยนะคะเพราะคนเขียนไปภูธรค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ กอดดดดดดดดดดค่ะ

:z1: เสร็จแน่ ๆ อิสน้อยของเรา ไม่รอดแน่ ๆ  :m25:
เอร๊ยยยยยยยยยย ไม่รอดเลยเหรอคะ ใจเย็นว้ายยยยยยยยยยยยย


แน๊...พระเอกนี่เนียนได้ที่จริงๆเลยทีเดียว แอบไล้ลิ้นโลมเลียน้องอิสอย่างนี้ไม่ดีไม่เอานะเธอ :laugh: :laugh:

เอาอีก เอาอีก เอาอีก เอาอีก เอาอีก :impress2: :impress2:
เนียนมากๆค่ะผู้ชายคนนี้ สุดๆแล้ว กร้ากกกกกกกกกกกกกกกกส์
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 12-08-2010 10:19:46
โห จะหวานกันไปไหน มีชิมกันแล้วบอก หวาน ด้วย เอิ๊กกกกกกกก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 12-08-2010 11:56:30
เอดูช่างกล้า...เล่นแบบซื่อๆๆ อิสอึ้งเขินจนทำไรไม่ถูกแล้ว...

อิสหนีลงน้ำแล้วจะมีอะไรในสระน้ำอีกหรือป่าวเนี่ย...
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 12-08-2010 16:45:51
แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก~~~!!~ Doce!!!!~~~หวานล้ำลึกปาดใจไม๊ เอดู..

เค้ายังไม่ทันใ้ห้ชิมเลย ลงมือชิงชิมเองซะงั้น แวร๊ยยยยย(แม่ยกชูพู่) ...
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 12-08-2010 18:05:50
DOCE~~~~   หวาน~~~~
ชอบล่ะสิ ชิมเรียบร้อย
อิสอายได้น่ารักมากลูก กระโดดลงสระ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 14-08-2010 14:25:45
เดี๋ยวอีกไม่น่าเกินชั่วโมงจะมาลงตอนต่อไปนะคะ
แวบมาแวบไปมากเลยเพราะเน็ตไม่เอื้อ

แต่ก็อยากจะต่อเรื่องของเอ๊ดูมัน เพราะเอ๊ดูตัวเป็นๆ มันจะถึงวันเกิดเเล้วค่ะ
วันที่ 15 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่นรัฐเซา เปาโล เอ๊ดูตัวเป็นๆมันจะอายุครบ 27 ปีแล้วนะคะ

มีความสุขมากๆนะเอ๊ดู :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 14-08-2010 14:33:45
HBD นะ นายเอ๊ดู

รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นุ่น

รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอ๊ดู

รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อิส

555555555555555555555

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 14-08-2010 14:45:45
มาแล้วค่ะมาแล้ว พี่พีนัทททททททท กอดค่ะ ^^

อยากเขียนเรื่องของเอ๊ดู เพื่อคิดถึงมันให้แจ่มชัดขึ้นอีก อิอิ
........................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Frío?


“อิส จะอยู่ในน้ำไปถึงเมื่อไหร่?”


ใช่ครับ ผมยังอยู่ในสระว่ายน้ำ ดำผุดดำว่ายไปเรื่อย ก็อย่างที่บอกอากาศมันร้อน
แถมพอเอดูมันพูดอะไรแบบนั้นออกมาซึ่งๆหน้า ผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนเข้าไปใหญ่

จะทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง มันก็คงไม่ทันเสียแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าที่มันมาบอกผมแบบนี้ มันต้องการอะไรจากผมรึเปล่า
คือ....ผมหมายถึง มันต้องการจะให้ผมคบกับมัน แบบคนรัก แบบเป็นแฟนกันรึเปล่า


อีกอย่าง ผมไม่แน่ใจ ว่ามันรู้สึกแบบนั้นกับผม.....เพราะมันเห็นว่าผมแปลก แตกต่างจากคนอื่น เหมือนกับเป็นของหายากแบบนั้นรึเปล่า
และที่สำคัญ....ตัวผมล่ะ คิดยังไงกับมันนอกเหนือไปจากเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งรึเปล่า

เฮ้อ.....แค่สองคำถามนี้ก็กินเนื้อที่ในหัวสมองน้อยๆของผมไปจนหมดแล้วล่ะครับ


แล้วดูไอ้ตัวปัญหานะครับ แทนที่มันจะปล่อยให้ผมดำผุดดำว่ายให้สบายใจ มันกลับรี่ตามมานั่งห้อยขาอยู่ริมสระ นี่ยังดีนะที่มันพอจะเข้าใจว่าผมกำลังสับสนไม่รู้จะจัดการกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ยังไง มันเลยแค่นั่งมอง แล้วก็คอยจิ้มของกินใส่ปากผมบ้าง ยื่นกระป๋องกัวราน่าให้ผมบ้าง

ผมจะทำไงได้ล่ะ ท่ามกลางสายตาเพื่อนๆอีกเป็นสิบ จะทำไม่สนใจมัน ก็จะยิ่งสะกิดใจเพื่อนคนอื่นเอาน่ะสิ
ผมก็เลยเล่นไป แวะเวียนไปรับอาหารจากมือของมันไป แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็รู้ตัวดีว่าถึงข้างนอกจะแสดงออกไปแบบนั้น แต่ความคิดของผมมันกลับหมุนวนไม่ยอมหยุดนิ่งเอาเสียเลย

“cerveja” ผมเรียกร้องเบียร์ครับ อารมณ์นี้ผมอยากเมา

“ไม่ดีมั้งอิส แดดร้อนแล้วก็เล่นน้ำอยู่อย่างนี้ จะดื่มเบียร์อีกเหรอ?”

“เอามาเหอะน่า”
พอผมพูดไปแบบนั้น ไอ้เอดูมันเลยถอนหายใจหนึ่งเฮือก ส่ายหัวเหมือนอ่อนใจ ก่อนจะลุกไปหยิบเบียร์เย็นเฉียบจากถังน้ำแข็งมาเปิดส่งให้


จากนั้น ผมก็ไม่รู้แล้วครับว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปาร์ตี้บ้าง
จำได้ลางๆว่าเอดูมันปลุกผมที่นอนหลับอยู่กับตักมันที่โซฟาตอนเย็นมากแล้ว พอผมยอมตื่นมันก็จูงผมมาซ้อนจักรยานขี่พากลับบ้าน

ระหว่างทางผมก็รู้ตัวนะว่ายังกึ่มๆ แต่ทำอะไรไปผมก็รู้ตัวตลอดแหละ
เอดูมันจัดการจับมือผมไปเกาะไว้แถวๆหน้าท้องมัน ผมก็อิงหน้าเข้ากับหลังมันไปตาก็ดูทิวทัศน์ข้างทางไปเรื่อย ฮัมเพลงหงุงหงิงไปตามเรื่อง
มันพูดมันถามอะไรมาก็ทำเป็นว่าแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดทำให้ความสามารถในการเข้าใจภาษาบ้านมันของผมหดหายไปซะ

จนมันมาส่งผมถึงหน้าบ้าน แล้วจัดการเอากุญแจในมือผมไปไขเสียเอง ผมก้าวเข้าบ้านได้ก็ดันไหล่มันที่จะก้าวตามเข้ามาด้วยไว้เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องเสร่อตามเข้ามาเลย
ไอ้บ้านั่นก็ยังใช้ความได้เปรียบของส่วนสูงก้มมาแตะแก้มเข้ากับแก้มของผมก่อนจะบอกลาได้อีก

“Tchau, meu bêbado bonitinho”

ผมจัดการปิดล๊อคประตูบ้านแล้วเดินลอยๆเข้าไปถึงห้องส่วนตัว ซุกตัวเข้าไปในโปงผ้าห่มกลิ้งไปกลิ้งมา

หึ เบบาโดะ โบนิชิ่งโหง่ อย่างงั้นเหรอ....ไอ้บ้าเอดู มันจะทำให้เขินไปถึงไหน ขี้เมาน่ะไม่เถียง น่ารักนั่นก็....เอาวะ ไม่เถียงก็ได้ เพราะถ้าไม่น่ารักคงไม่มีไอ้บ้ามาทำตาเยิ้มหยอดคำหวานใส่ แต่ไอ้คำแสดงความเป็นเจ้าของว่า ‘meu….ของผม’ นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ.....

ผมคิด คิด แล้วก็เขินอยู่คนเดียว แก้เขินให้ตัวเองด้วยการม้วนตัวกับผ้าห่มนวมจนตัวเองเหมือนไส้ครีมในขนมอบพวกครีมโคน ซุกหน้าลงไปใต้หมอน
จนหลับไปพร้อมๆกับคำถามทั้งสองที่ยังคงหาคำตอบไม่ได้อยู่นั่นเอง....


ปลายกรกฎาคมอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ และความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเอดูก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ....ผมหมายถึงถ้ามองจากภายนอกอะนะครับ

เรายังคงไปไหนมาไหนด้วยกัน เพราะมันยังขยันเสนอหน้ามาส่งผมถึงบ้านบ่อยๆวันไหนที่มันไม่ติดธุระต้องรีบไปไหน หรือเวลาผมอยากได้อะไรเป็นพิเศษแล้วไม่อยากรบกวนที่บ้าน มันก็จะเป็นคนพาผมไปซื้อ

บางครั้งหลังเลิกเรียนมันก็หนีบผมไปซื้อไอศกรีมไปนั่งกินกันในสวนสาธารณะบ้าง บางทีก็ทำเปรี้ยวยืมรถของพี่มันมาขับพาผมไปเที่ยวเมืองข้างๆบ้าง แต่มันก็ไม่เคยมาพูดอะไรแปลกๆกับผมอีก
เว้นแต่สายตาวิบวับที่บางครั้งผมก็จับได้ว่ายังคงจับจ้องมาที่ผม

จะว่าไงดีล่ะครับ ว่าเอดูมันใจดีที่ไม่มารุกเร้าให้ผมลำบากใจก็ได้......
แต่คิดอีกแง่.....หรือว่าวันนั้นที่มันพูดไปจะเป็นเพราะสารบางอย่างบนไหล่ของผมจะทำให้มันมึนเมาไปชั่วขณะ เลยพูดอะไรออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ



เช้าวันนี้ก่อนจะวิ่งๆไปหยิบแอ๊ปเปิ้ลเขียวซึ่งปะไป๊ก็คงสังเกตว่าผมชอบ เลยหามาวางไว้ให้ได้แทบทุกวัน แล้วก็บอกลากับทุกคนที่ยังอยู่ในบ้าน พอจะวิ่งออกไปเปิดประตูเดินไปโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาเหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่ทันฟังก็วิ่งออกมาถึงประตูหน้าแล้วล่ะครับ ก็มันจะสายแล้วนี่

พอออกมาจากบ้านหันไปปิดประตูตามหลังถึงได้เข้าใจว่าเสียงมะเม้ยที่ตะโกนตามหลังมาต้องการบอกอะไร
หนาวมากครับ.......นอกบ้านอากาศหนาวมากๆ แถมหมอกยังลงจัดจนรู้สึกว่าลมหายใจที่สูดเข้าไปมีละอองน้ำเย็นๆผสมอยู่ด้วย

ผมสองจิตสองใจ จะกดกริ่งให้คนในบ้านออกมาเปิดล๊อคประตูให้ใหม่เพื่อเข้าไปหยิบเสื้อกันหนาวดี หรือจะเดินฝ่าลมหนาวไปทั้งอย่างนี้ดี และในที่สุดความเกรงใจบวกกับความที่คิดว่าคงไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเมื่อวานยังอุ่นสบายอยู่เลย ก็ทำให้ผมตัดสินใจเดินขึ้นเนินมุ่งหน้าไปทางโรงเรียนทันที


พอผมโผล่ไปถึงหน้าโรงเรียนปุ๊บก็ต้องรู้สึกละลานตาขึ้นมาทันทีเพราะที่มุมเดิมข้างรั้วด้านหน้าโรงเรียน ที่ประจำของกลุ่มไอ้เอดูนั่นแหละ ที่นั่งๆยืนๆเรียงกันอยู่มันเหมือนฉากในหนังวัยรุ่นจากฮอลลีวูด ไอ้ผู้ชายตัวโตๆหกเจ็ดคนหัวทองบ้างแดงบ้าง น้ำตาลประกายบ้างมันมองมาทางผมเป็นตาเดียว

แล้วพอสบตากันไอ้ตัวโตๆตัวนึงในสเวตเตอร์สีเลือดหมูที่พอมันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็เห็นว่าด้านหน้ามีสกรีนเป็นรูปมิกกี้เมาส์หันข้างมันก็เดินตรงมาหา ไม่พูดไม่จาอะไรนอกจากถอดหมวกแก๊พสีเทาใบที่เห็นจนเจนตาโปะลงมาบนหัว แล้วฉวยมือของผมที่ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไปกุมไว้ก่อนจะลากให้เดินลิ่วๆเข้าไปด้านในโรงเรียน ท่ามกลางเสียงเป่าปากวี้ดวิ้วของไอ้ตัวโตๆตัวอื่นที่กองๆกันอยู่ริมรั้วตามเดิม

จนเดินเข้าไปถึงห้องเรียนนั่นแหละไอ้มิกกี้เมาส์มันถึงยอมปล่อยมือเพื่อให้ผมปลดเป้ออกวางบนเก้าอี้ แล้วมันก็จับมือผมทั้งสองข้างไปถูๆเป่าๆ

“Frío?”

โอเค ศัพท์ใหม่อีกแล้ว ฟริ้ว? กร้ากกกกกกกส์ เหมือนเสียงลมเลยวุ้ย
มันไม่รอให้ผมทำหน้างง หรือปล่อยมือที่ผมเพิ่งสังเกตว่ามันกำลังสั่นน้อยๆนั่นเปิดโอกาสให้ผมได้หยิบดิคมาเปิดเลย

มันใช้วิธีมองหน้าผม แล้วทำตัวสั่น ซี้ดปากประกอบคำถามใหม่อีกครั้ง ผมก็กะจะถามมันอยู่หรอกว่าเป็นอะไร เผ็ดเหรอ
แต่สีหน้าท่าทางของมันทำให้ผมไม่กล้าจะกระทำการกวนตีนมันตอนนี้ กลัวครับ...กลัวมันโกรธเอา
เอ่อ.....ก็ไม่ใช่ว่าผมจะแคร์อะไรมันมากมายนะครับ แค่ไม่ชอบเวลาถูกโกรธก็เท่านั้นเอง

“Frío?.... หนาวมั้ย?”

“Um pouco” ผมก็อ้อมแอ้มตอบมันไป กะว่ามันต้องโวยวายดุเอาแหงๆ

“อุง โป๊อุโขะ นิดหน่อยเนี่ยนะ แล้วมือสั่นขนาดนี้เนี่ยนะ?” นั่นไงครับ เสียงดังใส่แล้วแถมบ่นงึมงำตามมาอีกเป็นชุดเชียว ผมทำใจกล้าเงยหน้ามองมันมันก็ส่งสายตาที่มันผสมปนเปไปกันหมด ทั้งดุ.....ทั้ง..เอ่อ....คงจะห่วง เลยส่งยิ้มประจบมันเสียหน่อย

มันเลยทำท่าเหมือนจะถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออก แต่ผมดึงมือมันห้ามเอาไว้ก่อน

“ทำไม หนาวจนมือสั่นขนาดนี้แล้ว เอานี่แหละไปใส่ทับไว้ก่อน” ง่า....ไอ้บ้านี่มันดื้อครับ ยังจะพยายามปลดมือผมแล้วถอดเสื้อตัวเองออกอีก เรื่องอะไรผมจะยอมล่ะครับ มันอุตส่าห์ใส่ของมันมา

“Eu não querro!!”
เวร ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียงดังใส่มันนะ โอย....บอกไปว่าไม่ต้องการ แต่ด้วยความที่อารมณ์เริ่มขึ้นกับความดื้อดึงดันของมัน ผมเลยเผลอทำเสียงแข็งใส่มันไป แล้วดูสีหน้ามันสิ....ไม่เอานะเว้ย อย่ามาส่งสายตาละห้อยให้ผมรู้สึกผิดอย่างนี้นะ

“Porque não?” หงะ....เอดูมันนอกจากส่งสายตาละห้อยแล้วยังส่งเสียงอ่อยๆมาอีก

“ทำไมไม่อะเหรอ.....ก็.....ก็มันไม่ได้หนาวที่ตัวนี่ หนาวแค่มือเอง เพราะงั้น......ทำแบบนี้ก็พอ”

ว่าแล้วผมก็จัดการดึงเสื้อกันหนาวลายมิกกี้ของมันลงมาให้เรียบร้อยเหมือนเดิม แล้วก็ดันให้มันนั่งลงกับขอบโต๊ะนักเรียนของผมที่มันชอบมายึดเป็นที่แหมะตูดเป็นประจำ ส่วนตัวเองก็นั่งลงที่เก้าอี้ ก่อนจะสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวของมันนั่นแหละ.....

โห....อุ่นชะมัด ทั้งอุ่น ทั้งนิ่มเพราะด้านในกระเป๋าเหมือนจะบุนวมด้วย เรียบร้อยแล้วก็เงยหน้าขึ้นยิ้มเอาใจมันอีกหน่อย ก็พบว่ามันเองก็กำลังยิ้มจนเห็นลักยิ้มแก้มบุ๋มเชียว ผมกำลังคิดเพลินๆว่าวันไหนว่างๆน่าจะลองเอาไม้มาแหย่เล่นดู ไอ้เจ้าของเสื้อมันก็สอดมือของมันทั้งสองข้างเข้าไปร่วมวงแออัดในกระเป๋าเสื้อกันหนาวด้วยอีกคน

ผมจะไปว่าอะไรได้ล่ะ ก็เสื้อของมันนี่นา....
เราสองคนนั่งกันอยู่ในท่านั้นเกือบๆห้านาทีเพื่อนๆก็ทยอยเข้ามาในห้องเรื่อยๆ บางคนก็ถามนะครับว่าเราสองคนทำอะไรกันอยู่ พอมีเสียงถาม ไอ้เอดูมันก็จะหันไปตอบประมาณว่าผมหนาวมือ....แล้วก็หันมาส่งยิ้มระรื่นจนน่าตบ......ผมเลย เริ่มๆจะรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว

โชคดีครับ ระฆังช่วยชีวิต คือกริ่งบอกเวลาคาบแรกดังขึ้นพอดีเอดูมันถึงยอมให้ผมเอามือทั้งสองข้างที่มันจับยึดไว้ในกระเป๋าเสื้อของมันออกมาจนได้ แต่ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของมัน มันยังอุตส่าห์กระซิบกับผมอีกนะครับ

“อิส.....เดือนหน้าวันเกิดเราแล้วนะ เราอยากได้ของขวัญ”
ว่าอย่างนั้น....แล้วมันก็ลุกจากโต๊ะผมกลับไปนั่งทำท่าเหมือนเตรียมพร้อมจะตั้งใจเรียนเสียเต็มประดา
เล่นเอาผมที่กำลังจะอ้าปากบอกไปว่า เออ......เดือนหน้าก็วันเกิดเราเหมือนกันได้แต่หุบปากฉับ แหม....ขอของขวัญเนียนเชียวนะไอ้บ้าเอดู

แต่คิดแบบนั้นได้แค่ไม่ถึงนาที อีกเรื่องที่เข้ามาจู่โจมในความคิดของผมกลับเปลี่ยนไป
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเดือนหน้าที่เอดูมันพูดถึงคือเดือนสิงหาคม นั่นแปลว่าผมอยู่บ้านนี้เมืองนี้มาจะครึ่งปีอยู่แล้วสินะ

เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง......
เวลาระหว่างเรามันเหลืออยู่อีกไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง....
...............................
...............................


..โปรดติดตามตอนต่อไป..

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: O sol do teu olhar [6] (10/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 14-08-2010 14:54:17
แงๆๆๆ มาติดเดียวเหรอนุ่น ไม่ยอมๆๆๆๆ จะเอาๆๆๆๆๆ

(คิดสภาพตัวเองลงไปดิ้นชักตีนแหมมมมม.... โคตรอุบาทเลย 555)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 14-08-2010 15:39:30
 :m16:  ค้างส์อย่างแรงส์ ว่างแล้วมาอัพไวๆ เน้อ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ben~ya ที่ 14-08-2010 15:47:14
น่ารักมากๆเลย
เอดูฝรั่งหนุ่มน้อยกล้ามโต
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 14-08-2010 15:49:09
นู๋อิส...ตอนที่ลงไปดำผุดดำว่ายในน้ำนะ
(แอบขัดใจ ไม?ไม่ดึงขาเอดูมันลงมาเล่นด้วยกันล่ะลูก)
แอบโรแมนติกคิดภาพตามตอนที่เอามือล้วงกระเป๋าเอดูด้วยกัน
(อยากมีใครพอจะแบ่งกระเป๋าให้ล้วงบ้างไหม หึหึ)
ตอนท้าย..ไม่เอาไม่เครียด
รักแท้จะแพ้ระยะทางได้อย่างไร.... :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 14-08-2010 18:06:52
 :-[
เอาซุกกันอยู่ในกระเป๋าอุ่นๆ



 :z3: เอดูตามกลับมาเรียนที่ไทยบ้างอะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-08-2010 19:18:02
เอ๋  หวั่นใจกับตอนจบแล้วอ่ะ  จะเศร้ามั๊ยเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 14-08-2010 19:24:57
มาต่อนิดหนึ่งแต่เวลาผ่านไปตั้ง 6 เดือนแล้ว...ว
ใกล้จบแล้วเหรอค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 14-08-2010 20:34:51
ครึ่งเดือนแล้วเหรอเนี่ย = [ ] =?!

แสดงว่าเรื่องนี้อาจจะจบเร็วกว่าตัวป่วนสินะคะ...

ไม่เอาน้า~! T^T
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 14-08-2010 21:35:01
เอามือซุกกระเป่าด้วยกัน... :-[ ทำเราเขินแทนเลย
จะน่ารักอะไรขนาดนั้น...อิจฉา...อิอิ
เวลาผ่านไปเร็วจัง...เวลาที่เหลือคงจะมีอะไรคืบหน้ากันบ้างนะ...
เอาใจช่วยทั้งเอดูและอิส
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 14-08-2010 22:33:45
บิดไปมาอยู่หน้าคอม
อิป้าหื่นๆทำแบบนี้จะดูอุบาดไหมคะ...
น่าร้ากกกกกกกกก
ยิ่งมุกหนาวมือเนี่ย อร๊ายยยย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 15-08-2010 00:22:02
น่ารักจัง  :กอด1:

อิสจะต้องกลับไทยแระเหรอ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-08-2010 01:32:20
ตัดจบแบบนี้เลยอ่านุ่น

อย่านะ อย่ามาดราม่านะ

ไม่งั้นโกรธจิงด้วย อิอิ

+1 จ้าาา
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 15-08-2010 01:53:20
ีอีกไม่กี่เดือนงั้นหรอ?  ฟังแล้วเศร้า น้ำตาจะไหลT^T!~~~!!~ เริ่มน่ารักขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ แอร๊ยยย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 15-08-2010 10:38:54
วิ่งเข้ามากอดนักอ่านที่น่ารัก พร้อมรับกองกำลังใจใหญ่เบิ้ม หุหุ

แล้วก็บอกแนนว่า....นุ่นไม่จบเศร้าหรอกนะแนน รับรองเล้ยยยยยยยยยยยยยยย


แถมๆๆๆ......ถ้าใครทำตามคำแนะนำคืออ่านไปเดาไปว่าแต่ละตอนมีเรื่องไหนไม่จริงบ้าง
ข้าพเจ้าขอเฉลยว่า ตอนที่ผ่านมา ไอ้ตอน "หนาวมั้ย?" เนี่ยค่ะ

ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง แบบว่าจริงทั้งหมดเลยค่ะ :m1:  :m32:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 15-08-2010 10:50:35
 :z13: นุ่นเฉย ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 15-08-2010 19:39:39
 :z13:ไว้เด๋วมาอ่าน((เอ๊ะแต่บอกว่ามันมะหวานเหมือน ตัวป่วน+พี่ฟ้า อ่ะ :z3:))
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: sky-cafe ที่ 15-08-2010 21:09:02
ชอบเรื่องนี้จังเลยเพราะเราอยากไปบราซิลมาก แล้วมันเหมือนได้ฝึกภาษาด้วยถึงแม้เราจะเรียนภาษายุโรเปี้ยนตัวอื่นก็ตามที (แต่แอบอ่านเข้าใจน๊า) ฮี่ๆ XD
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Frío? [7] (14/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 15-08-2010 22:41:46
คุณ sky-cafe จุ๊บๆกอดๆ ดีใจที่ชอบนะคะ

บุ้งกี๋เอ้ย.....จะหวานเท่าพี่อากาศกะไอ้ป่วนได้ไงเล่า นั่นเขาขั้นแอ๊ดวานซ์ กร้ากกกกกกกกกกกกกส์
.........................

มาค่ะ มาอ่านต่อกันนะคะ :m1:
ไม่แถลงใดๆ เชิญอ่านเองเลยดีกว่าค่ะ
.........................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: amor ou paixão



###ตื๊ดดดดดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดด###

ง่า....มีคนรับแล้ว ผมกำลังจะวางสายอยู่เชียว แต่ก็นะมีคนรับทั้งทีถ้าจะคิดวางสายใส่เขาตอนนี้คงเสียมารยาทน่าดู

//Alô? Quem é você querro falar?//  .........ฮัลโหล ต้องการพูดสายกับใครครับ?

“O Edu está?”  ........เอดู อยู่มั้ยครับ?

//อิส?//

“รู้ได้ไงอ้ะ?”
เออ....ความจริงก็ไม่น่าถาม สำเนียงเหน่อๆแบบนี้จะมีใครไปได้ ไม่เห็นแปลกที่มันจะรู้ว่าเป็นผม แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมโทรหามันก็เถอะ

ไม่ใช่อะไรหรอกครับ สิงหาคมโรงเรียนปิดเทอม พอปิดเทอมปุ๊บผมก็บ๊ายบายปะไป๊กับมะเม้ย พาตัวเองไปทัวร์กับเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยกันถึงปันตานาล (Pantanal) สาขาของอะมาซอนโน่น โปรแกรมเข้าเมืองใหญ่ๆอย่างฮิโอ....Rio de Janeiro น่ะ ดึงความสนใจผมไม่ได้หรอก

//หึๆๆ ไม่รู้สิแปลก//  เออเนอะ จริงของมัน ฮ่าๆๆๆๆๆ

“เอ่อ...คือ.....”
จะให้พูดยังไงดีล่ะ จะให้บอกว่าเห็นหน้าตัวกินมดแล้วคิดถึงมันดี รึว่าดำน้ำเจอปิรันง่าแล้วคิดถึงมันดี....

//…..saudade de você// .......เซาดาด ดิ โว้เส

“หา??”
นี่มันอ่านใจจากระยะไกลได้ด้วยเรอะ รู้ด้วยว่าผมอยากจะบอกว่าคิดถึง......

//Eu esto com saudade de você!! Entendeu?!? // ........เอว เอสโต คง เซาด๊าดจิ ดิ โว้เส!! เอ็งเท็นเด๊ว?!?

หงะ....ตะโกนมาได้ หูแทบแตก จะบอกว่าคิดถึงก็บอกเบาๆสิ
อ้าว!! นึกว่าจะพูดแทน ที่แท้....มันก็กำลังคิดถึงเราอยู่เหมือนกันนี่หว่า มีการถามย้ำอีกนะว่าเข้าใจรึเปล่า.....
ไอ้บ้า....เข้าใจสิ ตะโกนเน้นมาซะขนาดนั้น ทั้งเข้าใจทั้งตกใจพร้อมๆกันเลยแหละ


“ah….Eu também……” แหะๆ me too.
พูดได้แค่นั้นแหละผมอ้ะ ใครจะไปกล้าตะโกนบอกว่าโคตรคิดถึง คิดถึงสุดๆแบบมันเล่า อายตายเลย

//ดีใจจัง......วันกลับจะมาถึงกี่โมง? จะไปรอรับ//

“ไม่ต้องหรอก”

//ทำไมไม่ ที่บ้านจะไปรับเหรอ?//

“เปล่า บอกที่บ้านแล้วว่าไม่ต้องมารับ เป้ใบเดียวเอง เดินกลับเองได้”

//จากสถานีอะนะ?//

“อาฮะ เดินจากสถานีไปบ้าน ถ้าเดินเร็วๆก็แค่สิบห้านาทีเอง”

//จะมาถึงกี่โมง?//

“ไม่บอก”

//บอกมา ไม่งั้นจะไปรอแต่เช้า!!//

“เอ๊!! ก็บอกว่าไม่ต้องมารับไง กลับเองได้”

//ดื้อ......ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก//

“ไม่ต้องดุ ห้ามโกรธด้วย ก็แค่ไม่อยาก.....”

###ตื้ดดดดดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดดดด###

อ้าว.......เวร เลยไม่รู้เลยว่าง้อสำเร็จรึเปล่า เงินหมดอีก
ก็แค่ไม่อยากให้ต้องลำบาก ไม่อยากให้ต้องมาคอย....รถจะถึง Campinus เก้าโมงเช้า
แล้วต้องต่อรถกลับซาน โฮเซ่ เองอีก ไม่รู้จะได้ต่อเลยหรือว่าต้องรออีกกี่ชั่วโมง

ช่วยไม่ได้นะ ถ้ามารอแต่เช้าจริงก็รอเงกไปแล้วกัน เฮ้อ.........



ผมก้าวลงจากรถประจำทางระหว่างเมืองที่ออกจากคัมปินัส ที่ถือเป็นศูนย์กลางของแถบนี้ หลังจากนั่งมึนเพราะเหม็นเท้าใครสักคนในรถมาสองชั่วโมงครึ่ง
ดีนะได้รถด่วน ไม่ใช่รถประเภทหวานเย็นที่จอดทุกครั้งที่มีคนมาโบกริมทาง

พ้นจากประตูรถมาได้ผมก็เดินแบกเป้ใบเดียวทั้งที่ไปเที่ยวมาเจ็ดวันจะตรงไปที่ทางออก บิดขี้เกียจแก้เมื่อยเล็กน้อย พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะสอดส่ายสายตามองหาไอ้บ้าบางคนที่มันบอกว่าจะมารอรับ ถึงตัวเองจะห้ามมันไปแล้วก็เถอะ

แหม......คนเรา บางครั้งบางหนมันก็มีบ้างนะครับ ที่จะปากไม่ตรงกับใจ
คือ....ยังไงล่ะ ผมไม่ได้อยากให้มันมารอ เพราะไม่อยากให้มันลำบาก แต่ถ้าลงจากรถมาแล้วเจอหน้ามันมาส่งยิ้มลักยิ้มแก้มบุ๋มรออยู่ ผมก็คงมีความสุขมากๆ
คิดไปคิดมาผมก็ว่าตัวเองชักจะแปลกๆขึ้นทุกที.....ท่าทางจะคิดกับมันเกินเพื่อนแบบไม่รู้ตัวซะมั้งเรา เฮ้อ.....


กำลังคิดเพลินๆเลยครับ ก็มีมือดีมาสะกิดไหล่ แต่ผมไม่ทันได้ตกใจหรอก เพราะพอหันไปก็เจอไอ้เสื้อกันหนาวมิกกี้สีเลือดหมูมันมายืนทำหน้านิ่งๆอยู่ข้างหลัง

“รอนานมั้ย?” ผมถามพร้อมกับส่งยิ้มประจบไปเป็นทัพหน้า

“ไม่นาน พอดีฉลาด หึๆๆ” มันตอบมาอย่างนั้น แล้วก็แบมือมาตรงหน้า

“หืม?”
ผมก็ปลดเป้ที่สะพายอยู่ไปให้มันโดยดี ไม่ครับ......อารมณ์มันแบบนี้ผมยังไม่เสี่ยงจะยั่วโมโหหรือล้อเล่นโดยการบอกว่า.....เสียใจเว้ย ไม่มีของฝาก ฮ่าๆๆๆ

“ก็รู้ว่าต้องต่อรถมาจากคัมปินัส เลยมาถามที่สถานีไว้แล้วว่าวันนี้จะมีรถจากคัมปินัสมาถึงตอนกี่โมงบ้าง”

“อ้อๆ ฉลาดจริงๆด้วยนะเนี่ย”
ผมพยักหน้าชื่นชมมันไปเดินตามมันต้อยๆไปด้วย ก็พอมันมารับแบบนี้ก็ไม่ต้องสนทางแล้วนี่ครับ ยังไงซะมันก็ไม่พาหลง เพราะงั้นมองหลังมันก็พอ ไม่ต้องมองป้ายชื่อถนนหรอก มันแย่ตรงที่ พอออกมาจากสถานีแล้วอากาศมันเย็นขึ้นเหลือเชื่อเลยสิครับ

“เมื่อเช้ามาดูตอนเจ็ดโมงครึ่งไปทีแล้ว แล้วก็มาตอนสิบโมงไปอีกรอบ นี่ถ้ารอบนี้ยังไม่มาก็เหลืออีกแค่รอบเดียว......” แหะๆ ดูท่ามันจะไม่สนุกกับการวนเวียนมาที่สถานีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ช่างอารมณ์มันก่อนครับ ตอนนี้ผมชักจะเปิดปากตอบโต้มันไม่ไหวแล้ว


ผมไปเที่ยวทางตอนเหนือของบราซิลมา ถึงจะไม่เหนือมาก แต่แถบนั้นก็ไม่หนาว ผมเลยไม่ได้ติดเสื้อกันหนาวไป นอกจากแจ๊คเก็ตยีนส์ตัวเดียว ลงรถที่คัมปินัสก็ยังไม่ทันหนาวเพราะผมไม่ได้ออกจากสถานีเลยด้วยซ้ำก็ได้ต่อรถแล้ว
แล้วนี่มันอะไรกันครับ อีกสิบนาทีเที่ยง ทำไมมันหนาวจนเหมือนปากจะสั่นแบบนี้ล่ะ......แง้ๆๆๆ


“เฮ้อ........”
คราวนี้ไอ้คนเดินนำมันส่งเสียงถอนใจมาพร้อมกับปลดผ้าพันคอมาพันให้ผมครับ หมวกไม่ต้องเพราะผมใส่ไว้เรียบร้อย
แล้วยังไม่ทันที่ผมจะพูดขอบใจเลย มันก็ลากผมเข้าไปในร้านกาแฟใกล้ๆสถานีแล้ว

“เอ่อ....หิวเหรอ?”
พอดีร้านกาแฟแบบนี้จะขายทั้งกาแฟ ทั้งของกินประเภททอดๆด้วยน่ะครับ มันทอดบ้าง มันห่อชีสชุบเกล็ดขนมปังทอด หลายเมนูครับ

“ไม่ได้หิว แต่อิสต้องกินอะไรร้อนๆก่อน ไม่งั้นซ้อนจักรยานเราไปไม่ไหวแน่”
มันว่าอย่างนั้นแล้วก็จัดการให้ผมนั่งลงที่โต๊ะหนึ่ง ส่วนตัวมันก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ชี้โน่นชี้นี่สองสามอย่าง แล้วถึงเดินกลับมานั่งลงข้างๆ

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไร.....รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวช็อคโกแล๊ตร้อนก็มาแล้ว”


มันจะใจดีไปถึงไหนเนี่ย แค่นี้ผมก็จะสำลักความใจดีของมันแล้วนะครับ
เอ่อ.......มันจะดูแย่มั้ยถ้าตอนนี้ผมจะกอดมัน

ไม่ต้องตอบหรอกครับ เพราะแค่ผมเงยหน้าขึ้นมองสบตากับมัน มันก็หันทั้งตัวมาหาผมแล้วก็อ้าแขนออก เท่านั้นแหละ ผมก็พาตัวเองซุกเข้าไปในอกมันแล้ว


อุ่นจริงๆนะครับ เวลาที่มีใครสักคนกอดเราเอาไว้.....
อุ่น สบาย เหมือนกับ....คำว่าหนาวไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้เลยด้วยซ้ำ


และเจ้าความอุ่นนี่เอง ทำให้ผมเลิกถามตัวเองได้ทันที
ว่าตกลงเจ้าความรู้สึกของมันที่มีต่อผม ที่มันบอกชอบผม.....ที่บอกว่าผมเหมือนดวงอาทิตย์สำหรับมัน นั่นมันเป็นเพราะอะไร
และคำถามที่ผมถามตัวเองมาตลอดสี่เดือนตั้งแต่ปาร์ตี้ครั้งนั้น ว่าแล้วตัวผมล่ะ คิดยังไงกับเพื่อนคนนี้กันแน่....ผมก็เลิกถามได้แล้วเหมือนกัน

เพราะผมแน่ใจมานานแล้ว ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าชอบ.....
ส่วนจะเป็นรักหรือแค่ลุ่มหลง amor ou paixão ......อะมอร์ ออ ป๋ายชาว
ก็ช่างมันไปก่อนแล้วกัน......

................
................


..โปรดติดตามตอนต่อไป..




ปล.คำว่า amor ou paixão love or passion พอแปลเป็นภาษาไทยแล้วไม่ตรงใจเลยค่ะ passion แปลเป็นภาษาไทยว่าอะไรดีอ้ะคะ???
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 15-08-2010 23:05:37
ไม่ทราบค่ะนุ่นพี่ไม่มีกิ๊กเชื้อชาตินี้ซะด้วย 555
แต่2คน มันน่ารักดีนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-08-2010 23:29:54
น่ารักท้้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 16-08-2010 00:34:13
 :impress2:
น้องอิสรู้ใจตัวเองแล้ว



ปล. หลงใหล พอใช้ได้มั้ยครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 16-08-2010 00:39:25
passion >> ลุ่มหลง หรือ เสน่ห์หาก็คงจะได้สิเน๊อะ

ชอบจริงๆเลยค๊า~!!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 16-08-2010 02:19:41
น่ารักจังเลย  :-[
แค่มองตากันเอดูก็เข้าใจอิสแล้วเนอะ >< น่ารักๆๆ
แต่ก็เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วดิเนอะ รักครั้งนี้จะเป็นไงต่อไปหว่า
พวกเธอว์จงติดตาม 55555


ปล. แอบมีคนรู้จักอยู่คนก็เคยไป AFS บราซิลมาค่ะ แต่ว่าไม่เคยได้ยินเค้าพูดโปรตุกีสให้ฟังเลยอะ
อ่านไปแล้วก็ชอบอยากเรียนมั่ง บางทีก็อยากรู้ว่าหมายความว่าไงบ้างโดยไม่อ่านที่พี่นุ่นแอบอธิบายความหมายเอาไว้
แบบว่าภาษาทุกภาษามันก็ดูมีเสน่ห์เป็นของตัวเองดีนะคะ ><

ปล.สอง. passion แปลให้ได้ความหมายตรงๆมันหาคำยากเนอะคะ ปรารถนาอย่างแรง อะไรแบบนั้นก็คงแปลกๆเนอะ 555 ลุ่มหลงก็ดูโอเคแล้วนะคะพี่นุ่น ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 16-08-2010 10:52:12
มารับกันด้วย(-///-) เอดูฉลาดโก้ดดดด
แล้วด็น่ารักเวอร์ๆๆๆๆๆ
(แอบอิจฉาอิสจะผิดไหมหว่า หึหึ)


คือแบบว่า เค้าชอบฤดูหนาวที่สุดนะ ไม่มีคนให้กอดนี่แหละ เฮ่ออออ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 16-08-2010 12:05:21
หวานกันได้ทุกตอน ^_____^ น้องอิสรู้ใจตัวเองได้แล้วชิมิ อิดฉาจิงจิ๊ง

ดีใจที่ไม่ดราม่านะนุ่น ...


+1 จ้า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Phing ที่ 16-08-2010 14:12:25
น่ารักอบอุ่น :o8:
ตอนอิสกลับมาจะเป็นเช่นไรเนี่ย
 :กอด1:

 :L2:
+1ให้กับความน่ารัก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 16-08-2010 14:50:56
ตามมาอ่านเรื่องนี้ด้วยคนนะคะน้องนุ่น
เรื่องน่ารักมากเลย อบอุ่นมากจ้า
เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำมากเลยนะคะ

น้องสาวเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่บราซิลเหมือนกัน
เดี๋ยวจะไปถามว่า เคยเจอ เอดู มั่งมั้ย ..

แต่แอบกลัว ตอนที่อิสกลับเมืองไทย จะเป็นยังไงนะ

จบเศร้ารึเปล่าคะเนี่ย

ขอ +1 ให้น้องนุ่นด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 17-08-2010 07:44:54
เข้ามาขอบคุณคำแปลภาษาไทยของ passion ทุกท่านเลยนะคะ
เนอะน้องพาร์เนอะ "ปรารถนาอย่างแรง" ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดีเลย กร้ากกกกกกกกกกส์

ตามมาอ่านเรื่องนี้ด้วยคนนะคะน้องนุ่น
เรื่องน่ารักมากเลย อบอุ่นมากจ้า
เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำมากเลยนะคะ

น้องสาวเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่บราซิลเหมือนกัน
เดี๋ยวจะไปถามว่า เคยเจอ เอดู มั่งมั้ย ..

แต่แอบกลัว ตอนที่อิสกลับเมืองไทย จะเป็นยังไงนะ

จบเศร้ารึเปล่าคะเนี่ย

ขอ +1 ให้น้องนุ่นด้วยนะคะ
ดีใจที่พี่รู้สึกอบอุ่นและรู้สึกดีที่อ่านเรื่องนี้นะคะ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดด
(คาดว่าจะเจอเอดูนะคะ เพราะเอดูเป็นชื่อที่โหลมากกกกกกกกกกกก 5555555555555)

น่ารักอบอุ่น :o8:
ตอนอิสกลับมาจะเป็นเช่นไรเนี่ย
 :กอด1:

 :L2:
+1ให้กับความน่ารัก
ผิงผิงจ๋า คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงง ไม่เจอเรยงิ ชอบเอดูแล้วยัง? มันน่ารักเนอะ คริคริ

หวานกันได้ทุกตอน ^_____^ น้องอิสรู้ใจตัวเองได้แล้วชิมิ อิดฉาจิงจิ๊ง

ดีใจที่ไม่ดราม่านะนุ่น ...


+1 จ้า
งืมๆๆไม่ม่าแน่นอน นุ่นแพ้มาม่า กินมากหัวล้านด้วย มิดีๆ
ปล.อิจฉาอิสเหมือนกัน โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

มารับกันด้วย(-///-) เอดูฉลาดโก้ดดดด
แล้วด็น่ารักเวอร์ๆๆๆๆๆ
(แอบอิจฉาอิสจะผิดไหมหว่า หึหึ)


คือแบบว่า เค้าชอบฤดูหนาวที่สุดนะ ไม่มีคนให้กอดนี่แหละ เฮ่ออออ :เฮ้อ:
มากอดเจ่เจ้มา โอ๋ๆๆๆๆๆๆ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดนะดาด้า (รู้สึกเหมือนเป็นลาล่ากะโพเลย)

น่ารักจังเลย  :-[
แค่มองตากันเอดูก็เข้าใจอิสแล้วเนอะ >< น่ารักๆๆ
แต่ก็เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วดิเนอะ รักครั้งนี้จะเป็นไงต่อไปหว่า
พวกเธอว์จงติดตาม 55555


ปล. แอบมีคนรู้จักอยู่คนก็เคยไป AFS บราซิลมาค่ะ แต่ว่าไม่เคยได้ยินเค้าพูดโปรตุกีสให้ฟังเลยอะ
อ่านไปแล้วก็ชอบอยากเรียนมั่ง บางทีก็อยากรู้ว่าหมายความว่าไงบ้างโดยไม่อ่านที่พี่นุ่นแอบอธิบายความหมายเอาไว้
แบบว่าภาษาทุกภาษามันก็ดูมีเสน่ห์เป็นของตัวเองดีนะคะ ><

ปล.สอง. passion แปลให้ได้ความหมายตรงๆมันหาคำยากเนอะคะ ปรารถนาอย่างแรง อะไรแบบนั้นก็คงแปลกๆเนอะ 555 ลุ่มหลงก็ดูโอเคแล้วนะคะพี่นุ่น ^^

น่าร้ากกกกก เนอะๆๆๆๆ

ไปเรียนดิน้องพาร์ สนุกดี อิอิ พี่นุ่นอยากเรียนภาษาสเปนอ้ะ แบบว่าอยากเรียนไว้อ่านบทกวี กร้ากกกกกกกกกส์ (เหตุผลสิ้นเปลืองอย่างแรงงิ)



กอดนักอ่านทุกท่านเลยนะคะ คุณผัดไท พี่มาร์คขา พี่iforgive พี่พีนัทด้วย กอดดดดดดดดดดดดด
กอดกันไว้จะได้หายหนาว >//////////<
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 17-08-2010 16:49:22
น่ารักอบอุ่น(ขณะโพสต์กำลังอบอ้าว...)
อมยิ้มได้ทั้งเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 17-08-2010 17:08:53
พาร์ก็อยากเรียนสเปนมากอะพี่นุ่นนนนน~~~
แบบว่าใฝ่ฝันมากมาย แต่ไม่มีเวลาง่ะ
(อีกเหตุผลนึงเพราะส่วนตัวชอบหนุ่มละตินมากกว่าฝรั่งหัวทองตาฟ้า กรั่กกกกกก  :laugh:)

เรื่องนี้อีกกี่ตอนจบเหรอคะพี่นุ่น?
ชอบอ่านเรื่องแนวๆนี้อะค่ะ พวกนิยายที่เดินเรื่องแล้วเหมือนเราได้ตามไปเที่ยวกะเค้าด้วย 5555
อย่างนักเรียนแลกเปลี่ยน ไม่ก็นักศึกษา work & travel ไรพวกนี้ง่ะ  :o8:

ปล. 555 ถ้าพี่นุ่นไม่ถามก็ไม่คิดตามอะค่ะ รู้สึกไปเองว่าแพสชั่นมันเหมือนเป็นอะไรที่ดูเย้ายวนๆอะ กร๊ากกก
ปล.สอง. เพิ่งรู้ว่าโปรตุกีสแบบบราซิลกับโปรตุกีสแบบโปรตุเกสมีเรียงประโยคต่างกันด้วยอะ *0*
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeyja55 ที่ 18-08-2010 00:17:26
คู่นี้ก็หวานจัง แต่จะให้ความรู้สึกหวานคนละแบบกับคู่ตัวป่วนนะ แต่บรรยายไม่ค่อยถูกว่าเป็ยยังไง คุณ anajulia เก่งจัง ใช้ภาษาไทยก็สุดยอด ถึงขนาดแต่งกลอนหวานๆ ได้ดี แล้วยังได้ภาษาบราซิลอีกอ่ะ อิจฉาจัง

สำหรับ Passion น่าจะแปลว่า เคลิบเคลิ้ม ป่ะ เพราะจะให้ความรู้สึกว่า เป็นความรู้สึกที่เกิดชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 20-08-2010 20:20:38
น่ารักดีเนอะ ไม่หวือหวา หวานเรื่อย ๆ แล้วอย่างนี้ ตอนนู๋อิสต้องกลับเมืองไทย จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 20-08-2010 21:24:34
passion น่าจะประัมาณ ลุ่มหลง คลั่งไคล้ อะไรทำนองนั้นมั้งคะ

หวานๆน่ารักกันเจงๆ  :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 24-08-2010 09:49:26
คุณนุ่น...

เราพลาดไปหลายตอนเลยค่ะ ตอนนี้เลยแอบอ่านในที่ทำงาน (ใหม่) ฮ่าๆๆๆ จุใจ
มีความสุขมากกกกกกกกกก
มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องนี้...

ครั้งนึงในชีวิต จะต้องไปบราซิลให้จงได้ เค้าอยากไปเป็น The girl from Ipanema ฮ่าๆๆๆ
แต่ตอนนี้เป็น The girl from Thailand ไปก่อน

ชอบตอนที่กอดกัน อบอุ่นอะ มากๆ ด้วย
บางทีคำพูดมันก็ไม่จำเป็นเนอะ บางอย่างมันไม่ต้องถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด...
แอบหวั่นตอนอิสกลับเหมือนกันนะ
แต่...ได้ชื่อว่าคุณนุ่น ต้องจบแบบแฮปปี้ ชัวร์อยู่แล้วเนอะๆ (มีแอบบังคับ ฮ่าๆ)


คุณนุ่น Happy Birthday นะคะคุณนุ่น มีความสุขมากๆ นะคะ
(แอบเห็นหน้าเว็บโชว์ชื่อพร้อมอายุด้วย น่ากลัวนะเนี่ย โชว์อายุ ฮ่าๆๆๆ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 24-08-2010 10:26:42
 :-[

ไม่ถึงขนาดคู่ตัวป่วนแต่แค่นี้ก็ชอบบบบบบบบบบ

น่ารักสุโค่ยค่า อ่านแล้วรู้สึกอุ่นแทนเลย อิๆ (ตัวเราตอนนี้ขนาดหนาวยังต้องหาเสื้อหนาวมาใส่เองเลย ชิ T3T)

passion...อืม ตัวหนูชอบแปลว่าหลงใหลนะคะ แต่ถ้าให้ดูภาษาพูดจะเขียนว่ารักหรือหลงก็ได้มั้งคะ?  :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 24-08-2010 11:40:19
ตามมาจากตัวป่วนกะพี่ฟ้า
น่าร้ากกกก ทุกคู่
 :L1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 24-08-2010 13:25:39
รักน้องนุ่นจังที่ขยันปรุงของหวานเสิร์ฟถึงที่บ้าน พี่แก้วยิ่งชอบกินของหวานอยู่ด้วย มา มาให้ :กอด1:ที แถมจุ๊บๆด้วย
แล้วของหวานถ้วยนี้มีรสนมรสเนยผสมเข้ามาอีก ได้รสชาติหวานมันอร่อยไปอีกแบบ แง่มๆๆ อร่อยจัง
อยากจะอิจฉาน้องอิสจัง แตไม่ดีกว่า ขอชื่นชมในความหวานของทั้งคู่ดีกว่าเนอะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 24-08-2010 15:39:48
แวบๆเข้ามาตอบเมนท์ พร้อมรายงานว่าเย็นๆเจอกันกับตอนต่อไปนะคะ
ที่จริงตั้งท่าเขียนตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
แต่เป็นตอนที่อยากเขียนให้ดี อยากให้คนอ่านเห็นภาพน่ะค่ะ
เพราะถือเป็นเหตุการณ์ฝังใจ ชีวิตนี้มีแบบนั้นได้ครั้งเดียว ชีวิตคนเราบางทีก็เหมือนฉากบางฉากในนิยายนะคะ
เออ......ที่เราเขียนอยู่มันก็นิยายนี่นา กร้ากกกกกกกกกกกกกกกส์


รักน้องนุ่นจังที่ขยันปรุงของหวานเสิร์ฟถึงที่บ้าน พี่แก้วยิ่งชอบกินของหวานอยู่ด้วย มา มาให้ :กอด1:ที แถมจุ๊บๆด้วย
แล้วของหวานถ้วยนี้มีรสนมรสเนยผสมเข้ามาอีก ได้รสชาติหวานมันอร่อยไปอีกแบบ แง่มๆๆ อร่อยจัง
อยากจะอิจฉาน้องอิสจัง แตไม่ดีกว่า ขอชื่นชมในความหวานของทั้งคู่ดีกว่าเนอะ

คริคริ พี่แก้วขา อิจฉาอิสมันก็ได้นะคะ นุ่นมาเขียนมาอ่านแบบนี้ยังอิจฉามันเล้ยยยยยยยยยยยยยยย กอดค่ะพี่แก้ว ^^

ตามมาจากตัวป่วนกะพี่ฟ้า
น่าร้ากกกก ทุกคู่
 :L1:
โห........ขอบคุณที่ตามมาอุดหนุนนะคะคุณมังกรบิน(มันคือแมงปอชิมิ?) ดีใจที่ชอบค่ะ

:-[

ไม่ถึงขนาดคู่ตัวป่วนแต่แค่นี้ก็ชอบบบบบบบบบบ

น่ารักสุโค่ยค่า อ่านแล้วรู้สึกอุ่นแทนเลย อิๆ (ตัวเราตอนนี้ขนาดหนาวยังต้องหาเสื้อหนาวมาใส่เองเลย ชิ T3T)

passion...อืม ตัวหนูชอบแปลว่าหลงใหลนะคะ แต่ถ้าให้ดูภาษาพูดจะเขียนว่ารักหรือหลงก็ได้มั้งคะ?  :L2:
กอดๆจุ๊บๆกระต่ายน้อย เดี๋ยวเย็นๆมาอ่านตอนต่อไปนะคร้า กอดกันไว้ให้หายหนาว (แต่วันนี้ร้อนมากนิ)

คุณนุ่น...

เราพลาดไปหลายตอนเลยค่ะ ตอนนี้เลยแอบอ่านในที่ทำงาน (ใหม่) ฮ่าๆๆๆ จุใจ
มีความสุขมากกกกกกกกกก
มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องนี้...

ครั้งนึงในชีวิต จะต้องไปบราซิลให้จงได้ เค้าอยากไปเป็น The girl from Ipanema ฮ่าๆๆๆ
แต่ตอนนี้เป็น The girl from Thailand ไปก่อน

ชอบตอนที่กอดกัน อบอุ่นอะ มากๆ ด้วย
บางทีคำพูดมันก็ไม่จำเป็นเนอะ บางอย่างมันไม่ต้องถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด...
แอบหวั่นตอนอิสกลับเหมือนกันนะ
แต่...ได้ชื่อว่าคุณนุ่น ต้องจบแบบแฮปปี้ ชัวร์อยู่แล้วเนอะๆ (มีแอบบังคับ ฮ่าๆ)


คุณนุ่น Happy Birthday นะคะคุณนุ่น มีความสุขมากๆ นะคะ
(แอบเห็นหน้าเว็บโชว์ชื่อพร้อมอายุด้วย น่ากลัวนะเนี่ย โชว์อายุ ฮ่าๆๆๆ)
ขอบคุณสำหรับคำพรค่ะคุณไนท์ คุณไนท์ก็สู้ๆกับงานใหม่นะคะ ดีใจที่มาอ่านแล้วคนอ่านมีความสุขค่ะ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆ
(แอบบอกว่าไม่มาม่าแล้วก็ไม่แซด เอนดิ้งแน่นอน หุหุหุ)

passion น่าจะประัมาณ ลุ่มหลง คลั่งไคล้ อะไรทำนองนั้นมั้งคะ

หวานๆน่ารักกันเจงๆ  :-[
ขอบคุณสำหรับ ลุ่มหลง คลั่งไคล้ค่ะ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
หวานนิดๆแอบขื่นติดคอบ้าง แต่กระดกกาแฟหวานๆขมๆช่วยได้อยู่ค่ะ อิอิ

น่ารักดีเนอะ ไม่หวือหวา หวานเรื่อย ๆ แล้วอย่างนี้ ตอนนู๋อิสต้องกลับเมืองไทย จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย
แหะๆๆรออ่านต่อไปนะคะ เดี๋ยวอีกไม่นานอิสมันก็ต้องกลับบ้านแล้วล่ะค่ะ หงิงๆ

คู่นี้ก็หวานจัง แต่จะให้ความรู้สึกหวานคนละแบบกับคู่ตัวป่วนนะ แต่บรรยายไม่ค่อยถูกว่าเป็ยยังไง คุณ anajulia เก่งจัง ใช้ภาษาไทยก็สุดยอด ถึงขนาดแต่งกลอนหวานๆ ได้ดี แล้วยังได้ภาษาบราซิลอีกอ่ะ อิจฉาจัง

สำหรับ Passion น่าจะแปลว่า เคลิบเคลิ้ม ป่ะ เพราะจะให้ความรู้สึกว่า เป็นความรู้สึกที่เกิดชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน
เคลิบเคลิ้ม.....งืม ไอ้ที่บอกว่าชั่วขณะ ไม่จีรังยั่งยืนนั่นใช่เลยค่ะ นั่นแหละpassion
ขอบคุณที่ชมนะคะคุณเอ๋ ตัวจะลอย กร้ากกกกกกกกกส์ ส่วนที่บอกว่าหวานต่างกับตัวป่วนกะพี่อากาศ มีน้องคนนึงบอกว่า คู่นี้เขาหวานแบบจับต้องได้ค่ะ
แบบว่าเอดูกับอิส จะมีบางโมเมนท์ที่ทำให้บางคนนึกถึงตัวเองว่า เฮ้ย...เเบบนี้เราก็เคยเจอนี่หว่า แบบนี้เราก็เคยทำนี่หว่า อะไรประมาณนี้อ้ะค่ะ

พาร์ก็อยากเรียนสเปนมากอะพี่นุ่นนนนน~~~
แบบว่าใฝ่ฝันมากมาย แต่ไม่มีเวลาง่ะ
(อีกเหตุผลนึงเพราะส่วนตัวชอบหนุ่มละตินมากกว่าฝรั่งหัวทองตาฟ้า กรั่กกกกกก  :laugh:)

เรื่องนี้อีกกี่ตอนจบเหรอคะพี่นุ่น?
ชอบอ่านเรื่องแนวๆนี้อะค่ะ พวกนิยายที่เดินเรื่องแล้วเหมือนเราได้ตามไปเที่ยวกะเค้าด้วย 5555
อย่างนักเรียนแลกเปลี่ยน ไม่ก็นักศึกษา work & travel ไรพวกนี้ง่ะ  :o8:

ปล. 555 ถ้าพี่นุ่นไม่ถามก็ไม่คิดตามอะค่ะ รู้สึกไปเองว่าแพสชั่นมันเหมือนเป็นอะไรที่ดูเย้ายวนๆอะ กร๊ากกก
ปล.สอง. เพิ่งรู้ว่าโปรตุกีสแบบบราซิลกับโปรตุกีสแบบโปรตุเกสมีเรียงประโยคต่างกันด้วยอะ *0*

ใช่ๆๆๆ ชอบแบบละตินมากกว่าเนอะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด >///////<
ส่วนจำนวนตอน อีกไม่เกินห้าตอนก็จบแล้วค่ะ แหะๆๆ แอบสั้น แต่เรื่องมันมีแค่นี้นี่นา เพ้อต่อเองเดี๋ยวจบไม่ลงล่ะแย่เลย กร้ากกกกกกกส์

น่ารักอบอุ่น(ขณะโพสต์กำลังอบอ้าว...)
อมยิ้มได้ทั้งเรื่องค่ะ
ดีใจที่ทำให้คนอ่านอมยิ้มได้นะคะ เอ๊ดูมันน่ารักใจดีค่ะ มากกกกกกกกกก สุดๆแล้ว ไว้เย็นนี้นุ่นมาแปะตอนต่อไปนะคะ ตอนนี้มาแปดหน้าแล้วค่ะ ขออีกนิด อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 24-08-2010 17:41:29
มาแล้วนะคะ เขียนนานมากกกกกกกกกกกกกกกกก
ที่จริงเริ่มเขียนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่เขียนๆหยุดๆ อิอิ

ที่แน่ๆ เป็นตอนที่ไม่มีการลบ นอกจากแก้คำผิดค่ะ ไม่หลายใจกับตอนนี้สักนิด
เชิญมาอ่านกันเลยนะคะ (ส่วนตัวรู้สึกเหมือนฉากในละครน้ำเน่าแฮะ  :-[ )
..................................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: “Parabens!!”


ฮ่า.....วันนี้วันเกิดไอ้หน้าด้านเอดูครับ

ผมใช้เวลาแค่สองวันนี้เองทำของขวัญให้มัน เวลาทำน่ะนิดเดียว แต่เวลาคิดสิครับ นานจนผมกลัวตัวเองเลย อะไรจะคิดนานขนาดนั้นหว่าเรา

แต่ก็นะ....ก็คนมันอุตส่าห์ด้านขอ คนถูกขออย่างผมจะไม่ให้มันก็กระไรอยู่
อีกอย่าง ถ้าซื้อของให้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่จะทำให้มันรู้ว่ามันเป็นคนสำคัญได้มากพอ เท่ากับความรู้สึกที่ผมมีให้มันรึเปล่า.....
ทั้งๆที่ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้นี่ล่ะ ว่าไอ้เจ้าความรู้สึกที่ผมมีให้มัน มันคืออะไรกันแน่



หลังจากวันที่กลับจากไปเที่ยวปันตานาล ผมก็เข้าไร่กับครอบครัว ฤดูหนาวมาพร้อมกับฤดูการเก็บเกี่ยวกาแฟครับ


กาแฟที่ไร่ของเราปลูกขายคือกาแฟพันธุ์โฮบัสต้า......Robusta หนึ่งในพันธุ์ที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกนั่นแหละ ที่จริงปากทางเข้าไร่ก็มีต้นอราบิก้าอยู่สองต้น ปะไป๊บอกว่าตอนแรกปลูกอราบิก้า แต่ว่าผลผลิตไม่ค่อยดี เลยทดลองเปลี่ยนมาปลูกโฮบัสต้าแทน อราบิก้าสองต้นที่เหลือไว้นั่นเอาไว้เป็นที่ระลึก

ต้นอราบิก้าสูงเกือบสามเมตร ผลสุกเป็นสีแดง พอลองปลิดลูกลงมาชิม คนไม่เคยทำไร่กาแฟอย่างผมก็ต้องแปลกใจว่าผลกาแฟสุกนั่นมีรสหวาน และกลิ่นที่ติดอยู่ในโพรงปากก็คล้ายกับพริกหวานไม่มีผิด

ปะไป๊หัวเราะกับสีหน้าแปลกใจของผม แล้วเลยขยี้หัวผมแรงๆจนยุ่งเหยิงไปหมด ก่อนจะเดินนำไปทางเนินเขาที่ปลูกกาแฟโฮบัสต้าไว้

ต้นโฮบัสต้าความสูงไม่เกินไหล่ตั้งเป็นแถวเรียงราย ครอบคลุมไปจนเต็มพื้นที่ในลานสายตาท่ามกลางละไอหมอกสีขาวเย็นจัดของยามสาย อีกเพียงสัปดาห์เดียวผลสีเหลืองอ่อนที่ขึ้นเบียดกันจนแน่นตามกิ่งก้านของต้นจะถูกพวกเราเก็บจนหมด แล้วค่อยนำไปตากแดดให้แห้งอีกประมาณสามวัน ก่อนจะส่งขาย

ปะไป๊บอกว่าเดี๋ยวต้องจ้างคนงานพิเศษมาช่วยเก็บกาแฟ เพราะลำพังปะไป๊กับคนงานที่อยู่ประจำอีกแค่สองคนไม่พอแน่ๆ
แล้วมีหรือผมจะพลาดงานน่าสนุกแบบนี้.....เกิดมายังไม่เคยทำสักที ผมเลยสมัครใจยกมือขอเป็นแรงงานอีกคน

ปะไป๊หัวเราะเสียงดัง แล้วบอกกับผมว่าตัวเล็กๆแรงน้อยๆอย่างนี้ จะเก็บได้ถึงแถวรึเปล่ายังไม่รู้เลย
ผมได้แต่หัวเราะดังๆตอบโต้ แล้วเบ่งกล้ามแขนลูกเท่าลูกหนู....เอ่อ เล็กมากเนอะ โชว์เสียเลย เพราะคิดไม่ออกจะบอกยังไงดี ว่ารอดูแรงถึกของคนตัวเล็กแบบผมอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆๆ



พวกเรากลับเข้าเมืองกันบ่ายๆวันอาทิตย์ ผมก็ตรงดิ่งไปซื้ออุปกรณ์มาทำของขวัญวันเกิดให้ไอ้หน้าด้านเอดูทันที ก็ตอนอยู่ที่ไร่ผมมีเวลามานั่งคิดนอนคิดว่าวันอังคารที่จะถึงนี้ก็วันเกิดเอดูมันแล้ว ตอนไปเที่ยวผมก็มองๆดูตามร้านขายของที่ระลึกตลอดแหละ แต่ก็ไม่มีอะไรถูกใจและเหมาะจะเป็นของขวัญวันเกิดคนอย่างมันสักอย่าง

แล้วในที่สุดอากาศตอนเช้าๆที่บ้านไร่ก็ทำให้ผมได้ไอเดียดีๆ ก็ในเมื่อของที่จะซื้อมันไม่ถูกใจ ถักผ้าพันคอให้เพื่อนรักสักผืนคงไม่เสียแรงงานเท่าไหร่หรอกน่า.....อีกอย่างอากาศก็หนาวขนาดนี้ ให้ผ้าพันคอนี่แหละ คนรับมันจะได้ได้ใช้งาน

ผมใช้เวลาคืนวันอาทิตย์ก่อนเข้านอนและตลอดวันจันทร์หมกมุ่นอยู่กับก้อนไหมพรมสีเทาทั้งอ่อนและแก่ ที่ไปลองลูบๆคลำๆที่ร้านอยู่นานจนพนักงานขายมองแปลกๆเลยแหละ.....
ก็ผ้าพันคอที่ดีมันต้องใช้แล้วอุ่น นุ่ม ที่สำคัญต้องไม่ให้สัมผัสสากระคายที่จะทำให้คนใช้คันด้วยนี่นา


อย่าแปลกใจนะครับ ว่าทำไมผู้ชายอกแฟบๆอย่างผมถึงถักนิตติ้งเป็นกับเขา ผมขอแม่เรียนตั้งแต่อยู่ม.ต้น โน่น ฮ่าๆๆๆๆ ก็ผมชอบอ่านนิทาน แล้วในเรื่องหนูน้อยหมวกแดงเล่มที่บ้านน่ะ คุณยายในภาพวาดนั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก มีพร็อพเป็นหมวกคลุมผมสีหวานกับแว่นตา แล้วบนตักก็วางตะกร้าที่เต็มไปด้วยกลุ่มไหมพรม ส่วนมือก็ถือไม้นิตอยู่นี่ครับ

ใครจะว่าผมแปลกก็ช่างเหอะ แต่ใครอ่านหนูน้อยหมวกแดงแล้วชื่นชอบตัวละครหลักอย่างหนูน้อยหมวกแดงที่อ่อนโยน หรือเจ้าหมาป่าเจ้าแผนการก็เถอะ แต่ตัวละครที่ผมประทับใจที่สุดก็คือคุณยาย ผมปลื้มคุณยาย ก็เลยขอแม่เรียนพิเศษถักนิตติ้งก็เพราะเหตุผลนี้แหละ ยังจำได้เลยว่าตอนย้ายบ้านกันครั้งล่าสุดแม่ถามว่าอยากได้เฟอร์นิเจอร์อะไรเป็นพิเศษมั้ย ผมก็ตอบแม่ไปว่าอยากได้เก้าอี้โยก จะเอาไว้นั่งถักนิตติ้งเหมือนคุณยายในนิทาน

เอาล่ะนอกเรื่องไปไกลแล้ว ผมก็เพ้อไปเรื่อย สรุปว่าตอนนี้วันอังคารที่ 15 สิงหาคม
แล้วก็......เอดูมันอายุครบ 17 ปีแล้วครับ แก่ล่วงหน้าผมไปนิดนึงแล้ว

ผมก็เลยแข็งใจตื่นแต่เช้าอาบน้ำอุ่นจัดๆจนขึ้นไอ แต่งตัวพอกตัวเองหลายชั้นจนตัวกลม
เอาผ้าพันคอที่เพิ่งเสร็จไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ม้วนๆแล้วยัดใส่เป้ประจำตัว ใส่หมวกอีกนิด พันผ้าพันคออีกหน่อย
แล้วย่องออกจากบ้านฝ่าสายหมอกและอากาศข้นๆเดินข้ามเมืองมาจนถึงหน้าบ้านที่มีกำแพงสีเหลืองมัสตาร์ดกับประตูสีน้ำตาลเข้มจนได้


///ติ๊งงงงงง///

ออดบ้านมันเสียงดังอย่างนี้จริงๆครับ เสียงใสดีแท้ ผมกดแล้วได้ยินเสียงออดดังออกมานอกบ้านมันด้วย
แล้วก็ยืนรอไปสิ หนึ่งนาที.....สามนาที......ห้านาที
อ้ะ......ขออนุญาตกดอีกครั้งแล้วกัน เผื่อครั้งเมื่อกี้จะเกรงใจจนกดเบาเกินไป

///ติ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง///


เอาล่ะได้ยินเสียงคนเดินออกมาแล้ว เปิดประตูชั้นใน เงี่ยหูฟังไปก็เริ่มจะสั่นไป
ตอนเดินมาน่ะหนาวครับ เหมือนตัวเองเดินฝ่าก้อนเมฆงั้นแหละ แต่พอมายืนรอนิ่งๆแล้วกลับหนาวกว่าเสียอีก

“โอ๊ยยยยย อิสใช่มั้ย?”

แหะๆใครไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่เดาว่าคงเป็นแม่ไอ้เอดูมัน หน้าตามีเค้าครับ แถมมีลักยิ้มเหมือนกันเสียด้วย.....แถมอีกนิดถ้าใครลืม คุณผู้หญิงเธอไม่ได้เจ็บปวดกับการเห็นหน้าผมนะครับ โอ๊ยน่ะ แปลว่า ‘สวัสดี’

“Eu sou.  Bom dia, senhora.”
ผมตอบรับไปว่าใช่ แล้วก็แถมอรุณสวัสดิ์เซงงอร่าไปเรียบร้อย มารยาทดีก็งี้แหละครับ แหะๆ

“เข้ามาข้างในก่อนมั้ย เอดูไม่อยู่นะ”

“อ้าว.......ไปไหนล่ะครับ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่?”
ผมที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าบ้านตามคนที่เข้าใจว่าเป็นแม่ของเอดูเลยชะงักค้างอยู่หน้าประตูนั่นแหละ
ไอ้บ้ามันไปไหนแต่เช้าเนี่ย อุตส่าห์แข็งใจลุกจากที่นอนอุ่นๆแต่เช้าแล้วยังไม่ทันมันเลย

“เห็นบอกว่าจะไปแถวนี้ ขี่จักรยานไปด้วย”

“นานรึยังครับ?”
ความหนาวทำให้ผมตัดสินใจก้าวตามผู้หญิงท่าทางใจดีเข้าไปในบ้านจนได้ ผมไม่เคยเข้าบ้านมันสักครั้งเลยครับ แต่มันเคยจับผมซ้อนท้ายมาดูหน้าบ้านมันหลายครั้งแล้ว
ไม่ใช่ว่ามันไม่ชวน แต่ผมไม่เข้า....ไม่รู้สิครับ คงเพราะตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาล่ะมั้งผมว่านะ...

“ไม่นานนะจ๊ะ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย”
กรรมเวร....เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงผมว่านานนะ ก็ผมเดินจากบ้านตัวเองมาบ้านมันเร็วๆนี่ใช้เวลายี่สิบนาทีพอดีเลยนี่ เพราะงั้นนานกว่ายี่สิบนาทีผมถือว่านานทั้งนั้นแหละ

คุณนายบ้านนี้ท่านคงไม่รู้จะคุยอะไรกับผมดี ก็เท่าที่คุยๆกันไปนั่นบางประโยคยังต้องใช้ภาษาใบ้ช่วยจนมือเป็นระวิง เลยเลี่ยงเดินเข้าไปด้านในตัวบ้าน โดยปล่อยผมไว้ที่ชุดรับแขก แล้วสักพักก็กลับออกมาใหม่พร้อมด้วยกระติกเก็บความร้อนซึ่งเมื่อเธอรินเจ้าของเหลวสีดำควันฉุยใส่ถ้วยแล้วยื่นส่งให้ผมก็กล่าวขอบคุณก่อนจะรับมาโดยดี

“จะผสมนมมั้ย เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้....หรือจะเติมน้ำตาลจ๊ะ?”
ผมชักจะเข้าใจแล้ว คงเพราะแม่มันใจดีแหละ เอดูมันถึงใจดีได้ขนาดนั้น สงสัยความใจดีนี่มันจะถ่ายทอดทางพันธุกรรมแน่ๆ

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก”
ผมจิบกาแฟดำหวานจัดหอมจัดนั่นน้อยๆ แล้วกุมถ้วยกระเบื้องสีขาวนั่นไว้ด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อรับไออุ่น
ในขณะที่แม่ของไอ้คนตื่นเช้ากว่าเดินกลับเข้าไปทางหลังบ้านอีกครั้ง

นั่งรออยู่เกือบสิบนาทีจนผมจะถอดใจกลับบ้านอยู่แล้วเชียว เสียงประตูหน้าบ้านถูกเปิดก็ดังขึ้น ก่อนเสียงฝีเท้าที่ดูรีบร้อนจะดังขึ้นหน้าโถงประตูแล้วจากนั้นแค่อึดใจหน้าแดงๆของไอ้คนที่ผมเพิ่งจะได้สังเกตว่าผมมันยาวขึ้นจนไม่ใช่สกินเฮดเหมือนเดิมแล้วก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า

“ทำไมทำอย่างนี้!!”
อ้าว ไอ้บ้านี่มาถึงไม่พูดไม่จาทักทายหรอก เปิดปากได้ก็ดุกันเลย.......
งงสิครับ ไอ้บ้านี่เดี๋ยวก็เหวี่ยงกลับหรอก คนอุตส่าห์ถ่างตาตื่นแต่เช้านะเว้ย

“ทำอะไร?”

“ก็ออกจากบ้านไม่บอกใครได้ยังไง รู้มั้ยที่บ้านเค้าเป็นห่วง มานี่เลย”
อ้าว.....ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนี่ แถมออกมาตั้งแต่ยังไม่มีใครตื่นสักคน จะให้ไปเคาะประตูบอกคนกำลังหลับสบายว่าจะไปบ้านเพื่อนเนี่ยนะ

ไม่ทันได้เถียงหรือแม้แต่สะบัดมือหนีไอ้เอดูมันก็ลากผมมายืนข้างโทรศัพท์แล้วครับ แล้วเป็นมันเองแหละยกหูขึ้นมาหนีบๆไว้ที่คอแล้วก็เอามือเดิมที่ว่างกดเบอร์โทรออก
มันบ้าเนอะ.....แทนที่จะปล่อยมือผมก่อนแล้วโทรง่ายๆก็ดันไม่ทำ ทำอย่างกับว่าปล่อยมือแล้วผมจะวิ่งหนีงั้นแหละ

มันถือสายรอเดี๋ยวเดียวก็มีคนมารับสาย รายงานไปเรียบร้อยว่าเจอผมแล้ว ตอนนี้อยู่ที่บ้านมัน แล้วก็ยื่นหูโทรศัพท์มาให้ผมคุย คนปลายสายคือปะไป๊ครับ
ปะไป๊ก็ถามว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ บ่นๆนิดหน่อย แล้วก็บอกว่างั้นกลับดีๆนะ ไป๊จะไปทำงานแล้ว
ก็แค่นั้น.......ไม่เห็นจะร้อนรนอะไรแบบไอ้บ้าที่จนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผมสักนิด


“มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย?”
มันถามขึ้นมาหลังจากผมวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้น โห.....เข้มมาเชียว

ผมจะแก้ตัวว่าอะไรได้ล่ะ ก็เข้าใจว่าเป็นห่วง แต่เช้าๆคนเริ่มออกจากบ้านมาทำงาน ไม่ได้ออกนอกเมืองไปไกลนัก แถมเมืองทั้งเมืองยังมีผังอย่างกับตาราง
ต่อให้หลงแค่ไหนหาที่ที่เป็นเนินสูงๆแล้วขึ้นไปมองให้เจอยอดแหลมๆของโบสถ์กลางเมืองก็กลับบ้านถูกอยู่แล้ว
.........แต่ก็เอาเหอะ วันนี้วันเกิดมันนี่นะ เอาใจสักหน่อยคงไม่เป็นไร

“Descupe…..não tempo-quente, é teu aniversário tá?”
ไม่มีอะไรครับ ก็แค่ดึงมือมันให้มานั่งที่โซฟา แล้วก็ส่งสายตาหมาหงอยให้มันเสียหน่อย พร้อมกับบอกว่า ‘ขอโทษษษษษ อย่าอารมณ์เสียสิ นี่วันเกิดนายไม่ใช่เหรอ?’
แหะๆๆ คนเรามันก็ต้องยอมอ่อนเวลาที่ควรนะครับ คุณว่างั้นมั้ย....

แอบๆเหลือบตามองหน้ามันอีกนิด อาฮะ.....แอบอมยิ้มอยู่นี่หว่า
แหม...ง้อไอ้เอดูนี่ง่ายยิ่งกว่าส่งภาษาตอนซื้อไหมพรมเยอะครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ


“จำได้ด้วยเหรอ?”

“ได้สิ วันเกิดคนสำคัญทั้งคน”
ที่จริงอยากจะบอกว่า มาบอกกันขนาดนั้น จำไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว แต่ไม่ได้ครับไม่ได้ ต้องไม่ลืมตัวครับว่ากำลังง้อมันอยู่

เท่านั้นเองครับ มหกรรมการง้อของผมก็จบลง เพราะไอ้ตัวที่ทำตาขวางเป็นหมาบ้าอยู่เมื่อกี้มันดึงผมเข้าไปกอดทั้งตัว
ผมก็ดิ้นสิ บ้าไปแล้ว มากอดอะไรกลางห้องรับแขก เดี๋ยวแม่แกออกมาจะสมน้ำหน้าให้

พอเห็นผมดิ้นมันก็ยอมผ่อนแรงกอด แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย แล้วยังมองหน้าส่งสายตาเยิ้มๆให้อีก
ไอ้บ้า.....อย่ามาเยิ้มตอนนี้นะเว้ย เดี๋ยวด่าให้เลย

“เดี๋ยวแม่มา.....”

“งั้นตามมานี่”


พอผมเห็นลูกกะตาเยิ้มๆของมัน เลยบอกมันครับว่าเดี๋ยวแม่มันออกมาจากหลังบ้านหรอก มันเลยพยุงตัวเองรวมทั้งตัวผมด้วยขึ้นยืน
เห็นว่าผมหยิบเป้เรียบร้อยแล้วก็จูงมือให้ผมเดินตามเข้าไปตามทางเดินในบ้านมัน จนไปหยุดที่ประตูสีขาวบานที่สามฝั่งซ้ายมือ

เอดูมันเปิดประตูแล้วดันผมเข้าไปในห้อง ระหว่างที่ผมกำลังตื่นตาตื่นใจกับโปสเตอร์สโมสรทีมคอรินเชี่ยน และเซเลเซา ทีมชาติชุดปัจจุบันของบราซิลอยู่
ก็ได้ยินเสียงดังแกร๊กเบาๆ ไอ้เจ้าของวันเกิดมันตามเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูแล้วก็...แถมล็อคประตูด้วยครับ

เอ่อ.......จะปิดประตูเพราะกลัวไม่เป็นส่วนตัวก็เข้าใจ
แต่ไอ้การที่ผมสงสัยว่าทำไมมันต้องล็อคประตูด้วยนี่จะถือว่าผมระแวงเกินกว่าเหตุรึเปล่าครับ?

ไม่ทันได้คิดอะไรเยอะครับ ไอ้หมาบ้าที่ตอนนี้เปลี่ยนจากตาขวางมาเป็นตาเยิ้มมันก็เข้ามากอดผมเอาไว้อีกแล้ว คราวนี้มันกอดแล้วโน้มตัวสูงๆมาซบตรงแถวๆบ่าแถวๆซอกคอแล้วสูดลมหายใจเข้าแรงๆซะด้วยสิ....ดีนะผมแข็งใจอาบน้ำก่อนออกจากบ้าน นี่ถ้าแพ้ความหนาวจนซักแห้ง ไอ้เอดูอาจได้ประสบการณ์วูบในวันเกิดเนื่องจากความเน่าของผมได้

คือถ้ามันกอดเฉยๆแบบที่เคยคงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้การสูดหายใจแรงๆซ้ำๆอยู่แถวซอกคอนี่มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะเขินแล้วก็เลยยืนแข็งทำอะไรไม่ถูกไปเลย
คือผม......คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะกอดตอบมันไป หรือว่าผลักมันออกดี จะพูดบอกมันว่าจั๊กกะจี้ ไอ้ที่รู้สึกอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ใช่จั๊กกะจี้ด้วยสิ
.......ไงดีล่ะ ที่จริงผมก็ชอบนะ ก็พอมันกอดแบบนี้.....มันอุ่นดีจะตาย


“นี่....เอดู”

“หืม?”

“เจ็บหลังป้ะ?”

ที่จริงผมจะถามมันว่าเมื่อยหลังมั้ย แต่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยเอาเจ็บนี่แหละ ง่ายดี ฮ่าๆๆๆๆ

“หืม? ทำไมต้องเจ็บ?”
ยังครับ มันยังไม่ยอมเงยหน้าจากบ่าผมเลย.....มีคนมาพูดใกล้ๆแบบนี้เราจะไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงจากปากมันนะครับ แต่เราจะได้สัมผัสอาการสั่นเป็นจังหวะจากลำคอของมันด้วย

“ก็ต้องโน้มตัวงอขนาดนี้ไง ไม่เจ็บเหรอ?”
คือ......ผมก็ห่วงมันจะเมื่อยไง ก็มันสูงเกินร้อยแปดสิบไปแล้ว ส่วนผมน่ะ ร้อยหกสิบต้นๆอยู่เลย เตี้ยจนอยากร้องไห้

“หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ.....ไม่เป็นไร อยากกอด เจ็บนิดหน่อยทนได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
แล้วดูมันนะครับ หัวเราะร่วนขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยผมสักที

“เอ่อ.....งั้นไปนั่งสิ....ก็.....นั่งกอดไง จะได้ไม่ต้องโน้มตัว”
ผมไม่ได้คิดอะไรมากนะครับ ก็แค่.....วันนี้วันเกิดมัน มันอยากกอดก็เลยให้กอด
แล้วก็ยืนกอดกันมันก็เมื่อยนะครับ แถมมือผมก็ยังถือเป้อยู่เลย เลยต้องขอนั่ง จะได้ถือโอกาสวางเป้ด้วยไง

“ฮ่าๆๆๆๆ อิส....น่ารักมากจริงๆนะ เป็นคนน่ารักจริงๆ ตลกด้วย”
อ่า....ไอ้น่ารักนั่นคือคำชมแน่ๆล่ะ แต่ที่มันบอกว่าผมตลกนี่ ผมควรจะถือเป็นคำชมด้วยดีมั้ยครับ?

ระหว่างที่ผมกำลังขมวดคิ้วคิดอยู่มันก็นั่งลงบนเตียงแล้วดึงให้ผมนั่งตัก ผมก็ตกใจสิ ก็ตั้งแต่โตมาขนาดตักพ่อผมยังไม่เคยนั่งสักครั้ง
ขนาดไปทัศนศึกษากับโรงเรียนแล้วรถแน่นไม่มีที่ให้นั่ง เพื่อนๆมันจะให้นั่งตัก ผมยังเลือกนั่งมันตรงพื้นทางเดินระหว่างเบาะเลยนี่ครับ

พอจะลุกหนีมันก็ยึดเอวไว้แน่นเลย แถมยังวางคางแหลมๆลงมาบนบ่าซ้ายอีก
เป้ในมือน่ะ ไม่ทันได้วางดีๆหรอกครับ ตกใจจนเผลอปล่อยหลุดมือไปกับพื้นเรียบร้อย
แต่.....ที่แย่ที่สุดคือผมหาเสียงตัวเองไม่เจอครับ เสียงมันไม่ยอมออกจากปาก สงสัยหลับพักอยู่แหงๆ


“อิส.....มาหาแต่เช้าแบบนี้ ตั้งใจมาอวยพรเราใช่รึเปล่า?”

“.................อืม”

“เอาสิ เราฟังอยู่”

“Parabens.” ปาราเบงส์......สุขสันต์วันเกิด

“............แค่นี้อะนะ?”

“เออสิ ปล่อยนิดดิ ของขวัญอยู่ในเป้อ้ะ”
ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจดังเฮือก ก่อนจะยอมรับน้ำหนักคางตัวเองแล้วปล่อยแขนแข็งๆทั้งสองข้างออกจากบั้นเอวผม
แล้วเลยเลื่อนตัวไปคว้าเป้มาจากพื้น ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงที่เดิม.....

แหะๆ ใช่ครับ หยิบเป้ แล้วก็นั่งลงบนตักมันเหมือนเดิมนั่นแหละ ก็มันอุ่นดีนี่นา
ผมคิดก่อนทำเสมอแหละ......ก็ถ้านั่งบนเตียงของมัน นิ่มก็จริง แต่ไม่อุ่น สู้นั่งตักมันเหมือนเดิมไม่ได้สักนิด

ได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ แต่ผมก็ไม่สนใจ ก็ตามหลักแล้ว ถ้าเราไม่มองหน้ามัน มันก็คงไม่เห็นหน้าเรา....
แล้วเมื่อมันไม่เห็นหน้าเรา มันก็จะไม่รู้ใช่มั้ยล่ะครับ ว่าเรากำลังเขินมาก.....

ผมจัดการเปิดเป้แล้วหยิบม้วนผ้าพันคอไหมพรมสีเทาแก่สลับอ่อนยาวเมตรกว่าๆออกมา ถอดรองเท้าออก แล้วค่อยๆปีนย้ายตัวเองจากตักมันไปคุกเข่าอยู่บนเตียงด้านหลัง ลงมือถอดผ้าผืนเดิมออกก่อนจะทาบเจ้าสีเทานุ้มนุ่มที่อยู่ในมือลงไปกับลำคอที่ผมไม่ได้หลอกตัวเองเลยว่ากลายเป็นสีแดงจัดนั่นอย่างเบามือ

“Parabens, Edu….”

ผมกระซิบบอกกับเอดูที่ริมหูอีกครั้ง กอดมันแน่นๆหนึ่งที แล้วก็หยิบเป้พร้อมกับใส่รองเท้า ก่อนจะพุ่งไปหน้าประตูอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่.......ไม่ทันครับ

ไอ้เจ้าของวันเกิดมันดึงแขนไว้ทันแล้วผมเลยต้องกลับไปอยู่บนเก้าอี้พิเศษอุ่นๆอีกรอบ

“จะไปไหน?”

“จะกลับบ้านแล้ว”

“อืม.....ผ้านี่ ทำเองด้วยใช่มั้ย?”
มือข้างหนึ่งมันยึดผมไว้แน่น ส่วนอีกมือมันหยิบชายผ้าที่ห้อยมาด้านหน้าขึ้นมาชูแถวๆระดับสายตาของเราสองคนครับ

“อือฮึ......ทำไม ฝีมือห่วยงั้นสิ?”

“หึๆๆ ห่วยจริงแหละ.....”

“นี่.....เอดู ถึงห่วยยังไง ก็อย่าทิ้งนะ นายเป็นคนแรกเลยรู้มั้ยที่เราทำให้ ถ้าไม่กล้าใช้ตอนออกไปข้างนอก ก็เอาไว้พันในบ้าน ตอนนอนก็ได้วันที่หนาวจัดๆไง.....”

“ห่วยจริง....แต่ไม่เป็นไรจะใช้ทุกวัน ตลอดหน้าหนาวเลย”

“หืม?”

“ก็อุตส่าห์ตั้งใจทำให้ทั้งที ขอบคุณมากนะ”
ไอ้เก้าอี้มันเลื่อนส่วนบนของพนักพิงมาวางไว้กับบ่าซ้ายผมอีกแล้วครับ แล้วมันยังเอาจมูกแหลมๆมาลากๆตรงข้างแก้มด้วยสิ เอ่อ.......อยู่ไม่ได้แล้วครับ

“ปล่อยดิ จะกลับบ้าน”
รู้สึกเสียงตัวเองแปลกๆ เหมือนจะอ้อนๆ กรรม......นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย

“ก็แล้วจะรีบกลับไปทำไมล่ะ?”

“.........ก็........หิวแล้ว จะกลับไปกินข้าว”
ข้ออ้างโง้โง่เนอะ ทำไปได้......แต่มันคิดอะไรไม่ออกนี่นา ใครมาเจอแบบผมบ้างสิ หาเสียงตัวเองเจอก็ดีแล้วนะนั่น

“วันนี้เราจะเลี้ยงอิสเอง มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็นด้วย.......เฮ้ออออออ”

“อะไร ถอนใจทำไม? ถ้ากลัวจนก็ไม่ต้องกลัวนะ เรากินไม่เยอะ หรือไม่งั้นแชร์กันก็ได้”

“เปล่าๆ ไม่ได้กลัวจน แค่.....คิดไม่ถึงว่าอิสจะให้ของขวัญแบบนี้......”

“หมายความว่าไง?”
ผมพยายามหันกลับไปมองหน้ามันอยู่ครับ งงกับมันเลย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง

“ก็.......ช่างเหอะ เราคงคิดไปเองว่าอิสโตแล้ว ที่แท้อิสยังเด็กอยู่นี่เนอะ หึๆๆๆ”

“.......................”
ผมว่าผมเข้าใจนะ ว่ามันหมายความว่ายังไง แต่.........จะให้ผมให้มันได้ยังไงล่ะ

“ไป....งั้นก็ไปข้างนอกกันดีกว่า เช้านี้กินข้าวบ้านเราดีมั้ย หรืออยากกินอะไร?”
เอดูมันดันตัวผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็จับข้อมือผมจะลากให้ก้าวตามออกไปนอกห้องอีกครั้ง

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดน้อยไปรึเปล่า แต่ผมก็กระตุกข้อมือรั้งมันเอาไว้ แล้วก้าวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมันอีกครั้ง

“เอดู......เนี่ยมากสุดเท่าที่จะให้ได้แล้วนะ”
พูดแบบนั้น แล้วผมก็เขย่งขึ้นแตะจมูกลงกับแก้มมันเร็วๆ เร็วจนตัวเองยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าสัมผัสมันเป็นยังไง สัมผัสได้แค่มันอุ่น อุ่นกว่าปลายจมูกของผมเยอะเลยเท่านั้นเอง
“แล้วก็......อีกเก้าวันจะวันเกิดเรา อย่ามาเนียนให้ของขวัญเลียนแบบเราเชียวนะ”


แล้วผมก็เป็นฝ่ายก้าวนำมันออกจากห้องมาเอง.......
............อยู่นานไม่ไหวครับ อายสายตาพวกเซเลเซา โด บราซิล
คนถ่ายภาพทีมชาตินี่จะตั้งใจอะไรนักไม่รู้ นักเตะมองออกมาอย่างกับจะสบตากับเราแถมยังส่งยิ้มล้อเลียนแทบทุกคนเลย
......................................
......................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..

ปล.ไม่ต้องทายนะคะว่าอะไรจริงอะไรแต่ง ไม่เฉลยแน่ค่ะ โฮะๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: amor ou paixão [8] (15/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 24-08-2010 17:41:56
 :z13: จิ้ม ๆ


ตอนนี้ขอยกความน่ารักทั้งหมดให้อิส หึหึ
โก๊ะจริง ๆ นะเรา ไปชวนเค้านั่งกอดได้ง้ายยยย
ก็เข้าทางเอดูเลยครับท่าน..
นั่งตงนั่งตัก เนียนนะเรา >///< น่ารัก คึคึ

"ถ้าเราไม่มองหน้ามัน มันก็คงไม่เห็นหน้าเรา....
แล้วเมื่อมันไม่เห็นหน้าเรา มันก็จะไม่รู้ใช่มั้ยล่ะครับ ว่าเรากำลังเขินมาก....."
จด ๆ เก็บเอาไว้ใช้บ้างไรบ้าง กร๊ากกกก คิดได้ไง

เอร้ยยยย มีหอมแก้มกันอีกเรอะ!!!  :-[
กอดอิสที น่ารักจริงจัง :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 24-08-2010 18:25:13
 :o8:
รู้นะเอดูอยากได้อะไร
อิสน่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 24-08-2010 19:03:40
ไปอ่านก่อนน้าพี่นุ่นจ๋า ^^
ติดอยู่ในโพรงปากคล้ายก็กับพริกหวานไม่มีผิด << มีสลับที่ป่าวคะพี่นุ่น  :กอด1:

เอ้ยยยย...หนูอิสน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกก
เด็กน้อยขี้อ้อนอะ เอดูทนได้ไงไม่รู้ งุงิ
เหมือนจะแอบรู้เลย ว่าเอดูอยากได้ของขวัญอะไรที่ไม่ใช่ของเด็กๆ 555
อิสระวังได้ของขวัญวันเกิดแบบผู้ใหญ่จากเอดูนะจ๊ะ ฮ่าๆ
โอยน่ารักๆๆๆ เค้าชอบตอนนี้มากอะค่ะพี่นุ่น  :m3:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-08-2010 19:06:36
เด็กจริง ๆ แหละ  ให้ผ้าพันคอ
ถ้าโตแล้วก็ต้องให้ตัวเองเป็นผ้าห่มงั้นสิ  เอิ๊กกก
ทั้งหวาน  ทั้งน่ารักจริง ๆ สองคนนี้
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 24-08-2010 19:16:04
 :m20: เริ่ดมากนู๋อิส รักนวลสวงนตัวสมเป็นนายสาวไทย 5555 แต่อ่ะนะ นิด ๆ หน่อย ๆ

ให้ไอ้หนุ่มเอดูมันชื่นใจหน่อยก็ดีนะ สงสาร....อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 24-08-2010 20:49:48
 :z2: นุ่น
อิส น่ารักมากกก เขินแทนเลย
ก้าวหน้าแล้วนะ นั่งตักกันมั่ง หอมแก้มกันมั่ง  :-[
เอดู อีกเก้าวันจะหาอะไรให้อิสนะ อยากรู้...
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 24-08-2010 21:34:36
อ๊ายยยยยยยยยยยยย

เขิน(โว้ย)ค่า!

เอ ไม่ให้เลียนแบบเนี่ยถ้าเอดูจุ๊บขึ้นมาเลยนี่ไม่ถือว่าเลียนแบบนะ - -+

พี่นุ่นขาอยากเห็นรูปเอดูจังเลย~ *เกาะแขนทำตาปิ๊งๆ*
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 24-08-2010 21:49:30
^
^
^
ดูที่ดิสเพลย์เจ้ดิกระต่ายน้อย

เห็นกาก้าป้ะ? เอากาก้ามุมนี้เลยนะ ใส่แว่นกรอบดำแบบนี้เลยนะ
แล้วยิ้มปากกว้างๆแบบนี้แหละ
สีผม สีผิว โดยเฉพาะแผงขนตากาก้านี่บล็อคมาคล้ายเอ๊ดูมากกกกกกกกกก

แต่ๆๆๆ จับตัดผมให้เป็นสกินเฮด ลดความล่ำลงอีกนิด

ปล.กาก้ามุมอื่นโดยเฉพาะหน้าตรงใช้ไม่ได้นะคะ กาก้าหน้าหวานเกิ๊นนนนนนนนน (เอ๊ดูต้องมีแก้มมากกว่ากาก้าด้วย)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 24-08-2010 21:58:35
 :o8: ว้านหวานจ้า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 24-08-2010 22:11:01
อิสเอ๊ยยย ยังเด็กอยู่มากเลย แต่เอดูไม่เด็กนะ
วันเกิดอิส คงได้ของขวัญแบบผู้ใหญ่แน่เลย

น้องนุ่น ไม่เฉลยไม่เป็นไร แต่พี่ก็ยังอยากทาย
เรื่องผ้าพันคอ คงเป็นเรื่องแต่ง
นอกนั้น...เป็นเรื่องจริง....ใช่ป่ะ ....เขินนนนนนจัง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iiดาวพระสุขლii ที่ 24-08-2010 22:35:15
 o13  น่ารักดีจัง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในคŪ
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 24-08-2010 22:48:47
โอ๊ยย (อันนี้คือคำอุทาน ไม่ใช่คำทักทายแต่อย่างใด) เมื่อยแก้ม
อ่านมา 9 ตอนรวด ยิ้มแก้มจะแตกอยู่แล้ว
น่ารักมากถึงมากที่สุด
เนื้อเรื่องดำเนินเรื่อยๆ แต่อบอุ่นเป็นบ้าเลยอ่ะ
อิสจ๋า น่ารักได้ใจสุดๆ มีหอมแก้มอะไรกันด้วย
เขินแทน  :-[  :-[
กด +1 ให้พี่นุ่นน๊า
เพิ่งเห็นเรื่องนี้ก็ปาเข้าไป 9 ตอนแล้ว เกือบอ่านตามไม่ทันเลยอ่า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 24-08-2010 23:13:40
ตายแล้ว !!!! เมื่อไหร่หนูจะโตหล่ะหนูอิส อีก 9 วันใช่มะ   :z1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 25-08-2010 09:34:49
น้องอิสน่ารักมากกกกกกกกกกก

เด็กน้อยคนนี้นี่ ถ้ามาอยู่ใกล้ๆ จะขอกอด แล้วหอมซักสองสามฟอดใหญ่

ช็อตพันผ้าพันคอนี่ น่ารักมากกกกกกกกกกอะ หอมหวานสุดๆ ค่ะ

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: eastwind ที่ 25-08-2010 09:40:31
อิอิอิ  เอดูอุตส่าห์บอกวันเกิดล่วงหน้า นึกว่าจะได้ของขวัญแบบผู้ใหญ่ใช่มั้ยล่า :z1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 25-08-2010 15:14:54
น่ารักจริงๆเลย ทั้ง อิส แล้ว เอดู

แวะมา ชูพู่~~ จ้า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 25-08-2010 18:39:15
น่ารักมากเลยอ่ะ เอดูกับอิส อร้ายส์

ต้องไปหาคนให้นั่งตักบ้างแล้ว(หาได้ที่ไหนล่ะ?)

เจ้จะได้ไม่อิจฉา ยังมีต่อใช่ไหมอ่ะ รอค่ะรอ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 25-08-2010 22:11:08
 :o8: เคลิ้มกับความหวานของคู่นี้ เอิ๊กกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-08-2010 18:00:36
^
^
^
จิ้มมมมมมมมมมม จึกๆทะลุร้อยพวงค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนนะคะ >////////<

ตอนต่อไปเสร็จแล้วค่ะ เข้ามาบอกไว้ก่อนว่าขอตรวจคำผิดอีกสักแป๊บจะมาลงให้อ่านกันนะคะ

ปลื้มมมมมมมมมมมมมม

ตอนก่อนโน้นเอ๊ดูมันทำคะแนนไปเยอะ ใครๆก็รักก็หลง
มาตอนล่าสุดนี่อิสได้คะแนนมาโข เอริ้กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

(แอบตอบพี่แม่หมูที่อุตส่าห์ทาย.......จะบอกว่า พี่แม่หมูทายผิดค่ะ ^o^)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Parabens!!” [9] (24/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-08-2010 18:20:58
มาแล้วค่ะมาแล้ว

ตอนนี้ข้าพเจ้าเขียนไปแอบหงิงๆไป
แต่ๆๆ........อย่าได้คิดว่าจะม่า ไม่มี้ไม่มีมาม่านะคร้า  :กอด1:
........................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: “Não chora….meu bem”


...............................................

สามวันหลังวันเกิดเอดูผมก็กลับไปบ้านไร่ครับ แล้วผมก็พบกับความจริงในคำพูดปะไป๊.....
งานเก็บกาแฟ....เป็นงานที่ต้องใช้ความทรหดอดทนมากจริงๆ


ด้วยความที่ความสูงของต้นกาแฟอยู่ที่ระดับไหล่ของเรา ส่วนผลก็ขึ้นตามกิ่งก้านซึ่งเตี้ยลงไปอีก
เวลาเก็บกาแฟ เราจึงต้องก้มตัวแล้วใช้มือสองข้างรูดจากกิ่งส่วนที่ติดกับลำต้นออกมาด้านนอก
เอาผ้าหรือไม่ก็ถุงปุ๋ยมาปูไว้บนพื้นเพื่อรอรับผลกาแฟที่ตกลงตามมือเราออกแรงรูด

ลืมไปเลยครับว่าหนาว เพราะพอต้องทำแบบนั้นซ้ำๆกันมันก็เหนื่อยจนร่างกายขับเหงื่อออกมาอย่างกับอาบน้ำ

สรุปว่าแรงงานของเรามีปะไป๊ คนงานประจำสองคน จ้างมาพิเศษอีกสามคน วิเวียนน้องสาวที่ตัวโตกว่าผมเยอะ
แล้วก็เวนเดลพี่ชายคนโตที่เรียนเกี่ยวกับการดูแลปศุสัตว์ในวิทยาลัยที่ต่างเมืองปิดเทอมกลับมาพอดีอีกคน
รวมทั้งผม....ที่ทั้งปะไป๊และเวนเดลพร้อมใจกันส่ายหน้าว่าไม่รอดแน่ๆอีกคน ง่า....ดูถูกกันเกินไปแล้ว

ตอนแรกผมก็ยืนดูคนอื่นก่อนครับแล้วถึงเริ่มลงมือเก็บกาแฟเองบ้าง ได้หนึ่งต้นคนอื่นเขาไปถึงต้นที่สองต้นที่สามกันแล้ว
แถมพอทำไปได้สักสี่ห้าต้นก็เริ่มไม่ไหว ไม่ใช่เพราะเหนื่อยนะครับ แต่เป็นเพราะการเสียดสีทำให้ฝ่ามือโดยเฉพาะบริเวณง่ามนิ้วโป้งนี่เริ่มจะแดงช้ำ

มองไปที่คนอื่นก็เห็นเขาทำงานกันไปได้เรื่อยๆคุยกันแซวกันไปตามเรื่อง แถมทุกคนก็ยังมือเปล่าเหมือนกัน
ไม่ได้มีเครื่องป้องกันอะไรสักอย่าง แถมไอ้วิเวียนน้องสาวตัวดีที่ทำงานอยู่ในแถวกาแฟด้านหน้าถัดจากผมมันยังหันกลับมาส่งยิ้มแถมยักคิ้วล้อเลียนให้อีกต่างหาก

คุณเป็นกันมั้ยครับ เวลาที่เราบอกตัวเองว่าทำไม่ได้.....มันก็หมายความว่าจะทำไม่ได้เอาจริงๆ
แต่พอมีคนอื่นมาบอกว่าเราจะทำไม่ได้นี่สิ......ทำไมเราถึงต้องพยายามทำมันไปจนสำเร็จได้ก็ไม่รู้.....


ผมเป็นแบบนั้นแหละ เพียงแต่เมื่อสาเหตุที่ทำให้ท่าจะไม่รอดคือเจ็บมือ ผมเลยตัดสินใจถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่มาเม้ยส่งให้ตอนบอกว่าจะออกมาเก็บกาแฟด้วยออก
แล้วเอามาพันมือทั้งสองข้างไว้แทน เสื้อตัวในจะเลอะไปบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย

เราเริ่มเก็บกาแฟกันตั้งแต่แดดยังไม่จัด พอเที่ยงมาเม้ยก็หอบหิ้วอาหารกลางวันใส่ตะกร้าใส่กล่องพลาสติกมาให้ถึงกลางไร่เลยครับ
พอจัดการเติมพลังงานเสร็จเราก็ลงมือทำงานกันต่อ เสร็จงานก็เย็นมากแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยครับว่ากองกาแฟเบ้อเริ่มเทิ่มนี่จะใช้เวลาเก็บแค่วันเดียว

และถึงแม้ว่าแรงงานอาสาสมัครอย่างผมจะเก็บไปได้ไม่ถึงครึ่งของที่คนอื่นๆเก็บกันได้
แต่ผมก็สนุกมากไปพร้อมๆกับอยากจะแช่น้ำอุ่นๆแล้วหลับมันเสียเดี๋ยวนั้นเลยล่ะครับ
ส่วนที่แย่มันก็แค่....ถึงจะเอาเสื้อมาพันมือไว้แล้ว แต่ฝ่ามือผมตอนเสร็จงานก็ช้ำมาก แถมยังมีตุ่มน้ำขึ้นมาข้างละสองสามจุดเลยด้วย


สัปดาห์นี้ปะไป๊เป็นคนเดียวที่จะกลับเข้าเมือง ส่วนมะเม้ย เวนเดล วิเวียน และผมจะอยู่เฝ้าไร่
เนื่องจากผลกาแฟที่เราตากไว้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็ถึงวันอังคาร กว่าจะแห้งจนส่งขายได้

เราใช้พื้นที่สนามปูนที่ด้านหนึ่งมีแป้นบาส ส่วนอีกด้านมีโกลฟุตบอลซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านข้างของบ้านในไร่เป็นที่ตากกาแฟ
ดังนั้นคนงานจึงย้ายเอาโกลฟุตบอลมาไว้ฝั่งเดียวกับแป้นบาสตรงใต้แป้นพอดีแทน


เย็นวันอาทิตย์หลังจากปะไป๊ขับรถกลับเข้าเมืองไปแล้ว ขณะกำลังรอเวลาบอลลีกที่จะถ่ายทอดสดทุกวันอาทิตย์มา
ผมกับเวนเดลและวิเวียนเลยไปเล่นบาสรอดูบอลด้วยกัน....

แอบบอกครับ ผมกับเอดูเป็นศัตรูกันเรื่องนี้ เพราะผมมาถึงยังไม่ทันได้คุยอะไรกับมันมากมายก็นั่งเชียร์ปัลเมราส(Palmeiras) เป็นเพื่อนปะไป๊ไปแล้ว
ในขณะที่บ้านเอดูมันเป็นแฟนคอรินเชี่ยน (Corinthians) กันทั้งบ้าน
แต่สุดท้ายแล้วปีนั้นทีมจากรัฐเซา เปาโล ที่เข้ารอบลึกสุดของถ้วยบราซิลก็คือทีมเซา เปาโลครับ แถมนัดสุดท้ายยังไปแพ้ให้ทีมครูเซโร่ จากรัฐมินาส เจรายส์ อีก

ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคุณสายลมโกรธอะไรผมรึเปล่า ขณะที่แย่งลูกมาจากมือเวนเดลได้แล้วพุ่งเข้าไปใต้แป้นจะเลย์อัพ
คุณลมหอบใหญ่ที่จู่ๆก็พัดมาไม่มีการเตือนล่วงหน้าก็พัดจนโกลฟุตบอลหนักมากๆที่คงจะตั้งไว้ไม่ดีล้มลงมาด้านหน้า

ผมก็พยายามแล้วนะครับที่จะดีดตัวหนีตามเสียงร้องเตือนของทั้งเวนเดลและวิเวียน แต่คงเพราะขาสั้นเกินไป ไอ้ที่ตั้งใจจะหนีเลยไปได้ไม่พ้น
ผมล้มลงโดยมีโกลฟุตบอลใจร้ายนั่นทับอยู่ตรงข้อเท้าขวา พอดึงขาให้พ้นออกมาก็รู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะชาแล้วไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด....

เพียงแต่มันรู้สึกเหมือนข้อเท้าขวาหายไปไหนไม่รู้ จนต้องเขย่งเกาะแขนเวนเดลกลับเข้าบ้าน
กำลังสนุกเลย เสียดายอีกต่างหาก กว่าจะแย่งลูกจากยักษ์อย่างเวนเดลได้ไม่ใช่ง่ายๆนี่ครับ

มะเม้ยเห็นท่าที่ผมทำตัวเป็นกระต่ายพิการมีขาข้างเดียวกระโดดเข้าบ้านก็ถามนู่นนี่นั่นรัวไปหมด ผมตอบได้อยู่จากเดียวแหละ

“Não mãe, eu não dói.” ใช่แล้วครับ......อย่างที่ทุกท่านคิด ผมบอกมะเม้ยว่า ไม่ครับแม่....ผมไม่เจ็บ

ผมไม่ได้โกหกหรือเกรงใจนะครับ แต่ว่าตอนที่มาเม้ยถามผมไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดจริงๆ
มาเม้ยก็ย้ำว่าถ้าเจ็บให้รีบบอกเพราะจะได้โทรเรียกไป๊ขับรถออกมารับไม่งั้นจะมืดค่ำไม่อยากให้เดินทาง อากาศหนาวมากด้วย

แต่ผมก็ปฏิเสธไปว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ มะเม้ยเลยหยิบยามาให้ผมกิน ผมดูก็หน้าตาเป็นพาราเซตธรรมดาๆเลยกินเข้าไปให้มะเม้ยสบายใจ

จนตกกลางคืนนั่นแหละ เข้านอนไปได้ไม่นานผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจมันลงไปอยู่ที่ข้อเท้า เพราะมันมีเสียงตุ้บ....ตุ้บ ดังที่ข้อเท้าจนรู้สึกได้ตลอดเวลา
เสียงนั้นดังจนผมนอนไม่ได้ทั้งคืนและเมื่อมองข้อเท้าตัวเองก็ต้องตกใจ เพราะมันบวมขึ้นมาจนเหมือนกับเป็นเท้าตุ๊กตาที่ดูพองๆกลมๆแทบจะไม่มีเหลี่ยมมุมอะไรเลย



เวลาที่เราเจ็บที่ที่เราคิดถึงเป็นที่แรกคือบ้าน.......
และคนแรกที่เราคิดถึงคือคนที่เรารักและผูกพันอย่างที่สุด


คืนนั้นที่บ้านไร่ เป็นคืนแรกตั้งแต่มาอยู่บราซิล ที่ผมคิดถึงแม่.....คิดถึงมากจนน้ำตามันไหลออกมาเอง
อยากให้แม่กอด อยากให้แม่โอ๋ แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

แต่........ถ้าหากคนแรกที่เราคิดถึงคือคนที่เรารักและผูกพันอย่างที่สุด
แล้วคนที่สองล่ะครับ.......


ผมคิดถึงมันครับ ผมคิดถึงเอดู....เอดูอาร์โด้ ปาสโคอาลิโน่ ไอ้คนที่หาเรื่องเอาผมซ้อนท้ายจักรยานไปโน่นมานี่แทบทุกวัน
ไอ้คนที่บอกว่าผมเหมือนกับพระอาทิตย์สำหรับมัน ไอ้คนที่บอกว่าไม่ต้องมารอมันก็ยังดื้อจะมารอให้ผมรุ้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญ
......ไอ้คนที่กอดผมโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ.......
......กอด......จนผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีคำว่าหนาว




ผมลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ยังไม่สว่างดี ค่อยๆเกาะกำแพงก้าวไปโดยหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักที่ข้อเท้าขวา จนโผล่หน้าเข้าไปในห้องครัวได้

มะเม้ยหันมาเห็นหน้าผมก็คงรู้แล้วล่ะครับว่าผมกำลังแย่ เลยรีบมาดึงเก้าอี้ออกให้ผมนั่งลงดีๆ

“เจ็บมากมั้ย?”

“มากครับ”

“เดี๋ยวเม้ยโทรตามปะไป๊นะ อิสรอก่อนแล้วเราไปหาหมอด้วยกัน อาบน้ำไหวมั้ย?” มะเม้ยก้มลงไปดูข้อเท้าผมจนใกล้แล้วถาม

“ไหวครับ”

“เนี่ยน้า ถ้าเข้าเมืองไปหาหมอตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่ต้องมาทนขนาดนี้แท้ๆ เดี๋ยวเม้ยโทรตามปะไป๊ของอิสเลย อิสอาบน้ำรอเลยนะ ระวังขาด้วยล่ะ”


มะเม้ยบ่นอะไรอีกก็ไม่ทราบครับ ผมทำได้แค่ส่งยิ้มที่คงจะแหยน่าดูไปให้ จากนั้นไม่นานปะไป๊ก็หน้าตาตื่นมารับผมที่บ้านไร่เข้าเมืองไปคลินิก ถูกจับถ่ายภาพเอ็กซเรย์แล้วก็ตรวจๆคลำๆนิดหน่อยก่อนจะได้เครื่องประดับสีน้ำเงินสดเป็นเฝือกสั้นที่ยาวตั้งแต่ใต้เข่าลงไปจนถึงจมูกเท้า พอให้นิ้วเท้าบวมๆของผมออกมาสัมผัสอากาศเย็นๆได้บ้าง

กิจวัตรประจำวันอย่างการอาบน้ำหรือเดินไปมาภายในบ้านกลายเป็นเรื่องยาก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสรุปแล้วตัวเองเป็นอะไร แต่ที่แน่ใจคือไม่มีอะไรหักเพราะต้องใส่เฝือกแค่ยี่สิบวัน แล้วหมอก็นัดไปตัดออก

แต่ระหว่างยี่สิบวันนี้เนี่ยสิ เจ้าหน้าที่ที่คลินิกก็โหดร้าย ไม่ยอมให้ผมใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเลยด้วย บอกแค่ให้เดินได้ปกติ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าเวลาคนเรามีเฝือกติดอยู่ตลอดเวลานอกจากจะหนักแล้ว ยังรู้สึกเหมือนขาสองข้างยาวไม่เท่ากันอีกด้วย

ก็นะ......ข้างขวาที่มีเฝือกอยู่มันต้องบวกความหนาเฝือกเข้าไปด้วยนี่ครับ เพราะอย่างนี้ พอต้องเดินโดยไม่มีไม้เท้า ผมเลยต้องใช้ความพยายามในการทรงตัวมากกว่าปกติ


แต่คนอย่างผมก็อยู่นิ่งๆได้แค่วันเดียวเท่านั้นแหละครับ พอได้ยาก็หายปวด ถึงจะกลายเป็นน้องเป๋ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย หมกตัวอยู่แต่ในห้องเดี๋ยวจะเฉาตาย

วันนี้ผมถูกทิ้งให้อยู่บ้านกับดอนน่า มารีอา คุณแม่บ้านใจดีที่รับจ้างมาทำงานบ้านให้เฉพาะตอนกลางวันครับ เพราะปะไป๊พาเม้ยกลับบ้านไร่ไปตั้งแต่เช้าให้ไปดูเรื่องที่คนรับซื้อจะมารับกาแฟ แล้วตัวเองก็กลับเข้าเมืองเข้าสำนักงานไปทำงานต่อ

แต่ถึงจะถูกทิ้งผมก็ไม่ทันเหงาหรอกครับ เพราะผมกำลังรออยู่
เมื่อคืนผมโทรหาเอดูมันแล้ว ก็คนมันคิดถึงก็ต้องโทรหาจริงมั้ยครับ ไม่ใช่อะไรหรอก จะเรียกมาอวดไอ้เครื่องประดับหนักๆสีน้ำเงินสดนี่เสียหน่อย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

มันบอกว่านึกว่าผมยังอยู่บ้านไร่อย่างที่บอกไว้ตอนแรก กลับมาแล้วก็ดี วันนี้มันจะเข้ามาหา....
เห็นมั้ยครับ ไม่ต้องพูดชวนหรอก เอดูมันหาเรื่องมาหาเองได้เสมอแหละ

ผมจัดการย้ายตัวเองมานอกห้อง เลือกนั่งรอที่โซฟาตัวที่ใกล้ประตูมากที่สุด เวลามันมาถึงจะได้ลากตัวเองไปเปิดประตูรับได้ง่ายๆ
นั่นไงครับ.....ปะไป๊ออกไปได้ไม่ถึงชั่วโมงเลย ก็มีเสียงออดดังขึ้นหน้าบ้านแล้ว
....................................


“อิส เอ๊ะ!! ทำไมเป็นอย่างนี้?”

“อะไร ขาเนี่ยเหรอ? หกล้มน่ะ เข้าบ้านก่อนๆ”

เอาอีกแล้วครับ โวยวายเสียงดังไปได้ ผมเลยตัดบทมันลากตัวเองนำเข้าบ้านซะเลย อิตอนจะขึ้นบันไดจากโถงขึ้นไประดับห้องรับแขกนี่จู่ๆก็ได้รับบริการพิเศษครับ ไอ้พลังช้างสารที่เดินตามหลังมาอย่างสงบมันจับหมับที่บั้นเอวแล้วยกขึ้นทีเดียวขึ้นมาอยู่บันไดขั้นที่สามเลย แหม......น่าจ้างมาคอยช่วยยก 24 ชั่วโมงเอาจริงๆ

พอมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาได้ผมก็ขอบคุณมัน แต่มันสิ ไม่มีรีรอ ใส่คำถามมาเป็นชุดจนผมต้องบอกให้มันพูดช้าๆนั่นแหละ
มันถึงค่อยเรียบเรียงคำถามช้าๆออกมาทีละคำถามได้
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คำถามเดิมๆเหมือนกับที่ปะไป๊กับหมอที่คลินิกถามนั่นแหละ
‘ไปทำอะไรมา?’
‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้?’
‘กี่วันแล้ว?’
‘ต้องใส่เฝือกนานแค่ไหน?’
.
.
มากมายก่ายกองจนมันหมดคำถามแหละ ทีนี้มันก็ถามผมคำถามเดียวกับคนอื่นอีก แต่เพราะเป็นเอดู มันถึงทำให้ผมรู้สึกต่างออกไป


“เจ็บมากมั้ย?”
มันถาม ถามแบบที่ถอดทั้งหัวใจออกมาถาม......คำถามของมันไม่ได้หมายความแค่อยากรู้ว่าผมเจ็บมากรึเปล่า
แต่ผมรับรู้ได้ ว่าเอดูมันอยากจะอยู่ตรงนั้นด้วย อยากเป็นคนประคองตอนผมเจ็บ
มันอยากจะบอก.....ว่ามันเป็นห่วงผมมาก

ผมคงเป็นเด็กแบบที่เอดูมันบอกจริงๆ เพราะทั้งๆที่เมื่อกี้ยังยิ้มรับมันที่หน้าประตู
แต่พอมาเจอสายตากับคำถามแบบนี้ รู้ตัวอีกทีน้ำตามันก็ไหลออกมาแล้ว

เจ้าความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของคืนนั้นที่นอนอยู่บนเตียงคนเดียวแล้วคิดถึงแม่มันย้อนกลับมาหา
แล้วความรู้สึกที่ว่าอยากให้มันอยู่ด้วย......อยากให้ไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำอะไรไม่ถูกอยู่ตอนนี้มันมากอดมาโอ๋ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง

ผมซุกตัวเข้ากับอกของเอดูมันทันที ปลอยให้น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายไหลซึมลงกับอกเสื้อที่มีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ
รับรู้ถึงอ้อมแขนที่ยอมรับตัวผมเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่ๆทั้งสองข้างที่ลูบขึ้นลงอยู่ที่แผ่นหลัง


“Não chora….meu bem”

วันนั้นเอดูมันโอ๋ผมอยู่นาน พูดประโยคที่เป็นคำปลอบโยนอีกมากมาย
แต่ผมจำติดใจกับสุ้มเสียงอบอุ่นอ่อนโยน ไม่ต่างกับอ้อมกอดที่ไม่ว่าครั้งไหนก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น
และประโยคนี้..... ‘อย่าร้องไห้เลยนะ....เด็กดีของผม’


................................
................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..


ปล.กอดค่ะ คนอ่านที่น่ารัก กอดดดดดดดดดดดดด ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 26-08-2010 18:24:24
 :z13: น้องนุ่น


น้องอิสเด็กดี ของเอดู
 :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 26-08-2010 18:38:48
โถๆๆๆ หนูอิสเจ็บขางอแงอ้อนเอดูเป็นเด็กๆเลย...
แต่ก็ดีออกเนอะ จะได้มีคนโอ๋เยอะๆ อบอุ่นดีออก อิอิ

ปล. อยากกินกาแฟ~ TT
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 26-08-2010 19:01:10
น้องอิสคงจะเจ็บมาก โอ๋ๆ อย่าร้องนะ
ซบอกเอดูแล้วไม่ต้องร้องนะ
น่าร้กที่ซู้ดดดดด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 26-08-2010 19:04:05
คงเหมือนกันทุกคนที่ว่าเวลาป่วยแล้ว  รู้สึกอยากมีคนให้อ้อน
อยากให้คนมาโอ๋  มาใส่ใจมาก ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeyja55 ที่ 26-08-2010 20:37:12
อิสขี้อ้อนนะเนี่ย แล้วถ้ากลับเมืองไทยจะไปอ้อนใครหล่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 26-08-2010 20:53:14
กอดไรท์เตอร์ตอบ  :กอด1: อิๆ หวานจิ๊งงงง คู่นี้  :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 26-08-2010 23:11:19
น่ารักง่าส์~~~~~~~~~~~~~!!!~

อ่านไป ร้องงี๊ด งี๊ด ไป
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 27-08-2010 00:45:31
^
^
^
จิ้มมมมมมมมมมม จึกๆทะลุร้อยพวงค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนนะคะ >////////<

ตอนต่อไปเสร็จแล้วค่ะ เข้ามาบอกไว้ก่อนว่าขอตรวจคำผิดอีกสักแป๊บจะมาลงให้อ่านกันนะคะ

ปลื้มมมมมมมมมมมมมม

ตอนก่อนโน้นเอ๊ดูมันทำคะแนนไปเยอะ ใครๆก็รักก็หลง
มาตอนล่าสุดนี่อิสได้คะแนนมาโข เอริ้กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

(แอบตอบพี่แม่หมูที่อุตส่าห์ทาย.......จะบอกว่า พี่แม่หมูทายผิดค่ะ ^o^)

ไม่ทันแล้วนุ่น พี่เชื่อไปแล้วอ่ะ น่านะเอาใจคนอ่านหน่อยนะจ๊ะ อิอิ

สำหรับตอนใหม่นี่ อบอุ่นจัง แม้จะแลกมาด้วยความเจ็บปวดของนุ่น เอ๊ย ของอิส

สงสัยหลังจากนี้ อิสไม่ต้องหาไม้เท้าแล้วล่ะ มีเอดูมาบริการแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 27-08-2010 10:59:32
 :-[ อยากเจ็บขาแล้วมีคนมาให้อ้อนแบบนี้บ้างจัง จะงอแงมันทั้งวันเลย

เอดู น่ารักมากกกกกกกก อยากได้ผู้ชายแบบนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆ  :man1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Oo๐FosfoggY๐oO ที่ 27-08-2010 11:37:36
โถหนูอิส อ้อนๆ ซุกๆ น่ารักเกิ้น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 27-08-2010 12:12:47
กอด ๆ โอ๋ ๆ สงสารอิส
มีเอดูมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ไม่เอาไม่ร้องนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 27-08-2010 12:40:19
ได้โอกาสอ้อนเลยนะ นู๋อิส
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 27-08-2010 12:41:50
เวลาคนเราเจ็บ คือช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด
แต่อีสนี่โชคดีนะ  ถึงจะเจ็บอยู่ไกลบ้าน  ก็ยังมีอกอุ่นๆ ให้ซุกช่วยคอยซับตาได้  :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 27-08-2010 15:05:55
น้องอิสคงหายวันหายคืนภายในเร็ววัน อ้อมกอดของคนที่เรารัก คือยารักษาขนานวิเศษอีกขนานน้า
พี่แก้วอ่ะอยากกอดเอดู และอยากให้เอดูกอด แต่คงเป็นไปไม่ได้ ขอ :กอด1:น้องนุ่นแทนล่ะกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 27-08-2010 15:35:43

ทันแล้วจ้าพี่นุ่น (แอบเห็นอายุ)

อิสขี้อ้อน งอแง นะจ๊ะเด็กดีของเอดู

เอดูน่ารัก อยากได้แบบนี้บ้าง    :man1:

 :กอด1:   พี่นุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 27-08-2010 16:55:57
บิดไปบิดมา
อร๊ายยยยย จะละลายตายแล้วค่า
หวานไปไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 27-08-2010 17:26:37
เพิ่งมีโอกาสอ่านครับ น่ารักมาก ไม่อยากคิดถึงตอนจากลาเลยครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 27-08-2010 17:29:06
อยากขาเจ็บมั่งจังเลยน๊า :))
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 28-08-2010 16:15:55
 :เฮ้อ: อยากจะหาแบบเอดูบ้างอ่ะ ยังมีเหลืออีกไม๊เนี่ย...
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 28-08-2010 16:33:00
อ้อนเป็นเด็กน้อยไปเลยนะอิส
ก็เจ็บนี้เนาะ เอดูก็ต้องโอ๋สิ
น่ารักอ่า อยากได้แบบนี้บ้างงงงงง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 29-08-2010 12:17:09
 o13 ชอบเอดูอ่ะ น่ารักจริงๆ ผู้ชายอะไรไม่รู้ กรี๊ดๆ จะไปหาแบบนี้ได้จากที่ไหนบ้างเนี่ย  :m11:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 29-08-2010 19:31:26
กอดรวบค่ะกอดรวบ แวะเข้ามาตอบเมนท์ดันตัวเอง (แหะๆ)
พร้อมรายงานว่า คืนนี้ไม่มีตอนต่อไปมาส่งนะคะ

สำหรับแควนๆที่ติดตามกันมาตั้งแต่ เรื่องรัก..ไม่กล้าบอก (พี่อากาศกะไอ้หนูป่วน)
ส่งข่าวว่าตอนนี้นอกจากตอนพิเศษแรก..ของพี่คนเดียว
นุ่นไปส่งนอกรอบ....ข้างเรื่อง แปะเอาไว้ตั้งแต่วันก่อนนะคะ (เผื่อใครคิดถึงเพื่อนรักเพื่อนเลิฟของไอ้หนูป่วนมันค่ะ)

ปล.กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด และ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ แล้วก็ใครอยากได้แบบเอดูมันก็....ฮึบๆๆ สู้ๆค่ะ สู้ๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: *4_m3* ที่ 29-08-2010 19:44:02
พี่นุ่นนนนนนนนน
ตามอ่านเรื่องนี้มาแต่ไม่ได้เม้นเลยอ่ะไม่โกรธนะคะ
ก็เวลาใช้คอมแล้วมันลืมง่ะ มือถือเม้นไม่ได้เลย :sad4:
อ๊าย!น้ำตาลโดนความร้อนก็จะละลายเป็นน้ำเชื้อมเหมือนน้องตอนนี้
แง้มมมมมอยากได้แบบนี้บ้างอ่ะ หาได้ที่ไหนบ้างเนี้ย

ขอรับสมอ้างจากเรื่องโน้นเป็นน้องสาวทางพฤตินัยเลยแล้วกันนะคะ
ทางนิตินัยอย่าไปนึกถึงมัน เค้าจะเป็นน้องสาวเท่านั้น :m19:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 29-08-2010 19:55:52
แงๆ อยากอ่านอีก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 01-09-2010 13:04:51
ช่วยดัน
พี่นุ่น.....เอดูโอ๋น้องอิสนานแล้วนะคะ
อยากอ่านต่อแล้ว
+รอเลย  แอบติดสินบนพี่นุ่น
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 01-09-2010 14:23:39
กระโดดกอดน้อง234 พร้อมรายงานว่าไม่เกินมื้อเย็นมาแน่ๆค่ะ

คิดถึงเอ๊ดูมันล่ะเซ่ โห่ววววววววว
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 01-09-2010 17:28:17
มาส่งตอนต่อไปแล้วนะคะ
ด้วยความที่เขียนแล้วกลัวคนอ่านจะไม่เข้าใจตัวละครว่ามันคิดยังไงรู้สึกยังไง
เลยเขียนนาน หุหุ ยังไงก็มาตามที่บอกไว้แล้ว ก่อนมื้อเย็นจริงๆนะเออ

ท่านไหนรออยู่ก็มาอ่านกันเลยนะคะ  :กอด1:
......................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: O Presente

…………………………..

“อย่าร้องไห้นะ ไหนเมื่อกี้ยังยิ้มได้อยู่เลย ขี้แยเอ๊ย..... หึๆๆ”

“ไอ้บ้า หัวเราะได้ไง”


ตอนนี้ผมเลิกปล่อยโฮแล้วครับ ยังเหลือก็แค่อาการสะอึกสะอื้นเล็กๆ พอสติมาปัญญาเกิดก็ชักจะอายไอ้บ้าที่พอเห็นว่าผมเลิกปล่อยโฮก็เริ่มกวนอารมณ์ด้วยการปล่อยเสียงหัวเราะหึๆออกมา ทั้งๆที่มือทั้งสองข้างของมันยังทำหน้าที่ลูบขึ้นลงอยู่กับแผ่นหลังของผมอย่างปลอบประโลมนั่นแหละ

“ห้ามขำ!!”

“พระเจ้า......เพิ่งรู้ว่าหลวมตัวชอบคนชอบออกคำสั่ง”
ดูมันนะครับผมก็แค่เงยหน้าขึ้นจากอกอุ่นๆมาห้ามไม่ให้มันหัวเราะ ไอ้บ้านี่ก็ทำเป็นเงยหน้ามองทะลุเพดานครวญครางหาพระผู้เป็นเจ้า แถมฟ้องท่านอีกต่างหาก น่าหมั่นไส้จริงๆ

ผมยันตัวออกห่างจากมันทันที รู้ตัวเลยล่ะว่าคงแจกค้อนให้มันไปวงใหญ่ เอ่อ....ผู้ชายค้อน.....มันไม่ผิดใช่มั้ยครับ

และเพราะมัวแต่ค้อนจนไม่ทันมองไอ้สิ่งมีชีวิตหน้าด้านแถมปากเสียนั่น รู้ตัวอีกทีเอดูมันก็แหมะมือยักษ์ลงกับแก้มผมทั้งสองข้าง แถมบริการเช็ดคราบน้ำตาด้วยสองนิ้วโป้งให้เรียบร้อย แถมด้วยจูบหนักๆที่หน้าผากอีกที

“อ๊ะ!!”

“อะไร ตกใจอะไร ทีตัวเองจู่ๆก็เข้ามากอดกันเฉยๆ เรายังไม่ตกใจสักนิด”

“Louco!!”

ใช่ครับ.....พอสมองมันรวนคิดอะไรไม่ออก การตอบโต้ที่ทำได้ของผมดีกว่าอาการเป็นใบ้นิดเดียว ด่ามันได้แค่นี้แหละ....ไอ้บ้า!!

ไอ้บ้าเอดูมันไม่ตอบโต้ด้วยคำพูดครับ แต่มันออกแรงบีบทั้งสองมือจนผมรู้สึกว่าแก้มตัวเองยู่ แถมปากคงจะไม่ต่างจากสภาพลูกนกตอนอ้าปากส่งเสียงร้องขออาหารจากแม่แน่ๆ
และตอนนั้นเองทั้งๆที่สติยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ผมก็ตอบโต้ด้วยการทุบหนักๆลงไปบนหน้าขาของมันหนึ่งที

“โอ๊ย!! รุนแรงตลอด มานี่เลย”
ไอ้หน้าด้านมันเปลี่ยนเป้าหมายจากใบหน้าเป็นลำตัวแล้วครับ มันเปลี่ยนจากบีบแก้มเป็นรัดทั้งตัวผมไว้ซะแน่นเลย
ผมก็ดิ้นๆ แต่สู้มันไม่ไหวครับ เพราะแขนทั้งสองข้างถูกมันรัดอยู่ระหว่างแผงอกหนาๆของมันกับแผ่นอกไม่หนาของผม ขาขวาก็เดี้ยง

ผมเลยเหลือขาซ้ายที่เป็นอิสระข้างเดียวซึ่งผมใช้รักษาสมดุลให้ตัวเองอยู่ ไม่งั้นจากที่ดิ้นๆหนีมันอยู่อาจจะเกิดฉากอุบัติเหตุรัก ประเภทตัวเอกล้มลงไปทับกันโดยไม่ตั้งใจตามขนบละครหลังข่าวได้


“ไม่ดิ้นแล้วเหรอ?”

“เหนื่อย......”

“หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ อิส.....อิส”


ไอ้บ้านี่มันบ้าขนานแท้ พอผมตอบไปว่างั้นมันก็หัวเราะออกมาลั่นบ้าน แล้วก็เรียกชื่อผมอยู่นั่นแหละ ทำอย่างกับอ่อนอกอ่อนใจกับผมเหลือเกินแล้ว ชริๆทำตัวเป็นแม่แก่ไปได้

 ดีนะคุณแม่บ้านแกมักจะอยู่ทางห้องซักผ้าด้านหลังโน่น ไม่งั้นอาจจะวิ่งหน้าตื่นมาดูหนังสดที่ผมไม่ตั้งใจจะเป็นพระเอกได้
แล้วพอเห็นผมหยุดดิ้นมันก็ถือโอกาสจูบลงตรงหน้าผากอีกครั้งแต่คราวนี้ผมเริ่มมีสติแล้วเลยเอียงหลบ แต่ก็ได้รับรู้ถึงริมฝีปากหยุ่นๆร้อนๆแหมะลงมาที่ขมับแทน


เอดูมันปล่อยตัวผม แล้วก็หัวเราะลงลูกคอกับเสียงถอนหายใจดังเฮือกของผม ที่ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ากลั้นหายใจไว้ซะนาน
แล้วมันก็ทำให้ผมแปลกใจด้วยการลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นตรงหน้า พร้อมทั้งดึงให้ตัวผมที่เมื่อกี้เกือบจะเกยๆอยู่บนตัวมันพลิกหันออกไปหามันดีดีด้วย

ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าลงไปทำอะไรตรงนั้น ก็ต้องหลุดเสียงอุทานออกมาอีกครั้ง
เพราะมันก้มลงประคองท่อนขาที่อยู่ในเฝือกขึ้นมาวางไว้บนเข่าข้างหนึ่งของมันที่ชันรอรับ แล้วก็เริ่มลงมือจับนิ้วเท้าที่ยังบวมอยู่หน่อยๆนั่นขยับขึ้นลงเบาๆ

“เจ็บมั้ย?”

“หึ”

“เอ๊...ก็บอกว่าให้ตอบดีๆไง ตอบใหม่ซิ”

“ไม่เจ็บ ขอบใจนะ”

“ต้องขยับอย่างนี้จะได้หายบวมไวๆ รู้มั้ย?”

“ไม่รู้.....”

“เคยต้องใส่เฝือกมาก่อน หมอเขาสอนมา....”
มันพูดไปมือมันก็จับนิ้วเท้าผมขยับไปเรื่อยๆทีละนิ้วๆ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ แต่เห็นตัวใหญ่ๆอย่างนั้น แต่มือมันกลับเบ๊าเบา

“พอเหอะ เราทำเองได้”
เกรงใจมันครับ อีกอย่าง......ผมรู้สึกหน้าร้อนๆยังไงไม่รู้สิ เท้านี่จุดอ่อนผมเลยนะ ปกติใครมาแตะไม่ได้มีถีบกลับทันที ก็มันจั๊กกะจี๋นี่ แต่เอดูมันจับไม่จั๊กกะจี๋ครับ คงเพราะมือของมันจับมาแบบเต็มๆ แล้วเจตนาก็คือช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ตั้งใจแกล้ง

แต่ก็นั่นแหละ......ถึงยังไง ผมก็รู้สึกว่าพื้นที่บริเวณเท้านั่นเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลอยู่ดี จะให้คนอื่นเข้ามาเดินเล่นชมนกชมไม้ง่ายๆได้ไงกัน

“ตอนนี้เราทำให้อิส แล้วเดี๋ยวพอเรากลับไปแล้วอิสค่อยทำเองไง”

“จะกลับแล้วเหรอ?”
หงะ....ผมห้ามปากตัวเองไม่ทันครับ อายเลย.....
แล้วยิ่งพอผมหลุดปากไปแบบนั้นแล้วเอดูมันเงยหน้ามามองตาแทนมองเท้ายิ่งแล้วใหญ่ หน้าร้อนจนจะระเบิดจนต้องเสมองไปทางอื่นให้ไกลๆจากหน้ามันเข้าว่าเสียทันที

“อยากให้อยู่ต่อรึเปล่าล่ะ หืม?”
ผมไม่เห็นหรอกครับว่าตอนนี้สีหน้าของมันเป็นยังไง ยังส่งสายตาวิบวับมาอยู่รึเปล่า แต่ถ้าจะให้ผมเล่นตัวตอบปฏิเสธน่ะเหรอครับ.......ไม่มีทาง ฮ่าๆๆๆ

“อืม....อยากสิ” ผมพยักหน้าตอบมัน โดยที่ยังไม่ยอมหันกลับไปเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

“อยู่ได้ถึงแค่ก่อนมื้อกลางวันนะ อิสเป็นอย่างนี้ ต้องไปเตรียมอะไรเพิ่มอีกเยอะเลย”

“เอ๊ะ??” ผมหันขวับกลับมามองมันทันทีครับ ก็ผมเจ็บตัว แล้วเกี่ยวอะไรกับมันล่ะ

“Teu presente….não quer, não?”  หืม......มันว่าไงนะ ของขวัญของผมงั้นเหรอ ถามว่าไม่อยากได้งั้นเหรอ

“ของขวัญ ของขวัญวันเกิดเราน่ะเหรอ?”

“Claro!! Então, sé você não qu…..”

“อ๊า.........อยากได้สิ ทำไมจะไม่อยากได้เล่า ก็แค่สงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่ขาเจ็บ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้บอกว่าไม่อยากได้ซะหน่อย”
ไม่ปล่อยให้มันพูดจนจบประโยคหรอกครับ ผมก็รัวคำพูดภาษาบ้านมันสวนขึ้นมาอย่างเร็วเลย ลืมคิดไปว่าสำเนียงต่างด้าวแบบผมไอ้คนฟังมันจะแย่เอาได้

“ฮ่าๆๆๆๆๆ ว่าไงนะ? ช้าๆซิ”

“ก็....นั่นแหละ ก็บอกว่าอยากได้สิ แค่สงสัยว่าขาเราเจ็บ แล้วเกี่ยวอะไรด้วยก็แค่นั้นอ้ะ”

“ก็ของขวัญที่เตรียมไว้ให้ อิสต้องไปรับด้วยตัวเอง จะให้เราเอามาให้ที่บ้านมันไม่ได้น่ะสิ”

มันว่าอย่างนั้น แล้วก็อมยิ้มเหมือนเก็บความลับอะไรไว้อยู่ตลอด ผมพยายามเซ้าซี้ถามจนเหนื่อยที่จะถามไปเองแล้ว
มันก็ยังไม่ยอมคายความลับออกมา บอกแต่ว่า รอให้ถึงวันเกิดผมก่อน มันรับรองว่าผมต้องชอบของขวัญที่มันเตรียมให้แน่ๆ

ตลอดเวลาที่คุยกันมันก็ยังจับนิ้วเท้าผมขยับขึ้นลงบ้าง หมุนซ้ายหมุนขวาเบาๆบ้างไปตามเรื่อง รู้ตัวอีกทีมันก็เลิกทำแล้วลุกขึ้นมานั่งด้วยแล้ว


ผมไล่เอดูมันไปล้างมือให้เรียบร้อย แล้วเราสองคนก็นั่งฟังเพลงกันไปตามเรื่อง เวลาอาหารกลางวันมาถึงแบบไม่ทันรู้ตัวก็ตอนที่ปะไป๊ที่จะกลับมากินมื้อกลางวันที่บ้านทุกวันก่อนกลับไปทำงานรอบบ่ายอีกรอบไขกุญแจเปิดประตูเข้ามา

เอดูมันเข้าไปคุยอะไรไม่รู้กับปะไป๊สองสามประโยค ผมเห็นปะไป๊พยักหน้าแล้วก็ยิ้มๆ มองมาทางผมแล้วยิ่งยิ้มกว้างใหญ่
สองคนจับมือเหมือนตกลงสัญญาอะไรกันสักอย่าง แล้วปะไป๊ก็เดินเข้าไปในส่วนครัวหลังบ้าน ส่วนเอ๊ดูก็พาใบหน้ายิ้มกริ่มกับลูกกะตาวิบวับมาบอกลาผม

“จะให้พยุงเข้าไปห้องกินข้าวก่อนมั้ยอิส?”

“ไม่ต้องหรอก เราอยากรู้มากกว่าว่าเมื่อกี้ตกลงอะไรกัน”

“อืม.......เรื่องเกี่ยวกับของขวัญน่ะ แล้วอย่าพยายามถามไป๊ของอิสล่ะ เขาไม่บอกหรอก หึๆๆ”
ผมคงไปเผลอย่นจมูกใส่มันเข้าแน่ๆ ก่อนจะเอาแก้มมาแตะลากันตามปกติเหมือนทุกครั้ง เอดูมันถึงเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาคีบจมูกแบนๆของผมแล้วโยกเล่นเสียมันมือ




“Parabens!!”

ครับ เช้าวันเกิดของผมในอีกสองวันถัดมา ผมถูกปลุกแต่เช้าด้วยคำอวยพร และใบหน้าของมะเม้ย ปะไป๊ และเจ้าวิเวียนที่มายืนออกันอยู่หน้าประตูห้อง พอเห็นว่าผมโงหัวขึ้นมาจากกองผ้าห่มได้แล้วทั้งสามคนก็เรียงหน้ากันเข้ามาหอมแก้มผมคนละที แล้วแถมด้วยของขวัญอีกคนละกล่อง

ส่วนพ่อกับแม่ที่บ้านที่กรุงเทพน่ะ โทรมาอวยพรผมตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ แปลกดี เหมือนมีวันเกิดสองวันในปีเดียวเลย ฮ่าๆๆๆๆ


ยังไม่ทันที่ปะไป๊จะออกจากบ้านไปทำงาน เอดูมันก็มากดกริ่งส่งเสียงรบกวนแล้วครับ ผมที่กำลังซุกตัวเข้าไปนอนในโปงผ้าห่มต่อ กะจะนอนฉลองวันเกิดก็มีอันต้องตื่นเพราะหลังเสียงกริ่งดังหน้าบ้านไม่นานไอ้หน้าด้านบุกรุกห้องผู้ชายอื่นอย่างมันก็แหลมหน้าเข้ามาในห้องแล้ว

มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงมันก็ทำเสียงอะไรไม่รุ้กุกกักจนผมต้องยอมแพ้โผล่หน้าออกมาจากโปงผ้าห่มจนได้ เห็นมันรื้อๆค้นๆแถวตู้เสื้อผ้าตามเคย

“หาอะไร?”

“เสื้อผ้าไง......” เออเนอะ รื้อตู้เสื้อผ้าก็ต้องหาเสื้อผ้าสิ ว่าแต่........จะหาทำไม

“จะเอาไปทำไม?”

“ของขวัญไง ตื่นแล้วก็ลุกสิอิส ไปอาบน้ำเลย หรือว่าอาบเองไม่ได้?” เอาแล้วไง คำถามมาพร้อมกับไอ้ลูกกะตาวิบวับนั่นอีกแล้ว

“อาบเองได้ แต่......จะพาไปเอาของขวัญ ต้องเตรียมเสื้อผ้าพิเศษๆด้วยหรือไง เสื้อกะกางเกงธรรมดาไม่ได้เหรอ?”

“เชื่อเหอะน่า เร็วด้วย เดี๋ยวไปถึงช้าอดไม่รู้นะ”

ในที่สุดมันก็ตัดสินใจวางกระเป๋าที่กำลังจับเสื้อผ้าผมยัดใส่ลงไปไว้กับพื้นนั่นแหละครับ แล้วตรงเข้ามาลากผมขึ้นจากเตียงแล้วดันจะให้ออกไปอาบน้ำ
ผมก็คิดว่าเอาก็เอา มันคงไม่พาไปฆ่าหมกป่าแน่ เลยปฏิบัติตามคำสั่งมันไป

ผมใช้เวลาไม่นานก็ทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย เช็ดตัวแรงๆจนตื่นเต็มตา แล้วห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั่นแหละเข้ามาแต่งตัวในห้องที่เมื่อกี้คงมัวแต่มึนๆเพราะเพิ่งตื่นอยู่ เลยลืมไปว่าตอนนี้มีไอ้บ้าอีกหนึ่งชีวิตแถมยังชอบส่งลูกกะตาวิบวับมาให้เป็นกิจวัตรเข้ามายึดครองทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของห้องอยู่อีกคน

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้เลย หยิบของเสร็จแล้วก็ออกไปรอข้างนอกด้วย”

“รอในนี้ไม่ได้เหรอ?”

“Me da licença, por favor!”
นี่ครับ ต้องทำเข้มเข้าใส่บ้าง มันจะได้เกรงใจ มี ดา ลิเซนซ่า ปอร์ ฟาวอห์ ก็ประมาณว่า ‘ขอร้องล่ะ ขอความเป็นส่วนตัวบ้างเหอะ’
พอประโยคนี้มาพร้อมน้ำเสียงเอาเรื่องแถมด้วยสายตาหมาบ้าของผมเข้าไป ไอ้ตัวดีมันก็ยกมือยอมแพ้แล้วถอยออกจากห้องไปโดยดี


พอเตรียมทั้งของทั้งตัวเรียบร้อย ผมก็ออกมาขึ้นรถพี่ชายมันที่หน้าบ้านครับ ตอนแรกก็นั่งไปกินขนมที่มันเอาใส่ตะกร้ามาด้วย(แม่มันจัดให้)ไปเรื่อย เพราะเอดูมันก็เคยยืมรถพี่ชายมันหนีบผมไปโน่นมานี่ใกล้ๆบ่อยไป

ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆก็ตอนที่มันพาออกถนนที่จะมุ่งไปนอกเมืองนี่แหละ

“จะพาไปไหนอ้ะ?”

“นึกว่าจะไม่ถาม หึๆๆ”

“อ้าว.....ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ไม่รู้ก็ได้ ว่าแต่ไป๊รู้แล้วใช่มั้ย?”

“อืม.....เราบอกปะไป๊ของอิสว่าจะพาไปคัมปินัส” เอ....ผมว่าประโยคนี้มันแปลกๆนะ เหมือนมันบอกว่าจะพาไปคัมปินัส แต่ไม่ได้หมายความตามที่พูด

“แล้ว.....ที่จริงแล้วจะพาไปไหน?”

“รู้ทันอีก เราจะพาไปคัมปินัสนั่นแหละ”
ครับ มันว่าอย่างนั้น แล้วในเมื่อไอ้คนขับมันบอกแบบนั้น แถมทางมันก็คุ้นๆอยู่ว่าถนนเส้นนี้ตรงไปเมืองคัมปินัสที่ห่างออกไปแค่สองชั่วโมงนิดๆ ผมก็เลยนั่งดูวิวชมนกชมเนินไปตามเรื่อง

นานๆทีไอ้คนขับมันก็เรียกร้องจะเอาน้ำบ้าง เอาขนมบ้าง ผมก็หยิบส่งให้ไปตามเรื่อง นั่งยังไม่ทันเบื่อแต่เริ่มหิว เอดูมันก็พาผมมาถึงคัมปินัส แต่แทนที่มันจะขับเข้าไปกลางเมืองเข้าห้างสรรพสินค้าแบบที่ผมเคยมากับปะไป๊มะเม้ย เวลาที่มาซื้อของไปกักตุนที่บ้าน ก็ปรากฏว่ามันเลี้ยวเข้าร้านอาหารริมทางแทน


“Churrascaria? จะพามาเลี้ยงบาร์บีคิวร้านนี้เป็นของขวัญเนี่ยนะ?”
ผมหันหน้าไปเลิกคิ้วถามมันแบบกวนตีนสุดฤทธิ์ครับ คือผมก็ลุ้นมาตลอดสองวันตั้งแต่มันทำท่าทางอมพะนำแหละว่าของขวัญที่มันบอกว่าต้องไปเอาเองนี่มันอะไรกันแน่ แล้วยิ่งมันไม่เผลอหลุดออกมาซะที ผมเลยยิ่งหมั่นไส้

“จุ๊ๆๆ ไม่ใช่ ถึงร้านนี้จะเคยมากินแล้วอร่อยจริงๆก็ไม่ใช่”

ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ ไอ้คนพามามันจัดการจ่ายทั้งส่วนของผมและของมันไปคนละเจ็ดเฮอัยส์ตามราคาที่ป้ายหน้าร้านเรียบร้อย เราสองคนก็เข้าไปหาที่ที่ยังว่างนั่ง สักพักบริกรที่เดินถือเหล็กแหลมเสียบเนื้อย่างก้อนเบ้อเริ่มก็เดินเข้ามาถามว่าต้องการมั้ย พอบอกว่าเอาแกก็จัดการเอาส่วนปลายของเหล็กนั่นแหมะลงกับจานของเรา แล้วก็ใช้มีดในมือขวาเฉือนเนื้อที่ยังพอจะเห็นควันกรุ่นๆนั่นใส่จานให้ เสร็จแล้วก็เดินไปรอบร้านบริการลูกค้าคนอื่นต่อ

ผมว่าผมบอกว่ารับครับไปไม่ต้ำกว่าห้าครั้ง ผลคืออิ่มพุงกาง........
ในขณะที่ไอ้คนที่มาด้วยกันมันกินเก่งเอาถ้วยเอาโล่มาก คาดว่าถ้ามันไม่รีบจะเดินทางต่อ มันคงกินจนร้านเค้าขาดทุนจากเจ็ดเฮอัยส์แน่ๆ

เอดูมันให้ผมกินน้ำกินยาเรียบร้อยก็พยุงผมมาขึ้นรถต่อ ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าหลับไปตอนไหน แต่ผมตื่นขึ้นอีกทีจากแรงเขย่าที่ต้นแขน


“อิส อิส.......”

“ถึงแล้วเหรอ? เฮ้ย!!”

ครับ ไม่ให้ตกใจคงไม่ได้ เพราะห่างออกไปไม่ไกลคิดว่าไม่เกินสองร้อยเมตรจากที่ที่รถจอดอยู่.......ผมมองเห็นทะเลครับ

ผมรู้ตัวเลยแหละว่าคงหันกลับมามองหน้ามันแล้วอ้าปากค้างแน่ๆ เอดูมันถือโอกาสที่ผมยังเรียกสติมาได้ไม่เต็มที่จัดการปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผม เสร็จแล้วก็ลงรถอ้อมมาที่ฝั่งคนนั่งด้านขวาทำท่าทางสุภาพบุรุษเปิดประตูให้คู่เดทลงจากรถ

ก็คงจะเหมือนสุภาพบุรุษอยู่หรอกนะครับ ถ้าไม่นับการสูดกลิ่นแก้มที่ผมก็ไม่แน่ใจว่ายังมีกลิ่นเนื้อย่างติดอยู่รึเปล่าเข้าไปหนึ่งฟอดใหญ่ๆ

“ลงมาสิอิส......ก็เพราะอย่างนี้แหละ เลยบอกไงว่าต้องเตรียมอะไรอีกหลายอย่าง ตอนแรกเราจะพาอิสขึ้นรถประจำทางสองต่อมาที่นี่ แต่เพราะขาเจ็บเลยเปลี่ยนแผนไปง้อเอารถจากหัยมาขับพาอิสมานี่แหละ”
เอดูมันช่วยให้ผมลงมายืนข้างรถเรียบร้อย แล้วตัวมันก็เปิดประตูด้านหลังหยิบเอาไม้เท้าแบบที่มีส่วนที่ประคองข้อศอกกับมือจับออกมายื่นส่งให้ผม

“แล้วนี่?”

“ก็คิดว่าถ้าต้องเดินเยอะหน่อย ก็กลัวว่าจะเดินไม่ไหว เลยไปรื้อๆเอาไม้เท้าเก่าของเราเองมาให้ใช้ด้วยไง ดีนะ เราเจ็บตอนยังเตี้ย อิสเลยใช้ได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

“ไอ้บ้า..............ขอบคุณมากนะ....”
ผมงุบงิบบอกขอบคุณมัน ขณะที่เดินไปข้างๆไอ้เอดูที่สะพายเป้ที่บรรจุทั้งเสื้อผ้ามันเสื้อผ้าผมอยู่บนไหล่ แถมหิ้วตะกร้าพลาสติกใส่ขนมอีก เท่ห์สุดๆอะมันอ้ะ

มันบอกผมว่าที่ที่เราอยู่ตอนนี้เรียกว่าคารากัวตาตูบ้า (Caraguatatuba) เป็นชายหาดที่สวยที่สุดแถบนี้ หน้าร้อนจะมีนักท่องเที่ยวมานอนอาบแดดเต็มหาด

“หึๆๆ ก็คิดได้เนอะ พามาเที่ยวทะเลหน้าหนาว”

“ไม่ชอบเหรออิส? ของขวัญชิ้นนี้ไม่ถูกใจเหรอ?”
อ่า.....เสียงอ่อยมาเชียวครับ ใครว่าไม่ถูกใจเล่า ตั้งใจเตรียมพร้อมพามาเที่ยวขนาดนี้ ขับรถมาถึงนี่ไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมงเชียวนะ แล้วยังจะขากลับอีกล่ะ


“ชอบสิ ชอบมาก.......ขอบคุณมากนะ เอดู”
ผมยื่นมือข้างซ้ายไปจับมือขวาของเอดูเอาไว้แล้วบีบเบาๆ แล้วเลยได้รับรางวัลเป็นรอยยิ้มสว่างสดใสกลับมาแทน
เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนเดินมาถึงหาดทรายเนียนละเอียดของคารากัวตาตูบ้า

เอดูมันยื่นตะกร้ามาให้ผมถือ ส่วนตัวมันก็เปิดเป้หยิบผ้าหนาๆผืนหนึ่งออกมาปูลงบนพื้นทราย
รับตะกร้าจากผมลงวาง แล้วค่อยๆประคองให้ผมนั่งเหยียดขาบนผ้าผืนนั้น

ผมหลับตาสูดลมหายใจเข้ายาวเหยียด รับเอาละไอทะเลหน้าหนาวที่แทบจะร้างผู้คนเข้าปอด
ตั้งใจเก็บทั้งภาพทะเลสีหม่น เสียงคลื่นที่เล่นจังหวะสโลว์ซ้ำซาก และกลิ่นเค็มขื่นแต่กลับอ่อนหวานในความรู้สึกของทะเลหน้าหนาวที่นี่ให้ประทับแน่นกับความทรงจำ

ที่ริมหู.......เสียงของผู้ชายอีกคนที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดในยามไกลบ้านกระซิบผะแผ่ว
“ปาราเบงส์ อิส.....เราดีใจที่เห็นอิสมีความสุข”

…………………………
…………………………

..โปรดติดตามตอนต่อไป..



ปล.คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Não chora….meu bem” [10] (26/08/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 01-09-2010 17:30:24
มาต่อแล้ว >.< ขออ่านก่อนนะ

Edit : ไปทะเลหน้าหนาวแล้วจะได้เล่นน้ำไหมเนี่ย  o21 55+
แล้วคู่นี้จะเป็นไงต่ออ่ะ ไม่อยากให้อิสกลับไทยเลย คิดแล้วเศร้า แงๆ  :o12:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 01-09-2010 17:41:53
^
^
^
ฮึบๆๆ มาเร็วต้องโดนจิ้มจึกๆ นี่แน่ะๆ

ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 01-09-2010 17:45:28
ง่า น่ารัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 01-09-2010 18:46:53
 :impress2:
น่ารักจังน้องอิส

เอดูก็ช่างพยายาม
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 01-09-2010 19:02:29
น่ารักมากมายยยย  :กอด1:
ได้แฟนแบบเอ๊ดูนี่รักตายเลยอ้ะ >//////<
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 01-09-2010 19:10:09
หวานสุดๆครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-09-2010 19:30:53
 :o8:วู้ยยยยยยยยย..อยากมีใครสักคนมากระซิบข้างหูแบบน้องอิสจัง
ขอหล่อๆแบบเอดูด้วย
ป.ล. ได้ข่าวว่าน้ำทะเลแถบนั้น ในวันนั้นหวานสนิทเชียว ใช่ไหมคะน้องนุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 01-09-2010 19:39:31

เอดูน่ารักที่สุด อยากได้ อยากได้   :กอด1:

เอดูไม่มีของขวัญผู้ใหญ่ให้อิสเหรอพี่นุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-09-2010 19:51:24
น่ารัก  :man1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 01-09-2010 22:10:42
โปรดติตามกันต่อไป แงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-09-2010 23:17:07
ไปแล้วหนาวก็กระโดดเกาะเอดูเลย >___<
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 02-09-2010 00:28:59
หวานกันจังเลย ไม่อยากนึกถึงวันที่อีสตัองกลับไทยเลย
เอดูจะเศร้าขนาดไหนกันนี่.... :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 02-09-2010 08:34:44
เอดู อ่อนโยน เอาใจ และน่าร๊ากกกกก  :-[

แอบอิจฉาอิสเล็ก ๆ คึคึ

ปล. ไปทะเลไม่บอกกันมั่ง จะได้โดดเกาะล้อไปด้วย หงิง ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 02-09-2010 09:37:02
เค้ามาค้างด้วยกันชิมิคะ  :-[
แต่น้องอิสเจ็บขานี่นา...

คิดไปไกลแล้วฉัน...

ทะเลหน้าหนาวก็ยังอบอุ่นด้วยไอรัก นะคะ o13
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 02-09-2010 09:58:41
^
^
 :z13:
จิ้มMercy

เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะคุณนุ่น ตอนนี้เพิ่งเริ่มอ่านได้ 2 ตอนแรกเองค่ะ
แต่อยากคอมเม้นท์^^
อยากจะกรี๊ดดดดด หนุ่มบราซิล โอ้ยใจจะละลาย
เรื่องราวในวันวานหวนเข้ามาความทรงจำ อร๊ายยยยย
เคยรู้จักหนุ่มบราซิลสองคน
เป็นประธานและกรรมการสภานักศึกษานักเรียนต่างชาติในมหาวิทยลัยที่วีเคยเรียน
โอ้ย ใจจะละลาย หล่อมาก ยังจำหน้าเค้าได้อยู่เลยนะคะเนี่ย ฮ่าฮ่า

ตามอยู่ห่างๆ นะคะ ไว้ทันคนอื่นๆ แล้วจะคอมเม้นท์อีกทีนะคะ
+ 1 และเป็นกำลังใจให้จ้า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 02-09-2010 11:06:42
น้ำทะเลยังหวานไม่เท่าคู่นี้เลยนะเนี่ย

ขาก็เจ็บ แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปสู้เค้าล่ะอิสเอ๊ย
ยอมๆ เค้าไปเต๊อะ คนอ่านอยากอ่าน อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 02-09-2010 12:10:12
 :-[ :-[ :-[
นู๋ก็พึ่งได้มาอ่าน
อยากจะกรี๊ดให้ดังไปสามบ้านแปดบ้าน
น่ารักจริงอะไรจริง หนุ่มบราซิลนี่นะ

แล้วจะมาร๊อมารอทู๊กวันเลย

ขอบคุณคุณนุ่นค่ะ น่ารักจริงๆ กอดหน่อยๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 02-09-2010 13:20:16
เอดูเนี่ยหวานตาหลอด อะ
น่าร้ากกกก  :o8:

กดบวกได้แหละให้คุณนุ่นไปเล้ย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้มยำทะเล ที่ 02-09-2010 15:40:42
แว้กกกก จะผิดอะไรมั้ยคะถ้าจะบอกว่า ค้าง !!!!!!!!!!!!!  :a5:

น่าจะหวานบ้างอะไรบ้างน้อ ฮ่าๆ อยากเห็นฉากสวีทวี้ดดวิ้ววววของสองคนนี้เร็วๆ

แบบว่าเอดูพยายามมากเลยนะเนี่ย แต่อิสไม่ค่อยตอบสนอง เง้อออออออ โหดร้าย~

ตอนนี้เอาไป +1 เลยค่ะ ให้กับความพยายามในการพาอสไปเที่ยวทะเล เย้!!!!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 02-09-2010 17:20:30
ตอนวันเกิดพี่นุ่นมีคนพาไปทะเลแบบนี้เหรอคะ ฮุๆ

แล้วของขวัญแบบเป็นชิ้นเลยไม่มีเหรอจ๊ะเอดู แบบแหวนแทนใจเงี้ย 555+
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 02-09-2010 17:24:35
^
^
งืม เอ๊ดูมันพาอิสไป

กร้ากกกกกกกกกกกกกกกส์
กระต่ายน้อยมามั่วไรเนี่ย พี่นุ่นจะมีใครที่ไหนพาป๊ายยยยยยยยยยยยยย

แหวนแทนใจไม่มีหรอก เป็นเพื่อนกันนิ ไม่ไจ้แควน >///////<

(ว่าแล้วก็แจกบวกคนเมนท์บ้างดีกว่า คนอ่านแจกหมดมิได้นิ มิรู้จะไปตามแจกข้างไหน กร้ากกกกกกกกกกกส์)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 02-09-2010 17:53:42
ขอบคุณนะคะไรเตอร์ เเละเเล้วก็เอาชีวิตมาฝากไว้ที่เรื่องนี้อีกเรื่อง คุคุคุ อ่านมาถึงตอนที่ 4 เเล้วเเต่ไม่สามารถอ่านต่อได้ คุคุคุ ไปทำงานก่อน งานไม่เสร็จ จะตายเเล้ว ถึงจะไม่หวานเเบบตัวป่วน + พี่ฟ้าเเต่ ก็น่ารักนะ อ่านได้ เริ่มจะอุ่นเเล้วจริงๆ อิส +เอดู น่ารักดี ไม่น่าเบื่อนะ อ่านได้เรื่อยๆไม่หวือหวาเเต่ก็ไม่ช้าจนเกินไป นึกถึง กาเเฟลาเต้เลย  ได้เรียน ภาษาต่างประเทศในตัวด้วย ทำให้คิดถึง ภาษาฝรั่งเศส อันน้อยนิดของตัวเอง คุคุคุ  :กอด1: ไรเตอร์ 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 02-09-2010 18:17:45
มากรี๊ดดังๆให้เรื่องนี้ด้วยคนค่ะ
เพิ่งเคยได้มาอ่านนี่แหละ อ่านรวดเดียวเลย
พอดีเห็นชื่อคนแต่งคุ้นๆ ก็อ้าวคนแต่งคนเดียวกับพี่อากาศกับตัวป่วนนี่นา
อู้ยย ชอบมากเลยอ่ะ ชอบเอดู ผู้ชายอะไรน่ารักได้อีก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 02-09-2010 20:37:16
 :z13: นุ่นแรงๆๆ
ไปทะเลกันดีกว่า....เผื่อเจอเอดู กะ อิสบ้าง
ยิ่งอ่านก็ยิ่งอิจฉาอิส จะหาเอดูได้ที่ไหนบ้างเนี่ย :เฮ้อ:
+ไปนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: loveooo ที่ 02-09-2010 20:37:41
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบมาก
อิสน่ารักมากอ่ะ เอดูก็แบบ ดูแลสุดๆๆๆๆๆๆๆๆ  น่ารักๆทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 03-09-2010 18:19:20
ขอบคุณนะคะไรเตอร์ อ่านจบเเล้วถึงตอนปัจจุบันเลย เเล้วไปเจอคำที่ไม่เห็นมานาน ตอนที่9 คำว่า"บั้นเอว " ไม่ได้เห็นมานานเเล้วรูสึกเเปลกดี ชอบตอนที่ 10 ตรงที่บอกว่า " อย่าร้องไห้เลยนะ เด็กดีของผม" รูสึกดีมากอย่างเเรงเลย เเล้วก็อ่านทันจนถึงตอนที่ 11 อ่านมาถึงตอนนี้ไม่เสีย เวลาที่มาอ่านเลย  คุคุคุ อ่านเรื่องนี้เเล้ว น้ำตาคลอ อะ  เเล้วก็เเอบยิ้มในใจอะ ไม่ได้เศร้านะ เเต่เเบบ มันอบอุ่นอะ เป็นความรู้สึกของคนเหงา วะ ฮ่า ฮ๋า ชอบ อิส นะเป็นคนที่คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ไม่ต้องเก็บงำ ชอบเอดูด้วย ที่ตรงไปตรงมาเเละ สุดท้าย +1 ให้ไรเตอร์ รอตอนต่อไปอยู่น้า คุคุคุ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 03-09-2010 20:00:39
คารากัวตาตูบ้า
เหอๆ   น่ารักจังเลย~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 03-09-2010 21:56:02
อ่อนโยน เอาใจใส่ น่ารักที่สุดเลย
จะหาผู้ชายแบบนี้ได้จากที่ไหนเนี่ย
อยากได้อ่า  :man1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Oo๐FosfoggY๐oO ที่ 04-09-2010 10:42:07
อร้ายพี่นุ่นจ๋า เอดูมัน มัน มัน มัน น่ารักมากเลย อบอุ่นไปมั้ย หนูจะเอาๆๆๆ 555+
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 04-09-2010 13:00:15
ตามทันแล้วค่ะคุณนุ่น
โอ๊ยน่ารัก หวานละมุนละไม
เวลาคุณนุ่นใส่ภาษาโปตุกีสเข้าไป
มันให้บรรยากาศนักเรียนแลกเปลี่ยนมากเลยค่ะ
อ่านในฐานะคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจภาษา
เลยกลายเป็นเข้าใจความรู้สึกของอิสขึ้นมาทันที
คำสั้นๆ เหมือนจะคุ้นๆ ถึงไม่รู้ความหมายก็ตามเถอะ
ยิ่งเป็นพวกคำพูดหวานๆ มันวาบวามใจแปลกๆ อ่ะ
 :o8:
อิสกับเอดูก็น่ารัก เอาใจใส่กันและกัน
หวานอ่ะ อ๊ายย อิจฉา
+1 ยังไม่ได้ค่ะเพราะเมื่อวานเพิ่งบวกไป
เอาดอกไม้ไปแทนก่อนแล้วกันนะคะ
 :L2:
ขอบคุณค่ะที่แต่งเรื่องน่ารักๆ มาให้เป็นอ่าน เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 04-09-2010 17:28:03
 :L2: อ่านแล้วอยากไปมั่งจัง มาต่อด้วยนะคุณนุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 06-09-2010 09:40:22
เเวะเข้ามาหา ไรเตอร์ นุ่น +เอดู + อิส ไปไหนอ่า ไป  อยู่กับคุณผูชาย +คุณนาย รับลูกสะใภ้ ยังไม่กับมาเหรอ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 06-09-2010 16:49:42
^
^
^
จิ้มๆๆๆคุณบูตะจัง
อย่าเพิ่งรอนะคะ ตอนต่อไปเพิ่งมาแค่สองหน้านิดๆเอง
ขอโทษที่ให้รอนานนะคะทุกท่าน :กอด1:

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอุดหนุนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่เล้ยยยยยยยยยยยยยยยยย
:m32:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “O Presente” [11] (01/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 07-09-2010 12:36:04
มาส่งแล้วค่ะ สำหรับตอนนี้ไม่พูดอะไรมาก
 เขิน......... :-[ :o8:
ไปอ่านกันเล้ยยยยยยยยยยยยยย
....................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Melhor do que bombom

“ปาราเบงส์ อิส.....เราดีใจที่เห็นอิสมีความสุข”
............................................


ผมไม่แปลกใจเลยที่แม้จะอยู่บนหาดทรายริมทะเลสีหม่น แต่ตัวเองกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวสักนิด
จะว่าผมน้ำเน่าก็คงไม่ผิดหรอก เพราะผมกำลังจะบอกอย่างนั้นจริงๆ.....
ที่ไม่รู้สึกหนาว ก็เพราะไอ้ต้นกำเนิดความอบอุ่นมันอยู่กับผมตรงนี้
นั่งเหยียดขาเท้าสองแขนไปข้างหลังท่าเดียวกับผม ห่างออกไปในระยะแค่ฝ่ามือกั้นเท่านั้น

ใกล้จนเริ่มรู้สึกขัดใจว่าทำไมมันยังต้องปล่อยให้ไอ้ระยะหนึ่งฝ่ามือนั่นยังมีอยู่....
ไอ้บ้าเอดู ทำไมไม่เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิดเล่า



ผมเหลือบตาไปรอบๆ แล้วก็ต้องคิดว่านี่มันแทบจะเป็นหาดร้างเลยนะ มนุษย์แปลกหน้าที่อยู่ใกล้เราสองคนที่สุดก็อยู่ห่างออกไปเกือบร้อยเมตร
ถึงกับมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นยังไง

ผมก็เลย......ตัดสินใจได้ว่า ในเมื่อไอ้คนให้ของขวัญมันจงใจรักษาระยะห่างหนึ่งฝ่ามือนี่ไว้อย่างเหนียวแน่นนัก งั้นผมก็จะเป็นฝ่ายทำลายมันซะเอง
แต่จะให้อยู่ดีๆก็โผเข้าใส่มันแบบคราวก่อนเดี๋ยวมันจะยิ่งเสียภาพไปกันใหญ่

ผมเลยค่อยๆขยับตัวเองทีละนิด เนียนยื่นมือไปหยิบช๊อคโกแลตสอดไส้คาราเมลของโปรดจากในตะกร้ามาแกะห่อใส่ปาก  
แล้วก็เนียนต่อโดยอาศัยที่มือไม่ว่างไม่มีอะไรช่วยรับน้ำหนักเลยต้องเอาหัวไปวางแหมะไว้ตรงต้นแขนของมัน เห็นมั้ยครับ.....ดูดีมีเหตุผลจะตาย

ผมไม่ได้ตั้งใจจะอ่อยมันนะ ก็แค่ฉวยโอกาสหาประโยชน์ใส่ตัวโดยใช้ข้ออ้างสังขารพิการชั่วคราวให้เป็นประโยชน์นิดๆหน่อยๆ มือที่เท้าพื้นไว้ในตอนแรกช่วยรับน้ำหนักตัวเองก็ไม่ต้องเท้ามันแล้ว ทิ้งน้ำหนักลงพิงไอ้ต้นกำเนิดความอุ่นเนี่ยแหละ....สบายดี

พอผมวางหัวแหมะปุ๊บก็รู้สึกว่าเอดูมันเกร็งขึ้นมาทั้งตัว เกร็งเสียจนผมเกร็งตาม ไม่กล้าขยับตัว แถมยังพยายามหายใจให้เบาที่สุดอีกด้วยสิ
กลัวครับ.....กลัวว่ามันจะเลื่อนตัวหนีเป็นบ้าเลย

ผ่านไปเกือบนาทีได้มั้งก็รู้สึกว่าไอ้คนข้างๆมันค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด พร้อมๆกับที่กล้ามเนื้อที่ผมสัมผัสได้ก็ผ่อนคลายลงตาม เอดูมันเปลี่ยนจากนั่งเหยียดขาเป็นชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง แล้วอ้อมมือมาโอบไหล่ผมไว้ ผมก็เลยไถๆหัวฟูๆแต่ไม่เน่าเข้ากับไหล่มันสองสามที

ก็คงอารมณ์อยากอ้อนมันมั้งครับ หัวมันไปเองน่ะ ผมห้ามตัวเองไม่ทัน แถมพอถึงเวลานั้น ไอ้ความคิดที่จะรักษาภาพมันหายหลุดจากสมองน้อยๆลงทะเลไปหมดแล้วด้วยสิ รับรู้ว่าไอ้คนตัวโตข้างๆมันก้มหน้ามาแตะปากซ้ำๆอยู่ตรงขมับ ก็ปล่อยให้มันทำไปตามใจ ไม่ห้ามปรามอะไรสักนิด

“อิส”
แหม......เวลาผู้ชายตัวโตๆทำเสียงอ่อนเสียงหวานผมเคยคิดนะว่ามันน่าถีบ แต่กับคนคนนี้ ตอนนี้.......เอ่อ ผมว่ามันน่ารักครับ

“หืม?”

“หนาวมั้ย?”
เออเนอะคนเรา เสื้อผ้าผมมันก็เป็นคนเลือกให้ใส่ เลือกให้พอกตัวซะหนาขนาดนี้เองแท้ๆ แถมไอ้ตัวทำความร้อนมันยังโอบไว้แน่นขนาดนี้ หนาวก็แปลกแล้ว

“หึ......ไม่หนาวเลย” ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ ที่จะขยับตัวซุกเข้าหามันอีกน่ะ มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ แหะๆ


“อิส.......”
เอาอีกแล้วครับ คนกำลังปล่อยอารมณ์ฟังเสียงคลื่นเสียงลม มันเรียกอีกแล้ว นี่ถ้าเรียกให้ช่วยหารค่าน้ำมันล่ะมีเฮ

“หืม?”

“.....................”

อ้าว ไอ้บ้านี่เรียกแล้วเงียบ มันเงียบนานครับ เงียบจนผมต้องยอมถอยตัวออกมานิดจะได้เงยขึ้นมองหน้ามันได้ถนัดๆ

แล้วผมก็พบความจริงว่าไม่น่าเลยครับ ซุกหัวซุกตัวกับอ้อมแขนอุ่นๆต่อไปก็ปลอดภัยดีแล้วแท้ๆ พอเงยหน้ามามองสบตากับมันแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนจู่ๆจังหวะการเต้นของหัวใจมันแปลกๆ

แทนที่จะเรื่อยๆสบายๆแบบดนตรีบอสสาโนวาให้สมกับที่นั่งกันอยู่ริมทะเล ก็กลับเปลี่ยนเป็นกลองซัมบ้าระรัวจนอยากจะชวนไอ้คนเรียกแล้วเงียบมันลุกขึ้นเต้นซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไม่ได้ครับ วิธีบรรเทาอาการหัวใจเต้นแรงแบบนั้นไม่เหมาะ เพราะสภาพร่างกายไม่อำนวย

“อิส......”

“ฮะ อะ.....อะไร”

“.................”

“................เอดู.................อือ.........”



ผม.......ไม่กล้าเงยหน้าแล้วครับ
จะจำเอาไว้เลยว่าต่อไปนี้ ถ้ากำลังซุกตัวซุกหัวกับไอ้ตัวทำความร้อนนี่อยู่ ต่อให้มันเรียกเสียงอ่อนเสียงหวานแค่ไหน ผมจะไม่ยอมเงยหน้าสบตามันอีกแน่นอน

เมื่อกี้......เอดูมันล่อลวงผมครับ มันส่งสายตาวิบวับขั้นสุดยอดมาทำให้ผมเบลอ พอเห็นผมเบลอได้ที่เพราะมัวโฟกัสอยู่ที่ลูกกะตาของมัน มันก็แตะปากลงมาบนปากผมเร็วๆหนึ่งครั้ง เร็วเหมือนเวลาเราจกขนมใต้ลิ้นชักใส่ปากตอนอาจารย์ที่บรรยายอยู่หน้าห้องกำลังเผลอ แล้วก็ถอยออกไปส่งสายตาวับๆ ทิ้งระยะให้ผมอ้าปากแล้วก็หุบ แล้วก็อ้าแล้วก็หุบนับได้สองรอบเพราะผมเกิดอาการหาเสียงตัวเองไม่เจอ

แล้วระหว่างที่ผมยังตัดสินใจเลือกไม่ถูกระหว่างจะอ้าหรือจะหุบดี มันก็เลือกให้ผมเรียบร้อยโดยการกดปากลงมาอีกรอบ แตะย้ำๆซ้ำๆ หนักบ้างเบาบ้าง จนผมเดาทางไม่ถูก.....อันที่จริงจะบอกว่าหัวสมองที่น้อยอยู่แล้วมันโล่งไปเลยจะตรงกว่า ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง แล้วก็รู้ตัวเลยล่ะว่าต่อให้รู้ว่าควรต้องทำยังไงก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอย่างที่คิดอยู่ดี

ผมไม่รู้ว่าตัวเองปิดเปลือกตาลงตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกได้ว่ามือที่ประคองอยู่ตรงท้ายทอยเลื่อนมากดให้ซบลงกับซอกคอของไอ้ตัวที่มาทำจิตใจผมกระเจิดกระเจิงแล้ว แถมไอ้ตัวทำความร้อนมันยังขยันทำความร้อนเพิ่มเฉพาะที่หน้าผมจนปรอทแทบแตก ก็ไอ้บ้านี่มันยังไม่เลิกก้มหน้ามาเล็มๆไล้ๆแถมด้วยหายใจอยู่แถวขมับผมเลยนี่ครับ

ไอ้บ้า ไอ้หน้าด้าน ไอ้ตัวทำความร้อนเกินความต้องการ......ไอ้.....ไอ้ตัวสะกดจิต!!

“Melhor do que bombom….”

หงะ.......เดี๋ยวนะ ไอ้เอดูมันว่าไงนะ เมลยอร์ โด เค บงบง........ดีกว่าช๊อคโกแลต หวานกว่าของหวานสินะ
โอย ตายๆๆ นี่ถ้าผมแกล้งตายไปตอนนี้เลยมันจะเนียนมั้ยครับ?
แล้วไอ้ตัวพูดไม่คิดถึงความร้อนจนปรอทแทบแตกของคนฟังมันจะเชื่อมั้ยครับ?

“Delicioso”
ยังครับ มันยังคงเพิ่มระดับความร้อนบนใบหน้าผมอย่างต่อเนื่อง อร่อย.......พูดมาได้นะ เออสิ ก็ช๊อคโกแลตไส้คาราเมล เพิ่งกลืนลงคอไปได้ไม่นานเองนี่หว่า

ไม่ไหวแล้วครับ ขืนปล่อยให้เอดูมันพูดอะไรมากไปกว่านี้ผมคงหัวระเบิดตายจริงๆ ไม่ต้องรอแกล้งตายเลยแน่ๆ

“Áqua”
ใช่ครับ ถึงทางออกจะโง่ไปนิด แต่ตอนนี้ผมคิดออกแค่นี้แหละ

“หึๆๆ หิวน้ำเหรอ เราว่าเราก็ป้อนไปตั้งเยอะนี่”
ดูมันสิครับ ดูความร้ายกาจของมัน นี่แหละครับตัวจริงของมันล่ะ ไอ้ภาพลักษณ์ช่างดูแลเอาใจใส่ ช่างเอาอกเอาใจนั่นก็แค่เปลือกครับ
เนื้อแท้ของผู้ชายตัวโตชื่อเอดูวาร์โด้คือคนกวนตีนอันดับหนึ่งในซาน โฮเซ่ ต่างหาก

ผมเลยย้ำว่าหิวน้ำด้วยการหยิกพุงมันไปหนึ่งที มันถึงขยับตัวนิดๆเอื้อมไปหยิบขวดน้ำมาเขี่ยๆให้แถวข้างแก้ม
คือ.....จนป่านนี้ผมก็ยังไม่กล้าเงยหน้าเลยครับ อายมันอ้ะ ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี

คิดไปคิดมาผมจะหนีด้วยการซุกหน้าอยู่กับซอกคอมันต่อไปคงไม่ได้ เลยปรับสีหน้าตัวเองกะว่านิ่งที่สุดแล้วถึงค่อยๆแกะตัวเองออกมา
คว้าขวดน้ำมาเปิดแล้วก็จิบไปเรื่อย กะว่าจะจิบให้นานที่สุด เอาจนน้ำหมดขวดมันเสียเลยจะได้ไม่ต้องพูด
แต่......ไอ้บ้าข้างตัวที่ยังไม่ยอมปล่อยผมจากอ้อมแขนมันหัวเราะครับ

“หึๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”

“Não rir!!”

ต้องออกคำสั่งหน่อยครับ ห้ามขำมันเลย ไม่ใช่ว่าเพราะเขินนะครับ ก็ดูมันสิ ตอนแรกก็ขำเบาๆอยู่หรอก ไปๆมาๆขำซะจนตัวสั่นไปหมด
ผมกำลังจิบน้ำนะครับ พอไอ้ตัวทำความร้อนมันสั่น ผมจะจิบอย่างปลอดภัยได้ยังไง เดี๋ยวได้มีสำลักกันบ้างหรอก

ไอ้เอดูมันก็เชื่องครับ ส่งเสียงกึกๆกักๆในลำคออีกนิดหน่อย แล้วก็หยุดขำได้ตามคำสั่ง แถมทำนอกเหนือคำสั่งด้วยการเพิ่มแรงแขนรัดผมจนแน่น

ผมที่เผลอลืมความตั้งใจของตัวเอง ว่าถ้าอยู่ใกล้มันแบบไม่มีระยะห่างจะไม่ยอมสบตากับมันอีก เลยหันหน้าไปหามันกะจะด่าเสียหน่อย
เจอไอ้คนหยุดหัวเราะแต่กลับส่งสายตา ‘เมลยอร์ โด เค บงบง’ มาให้ เลยพาลเลิกหิวน้ำกันดื้อๆ

การไปรับของขวัญวันเกิดวันนั้นจึงจบลงที่คนให้ของขวัญมันยอมตามใจ หนีบผมไปเอาขาหน้าและขาหลังข้างซ้ายแตะๆน้ำทะเลให้สมใจอยากสี่ห้าจุ่ม
กลับมานั่งเกยกันพอให้อุ่นรอดูพระอาทิตย์ตกทะเลเอาบรรยากาศอีกนิด
แล้วผมถึงนึกขึ้นได้ว่า.....ต่อให้เอดูมันเป็นคนขับตีนผี ก็ไม่มีทางกลับไปนอนบ้านทันแน่นอน
แล้ว....เราจะไปซุกหัวนอนกันตรงไหนครับ?


แต่ในเมื่อมันไม่บอก ผมก็ไม่ถาม....
ไม่ใช่อะไรครับ เดี๋ยวมันจับได้ว่าผมกลัวก็เสียภาพแย่สิ แค่นี้ก็แทบไม่เหลือภาพพจน์ดีงามสมเป็นชายไทยให้รักษาแล้ว

เอดูมันจัดการให้ผมลุกขึ้นยืน เก็บข้าวของตามประสาคุณแม่บ้านที่ดีใส่ตะกร้ากับเป้สะพายหลัง แล้วก็เดินกลับไปที่รถตอนที่แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ยังจับอยู่ที่ขอบฟ้า วางข้าวของไว้เบาะหลังแล้วรอจนผมขึ้นนั่งประจำที่รัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วมันก็ขับรถกลับทางเก่า

ไอ้ผมก็ชักจะลุ้นว่ามันจะพากลับบ้านเลยรวดเดียวจริงเรอะ ถึงบ้านเที่ยงคืนเนี่ยนะ

เอดูมันคงเห็นเครื่องหมายปรัศนีย์ตัวโตเท่าบ้านแปะอยู่กลางหน้าผากผมแหละครับ มันเลยบอกว่าต้องขับกลับไปเท่าที่ไหว เอาให้ใกล้คัมปินัส เพราะบอกปะไป๊ของผมไว้ว่าจะพามาเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้กับเพื่อนอีกหลายคนที่คัมปินัส แล้วอาจจะค้างเลย

ปะไป๊สั่งมันไว้ว่ายังไงวันรุ่งขึ้นก็รีบพาผมไปส่งบ้านเร็วๆด้วย.....ฟังมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มคิดว่าปะไป๊คงเป็นห่วงสวัสดิภาพผมอยู่ไม่น้อย แต่ที่ไว้ใจเอดูก็คงเพราะมันเสนอหน้าไปให้ที่บ้านผมเห็นหน้าบ่อยๆนั่นแหละ


ขากลับผมนั่งได้มารยาทงามตามคำอนุญาตของไอ้คนพาเที่ยวด้วยการเลื่อนเบาะไปด้านหลังจนสุด แล้วไถลตัวเอนเกือบนอนยกขาติดเฝือกพาดแหมะไปกับคอนโซลหน้ารถ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ นั่งห้อยขานานๆรู้สึกนิ้วเท้าที่ลอดจากเฝือกมาตากอากาศมันจะหน้าตาเหมือนไส้กรอกเข้าทุกที

ในที่สุดเอดูมันก็เลี้ยวรถเข้าโมเต็ลริมทางครับ
เอ่อ.....นี่เอดูมันจะช่วงชิงความเป็นเพื่อนในทุกประสบการณ์ครั้งแรกของผมไปหมดเลยใช่มั้ยครับ มันกะเก็บแต้มใช่มั้ย?

กอดแรก นั่งตักแรก หอมแก้มแรก อ่า......ชิมปากคนแรก แล้วนี่ยังการนอนในโมเต็ลเป็นครั้งแรกอีก

มันขับรถเข้าไปจอด จัดการจ่ายค่าที่พักโน่นนี่อะไรไม่รู้ที่เคาน์เตอร์ระหว่างให้ผมนั่งรออยู่ในรถ โมเต็ลนี้เป็นโมเต็ลริมทางเล็กๆครับ ลักษณะเหมือนบ้านใหญ่ๆชั้นเดียว ผมเห็นรถคันอื่นจอดอยู่อีกแค่สองคันเท่านั้นเอง นี่ถ้าไม่มีป้ายไฟเขียนไว้ก็คงขับรถผ่านไปเฉยๆโดยไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของสถานที่นี้เลยด้วยซ้ำ

เอดูมันจัดการอะไรเรียบร้อยก็มาพาผมเดินตามหลังคุณพนักงานที่คาดว่าคงมีอยู่คนเดียวนั่นแหละไปเปิดห้องครับ ผมก็เห็นนะว่าคุณพนักงานแกมองผมสลับกับไอ้คนจูงไปมา สงสัยเห็นหน้าตาแปลกมั้งครับ ฮ่าๆๆๆ

อืม.....ห้องในโมเต็ล มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
พอเปิดประตูเข้าไปคุณพนักงานก็จัดการเปิดไฟแล้วก็ส่งยิ้มให้ผมกะเอดูคนละทีก่อนจะเดินออกไปครับ ทิ้งผมไว้กับห้องสี่เหลี่ยมผนังสีชมพูอ่อนกับเพดานสีขาวที่......เหมือนสีจะหมดกระป๋องก่อนเลยทาไม่เสร็จ กับเตียงคู่ไม่ใหญ่นักที่หัวเตียงชิดริมด้านในของห้อง กับผ้าปูที่นอนสีขาว หมอนสีขาว มีผ้าห่มสีขาวเหน็บชายไว้เรียบร้อย แล้วก็.......ผู้ชายอีกคนที่หอบหิ้วกันมาผจญภัยในโมเต็ล

แค่นั้นจริงๆครับ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น เอ่อ....มีตู้เสื้อผ้าไม้สีเข้มหน้าตาตลกอยู่อีกตู้ กับประตูสีขาวอีกบานที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงจะเป็นห้องน้ำแน่นอน

“ขอโทษนะ เงินเหลือพอให้นอนแค่ที่แบบนี้”
นี่มันคงคิดว่าไอ้ท่ากราดสายตามองไปทั่วห้องของผมเป็นสายตาแสดงความไม่พอใจแหงเลยนะครับ ใครว่าไม่พอใจเล่า ผมแค่กำลังเปิดตารับประสบการณ์การเข้าโมเต็ลริมถนนบ้านนอกบราซิลต่างหาก

อีกอย่าง ผมว่าสวัสดิภาพของบางสิ่งมันน่าเป็นห่วงมากกว่าชนิดห้องพักเยอะนะครับเวลาแบบนี้เนี่ย

“เอดู” ผมลากตัวเองไปนั่งที่ปลายเตียงโดยดึงมือมันมาด้วย
“ที่แบบไหน นายนอนได้ เราก็นอนได้ทั้งนั้นแหละ.....ถ้าหากเราจะนอนไม่ได้ ก็ไม่ใช่เพราะที่นอนถูกหรือแพง....”

“......?......”

“เราสองคนจะนอนเตียงเดียวกันโดยที่เช้าตื่นขึ้นมาแล้วเราจะยังเหมือนเดิมใช่มั้ย?”

“.....Com certeza, confie em mim.”
ก็เท่านั้นแหละครับ แค่มันตกปากรับคำว่า แน่นอน ให้ผมเชื่อใจมัน แค่นั้นสำหรับผมก็พอจะให้นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกับมันได้สนิทใจแล้ว

ผมถือสิทธิ์เจ้าของวันเกิดใช้ห้องน้ำก่อน อาบน้ำเร็วๆลวกๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอีกชุดที่ไอ้คนพามามันเตรียมให้ แล้วก็ขึ้นไปยึดเตียงซีกขวา พยายามนอนชิดขอบเตียงที่สุดแล้วก็ทำท่าหลับสนิทให้สมจริงก่อนอีกคนที่คืนนี้ต้องใช้เตียงร่วมกันจะทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วออกมาจากห้องน้ำ

จัดท่าตัวเองได้สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู แล้วสักพักก็รู้สึกว่าชายผ้าห่มอีกด้านถูกขยับ แล้วเตียงที่ไม่ได้หนานักก็ยวบลงพร้อมเสียงลั่นเอี๊ยดเบาๆ

ผมไม่รู้หรอกครับว่าตัวเองเกร็ง จนกระทั่งรู้สึกว่ามีมือมาดึงให้หัวไปวางอยู่ตรงซอกไหล่ พร้อมกับเสียงทุ้มๆนุ่มๆพร้อมลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดอยู่แถวใบหู ดังกว่ากระซิบนิดเดียว

“Boa noite, meu bem.”
บัวอา นอยทิ เมว เบง........ราตรีสวัสดิ์ คนดีของผม

ผมขยับหามุมสบายอีกนิด ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ให้คนดีที่สุดของผมกลับไปบ้าง
“Boa noite, Edu….”

………………………………..
………………………………..


..โปรดติดตามตอนต่อไป..

ปล.เขินจริงอะไรจริง เขินจนเขียนนานเวอร์เลยทีเดียว  :m32:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 07-09-2010 12:38:20
 :z13: จิ้ม ฉึก ฉึก


อิส..นายแน่อมาก "เนียนเนอะ" 5555

เอดูเทคแคร์ดีมากเหอะ สงสารก็แต่พนักงาน คงมึนไปอึดใจ 555

“Boa noite, meu bem.” อยากจะกรีดร้อง ก็กลัวว่าสองคนที่นอนบนเตียงจะตื่น

(ข้าน้อยแอบอยู่ในตู้หน้าตาตลกที่อิสเห็นไง เอิ๊ก ๆ )

อ่านตอนนี้แล้วก็เขินตาม หวังว่าตอนเช้าอิสคนดีคงรอดไปครบ 32 นะ
 :m3:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 07-09-2010 12:49:08
น่ารักง่าส์~~~~~~~~~!!~ อ่านไปเขินไป แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เอดู
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 07-09-2010 13:02:38
อิสก็ใช่ย่อยนะเนี่ยะ  มีเริ่มก่อนแบบเนียน ๆ ซะด้วย
อย่างว่าแหละนะ  บรรยากาศมันเป็นใจซะขนาดนั้น
หวานได้ทุกตอนเลยสิสองคนนี้
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 07-09-2010 13:05:30
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย

ไม่พอ!

Want more!

><

พี่นุ่นจ๋า ทำไมมันดูน้อยจังในความรู้สึกหนู อยากได้อีกๆๆๆๆ

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 07-09-2010 13:19:45
ว่าแต่อิสอะ แน่ใจนะว่าอยากให้เป็นแบบนี้
เอดูน่ารักสุดๆนะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 07-09-2010 13:45:01
ถ้าเราเป็นเอดู เราจะอดใจไหวไหมเนี่ย
ตะ ตะ แต่ ก็คงต้องไหวเนอะ
ก็ ก็ ในตู้หน้าตาตลกๆนั่น ประตูตู้มันแง้มนิดๆ
และมีลูกตาแวววาวคู่นึง จ้องอยู่ อ๊ะ อ๊ะ มันมีคนแอบอยู่นี่นา
ออกมาเลยน้องด้า แล้วไปนอนห้องที่ตัวเองจองไว้เลย 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 07-09-2010 14:01:47
“Delicioso”
อิอิ น้องอิสเนียนซะน่ารักเลย

 :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 07-09-2010 14:23:15

อิสเนียนมากเลยนะจ๊ะ  :m13:
 “Boa noite, meu bem.” ราตรีสวัสดิ์ คนดีของผม…เอดูทำไมน่ารักอย่างนี้
หวานตลอดเลยคู่นี้ อ่านไปเขินไป  :o8:
+1 พี่นุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 07-09-2010 14:26:03
อ่าน 2 ตอน พร้อมกันให้ความรู้สึกว่าเรากำลัง...
ทานเค็กสตอเบอร์รี่ครีมนมสด  ที่แช่เย็นมาอย่างดี  หวานหอมละมุนละลายในปากตั้งแต่ทานเข้าไปคำแรก
แต่กับไม่เลื่ยนเพราะมีผลสตอเบอร์รี่สดช่วยเบรคไว้เป็นระยะๆ
...ต่างชาติต่างภาษา  แต่ภาษาใจ  ภาษาแห่งรักนี่ยังไงก็เป็นภาษาสากลจริงๆ นะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 07-09-2010 17:09:15
:-[ เขินจังเลยยยยยย~
น้องอิสน่ารักจังเลย แต่เอ๊ดูน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แอร๊ยยยยยย
มีชิมป่งชิมปากกันด้วยอะ เขิน *จิกหมอน*
ตาเอดูนี่ก็ขยันทำน้องอิสเราเขินจังเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ
วุ้ยยย น่ารักมากมายค่ะ อ่านแล้วอยากมีมั่ง!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 07-09-2010 17:13:44
ถ้าเราเป็นเอดู เราจะอดใจไหวไหมเนี่ย
ตะ ตะ แต่ ก็คงต้องไหวเนอะ
ก็ ก็ ในตู้หน้าตาตลกๆนั่น ประตูตู้มันแง้มนิดๆ
และมีลูกตาแวววาวคู่นึง จ้องอยู่ อ๊ะ อ๊ะ มันมีคนแอบอยู่นี่นา
ออกมาเลยน้องด้า แล้วไปนอนห้องที่ตัวเองจองไว้เลย 555

รู้ได้ไงอ่ะพี่แก้ว แอบอยู่้ใต้เตียงอ่ะจิ  :haun5:
จุ๊ จุ๊ อย่าเอ็ดไป เราแอบอยูู่่เงียบ ๆ ด้วยกัน 5555
 :m24:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 07-09-2010 17:41:10
 :-[ เขินๆๆ เอดูพ่อยอดชาย
นอกจากจะหวานสม่ำเสมอแล้ว
ยังเป็นสุภาพบุรุษอีกตะหาก  o13
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 07-09-2010 17:58:25
เอดู หวานใจฉัน(!?) สุภาพบุรุษที่สุด ด ด ด  :impress2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 07-09-2010 22:19:29
อร๊ายยยยยยยยย  :-[ หวานมากค่ะ รีดเดอร์สำลักความหวานตาย  :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 07-09-2010 22:51:25
 จะบ้าดายหวานแต่ว่าอิสจะรอดไหม555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 08-09-2010 00:39:52
อ่านแล้วแอบใจละลายได้มั้ยอ่ะ
น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 08-09-2010 09:29:16
ภาษา และวัฒนธรรม ไม่ได้เป็นตัวขวางกั้นความรักจริงๆ นะคะ

เขินมากกกกกกกกกกกกกกกกกก อ่านแล้วเขินสุดๆ
น่ารักไปไหนคะเนี่ยคู่นี้...เราเป็นเอดู เราจะไม่รับปากว่าอิสจะปลอดภัย (หื่นจริงฉัน)
น่ารักแบบนี้ทนไหวก็บ้าแล้วนะเนี่ย  :-[

รอเรื่องนี้ตลอดเลยค่ะคุณนุ่น อ่านไป ฟัง Jobim ไป ชิลล์สุดๆ คิดว่าตัวเองนั่งอยู่หาดอิปาเนม่าเลยทีเดียว กรี๊ดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 08-09-2010 09:49:34
^
^
^
จิ้ม Mercy จ๊ะ อิอิ

หวานเหลือเกินน้องนุ่น กินกาแฟไม่ต้องเติมน้ำตาลทีเดียว

แต่คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหร๊อก ยกเว้นต้องเอาตัวคนแอบดูออกไปก่อน
ออกจากที่ซ่อนเร็วเข้า ทั้งดาด้า และ พี่แก้ว

เราจะเข้าไปแอบดูแทน 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 08-09-2010 10:18:51
ขอบคุณนะคะไรเตอร์ นุ่น กรี๊ดดดด ให้ลั่นทุ่งตอนนี้ น่ารักมากอะ อย่างเเรงเลย อิสกล้านะลูก คิคิคิ ชอบอะ อ่านตอนนี้เเล้วเขินคามกันไปเลย

+ 1 ให้ไรเตอร์ ในความน่ารักของอิส เเละ เครื่องทำความร้อน เอดู เเล้วก็กลับไป นั่งรอตอนต่อไป หงิง หงิง หงิง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 08-09-2010 14:41:23


:o8:
ขอแอบอยู่ในตู้กะพี่ด้า
 :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Oo๐FosfoggY๐oO ที่ 08-09-2010 14:47:33
 :-[ บิดๆจนจะกลายเป็นโรคบิดแล้วพี่นุ่นอ่ะ เขิลลลลลลลลลลลล :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 08-09-2010 20:38:23
ตบมดเป็นฝูงที่เดินบนโต๊ะ
หวานไปแล้วนะเฮ้ย!!!
แต่น่ารักถูกใจ ฮ่าๆๆ บิดไปบิดมา~~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 08-09-2010 21:19:12
หวานนนนนนนนนนนนนน    !   
อ่านไปเขิลไป ฮ่า ๆ    >< 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 08-09-2010 21:34:50
 :z1:อิอิ ยังไงดีล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 08-09-2010 22:36:48
 :-[ หวานได้อีก ชอบๆ
+1 หวานจัดๆ กันไปเลย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: cloud9 ที่ 08-09-2010 22:53:12
กรี้ดดด เรื่องนี้น่ารักมากๆๆๆเลยค่ะ
แต่งเก่งจัง ขอชมเลย ชอบสำนวนค่ะ  อิสน่ารัก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 09-09-2010 12:56:16
^
^
^
จิ้ม Mercy จ๊ะ อิอิ

หวานเหลือเกินน้องนุ่น กินกาแฟไม่ต้องเติมน้ำตาลทีเดียว
แต่คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหร๊อก ยกเว้นต้องเอาตัวคนแอบดูออกไปก่อน
ออกจากที่ซ่อนเร็วเข้า ทั้งดาด้า และ พี่แก้ว
เราจะเข้าไปแอบดูแทน 555

 :z13: จิ้มคุณ MeeMoo ฉึก ฉึก
ออกไม่ได้แล้ว ด้ายึดตู้นี้ไว้ได้ก่อนใคร ปิดประตูใส่กลอน(จากข้างใน) แล้วเจาะรู 5555



:o8:
ขอแอบอยู่ในตู้กะพี่ด้า
 :-[

จุ๊ จุ๊  บุ้งกี้อย่าเอ็ดไปจิ เด๋วสองคนบนเตียงก็จับได้หรอก อยู่เฉย ๆ ตู้ยิ่งแคบ ๆ อยู่ด้วย
(สภาพสองคนในตู้ตอนนี้เหมือนหมูกระป๋อง อึบ ๆ เขม่วพุงเอาไว้ อึบ ๆ) :laugh3:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 11-09-2010 19:14:43
^
^
^
อารายกันเนี่ย ด้า บุ้งกี๋ ไม่เรียกกันเลย ไปด้วยคนดิ
จ๊ากกกก...ตู้เต็ม ไม่เป็นไร เบียดๆๆกันอบอุ่นดี อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeyja55 ที่ 11-09-2010 22:13:36
หวานจัง อ่านแล้วเคลิ้มเลย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 12-09-2010 09:07:09
อิสจะรอดเหรอ ไม่น๊าาาาาาา ก๊ากๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 13-09-2010 12:30:53
ขอแวบตอบเมนท์นิดๆหน่อยๆ
พร้อมรายงานว่าตอนต่อไปเสร็จแล้วนะคะ ขอตรวจหาคำผิดอีกนิดค่ะ ^o^
ขอบคุณที่ให้การอุดหนุนเสมอมา กอดดดดดดดดดดด

.....................

อิสจะรอดเหรอ ไม่น๊าาาาาาา ก๊ากๆ
:z1:อิอิ ยังไงดีล่ะเนี่ย
คิดไกลนะแนน คุณhahnก็ด้วย เอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แบร่ๆๆๆ

หวานจัง อ่านแล้วเคลิ้มเลย
อา.......คนเขียนเขียนแล้วเขินนนนนนนนนนนนนนค่ะ

^
^
^
อารายกันเนี่ย ด้า บุ้งกี๋ ไม่เรียกกันเลย ไปด้วยคนดิ
จ๊ากกกก...ตู้เต็ม ไม่เป็นไร เบียดๆๆกันอบอุ่นดี อิอิ
หงะ.......ตู้มันไม่เล็กเท่าไหร่หรอก แต่สามชีวิต จะไหวม้ายยยยยยยยยยย โฮะๆๆๆๆๆ

กรี้ดดด เรื่องนี้น่ารักมากๆๆๆเลยค่ะ
แต่งเก่งจัง ขอชมเลย ชอบสำนวนค่ะ  อิสน่ารัก
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด คุณคลาวนด์เก้ามา ปลื้มมมมมมมมมม ดีใจที่ชอบนะคะ ^o^

:-[ หวานได้อีก ชอบๆ
+1 หวานจัดๆ กันไปเลย
หวานนนนนนนนนนนนนน    !   
อ่านไปเขิลไป ฮ่า ๆ    >< 
ขอบคุณทั้งสองท่านนะคะ เขินเนอะ เอ๊ดูมันน้ำเน่า คริคริ

ตบมดเป็นฝูงที่เดินบนโต๊ะ
หวานไปแล้วนะเฮ้ย!!!
แต่น่ารักถูกใจ ฮ่าๆๆ บิดไปบิดมา~~
เอร๊ยยยยยยยย อย่าเพิ่งทำร้ายมดค่ะ หงิงๆ

:-[ บิดๆจนจะกลายเป็นโรคบิดแล้วพี่นุ่นอ่ะ เขิลลลลลลลลลลลล :o8:
บิดมากเดี๋ยวเมื่อยนะน้องฝน จงบิดซ้ายและย้ายมาขวาให้เท่าเทียม หุหุหุ

ปล.มันให้โควทได้แค่นี้ แต่ๆๆๆ เห็นมีนักอ่านอยู่คน เมนท์ว่า อิสอยากให้เป็นแบบนั้นจริงเหรอ???
ขอตอบว่า อิสตอนนั้นมันเด็กน้อยค่ะ มันเลยพอใจให้เป็นแบบนั้น แต่ๆๆ สิบปีผ่านไป คำตอบก็เปลี่ยนแปลง (รู้งี้ยอมๆมันไปก็ดีหรอก กร้ากกกกกกส์)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 13-09-2010 12:43:37
มาส่งตอนต่อไปให้อ่านกันแล้วนะคะ
หุหุ เข้าใจว่าคะแนนเอดูมันคงพุ่งพรวดๆแตะเพดานตามเคย ชริๆๆตาร้อนผ่าวๆ   :m17:
......................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Medo….ความกลัว

“Sinto muito……”

“Por quê?”

“Eu…..eu estou com medo….ah…..um pouco…..”
.........................................

เปิดเทอมแล้วครับ และผมเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องใช้ชีวิตกับเฝือกสีฟ้าสดที่ตอนนี้ผมชินกับมันจนไม่รู้สึกว่าหนักอีกแล้ว
แต่....คันครับ ข้างในเฝือก ผมรู้สึกตัวเองสกปรกมากเลย
ป่านนี้หนังกำพร้าคงตายซากทับถมกันหนาจนเอาไปปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นได้แล้วแหงๆ

แต่อย่าเอ็ดไปครับ เพราะผมมีมือเกาส่วนตัว

คือผมหมายถึงไม้บรรทัดน่ะ เอาล้วงเข้าไปถูๆไถๆพอหายคัน แต่ห้ามเผลอทำให้ไอ้บ้าบางคนมันเห็นเชียวครับ
เคยบรรเทาอาการคันต่อหน้ามันครั้งหนึ่ง ถูกดุซะหงอเลยผม อะไรของมันนักหนาไม่รู้

เอดูมันบอกว่าไม้บรรทัดมันแข็งแล้วสอดๆเข้าไปขูดๆแบบนั้นเดี๋ยวถ้าเป็นแผลถลอกจะทำยังไง
ผมก็คิดนะ ใครวะมันจะเซ่อเกาจนตัวเองเป็นแผล แต่มันก็ไม่ยอมฟังกันบ้าง ดุเอาๆ เลยต้องระวังตัวไม่ทำต่อหน้ามันครับ ไม่ได้กลัวนะ....แค่เกรงใจนิดหน่อย

ทุกวันตั้งแต่เปิดเทอมมาไป๊จะขับรถไปส่งผมทุกเช้า แล้วพอเลิกเรียนได้เวลากลับบ้านเอดูมันก็หนีบผมขึ้นจักรยานมาส่งบ้าน ไม่ได้ถามมันเหมือนกันว่าแลกจักรยานกับเพื่อนบ้านเป็นการถาวรแล้วหรือว่ายังไง


ถ้ามีใครหวังว่าคืนวันเกิดผม มันจะไม่จบลงที่แค่การกล่าวราตรีสวัสดิ์เท่านั้น......
ขอแสดงความผิดหวังไว้ตรงนี้เลยนะครับ
เพราะเท่าที่ผมรู้มันจบลงต่างกันนิดหน่อย ตรงที่พอผมกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์ออกไป ผมก็ได้อ๊อพชั่นช่วยหลับง่ายเป็นการลูบหลังลูบไหล่เหมือนกล่อมนอนเพิ่มมาอีกอย่าง

ดีนะครับที่เอดูมันเลือกจะลูบหลังลูบไหล่ นี่ถ้ามันเลือกจะกล่อมนอนด้วยการตบก้นปุๆ ผมว่าคงได้ตาค้างทั้งคืนแน่ ฮ่าๆๆๆ


ผมกล่าวอำลาคุณเฝือกที่ขาอย่างอาลัยเล็กๆ แถมยังรู้สึกโหวงๆ คงเพราะจู่ๆน้ำหนักที่เดินตัวเอียงจนได้สมดุลแล้วมันขาดหายไป แถมสภาพน่องห้อยๆเหี่ยวๆยังทำให้รู้สึกตลกตัวเองชะมัด

ผมได้ของเล่นใหม่เป็นน่องเหี่ยวๆของตัวเอง มือว่างเป็นไม่ได้ต้องคอยเขี่ยให้มันแกว่งเล่น
แต่.....แทนที่ของเล่นส่วนตัวขนาดนี้จะเป็นของผมคนเดียว กลับมีไอ้บ้าหน้ามึนถือสิทธิ์เพื่อนสนิทสุดพิเศษยื่นมือมันมาเล่นด้วยนี่สิ
ครั้งแรกไม่เท่าไหร่ ครั้งที่สองก็ยังสบายๆ.....แต่

ในที่สุดเราสองคนก็ทะเลาะกันครับ ทะเลาะกันด้วยสาเหตุที่งี่เง่าที่สุดในโลก.......
กับเหตุการณ์ที่เริ่มง่ายๆ แค่บ่ายวันศุกร์คู่กรณีมันเสนอหน้ามาหาผมที่บ้าน
ผมที่กำลังนั่งกับพื้นช่วยมะเม้ยใช้เลื่อยฉลุจัดการให้แผ่นไม้บางๆธรรมดากลายร่างเป็นนกแก้วมาคอว์อยู่
มะเม้ยจะทำนก ต้นไม้ เสือดาว ต่างๆนานาไปให้ห้องสมุดประจำเมือง

ดอนน่า มารีอา คุณแม่บ้านคงเป็นคนเปิดประตูให้มันเข้ามามั้งครับ เข้ามาถึงห้องที่มะเม้ยกับผมทำงานกันอยู่ มันก็ส่งเสียงทักทาย พร้อมส่งยิ้มลักยิ้มแก้มบุ๋มมาให้
ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มรับมัน แล้วก็หันกลับมาสนใจเจ้าแผ่นไม้ที่กำลังจะกลายเป็นมาคอว์ตรงหน้าต่อ

มะเม้ยเวลาทำงานจะเงียบครับ ผมก็เลยเงียบด้วยเหมือนกัน แต่ไอ้บ้าเอดูมันไม่ยอมให้ผมเงียบสิครับ มันไม่ส่งเสียงรบกวนโสตประสาทก็จริง แต่มันทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเยื้องไปด้านหลังผม แล้วก็เริ่มด้วยการวางมือแปะบนข้อเท้าขวาที่ผมนั่งพับเพียบอยู่

ผมหันไปขมวดคิ้วดุมันที มันก็ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ ผมเลยหันกลับมาทำงานต่อ พักเดียวเท่านั้นครับ ไม่ถึงสิบวินาที ไอ้บ้าด้านหลังมันก็วางมือแหมะลงมาอีกแล้ว คราวนี้เลื่อนขึ้นมาอีกนิดแปะลงตรงเนื้อน่องนิ่มๆเหลวๆแถมยังขยับนิ้วโป้งไล้ไปมาอีก เหลือบตามองมะเม้ยก็ยังเห็นง่วนอยู่กับการผสมสีเตรียมป้ายลงบนต้นไม้ ผมเลยปัดๆมือไอ้ตัวทำลายสมาธิออกแล้วชักขาขวาเปลี่ยนท่าเป็นนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งแทน

แต่ไอ้บ้าเอดูมันไม่หยุดครับ ผีน้องเหมียวสิงร่างให้เกิดอาการอยากเคล้าเคลียเกินปกติหรือยังไงไม่ทราบ ผมรู้สึกได้ว่าหน้าแข้งแข็งๆที่มันนั่งขัดสมาธิอยู่แนบเข้ามากึ่งเอวกึ่งสะโพก กำลังจะขยับเลื่อนตัวหนี นิ้วมือซนๆก็ยื่นอ้อมมาด้านหน้าเขี่ยตรงน่องที่เหี่ยวกว่าขาซ้ายจนเห็นได้ชัดให้แกว่งเล่น

ผมวางเลื่อยและไม้ในมือทั้งสองข้างลง ปัดมือมันออกไปแรงมากแบบที่ตัวเองยังตกใจ แต่อารมณ์กรุ่นๆในตอนนั้นมันไม่ยินยอมให้ผมรู้สึกผิด
เราสองคนมองตากันอยู่สักพัก โดยที่ทั้งผมทั้งมันไม่ยอมขยับตัวเลยสักนิด แล้วในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายหลบตา กล่าวลากับมะเม้ยของผม ก่อนจะออกไปเงียบๆ

ผมหันกลับมาหยิบงานตรงหน้าขึ้นมาทำต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวดังมาจากมะเม้ย

“อิส”

“ครับ?”

“Vem aqui……”
ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้มะเม้ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปเกือบสุดมุมห้องตามเสียงเรียก
พอผมเข้าไปใกล้จนระยะเอื้อมมือถึง มะเม้ยก็ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังผมเบาๆ


ตอนนั้นผมตกใจ แล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้มะเม้ยจะรับรู้ว่าผมกับเอดูเป็นอะไรกัน แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผมในสายตาของมะเม้ยย่อมไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา

ผมรู้มะเม้ยไม่ใช่คนพูดเก่ง และยิ่งกับผมที่สื่อสารด้วยภาษาบ้านเกิดแล้วยากที่จะเข้าใจกันจริงๆ มะเม้ยยิ่งแทบจะไม่พูดด้วยถ้าไม่จำเป็น

“วางงานตรงนี้ แล้วตามไปสิ......อยากตามไปมั้ย?”

“ไม่ครับ ผมยังไม่อยากมองหน้าเขาตอนนี้”

พูดกับมะเม้ยแค่นั้น แต่ในใจของผมมันกลับมีเสียงอื้ออึงสับสน
.....ผมยังไม่อยากมองหน้าเขาตอนนี้ ผมไม่รู้จะขอโทษเขายังไง ผมคงทำให้เขาเข้าใจว่าผมรำคาญที่เขาเข้ามายุ่มย่ามกับผมมากเกินไป

ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่ได้รำคาญ มันก็แค่ความอ่อนแอในใจของผมเอง
มันก็แค่ความคิดแวบเดียวที่ผ่านเข้ามาเป็นภาพของการจากลา.....
 
วันนี้ตอนนี้ผมมีคนคนหนึ่งคอยวนเวียนอยู่ใกล้ แค่ที่คนคนนั้นทำให้มาเขาก็ได้ตำแหน่งเป็นคนสำคัญของใจ
ผมกลัว.....เมื่อเวลาแห่งการจากลามาถึง แล้วผมจะเดินต่อไปยังไง
ในเมื่อพอถึงเวลานั้นผมจะต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่มีมืออีกคู่มาคอยพยุงในยามเจ็บ
ต่อให้หนาวแค่ไหนก็ไม่มีอีกคนมากอบกุมมือเอาไปเป่าลมอุ่นๆให้.......

คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ผมร้องไห้ ร้องไห้เพราะความกลัวที่มันเกาะกุมเต็มหัวใจ
ร้องไห้อย่างคนขี้ขลาด......ขี้ขลาดจนไม่กล้า แม้แต่จะมองหน้าตัวเอง



วันเสาร์ผมตามปะไป๊เข้าไร่ตามปกติ ต่างก็ที่อารมณ์ของผมแม้แต่เจ้าปันเตร่าลูกวัวแสนน่ารักยังไม่สามารถทำให้กระเตื้องขึ้นจากหลุมดำแห่งความกลัวได้
ผมใช้เวลาว่างของทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์หมดไปกับการปีนขึ้นไปอยู่บนรั้วหลังบ้านทำท่าอ่านหนังสือเหมือนมีสมาธิเต็มที่
ทั้งที่จริงๆแล้วกำลังหวาดกลัวการเผชิญหน้าที่กำลังจะมาถึงตอนเช้าวันจันทร์อย่างที่สุด

ตอนแรกผมกลัวกับความคิดของตัวเองและอนาคต
แต่ตอนนี้.....ผมกลับกลัวว่าสิ่งที่ผมทำไปวันนั้นจะทำให้ผมสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป
กลัวว่าอีกคนมันจะถอดใจ แล้วเราจะไม่กลับไปเหมือนเดิม



เช้าวันจันทร์ผมขอปะไป๊เดินไปโรงเรียนเองเป็นวันแรก ใจหนึ่งอยากให้ถึง แต่อีกใจก็ไม่อยากไปถึง
ตอนนั้นผมรู้สึกตัวเลยว่าตัวเองแม่งโคตรขี้ขลาด แต่แม้จะพยายามเดินให้ช้าแค่ไหน ในที่สุดระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนก็หมดลงอยู่ดี

ผมเหลือบตามองไปตรงริมรั้ว ที่ที่กลุ่มของเอดูมันมักจะกองรวมกันอยู่ก่อนเวลาเข้าเรียน ก็เจอกับสายตาของคนที่มองหามันกำลังจ้องจับมาก่อนแล้ว แต่พอได้สบตากับเจ้าของดวงตาใต้แว่นกรอบสีดำนั่นแล้วผมกลับเร่งเดินอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ลี้ภัยไปตั้งสติอยู่ในห้องน้ำ

พอเข้าไปขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำได้ ผมก็ยิ่งโมโหตัวเองมากขึ้น เพราะทั้งที่ตั้งใจจะเข้าไปหา ไปปรับความเข้าใจไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรไปไกลแค่ไหนกับท่าทีของผมในวันนั้น ผมกลับทำตัวขี้ขลาดจนแม้แต่ตัวเองยังขัดใจเอาดื้อๆ

ผมขังตัวเองจนสัญญาณเริ่มเรียนดัง ถึงเดินออกจากห้องน้ำไปเข้าห้องเรียน ในใจนึกด่าตัวเองที่ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองไปทางไอ้คนที่นั่งเยื้องๆกันเลยสักนิด พยายามทำตัวเป็นปกติ เหมือนกับว่ากำลังตั้งใจเรียนมากจนไม่มีเวลาจะคุยเล่นกับเพื่อนคนอื่น

พอถึงช่วงพัก แทนที่ผมจะพาตัวเองไปนั่งเล่นริมหน้าต่าง ยื่นมือออกไปนอกบานเกล็ดเพื่อรับความอบอุ่นจากพระอาทิตย์โดยมีอีกคนมายืนทำท่าเดียวกันข้างๆเหมือนเคย
ผมกลับฟุบตัวลงกับโต๊ะ หลับตาทำเหมือนจะขอนอนพักสักงีบเล็กๆก็ยังดี ในขณะที่พอทำแบบนั้นแล้ว ในสมองก็ด่าตัวเองให้วุ่นวาย......
ด่าตัวเองว่าจะหนีไปอย่างนี้ถึงเมื่อไหร่ เอดูมันไม่กัดเอาหรอกน่า....ก็มันใจดีออกจะตาย

ผมฟุบตัวหลับตาหน้าแนบสมุดจดบนโต๊ะ พร้อมด่าตัวเองอยู่ไม่นาน ก็รู้สึกว่ามีคนลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าหนักๆเหมือนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงพูดอะไรออกมาสักคำ

จนเสียงสัญญาณเริ่มคาบเรียนต่อไปดังขึ้นได้ยินเสียงลากเก้าอี้ห่างออกไปผมจึงลืมตาขึ้น แล้วก็สบเข้ากับดวงตาหลังกรอบแว่นสีดำคู่นั้นเข้าอย่างจัง

ผมหันหน้าหนีไปด้านตรงข้าม พร้อมด่าตัวเองเป็นรอบที่ร้อย....อิสเอ๊ย แกมันขี้ขลาดแถมยังใจร้าย ก็ทั้งๆที่ได้สบตาแค่แวบเดียว แต่สายตาที่มีกระแสเหมือนกำลังตัดพ้อมันชัดเจนออกขนาดนั้นแท้ๆ
ไม่ได้มีความโกรธที่ผมกลัวจากดวงตาของเอดู มีแต่ความไม่เข้าใจแล้วก็.....ถ้ามองไม่ผิด ความน้อยใจ.....  


เลิกเรียนวันนั้นผมใช้เวลาอ้อยอิ่งเก็บของนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กะว่ากว่าจะเดินออกไปจากห้องอีกคนที่ทำหน้าที่สารถีประจำตัวไม่เคยขาดคงจะกลับไปก่อนแล้ว รอจนเพื่อนคนสุดท้ายบอกเชาแล้วเดินออกไปจากห้อง ผมถึงเอาเป้ขึ้นสะพายใส่หมวกแล้วก้าวออกห้องเรียนบ้าง

แต่.....ไปได้แค่หน้าประตูเท่านั้นแหละครับ เพราะไอ้คุณคู่กรณีตัวเป็นๆมันดักรออยู่หน้าห้อง แค่ผมก้าวขาออกไปมันก็คว้าแขนหมับ แล้วลากให้สาวเท้าตามทันที

“เฮ้ย!! เอ่อ....เดี๋ยวดิ ปล่อยก่อน”

“...........................”
เงียบครับ ไอ้คนลากมันไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ยอมปล่อยแถมยังเพิ่มแรงบีบที่แขนขึ้นอีก

“เออๆ ไม่ต้องปล่อยก็ได้ แต่อย่าเดินเร็วดิ”
พอได้ยินผมพูดอย่างนั้นมันก็หันกลับมามองหน้าผมครับ ผมเลยบุ้ยปากว่าขามันยังเดินไม่ถนัดนะ กูยังไม่เต็มร้อยนะเว้ย หงิงๆ
แต่ไอ้เสียงหงิงๆนั่นไม่ได้ส่งออกไปจริงๆหรอกครับ ก็แค่ส่งสายตาลูกหมาหิวนมอ้อนมันไปหน่อยแค่นั้นเอ๊งงงงง

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
 ครับเฮีย แหะๆเปล่าหรอกครับ ได้แค่คิด ผมไม่กล้าปากดีตอนนี้หรอก ยังดีนะมันยังใจดียอมผ่อนแรงบีบที่แขนลงแล้วก็ผ่อนฝีเท้าลงด้วย

เอดูมันลากผมออกมาแล้วให้ขึ้นซ้อนจักรยานเหมือนเคย จักรยานสีแดงคันเดิมของมันแหละครับ มันเอาคันนี้กลับมาใช้ตั้งแต่วันที่ผมถอดเฝือกแล้ว

ไอ้ที่ผมบอกว่าซ้อนก็คือซ้อนหน้า นั่งพาดมันตรงคานด้านหน้า โพสิชั่นโคตรเปลืองเนื้อเปลืองตัวให้มันแต๊ะอั๋งตามใจชอบนั่นแหละ
ที่แปลกไปก็ตรงมันเหมือนจะเกร็งๆตัว ไม่ค่อยปล่อยให้แขนตัวเองมาแตะโดนเนื้อตัวผมเหมือนเคย......
ง่า...แบบนี้ไม่ดีเลยครับ ผมชอบให้มันแตะนิดแตะหน่อยมาแบบเดิมมากกว่า แว้กกกกกก คิดอะไรออกไปเนี่ย!!


ในที่สุดมันก็พาผมเข้ามาในสวนสาธารณะครับ สวนนี้อยู่ห่างโรงเรียนมาสามสี่บล็อกได้ เข้ามาถึงด้านในสวนมันก็จอดจักรยานแล้วให้ผมลง ผมก็ลงไปยืนรอมัน

ในสมองน้อยๆคิดหาคำพูดให้วุ่นวายไปหมด ว่าจะบอกกับมันยังไงดี จะแก้ตัวยังไง บอกมันแค่วันนั้นเผอิญฮอร์โมนแปรปรวนดีมั้ย แล้วเลยกลัวมันจะโกรธเลยไม่กล้าสู้หน้า หรือจะทำเนียนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปเลย จับจูบปิดปากซะเผื่อมันจะเคลิ้ม กึ๋ยๆๆ

หงะ.......มันมาแล้วครับ หน้าตาแบบที่ว่ายังไงกูก็ต้องได้ความกระจ่างแบบนี้ไม่ดีเลย หงิงๆ

“Por quê?” ........ทำไม? อ่า.....มาถึงก็ไม่มีอินโทรเลยเว้ย แถมเสียงเฮียยังโหดได้อีก
 
“Sinto muito……” เราขอโทษ......ติ๋ง.......กรรม น้ำอะไรหยดประกอบฉากวะเนี่ย

“Por quê?” ........ทำไม? เสียงไม่ดุแล้วเว้ย เงยหน้ามองตอนนี้คงไม่เจอสายตาพิฆาตแล้วมั้ง
ว่าแล้วผมเลยเงยค่อยๆเงยหน้ามองมัน เห็นมันมีสีหน้าตกใจแวบหนึ่ง อ่า.....ฟืดดดดด อ้าว กูไม่สบายแหง เหมือนจะมีน้ำมูก

“Eu…..eu estou com medo….ah…..um pouco…..foi mal” เรา....เราก็แค่ กลัว อ่า...กลัวนิดหน่อย....เราผิดไปแล้ว
ก้มหน้าอีกนิด....ติ๋ง กรรม ก้มหน้าทีไรอิเสียงติ๋งนี่มาประกอบฉากทุกที ใครมันเลือกพร๊อพวะ เอฟเฟคท์โคตรไม่เข้ากับสถานการณ์เลย

“กลัวอะไร?”
ผมเงยหน้ามองคนถาม เห็นหัวคิ้วมันขมวดมุ่น แล้วเลยเขยิบเข้าไปใกล้มันอีกนิด แล้วก็อีกนิด......อีกนิด
จน เขยิบไม่ได้แล้ว เพราะตัวติดกับมัน
เอ่อ......แนบหน้าเข้ากับอกมัน ซุกเข้าไปอีกหน่อย มันไม่ได้ดันออก แล้วก็ไม่ถอยหนี
ขอแปลเข้าข้างตัวเองว่ามันไม่โกรธกันอย่างที่กลัวคงได้

“กลัวจะโกรธ......”
ว่าแล้วก็โอบแขนไปรอบเอวมันกั้นคอกเอาไว้ มันจะได้หนีไปไหนไม่ได้ อืม.....ความคิดดีจริงๆ

เอดูมันกอดตอบจนแน่น แล้วก็คลายอ้อมกอดออกนิดหน่อย ก่อนจะก้มหน้ามาแตะกึ่งปากกึ่งจมูกลงแถวกลางกระหม่อม
ดันตัวผมออกห่างจากมันนิดให้ผมแอบแวบตกใจว่ามันไม่อยากให้กอด.....
แล้วก็คิดได้ในหนึ่งในร้อยของเสี้ยววินาทีว่า อิส....มึงจะบ้าแล้วมั้ย มันทั้งกอดตอบทั้งดมหัวฟอดๆมีเหรอมันจะหวงเนื้อหวงตัวขึ้นมากะทันหัน

ผมเลยเงยหน้าขึ้นสบตากับมันสักหน่อย ทีนี้มันเลยแตะปากลงกับหัวตาทั้งสองข้าง
“แค่นั้นจริงเหรอ? ถึงกับต้องร้องไห้เลยเหรอ?”

โอว........ที่แท้อิเสียงติ๋งนั่นไม่ใช่พร๊อพสินะ เสียงน้ำตาแสดงความสาวแตกรอบที่ร้อยของข้าพเจ้าเอง ม้ายยยยยยยยยยยยย

“ก็......”

“ก็อะไร?” โห......ใจดีไปมั้ยพี่ เสียงอ่อนเสียงหวานถามมาแบบนี้ ก็........
พราก.........เอาแล้วครับ ขอเตือนชายอกสามศอกทั่วทุกตัวคน อย่าได้แสดงความใจดีเกินพิกัดใกล้คนกำลังร้องไห้น้อยๆ เพราะนั่นจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มันกลายเป็นคนร้องไห้เยอะๆขึ้นมาทันที

“ฮึก.......ก็กลัวโกรธด้วย ฟืดดดดดด กลัว......วันที่ต้องกลับบ้าน....ฮึก....ด้วย ฮือ........”
ไอ้ผู้ชายใจดีมันกอดผมแน่นเลยครับ กอดแล้วก็กดหัวผมให้แนบลงกับอกมันอีก กดลงไปเหมือนจะฝังเอาไว้ตรงนี้แหละ

“ไม่เป็นไรนะ เราก็กลัวเหมือนกัน อิสรู้มั้ย?” หืม.......มันว่าไงนะ กลัวเหมือนกันงั้นเหรอ
ผมพยายามจะเงยหน้าขึ้นมองมัน แต่เอดูมันไม่ยอมครับ มันกดให้หน้าผมแนบลงกับอกมันอยู่อย่างนั้นแหละ

“เราก็กลัววันนั้น เพราะงั้นเรามาใช้เวลาที่มีให้คุ้มดีกว่ามั้ย อย่าหนีอีก....อย่าหลบหน้ากัน แล้วก็.....ยิ้มให้กัน กอดกันทุกวัน แบบนี้ดีกว่ามั้ย....”

ผมไม่ได้ตอบหรอกครับ แต่ผมกระชับอ้อมกอด กอดไอ้ผู้ชายตัวโตใจดีที่สุดในโลกที่เพิ่งจะรู้ว่าก็ขี้กลัวเหมือนกันเอาไว้จนแน่น
ให้สัญญากับมันในใจ......
เชื่อเถอะเอดู เราจะไม่หนี ไม่หลบ ไม่หาเรื่องทะเลาะด้วย แล้วก็จะยิ้มให้กัน กอดกันทุกวันเลยนะ.......



บ่ายนั้นผมไม่ได้กลับไปกินข้าวบ้าน เพราะมัวแต่ให้ไอ้คนใจดีมันโอ๋แล้วก็เผลอให้มันหนีบไปกินมื้อกลางวันที่บ้านมัน แถมขลุกอยู่กับมันดูหนังฟังเพลงอยู่ในห้องมันจนลืมเวลา พอโผล่หน้ากลับบ้านตอนเย็นเลยถูกมะเม้ยดุแทบแย่ แถมด้วยปะไป๊กำชับว่า ทีหลังจะกลับบ้านผิดเวลา ต้องโทรศัพท์มาบอกทุกครั้ง รู้สึกผิดต่อเนื่องไปเลยครับ

แต่.......ผมว่ามันก็คุ้มนะ ที่เราได้รู้ว่าไม่ได้มีแต่เรา....ที่กลัวกับอนาคตอยู่เพียงลำพัง
คุ้ม......ที่ได้รับรู้ ว่าไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ก็มีอีกคนที่จะรู้สึกร่วมด้วยเสมอ......
ความรู้สึกแบบนี้ ต่อให้ต้องกลัวกับอะไรอีกแค่ไหน ผมเชื่อ......ว่ามันคุ้มจนเกินคุ้มจริงๆ
................................
................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..


ปล.คุ้มมมมมมจริงๆ ยิ่งกว่าคุ้ม คุ้มทุกสิ่ง......คุ้มที่แฟลตปลาทองงงงงงงงงงงงง :m27:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 13-09-2010 12:44:40


:o11:
ไม่รู้จะเม้นท์ไงดีอ่ะ ตอนนี้ง่วงมากไม่ได้นอนทั้งคืน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 13-09-2010 12:59:59
5555 เอดูก็ขี้เล่นเกิ๊นนนน ทำเค้าโกรธเลยเห็นไหมเล่า
แอบหยิกแขนไป 1 ที แก้แค้นให้อิส เพราะงั้นก็อย่าโกรธไปเลยนะ

เคยเป็นเหมือนกัน อารมณ์ชั่ววูบที่ทำให้เราต้องมานั่งเสียใจ
ในเมื่อแก้ไขอดีตไม่ได้ เราก็ต้องลืมมัน วันที่เป็นอยู่นี่แหละ ทำให้มันดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด
ชอบเอดูที่อ่อนโยนแบบนี้ รักอิสขี้แยขี้อ้อน(แบบไม่รู้ตัว)
ทำเอาซึ้งตาม กระซิก กระซิก  :monkeysad:
กอดดดดดคนเขียนอีกทีก่อนไป  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 13-09-2010 13:16:41
:monkeysad: แง~
เค้าไม่ชอบการจากลาาาาาาา TT

วันนี้ก็มีความสุขให้เยอะๆก่อน เรื่องอนาคตค่อยคิดทีหลังแล้วกันเนอะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 13-09-2010 13:44:40
ซึ้งอ่ะ มากๆด้วย
น่ารักสุดๆ อยากให้ทั้งสองคนมีความสุขนานๆเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 13-09-2010 13:55:34
มันหวานๆ อมเศร้ายังไงไม่รู้
ไม่ชอบการจากลา
แล้วยังจากไปคนละทวีปอีกต่างหาก
 :sad11:
แต่ก็อย่างที่เอดูว่านั่นแหละ
ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด
อย่างน้อยก็เก็บไว้คิดถึงยามเหงา
เราก็ยังมีช่วงเวลาดีๆ ให้จดใจ
+1 ขอบคุณค่ะคุณนุ่น
เป็นกำลังใจให้เสมอจ้า
  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 13-09-2010 14:05:10
T^T~ ผัดไทก็กลัวด้วยคนนะ
 
ปล.มันให้โควทได้แค่นี้ แต่ๆๆๆ เห็นมีนักอ่านอยู่คน เมนท์ว่า อิสอยากให้เป็นแบบนั้นจริงเหรอ???
ขอ ตอบว่า อิสตอนนั้นมันเด็กน้อยค่ะ มันเลยพอใจให้เป็นแบบนั้น แต่ๆๆ สิบปีผ่านไป คำตอบก็เปลี่ยนแปลง (รู้งี้ยอมๆมันไปก็ดีหรอก กร้ากกกกกกส์)

^
^
ในเมื่อ คิดได้เมื่อสายแบบนี้ แต่นี่นิยาย เราจะทำยังไงก็ได้ ใช่ไม๊ค่ะ หุหุ >,,<
ยอมเลย ยอมเลย ตึ่ง!!!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 13-09-2010 14:29:08
 :m15: กลัวมากๆ
 แต่ดีกันแล้วก็ดีใจ
ใช้เวลาให้คุ้มค่า

แล้วพาเอดูใส่กระเป๋ากลับไทยมาด้วย
 :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 13-09-2010 14:37:55
พี่นุ่นจ๋าไอ้ ปล.คุ้มมมมมมจริงๆ ยิ่งกว่าคุ้ม คุ้มทุกสิ่ง......คุ้มที่แฟลตปลาทองงงงงงงงงงงงง 

แฟลตปลาทองคืออารายยยยยยย

หนูรู้สึกมีวี่แววเหมือนจะจบแล้วเลยอ่ะ งุงิ

บอกทีว่าหนูคิดไปเองเนอะๆ *-*


หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 13-09-2010 15:01:21
ขอบคุณนะคะไรเตอร์ นุ่น อะ เเอบ มาม่านิดๆ เเบบ เอดู เนี่ยเค้ามีที่ไหนอีกไม๊อะ  ขออีก 1 คุคุคุ ใช่ๆๆเอดู คิดถูก ต้องใช้เวลาตอนนี้ให้คุ้มค่าอย่าพึงไปกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คนเรามีความหวังจนวินาทีสุดท้าย เเต่ว่านะ เเฟลตปลาทองมันเกี่ยวอะไร อะ ไรเตอร์นุ่น คุคุคุ    :กอด1:ไรเตอร์
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-09-2010 20:34:08
เด็ก ๆ หลายคนเกิดไม่ทันโฆษณาแฟลตปลาทอง  อะฮ๊า  ชั้นพูดอะไรออกปายยย
ช่างมันเถอะแฟลตนั่นน่ะ  ว่าเรื่องของเอดูดีกว่าจะทำยังงัยดี
ใครจะตามใครไปอยู่ที่ไหนกันแน่ถึงจะเรียกว่า happy ending น่ะ  อยากรู้
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 13-09-2010 20:47:04
จะกลัวกันไปใย ความห่างไกลไม่เคยห้ามหัวใจให้หยุดรักและคิดถึงกันได้สะหน่อย

แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Melhor do que bombom [12] (07/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-09-2010 21:05:12
^
^
^
จิ้ม Mercy จ๊ะ อิอิ

หวานเหลือเกินน้องนุ่น กินกาแฟไม่ต้องเติมน้ำตาลทีเดียว
แต่คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหร๊อก ยกเว้นต้องเอาตัวคนแอบดูออกไปก่อน
ออกจากที่ซ่อนเร็วเข้า ทั้งดาด้า และ พี่แก้ว
เราจะเข้าไปแอบดูแทน 555






























 :z13: จิ้มคุณ MeeMoo ฉึก ฉึก
ออกไม่ได้แล้ว ด้ายึดตู้นี้ไว้ได้ก่อนใคร ปิดประตูใส่กลอน(จากข้างใน) แล้วเจาะรู 5555



:o8:
ขอแอบอยู่ในตู้กะพี่ด้า
 :-[

จุ๊ จุ๊  บุ้งกี้อย่าเอ็ดไปจิ เด๋วสองคนบนเตียงก็จับได้หรอก อยู่เฉย ๆ ตู้ยิ่งแคบ ๆ อยู่ด้วย
(สภาพสองคนในตู้ตอนนี้เหมือนหมูกระป๋อง อึบ ๆ เขม่วพุงเอาไว้ อึบ ๆ) :laugh3:



ตายแล้วฉัน พาน้องๆทำอะไรแบบนี้นี่ ถ้าเค้าสองคนเห็นพวกเรา เค้าจะโกรธป่ะเนี่ย  ออกก็ออกไม่ได้ คริ คริ แอบต่อไปล่ะกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 13-09-2010 21:08:53
แต่งเป็นเรื่องยาวเลยมั้ยคะ แบบว่ามีภาคต่อว่าอีก 10 ปีต่อมาเป็นยังไง
โอ้ยยย เอดู น่ารักมากอ่ะ มากๆๆๆๆๆๆ
อ่านเรื่องนี้ทำให้คิดถึงหนังสือเรื่อง Rainbow Boy เล่มแรกเลยอ่ะ
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-09-2010 21:15:48
ช่วงต้นลุ้นจนเกร็ง ลุ้นให้อิสขอโทษเอดู แต่สุดท้าย ก็ว้านหวานอีกแระ ชออออออบบบบบบบบบ จังงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeyja55 ที่ 13-09-2010 21:23:38
อ่านแล้วซึ้งมาเรื่อยๆ มาหลุดฮาตรงประโยคที่ว่า "เสียงน้ำตาแสดงความสาวแตกรอบที่ร้อยของข้าพเจ้าเอง" :m20: :m20: เรื่องนี้ครบทุกอารมณ์จริงๆ นะเนี่ย
อย่าว่าแต่อิสกลัววันที่จะต้อวจากกันเลย คนอ่านก็กลัวเหมือนกัน กลัวเศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 14-09-2010 08:29:31

กลัวเหมือนกัน  ไม่อยากให้จากกันเลย  :monkeysad:
อ่านแล้วซึ้ง เอดูอบอุ่น อ่อนโยน น่ารักที่สุด
อิสขี้อ้อน ขี้แยจนสาวแตกอีกต่างหาก
ทั้งคู่ใช้เวลาให้คุ้มค่า ทำให้มีความสุขที่สุด
ส่วนตอนจบ...พี่นุ่นอย่าเศร้านะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 14-09-2010 19:53:28
เข้ามาอ่านแล้วครับ
ยอมรับว่าเขียนเมนท์ไม่ออกจริงๆ
ตอนจากกันมันจะทำอย่างไร
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: acorntan ที่ 14-09-2010 19:54:05
มดขึ้น มดขึ้น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 14-09-2010 21:59:21
ทำไมหวานปนเศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 14-09-2010 23:00:35
น่ารักมากเลยทั้งเอดูและอิส ต่างคนต่างกลัวเวลาจากกันที่จะมาถึง...
ดีแล้วที่ยังตัดสินใจใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มที่สุด เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี ยามที่คิดถึง
นุ่น อย่าให้ รักแท้แพ้ระยะทางนะ
อ้อ...เรื่องแฟลตปลาทอง เขารู้หมดเลยว่า รุ่นไหนแล้วเนี่ย  555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 15-09-2010 11:24:35
เข้าใจอารมณ์อิสเลยอ่ะ เค้าเองก็เป็นแบบนี้อย่างบ่อยอ่ะ
ตอนทำไม่ได้สำนึกว่าตัวเองผิด
พอได้คิดก็อยากขอโทษ แต่ไม่กล้า  :เฮ้อ:
อ่านแล้วอินอย่างแรง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 15-09-2010 11:54:06
เค้าลางของความเศร้า เริ่มมีมาให้เห็น

แต่คงต้องเอาความหวานช่วงนี้ กลบเกลื่อนให้มันหายไปก่อน

หวานให้สุดๆ ไปเลยนะน้องนุ่น จะได้เก็บไว้เป็นทุนตอนเหงา
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: acorntan ที่ 15-09-2010 14:54:56
โหวกเวก โวยวายทำลายบรรยากาศ


อิอิ  พี่นุ่น...มายัง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 15-09-2010 17:34:02
อบอุ่นแบบอัดอั้นยังไงก็ไม่รู้ค่ะ...

แอบช่วยอิสและเอดูกลัว ไม่ชอบบรรยากาศแห่งการจากลาเลยค่ะ ฮือออ แอบน้ำตาหยดตามอิส (ดราม่าอีกแล้วฉัน)

เอดูจ๋า ขอทุนไปเรียนเมืองไทยไหม ประเทศไทยสวยนะ แถมทะเลก็สวยไม่แพ้บราซิลนะเออ มาเถอะพ่อหนุ่ม


บวกจ้า คุณนุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 15-09-2010 20:52:36
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย    !
มะเม้ยน่ารักค้ะ    ><
โอ้ย ๆ  คู่นี้น้ำตาลหลบไปไกล   555555
เจอคู่นี้เข้าไป   ถอยไปตามระเบียบ
น่ารักกกกกกกกก   ~
เอดู + อิส   FC
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mimilove ที่ 16-09-2010 04:53:03
โอ้ย ไม่ไหวแล้ว อยากได้บ้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
คนแต่งไปโครงการอะไรคะเนี่ย เอเอฟเอสป่าวววววว
อิจฉา อิสมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หนูมาเอเอฟเอสเปรูค่ะ พูดสเปนนนน ห้า ๆๆๆ
แต่ได้อยู่ รร ญ ล้วนแบบว่าไม่มีผู้ชายผ่านมาในชีวิตสักคน ทั้งๆที่มันก็ 6 เดือนมาแล้ว T_T
นับผู้ชายที่รู้จักได้เลยค่ะไม่ถึงสิบคน  ๕๕๕ ภาษาสเปนก็ยังไม่คล่องเลยย

เอดู guapoooooooooooooooooooooooooooooooooo [ภาษาสเปน แปลว่า แฮนซั่มจ้า อ่าวนว่า กวั๊บโปะ]
Gracias para este novela ! [ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ]
อัพ อัพ เร็ว ๆ เน้อ >_<
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 16-09-2010 14:33:28
เข้ามาตอบเมนท์เพราะเห็นเด็กใหม่เข้ามาเยอะ เอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยย
ปลาบปลื้มเจ้าข้าเอ๊ยยยยยยยยย

พร้อมรายงานว่าตอนต่อไปเสร็จแล้ว เดี่ยวตรวจคำผิดสักครู่จะเอามาแปะนะคะ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดด
...................

โอ้ย ไม่ไหวแล้ว อยากได้บ้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
คนแต่งไปโครงการอะไรคะเนี่ย เอเอฟเอสป่าวววววว
อิจฉา อิสมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หนูมาเอเอฟเอสเปรูค่ะ พูดสเปนนนน ห้า ๆๆๆ
แต่ได้อยู่ รร ญ ล้วนแบบว่าไม่มีผู้ชายผ่านมาในชีวิตสักคน ทั้งๆที่มันก็ 6 เดือนมาแล้ว T_T
นับผู้ชายที่รู้จักได้เลยค่ะไม่ถึงสิบคน  ๕๕๕ ภาษาสเปนก็ยังไม่คล่องเลยย

เอดู guapoooooooooooooooooooooooooooooooooo [ภาษาสเปน แปลว่า แฮนซั่มจ้า อ่าวนว่า กวั๊บโปะ]
Gracias para este novela ! [ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ]
อัพ อัพ เร็ว ๆ เน้อ >_<
พี่นุ่นก็กราเซียส์ที่เข้ามาอ่านค่ะ โถ.........โรงเรียนหญิงล้วนเรยเร้อ โอวววว ขาดความชุ่มฉ่ำหัวใจเลยสิ สู้ๆนะคร้า  :กอด1:
(เหลืออีกตั้งหลายเดือน ยังมีหวัง จู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย    !
มะเม้ยน่ารักค้ะ    ><
โอ้ย ๆ  คู่นี้น้ำตาลหลบไปไกล   555555
เจอคู่นี้เข้าไป   ถอยไปตามระเบียบ
น่ารักกกกกกกกก   ~
เอดู + อิส   FC
ยินดีต้อนรับค่ะ เป้นแฟนคลับด้วย เอร๊ยยยยยยยยย ขอบคุณมากๆนะคะ เห็นว่าไปอ่านเรื่องตัวป่วนมันมาก่อน ตามมาเรื่องนี้ด้วย ดีใจจังค่ะที่มาอุดหนุน ^o^

อบอุ่นแบบอัดอั้นยังไงก็ไม่รู้ค่ะ...

แอบช่วยอิสและเอดูกลัว ไม่ชอบบรรยากาศแห่งการจากลาเลยค่ะ ฮือออ แอบน้ำตาหยดตามอิส (ดราม่าอีกแล้วฉัน)

เอดูจ๋า ขอทุนไปเรียนเมืองไทยไหม ประเทศไทยสวยนะ แถมทะเลก็สวยไม่แพ้บราซิลนะเออ มาเถอะพ่อหนุ่ม


บวกจ้า คุณนุ่น
โอ๋ๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ม่าค่ะไม่ม่า คุณไนท์ไม่ต้องกลัวม่านะคะ แล้วก็ ขอบคุณที่ช่วยโฆษณาเมืองไทยให้ มีเอี่ยวไรกะททท.ป้ะคะเนี่ย???

โหวกเวก โวยวายทำลายบรรยากาศ


อิอิ  พี่นุ่น...มายัง
กร้ากกกกกกกกกกกกส์ แตน ฮามากเหอะอิน้องโฟมอ้ะ ชอบอ้ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ (ได้ข่าวว่าเมนท์ข้ามเรื่อง)

เค้าลางของความเศร้า เริ่มมีมาให้เห็น

แต่คงต้องเอาความหวานช่วงนี้ กลบเกลื่อนให้มันหายไปก่อน

หวานให้สุดๆ ไปเลยนะน้องนุ่น จะได้เก็บไว้เป็นทุนตอนเหงา
พี่แม่หมูขรา กอดดดดดดดดดดดดดดด หงิงๆ
((ว่าแต่...ไปเยี่ยมไอ้ป่วนมันยังคะ? มันขับขี่ขณะมึนเมานะคะ แย่เลย หุหุ))

เข้าใจอารมณ์อิสเลยอ่ะ เค้าเองก็เป็นแบบนี้อย่างบ่อยอ่ะ
ตอนทำไม่ได้สำนึกว่าตัวเองผิด
พอได้คิดก็อยากขอโทษ แต่ไม่กล้า  :เฮ้อ:
อ่านแล้วอินอย่างแรง
ใช่ๆๆๆตอนนั้นอิสมันก็แค่เด็กน้อยธรรมดานิ พลาดบ้างผิดบ้างแถมไม่กล้าเผชิญหน้าบ้าง งุงิ

น่ารักมากเลยทั้งเอดูและอิส ต่างคนต่างกลัวเวลาจากกันที่จะมาถึง...
ดีแล้วที่ยังตัดสินใจใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มที่สุด เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี ยามที่คิดถึง
นุ่น อย่าให้ รักแท้แพ้ระยะทางนะ
อ้อ...เรื่องแฟลตปลาทอง เขารู้หมดเลยว่า รุ่นไหนแล้วเนี่ย  555
กอดโนเนะ ก็ขนาดโนเนะอยู่ไกลม้ากมากเรายังรักกันได้ นับประสาอะไรกับเอดูกะอิสล่ะจ๊ะ เอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย

ปล.เอ่อ.......กระต่ายน้อยอ้ะ โตไม่ทันแฟลตปลาทองจริงเร้อ โอว........แอบเสียเซลฟ์ กร้ากกกกกกกกกกกกกกส์
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 16-09-2010 15:10:28
มาแล้วค่ะ มาอ่านกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เอ่อ.....คะแนนเอ๊ดูมันพุ่งพรวดๆ ใครๆก็รักก็หลงมัน ชริๆๆ ตัวเป็นๆของมันน่าหมั่นไส้ออกนะคะ
(นี่แน่ะๆใส่ไฟซะเลย โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)
..............................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Sair da Noite


“Eu vou sair da noite com Gui”

“Está brincando comigo?”

“É não brincando.”
………………………..   



หลังจากเหตุการณ์สาวแตกเสียน้ำตาในวันนั้น ผมกับนายเอดูวาร์โด้ก็ยิ่งตัวติดกันมากขึ้นไปอีก
ไม่มันสรรหาเหตุผลมาหาผม ผมก็เป็นฝ่ายเสนอหน้าไปเจอมันทั้งๆที่หาเหตุผลไม่ได้เอง


ส่วนไอ้คำสัญญาว่าจะไม่หลบ ไม่หนี ไม่หาเรื่องทะเลาะกัน แล้วก็จะยิ้มให้กัน กอดกันทุกวันนั่น........
ถ้าตัดคำว่าไม่ทะเลาะกันออกไป เราสองคนก็ทำได้ครบทั้งหมดเลยล่ะครับ

และคราวนี้ สาเหตุของการเกือบทะเลาะ....เอ่อ ผมจะยอมรับก็ได้ครับว่ามันมาจากความง่าวของผมเอง
เรื่องมันเริ่มขึ้นที่ประโยคนี้ครับ ‘Sair da Noite’

หลังเลิกเรียนวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่บนคานจักรยานจุดมุ่งหมายเป็นร้านไอศกรีมโฮมเมดหนึ่งในสามร้านที่ห่างจากโรงเรียนระยะทางจักรยานไม่ถึงสิบนาที
ผมก็เริ่มบทสนทนาขึ้น

“Eu vou sair da noite com Gui”
 
“O qué?!?”


ผมเพิ่งบอกไอ้คนขี่ครับว่าผมจะไปข้างนอกตอนกลางคืนกับกี....เพื่อนอีกคนในห้องเรียนของพวกเรานั่นแหละ
แปลตรงตัว มั่นใจในภูมิรู้ภาษาบ้านมันอย่างรุนแรงว่าออกเสียงไม่ผิด
Sair = go, noite = night
ดังนั้น Sair da noite ก็ต้องแปลว่า Go out at night

แล้ว......เอดูมันจะเบรกพรืดแล้วทำเสียงดังถามกลับว่า “อะไรนะ?” ทำไม
เข้าใจว่าสำเนียงจะยังไม่ดีพอ ผมเลยหันหน้ากลับไปหามันแล้วพูดซ้ำประโยคเดิมช้าๆชัดๆ

“Eu vou sair da noite com Gui” ....เอว โว ส่าอีร์ ดะ น้อยทิ คง กี

“Está brincando comigo?” .......ล้อเล่นใช่มั้ย? อืม ล้อเล่นเรื่องอะไร จะล้อเล่นทำไม

“เปล่านี่ ไม่ได้ล้อเล่น”

“อิส!!!”

อูยยยยยย เสียงดัง เดี๋ยวชาวบ้านแถวนี้ก็ตกใจชะโงกหน้าต่างออกมาดูหรอก อ้าว แล้วไหนวันนี้จะไปกินไอติม ไหงพาเลี้ยวเข้าสวนอีกแล้วล่ะ
หงะ.......อะไรของมันเนี่ย สงสัยพอเลิกหนาวเลยเตรียมบ้าเพราะอากาศร้อนแหงๆ


ไอ้เอดูผู้อารมณ์แปรปรวนตามสภาพอากาศเลี้ยวจักรยานเข้าสวนสาธารณะ เบรกเอี๊ยดให้ผมลงที่เดิมกับคราวก่อนโน้นที่มาเสียน้ำตาเด๊ะเลยครับ
แต่คราวนี้มันไม่จอดรถดีๆแบบคราวนั้น ดูมันจะตึงตังแบบแปลกๆไงไม่รู้สิ

“โกรธอะไร?”
แหะๆ ผมเริ่มก่อนครับ ถือคติเริ่มก่อนมีสิทธิ์ก่อน ก็สีหน้ามันตอนนี้อย่างกับหมาบ้า แบบว่าถูกเหยียบตาปลาแล้วหาคนรับผิดชอบไม่ได้งั้นแหละ
ผมเลยลากเสียงท้ายประโยคอ้อนๆนิด อารมณ์มันจะได้หายร้อน หุหุ

“กีไหน?”
เอ่อ....พอดีในห้องมีสองกีครับ คนหนึ่งกีผมบลอนด์ซี้เอดูมัน ส่วนอีกคนกีผมน้ำตาลเข้ม คนนี้เป็นเมทวิชาคอมพิวเตอร์ของผม

“กี....กีริมประตูไง..” และกีที่เป็นเมทวิชาคอมพ์มันก็นั่งเรียนที่โต๊ะริมประตู

“ทำไมถึงจะไปกับมัน?”
เอ....สงสัยจะยังอ้อนไม่พอ เสียงแข็งเป็นหินเชียววุ้ย แถมถอยห่างออกไปยืนพิงโคนต้นไม้ทำเท่ห์อีก
โห่ววววว พิงต้นไม้ ไขว้ขา กอดอก ก้มหน้าทำมุมเอียงซ้าย45˚ เหล่ตามามอง ท่านี้ขอซื้อเฮอะ.....จะเก๊กไปไหน

“ก็เขามาชวนนี่.....”

“...........ฮึ...........”
โอ.....มีการเมินหน้าหนี ปากเม้มเป็นเส้นตรง แถมหัวคิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดจนหน้าจากหมาบ้ากำลังจะกลายเป็นยักษ์อีกด้วย
ตายๆๆ....เอดูมันงอนนี่หว่า แถมงอนทีงอนซะสาวแตกเชียว กรั่กๆๆๆ

ผมสะกดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ในใจ ไม่ได้ๆ ยังไม่รู้เลยว่าทำไมแค่จะออกไปหาอะไรกินมื้อค่ำตามคำชวนของเพื่อนที่มันเองก็รู้จักแท้ๆไอ้บ้าเอดูมันจะต้องงอนด้วย
ขืนปล่อยให้มันจับได้ว่ากำลังแอบหัวเราะมันในใจแล้วจะยิ่งงอนไปกันใหญ่

“เอดู ทำไมเหรอ? อย่าโกรธสิ ก็เพื่อนกัน ออกไปเที่ยวด้วยกันไม่เห็นเป็นไรเลย....”
ว่าแล้วก็ยอมสาวแตกเพื่อมันคนเดียว ด้วยการเขยิบเข้าไปใกล้ๆแล้วไถๆหัวเข้ากับต้นแขนมันสักนิด แล้วเงยหน้าออกแอ๊คติ้งกระพริบตาอีกสองปริบ

นั่นไง ใจแข็งได้แค่ไหนเชียว ดูมันสิครับ ทั้งๆที่ยังไม่ยอมหันหน้ากลับมามองกันแต่มือก็คลายจากกอดอกทำขรึมมาข้างหนึ่ง แล้วอ้อมมากดหัวให้มุดเข้าไปซุกอยู่กับอก
อา....ลางชนะของข้าพเจ้าลอยมาเห็นๆ

“เฮ้อออออออออ” อ้าว เฮียจะถอนหายใจทำไมยาวเหยียดขนาดนั้นเนี่ย ท่าทางเป็นเอามากวุ้ย

“เป็นอะไร? ไม่อยากให้ไปเหรอ?”
มันเอาแต่ถอนหายใจ ไม่ยอมพูดอะไร ผมเลยอดไม่ไหวถามออกไปซะเอง ถึงจะอยากยืนให้มันกอดอยู่แบบนี้นานๆ แต่อะไรคาใจนานๆมันไม่ดีครับ อึดอัด

“อืม......ไหนเล่าซิมันมาชวนตอนไหนยังไง?”

“หืม? ก็ตอนเรียนคอมพ์ไง กีมันถามว่าจะออกไปข้างนอกตอนกลางคืนกับมันได้มั้ย เราก็ถามมันกลับว่าจะไปไหน มันก็บอกว่าไปหามื้อค่ำกินกัน แล้วก็...มันจะพาไปหาที่วิวดีๆดูดาว เราก็เลยโอเค มันก็แค่นั้นเอง....”
หงะ......อธิบายมาถึงตรงนี้ อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปตามเลเวลคนต่างด้าวพูดภาษาบ้านมัน ผมก็ได้ยินเสียงจิ๊ปากเหมือนขัดใจจนต้องฝืนมือที่กดหัวอยู่เงยขึ้นมองหน้าไอ้คนจิ๊จ๊ะ

“นี่มันชวนครั้งแรกรึเปล่า ก่อนหน้านี้เคยออกไปไหนกับมันโดยที่เราไม่รู้รึเปล่า?”
ตอนนี้ไอ้คนตั้งคำถามมันทรุดตัวลงนั่งพิงโคนต้นไม้แล้วครับ แถมด้วยการดึงผมลงไปนั่งด้วย เอ่อ....นั่งตรงหว่างขาแถมดึงให้หันหน้าเข้าหามันอีก
ผมเลยชันเข่าสองข้างขึ้นมากอดไว้ ไม่ได้ครับ เดี๋ยวอะไรๆมันแนบกันไปหมดแล้วเกิดสปาร์คกลางสวนขึ้นมาแล้วจะลำบาก
.....แถม ถ้าเข้าใจไม่ผิด คนลำบากคงเป็นผมนี่แหละ ไม่ใช่มันหรอก กึ๋ยๆๆ

“ไม่ใช่ครั้งแรก....”

“ฮ้า???”
อูยยยยยย อย่าอุทานแล้วขบกรามแบบนั้น แล้วจะบีบต้นแขนทำไมเนี่ย เจ็บนะเว้ย หัดใช้กำลังเดี๋ยวปั๊ดมีตอบโต้หรอก

“เขาไม่ได้ชวนครั้งแรก แต่เราไม่เคยออกไปไหนกับเขาโดยที่นายไม่รู้นะ”
รีบอธิบายเลยครับ ทิ้งช่วงนานไม่ได้ เดี๋ยวมันขบกรามแตกแล้วอุปกรณ์เคี้ยวอาหารสึกหรอล่ะแย่เลย

“แล้วทำไมครั้งนี้ตอบตกลงไปล่ะ?”
เออ....จับได้ ลูบเบาๆก็โอเค แต่ห้ามบีบแรงๆแบบเมื่อกี้อีกนะเว้ย ไอ้หมาบ้า!!

“ก็ครั้งแรกเขาชวนตั้งแต่เพิ่งมาใหม่ๆ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย ต้องให้กีมันเขียนให้ดูเลยนะว่าที่ชวนน่ะเขียนว่ายังไง เพราะฟังไม่ออก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ผมเงยหน้าส่งยิ้มกว้างขวางให้ไอ้หมาบ้ามัน แล้วก็ได้ยินมันพึมพำอะไรไม่รู้จับใจความได้ประมาณว่า ‘....ของกูนะมึง...@%$#*…#^*&!...’


ถึงคำอื่นที่ไอ้หมาบ้าเอดูมันพึมพำงึมงำผมจะไม่รู้เรื่อง
แต่เท่านี้ แค่ไอ้วลีลอยๆ ‘ของกูนะมึง’ ก็เล่นเอารู้สึกว่าหน้าร้อนกะทันหันจนต้องรีบก้มหน้าลงซุกเข่าตัวเองแล้วล่ะครับ

ผมซุกหน้าอยู่กับเข่าได้ไม่ถึงสองรอบหายใจเข้าออกหรอกครับ ไอ้คนที่นั่งเป็นหมาบ้ามันก็เลิกพึมพำ
แถมออกแรงดึงจนผมที่ตั้งตัวไม่ทันเปลี่ยนท่านั่งขึ้นไปนั่งพับเพียบบนเก้าอี้พิเศษคือต้นขาข้างหนึ่งของมันซะงั้น
โดยไม่รู้ตัวแขนสองข้างยังเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณไปโอบอยู่รอบคอมันอีก
พอหายตกใจได้สติปุ๊บ ผมนึกถึงท่าอิหนูเวลาอ้อนป๋าขาๆตามละครหลังข่าวขึ้นมาทันทีเชียวครับ ฮ่าๆๆๆ


“ถามจริงเหอะ อิส....รู้รึเปล่าว่าที่ไอ้นั่นมันชวนน่ะหมายความว่ายังไง?”
อ้าว อยู่มาเกือบแปดเดือนแล้วนะเฟร้ย ถามอย่างงี้มันลองภูมิทดสอบความสามารถในการสื่อสารกันชัดๆ

“ก็...ส่าอีร์ ดา น้อยทิ ออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ทำไมอ้ะ? หรือเราเข้าใจอะไรผิด?”

อืม.....ความรู้สึกของการลูบหัวเกรียนๆเล่นมันมันมือดีอย่างนี้นี่เอง นี่ผมลืมเล่ารึเปล่าครับ ว่าพอเปิดเทอมไอ้เอดูมันก็กลับไปเป็นไอ้หัวเกรียนสกินเฮดอีกแล้ว
ก็ยังไงซะนั่งตักมันก็สบายดี ตัวก็พิงๆอิงๆอยู่กับมัน ในเมื่อแขนดันไปประจำที่คล้องคอมันไว้อย่างนี้ ขอลูบเล่นหน่อยคงไม่เป็นไรเนอะ
ไอ้เจ้าของหัวมันก็ทำท่าสบายอารมณ์เอนศีรษะพิงต้นไม้ปล่อยให้ผมถอดหมวกมันออกมาวางกับหน้าขา แล้วลูบหัวมันเล่นไปตามเรื่อง

“ผิดสิ ผิดไปมากเลยด้วย อิส จำไว้นะ Sair da noite มันไม่ได้หมายความแค่นั้น เวลามีคนมาถามว่า ส่าอีร์ ดา น้อยทิ โคมิโก้? มันหมายถึงเขาชวนไปแบบว่าไงล่ะ อืม...ภาษาอังกฤษเขาว่าออกเดทน่ะ....”

“หา???”

“ไม่ต้องมาหา กีมันคิดจะจีบเอา มันกล้ามาชวนเดท แปลว่าต้องไปทำอะไรให้มันมีความหวังแน่ๆ ไหนบอกมาซิไปทำอะไรไว้?”

ซวยแล้วไง จะมาคาดคั้นอะไรตอนนี้ งงสิผม.....งงเลย นี่กูไปทำอะไรให้ความหวังใครตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็ขนาดไอ้ตัวที่นั่งตักมันอยู่ตอนนี้ กอดกันอยู่ทุกวี่ทุกวันแบบนี้ผมยังว่าผมไม่เคยให้ความหวังอะไรมันเลยนี่ครับ
มันแหละ.....หน้ามึนมาบอกว่าผมเป็นพระอาทิตย์ของมันให้ผมรู้สึกอยากให้มันกอดแล้วก็อยากกอดมันทุกวันเอง

“เปล่าน้า....ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ทำเหมือนกับที่ทำกับคนอื่นนี่นา....”
ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธจนคอแทบหลุดเลยครับ แต่เอ๊ะ.....งั้นที่ไอ้หมาบ้ามันไม่พอใจก็แสดงว่ามันหวงผมอะดิ
อา......รู้สึกหัวใจมันพอง ปลื้มมมมมมมมม

“จุ๊ๆๆ ก็แบบนี้ไง”
มาเลยครับเฮีย วันนี้เชิญเฮียเป็นหมาบ้าได้ตามใจเลย จะบ้าแค่ไหน หน้าจะคล้ายยักษ์ขี้งอนแค่ไหนก็ตามสบายเลย ฮ่าๆๆๆ

“แบบนี้?”
งงครับ แบบนี้ไงอะไรของมัน ผมถามไปก็รู้เลยแหละว่าหน้าตาตัวเองคงลั้ลลาเริงร่าออกอาการอารมณ์ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

“ก็ไอ้แบบที่ยิ้มให้เขาไปทั่วแบบนี้ไง ไอ้นั่นมันก็คงจะนึกว่ามีใจน่ะสิ”

“บ้าแล้ว!! แค่ยิ้มให้เนี่ยนะ”
อา......มีความสุขครับ ผมรู้ตัวเลยว่าการฝืนหน้าให้หุบยิ้มตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ ถึงจะเริ่มเมื่อยๆแก้มนิดหน่อยเพราะยิ้มนานก็ไม่เป็นไรครับ....ผมยอม

“หึ!!......”
โว้ว ยิ่งไอ้หมาน่ารักมันทำเสียงขึ้นจมูกแล้วหน้ามุ่ยแบบนี้มันยิ่งน่ารัก ไม่ไหวแล้วขอสักทีเหอะ

ว่าแล้วก็ ฟอดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ฮ่าๆๆๆ ฝังจมูกสูดกลิ่นแก้มไอ้ผู้ชายขี้หวงให้สุดปอด ฮ้า........ชื่นใจ
ดูมันสิครับ หันหน้ามาทำตาโตใส่ แถมเพิ่มอ๊อพชั่นแก้มแดงอีก
ได้โอกาสอย่างนี้ต้องแกล้งอีกสักนิด สนุกดี หุหุหุ

“อืม......แต่รับปากไปแล้ว ยังไงคืนพรุ่งนี้ก็คงต้องไปแหละ”

“อิส!!”
แหม่ๆๆ ยั่วขึ้นซะด้วยสิ ดูคิ้วซินั่นจะขมวดไปไหน สายตานี่กะเผากันให้ระเหิดเป็นไอเลยมั้ง แล้วไอ้แก้มแดงๆเพราะคงจะเขินเมื่อกี้ก็ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ โกรธจัดเลยนะเนี่ย
ดูสิ ขนาดมือที่พาดๆอยู่ตรงเอวมันยังเอาออกไปวางแหมะกับหน้าขาตัวเองดื้อๆเลย

“Ahh estava brincando.” .......โอ๋ๆๆ คราวนี้แค่ล้อเล่น ว่าแล้วก็ขออีกสักฟอด หมั่นเขี้ยวนัก ฟอดดดดดดดด
“ก็ถ้าไม่อยากให้ไป เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกีเราก็แค่บอกกีว่าพอดีไม่ว่าง ติดธุระ ขอโทษที่ไปด้วยไม่ได้ ก็แค่นั้น....โอเค้?”

“ไม่พอ......”

“เอ๋?” แน่ะๆได้คืบจะเอาศอกนะคนนี้

“บอกไปเลยว่าไปไม่ได้ เพราะเราไม่ให้ไป.....”

“หา?” บ้าไปแล้ว......ให้ไปพูดอย่างนั้น อายเขาตาย

“จะไปบอกมันเอง หรือจะให้เราไปบอกให้”

ไอ้หมาบ้ามันเลิกทำตาดุแล้วครับ ตอนนี้มันส่งสายตาวิบวับแปลกๆมา พร้อมเอาแขนพาดเหนือสะโพกผมไว้เหมือนเดิม แถมกระชับกอดเสียแน่นเลยด้วย

มีลางว่าถ้าไม่ตอบตกลงอาจจะเกิดเหตุการณ์หนุ่มต่างด้าวถูกงูยักษ์รัดม้ามแตกคาสวนสาธารณะ
ตรวจสอบพบตับและหัวใจหายเกลี้ยง อวัยวะอื่นอยู่ครบ คาดว่าถูกเขมือบ พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเช้าพรุ่งนี้ได้

เราต้องเชื่อคำอาจารย์ครับ ณ ขณะนั้นผมนึกถึงคำสอนท่านฤๅษีแห่งเกาะแก้วพิสดารขึ้นมาทันที
ท่านสอนไว้ให้ ‘รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี’ ผมเห็นสายตาวิบวับของไอ้เจ้าของตักแล้วรู้สึกว่าขืนอยู่ที่นี่ต่อไปคงปฏิบัติตามคำสอนของท่านไม่ได้แน่
เลยต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน

“งั้น...เราจะไปบอกเขาเอง เอ่อ....หิวแล้ว ไปกินไอติมกันได้ยัง?”

เจ็บแสบครับ ไอ้เอดูมันเอาคืนได้รุนแรงมาก ผมก็แค่หอมแก้มมันไปสองฟอด แต่มันสิ ก่อนจะพยุงให้ผมยืนขึ้นแบบเบลอๆได้ มันฟัดผมไปกี่ครั้งก็ไม่รู้
คือ......มันเบลอจนไร้สติจะนับทั้งปริมาณและสถานที่น่ะครับ
ที่น่าด่าก็คือ พอฟัดเสร็จจนหนำใจแล้วยังมีการวิจารณ์อีกด้วยนี่สิ

“Cheiro de bebê.”  .........หอมเหมือนเด็กๆ
ง่า.....ไอ้บ้า ก็กูทาแป้งเด็กแคร์ จะให้หอมแบบผู้ใหญ่ได้ไงเล่า เขินโว้ยยยยยยยยย!!

………………………..
………………………..

..โปรดติดตามตอนต่อไป..
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Medo….ความกลัว [13] (13/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 16-09-2010 15:11:25
 :กอด1: ในที่สุดก็ได้อ่าน

ยกนี้เอดูชนะขาดลอย ‘ของกูนะมึง’ อะไรจะหวงปานนั้นพ่อคุณ!!
คะแนนรองลงมาคือหนูอิส คนอารัย!! อ้อนได้อ้อนดี แบบนี้เอเดูก็ไปไหนไม่รอดหร๊อก
น่ารักกันเกินไปแล้วเฟ้ยยยยย
คนแถวนี้เค้าตาร้อนกันเป็นแถบๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 16-09-2010 15:53:37
นี่แหนะ :z13:พี่ด้าก่อนเรย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 16-09-2010 15:55:17
อ๊ายยยยยยยยย

*ยิ้มแก้มปริ*

เขินนนนนนนนนนนนนนนนนน

น่ารักมากๆน่ารักไม่ไหวแล้ว (ทุกตอนเลย 555+)

พี่นุ่นจ๋า อยากไปเกาะขอบจอดูคู่นี้ถึงร้านไอติมต่ออ่ะ 555+

ว่าแต่เรื่องนี้จะจบลงที่ไหนนะ...อย่าตัดตรงแค่หมดเวลากลับไทยนะคะ T-T
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 16-09-2010 16:08:27
อ๊ากกกก เอดูง้อง่ายมากอ่ะ น่ารักเนอะ ขี้หวงด้วย
อิสก็ใสจริงๆ แต่เอดูเค้าก็หวงของเค้าอ่ะจริงมะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-09-2010 16:08:52
อิสจะน่ารักไปไหน  เอดูก็หึงซะน่ารักเชียว
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 16-09-2010 16:17:41
โอ่ยๆ น่ารักมากๆ
มีหงมีหึงนะเอดู 555 อิสก็ขี้อ้อนได้อีก น่ารักจัง อยากให้หวานไปตลอดเลย


ปล. ไม่รู้จักแฟลตปลาทองด้วยคนค่ะ แต่แอบเสิชหาในเนตเห็นเค้าบอกมันเป็นโฆษณา 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 16-09-2010 16:18:47
แบบว่านี่เอ็ดดูมันหึงแล้วใช่ไหมนุ่น 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 16-09-2010 16:49:55
ตอนนี้ เอดูน่ารักดีครับ
รัดม้ามแตก 5555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 16-09-2010 16:52:56
เค้าเต็มใจมาไรท์เตอร์   ><
เรื่องนี้ติดจริงอะไรจริง    อ่านแล้วเพลินอ้ะ 
แบบอ่าน ๆ กำลังสนุกจบแหละ  >.<
อิสสสสสสสสสสสส     !
จะรู้เรื่องไรมั้งไหม  55555   แหม ๆ มีมาดีใจที่เอดูหึง   
อ๊ายยยยยยยยยยยยย    ~   เอดูน่ารักโคตรรร   
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: : Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 16-09-2010 17:53:22
"ของกูนะมึง"
กรี๊ด!!!
แหมๆ หอมแบบเด็กๆ
อิสโชว์เลยลูก จัดการแบบ"ไม่เด็ก"ให้เอดูมันรู้สึก!!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 16-09-2010 18:34:43
 :-[
สองคนนี้ทำอะไรกันในสวน
ชอบบบบ
เอาอีกๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 16-09-2010 21:05:30
โอ๊ย..ป้าโดนหลานมันแซวอ่ะ ว่า "ไม่สบายรึเปล่าป้า นั่งยิ้มคนเดียวหน้าคอมพ์น่ะ"
เลยบอกมันไปว่า  เอดูกับน้องอิส ให้ชั้นโด๊บยาอายุวัฒนะย่ะ
ก็สองคนนี้ทำให้เรารู้สึกชื่นมื่น และอารมณ์ดีนี่นา
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: minchy ที่ 16-09-2010 22:54:04
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน   

น่ารักมากค่ะ   แอบหลงรักอิส
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mimilove ที่ 17-09-2010 03:01:19
โอ้ย พี่นุ่นคะ ไม่ไหวแล้วว
เขินนนน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด
ขอแบบนี้สักคนเหอะน่า !
เหลือเวลาอีกสี่เดือน ขอให้เจอผู้ชายละกันเนอะ T_T
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 17-09-2010 07:50:55
อร๊ายยยยยยยย ทำไมสองคนนี้เค้าน่ารักอย่างนี้คะ
เอดูหวงได้น่าร้ากกกกกกกก
อิสก็นะ ไปยั่วเค้าอย่างนั้น

 :-[
อ่านไปก็อมยิ้มไป
เขินนนนนนนน
ขอบคุณค่ะคุณนุ่นที่มาต่อให้
เป็นกำลังใจให้จ้า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 17-09-2010 08:51:32
ู^
^
^
^
จิ้มคุณวี


 :-[ เอดูมันหึงได้น่ารักจริงๆ เล๊ย
อิสหนออิส หนูดันไปแจกยิ้มไปทั่วแบบนี้น่ะ พ่อคนขี้หึงเค้าก็ต้องตามหึงทั่วราชอาณาจักรแล้วหล่ะ


ตอนนี้มีชื่อเค้าเป็นภาษาโปรตุกิส ด้วยอิอิ  :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 17-09-2010 09:07:18

น่ารักมากๆอ่านไปเขินไป  :o8:
อิสขี้อ้อนมีแอบยั่วเล็กน้อย
เอดูหึงน่ารักสุดๆ  อิจฉาอยากได้แบบนี้บ้าง  :man1:
บวก1ค่ะพี่นุ่น  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 17-09-2010 10:28:05
ขอบคุณนะคะไรเตอร์ หายไปนานกลับมาที เอาความหวานมาฝากเป็นกระบุงเลย หงิง หงิง เอดู น่ารักมากกกกกก คุคุคุ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 17-09-2010 12:27:28
ฮ่า ๆ ไม่เศร้าแล้ว +1 จัดไปสำหรับความน่ารัก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Oo๐FosfoggY๐oO ที่ 17-09-2010 13:58:12
อร้าย เอ๊ดู มันน่ารักจริงๆเลยเฟ้ยผู้ชายอะไรงอลน่ารักโคตร :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 17-09-2010 16:17:52
อู๊ย...เจ็บแก้มแล้ว ยิ้มไม่หุบบบบบ
เอดู น่ารักอ่ะ อิสก็นะ บ้องแบ๊วได้อีก
ใช่ นุ่น ไม่มีอะไรขวางได้ เหมือนเอดูกะอิสจิงๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ayanae ที่ 17-09-2010 18:52:06
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ เขินแทนอิสนะเนี่ย
ถึงเอดูจะหึงแต่ก็แพ้ลูกอ้อนของอิสอยู่ดี ฮ่า ฮ่า  ชอบ "ของกูนะมึง" จัง แค่นี้ก็บอกได้ทุกอย่างแล้วว่าทั้งรักทั้งหวง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 17-09-2010 20:08:18
อย่างอิสไม่เรียกอีหนูนั่งตักป๋าแล้ว  ต้องเป็นไอ้หนูนั่งตักแด็ดดี้ถึงจะถูกนะ ฮ่าๆๆๆ

เอดูก็หึงน่าดูเลยนะตอนนี้ ส่วนอิสนี่ก็เด็กจริงขนาดคนมาชวนเดทยังไม่รู้เรื่อง
แล้วไม่ให้เอดูหัวเสียได้ไง  มีคนรักยังไม่ยอมโตซะที ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 18-09-2010 17:55:08
ฮ้าาาาาาาาาาาาาาาา   ติดงอมแงมเรื่องนี้ อ่านทันแล้วเย้ๆ ไรท์เตอร์ รูมั้ย อ่านไปอมยิ้มไป  เขินแทนอิส    เอดูทำไมเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้ลูกกกกกกก  ^_____________^
Spark!!!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 18-09-2010 18:28:32
น่ารักมากๆ
ไม่ได้อ่านน้องอิสมาหลายวัน
วันนี้มาอ่านแล้ว ยิ้มปากฉีก
เอดูจะน่ารักไปไหน ขี้หึงขี้หวงอีกต่างหาก
แต่ก็อย่างว่าอะนะ น้องอิสเราน่ารักใช่เล่นซะที่ไหน สงสัยจะตามประกบตลอด24 ชม.ซะแล้ว เอ๊ดู
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 18-09-2010 20:43:13
โอ๊ยย อยากจะบอกเหมือนกันว่าคนอ่านก็เขินโว้ยยยยยยยยย!!
น่ารักเหลือเกิน นี้ขนาดหึงนะเนี่ย
อิสก็ขี้อ้อนซะ  :-[
เรื่องนี้อ่านแล้วยิ้มได้ตลอดเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-09-2010 16:30:52
แวบมาตอบเมนท์ พร้อมรายงานว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะมาแปะตอนต่อไปนะคะ
คือว่าที่จริงจะเขียนเรื่องสั้นแปะในเรื่องเล่าจากความฝัน แต่เขียนไปเขียนมามาม่าต้มยำน้ำข้นคลั่ก เลยพักไว้
มาซบอกเอ๊ดูมันฟื้นฟูสภาพจิตใจเสียหน่อย หงิงๆ
..............................

โอ๊ยย อยากจะบอกเหมือนกันว่าคนอ่านก็เขินโว้ยยยยยยยยย!!
น่ารักเหลือเกิน นี้ขนาดหึงนะเนี่ย
อิสก็ขี้อ้อนซะ  :-[
เรื่องนี้อ่านแล้วยิ้มได้ตลอดเลยอ่ะ
ดีใจนะที่น้องยามินาร์อ่านแล้วยิ้มได้ อิสมันน่ารักเนอะ กร้ากกกกกกกกกกกกกกกกส์

น่ารักมากๆ
ไม่ได้อ่านน้องอิสมาหลายวัน
วันนี้มาอ่านแล้ว ยิ้มปากฉีก
เอดูจะน่ารักไปไหน ขี้หึงขี้หวงอีกต่างหาก
แต่ก็อย่างว่าอะนะ น้องอิสเราน่ารักใช่เล่นซะที่ไหน สงสัยจะตามประกบตลอด24 ชม.ซะแล้ว เอ๊ดู
เอ๊ดูมันเป็นหมาบ้าค่ะคุณนุสานทารา (มั่วชื่อคนอ่านตลอดเว) โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ฮ้าาาาาาาาาาาาาาาา   ติดงอมแงมเรื่องนี้ อ่านทันแล้วเย้ๆ ไรท์เตอร์ รูมั้ย อ่านไปอมยิ้มไป  เขินแทนอิส    เอดูทำไมเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้ลูกกกกกกก  ^_____________^
Spark!!!!!!!!!!!!!
ยินดีต้อนรับนะคะ อีกแป๊บๆ เดี่ยวตอนต่อไปมาแล้วค่ะ ^o^

อย่างอิสไม่เรียกอีหนูนั่งตักป๋าแล้ว  ต้องเป็นไอ้หนูนั่งตักแด็ดดี้ถึงจะถูกนะ ฮ่าๆๆๆ

เอดูก็หึงน่าดูเลยนะตอนนี้ ส่วนอิสนี่ก็เด็กจริงขนาดคนมาชวนเดทยังไม่รู้เรื่อง
แล้วไม่ให้เอดูหัวเสียได้ไง  มีคนรักยังไม่ยอมโตซะที ฮ่าๆๆ
เอริ้กๆๆๆๆๆๆๆ ใช่ๆๆๆไอ้หนูนั่งตักแด๊ดดี้ เอร๊ยยยยยยยยย
แต่ ตอนนั้นอิสมันไม่รู้จริงๆนะคะ มันงมเซอะ แถมง่าวน้อยๆด้วยสิ

ยิ่งอ่านยิ่งชอบ เขินแทนอิสนะเนี่ย
ถึงเอดูจะหึงแต่ก็แพ้ลูกอ้อนของอิสอยู่ดี ฮ่า ฮ่า  ชอบ "ของกูนะมึง" จัง แค่นี้ก็บอกได้ทุกอย่างแล้วว่าทั้งรักทั้งหวง
เขินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน >///////////< "ของกูนะมึง"

อู๊ย...เจ็บแก้มแล้ว ยิ้มไม่หุบบบบบ
เอดู น่ารักอ่ะ อิสก็นะ บ้องแบ๊วได้อีก
ใช่ นุ่น ไม่มีอะไรขวางได้ เหมือนเอดูกะอิสจิงๆๆ
ว่าแล้วก็ไปหาจีบเด็กบ้างดีกว่า อยากให้มีเด็กมาอ้อน โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

อร้าย เอ๊ดู มันน่ารักจริงๆเลยเฟ้ยผู้ชายอะไรงอลน่ารักโคตร :o8:
งอนเก๊กเทพมากเหอะน้องฝน เก๊กตลอด เก๊กได้อีก กร้ากกกกกกกกกกส์

ฮ่า ๆ ไม่เศร้าแล้ว +1 จัดไปสำหรับความน่ารัก
ขอบคุณค่ะ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ขอบคุณนะคะไรเตอร์ หายไปนานกลับมาที เอาความหวานมาฝากเป็นกระบุงเลย หงิง หงิง เอดู น่ารักมากกกกกก คุคุคุ
โอ้.....สายเอ๊ดูขนานแท้นี่นา งุงิงิงุ ตาร้อนผ่าวๆ


น่ารักมากๆอ่านไปเขินไป  :o8:
อิสขี้อ้อนมีแอบยั่วเล็กน้อย
เอดูหึงน่ารักสุดๆ  อิจฉาอยากได้แบบนี้บ้าง  :man1:
บวก1ค่ะพี่นุ่น  :กอด1:

ขอให้ได้ขอให้โดนนะคะน้องหนึ่ง กร้ากกกกกกกกกกกกกส์ พันธุ์หมาบ้า ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆงิ

ปล.กอดรวบคนอ่านที่น่ารักทุกท่านเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 19-09-2010 16:51:21
มาตอบเม้นท์แล้ว จะมาต่อเรื่องเลยไหมคะนุ่น 555

แบบว่าเพิ่งเ็จ็บตับเลยแวะหาของหวานแก้เจ็บตับหน่อย อะไรเงี้ย แฮะ ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sair da Noite [14] (16/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-09-2010 17:13:07
^
^
มาแล้วค่ะพี่พีนัท ^o^
.......................................
มาอ่านต่อกันเลยนะคะนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
.......................................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: “Estou confiante em ti....”

“Sair da noite comigo?”

“….”

“Iss, sair da noite comigo…..por favor.”
…………………………………..

“O qué é foi?!!”


กรรมแท้ๆ เอ่อ.....คุณว่า สิ่งที่เราคิดว่าไม่มีอันตราย มันจะทำให้เราทั้งเจ็บทั้งอายได้มากแค่ไหนกันครับ
เรื่องที่ผมจะเล่านี่เป็นเรื่องจริง ที่ไม่ได้เกิดกับผม แต่มันเกิดขึ้นกับเด็กปีหนึ่ง ห้องเรียนอยู่ถัดจากห้องผมไปสองห้องและ....มันน่าสยดสยองมากครับ

วันนั้นเริ่มต้นอย่างธรรมดา อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเหนือซาน โฮเซ่ เป็นสีฟ้าสว่าง มีเมฆขาวเหมือนสำลีก้อนโตลอยอยู่สองก้อน
ล่อลวงให้ใครหลายคนเข้าใจว่ามันก็คงจะเป็นวันธรรมดาๆอีกวันหนึ่ง
........จนกระทั่ง ใกล้จะหมดเวลาพักหลังคาบเรียนที่สอง

เมื่อผมกำลังเดินผ่านหน้าห้องปีหนึ่งเพื่อกลับเข้าห้องเรียนหลังออกไปยืดเส้นยืดสายเล่นวิ่งไล่จับ...
เอ่อ.....ก็พวกเราเล่นวิ่งไล่จับกันจริงๆนี่ครับ เด็ก ม.ปลาย ทั้งหลายอย่าได้อายไปเมื่อคุณรู้สึกอยากเล่นวิ่งไล่จับ
เพราะขนาดห่างออกไปไกลครึ่งโลกเด็กไฮสกูลแถวนั้นก็สนุกกับการเล่นวิ่งไล่จับเหมือนกัน

เล่าต่อดีกว่าครับ ระหว่างมุ่งหน้ากลับห้องเรียนผมและผองเพื่อนนักวิ่งไล่จับก็ได้ยินเสียงโวยวายดังออกมาจากในห้องของปีหนึ่ง ผสมกับแว่วเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หน้าประตูนั้นมีคนมาอออยู่เต็ม
ผม....ที่ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นในเรื่องน่ากลัวสักเท่าไหร่กำลังจะสาวท้าวผ่านหน้าห้องนั้นไปอยู่แล้ว แต่ไอ้คนเดินประกบหลังสิครับ มันไม่ยอม

ไอ้บ้า ถ้าอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นนักก็ไปคนเดียวสิวะ นี่ดันผ่าดึงผมติดมือเข้าไปในห้องปีหนึ่งเพื่อร่วมติดตามสถานการณ์ด้วย
อ้อ....เชิญใส่ลงไปในช่องคุณสมบัติของนายเอดูวาร์โด้ด้วยนะครับ ว่ามันเป็นคนมักอยากรู้อยากเห็น เรียกง่ายๆว่าขี้เสือกนั่นเอง ฮ่าๆๆๆ

ภาพตรงหน้าทำให้ผมที่ถูกไอ้คนอยากรู้อยากเห็นลากเข้ามาเจอต้องเบิกตากว้าง แถมด้วยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เพราะมีผู้หญิงและผู้ชายคู่หนึ่งกำลังติดกันอยู่

สองคนนั้นมีปากติดกัน แบบที่แค่มองก็รู้แล้วว่าพยายามจะแยกจากกันแทบตายแต่ก็ทำไม่ได้
แล้วมันน่าสยองน้อยซะเมื่อไหร่ ในเมื่อความพยายามจะแยกปากออกจากกันมันมากมายจนมีทั้งเลือดทั้งน้ำลายไหลเลอะออกมาจากมุมปากทั้งสองคน

“โอ คิ แค โฟย?!!” เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!!

และไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าคำถามนี่มาจากใคร ก็ไอ้ตัวที่ยังไม่ยอมปล่อยให้มือขวาผมเป็นอิสระนี่แหละ
แต่ดีแล้วครับที่มันถาม เพราะผมก็ชักจะอยากรู้เหมือนกัน

ถึงผมจะฟังภาษาบ้านนั้นเมืองนั้นแบบรัวๆเร็วๆไม่เข้าใจทั้งหมด แต่การที่จับได้บางประโยคกับภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้กระจ่างได้ไม่ยากถึงสาเหตุการแกะไม่ออกของเด็กปีหนึ่งคู่นั้น

คือสองคนนั้น....คบกัน แบบที่ทั้งโรงเรียนรับรู้ว่าเขาคบกันเป็นแฟน
แล้วไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เมื่อเริ่มเวลาพักไปได้ไม่นาน ผู้เห็นเหตุการณ์ก็บอกว่าพวกเขาเริ่มทะเลาะกัน เสียงดังใส่กัน
สักพักฝ่ายชายก็กระชากฝ่ายหญิงเข้ามาจูบกันกลางห้องเรียน ตอนแรกก็จูบหนักๆแค่ภายนอก
แต่จะด้วยอารมณ์รักมันคุโชนหรืออย่างไรไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีสองคนก็ผละจากกันไม่ได้เสียแล้ว....เพราะ เหล็กดัดฟัน

ไม่รู้เหมือนกันว่าเหล็กดัดฟันของคนใดคนหนึ่งไม่แน่นหนาพอ และมีส่วนที่ยื่นออกมาพอให้ไปเกาะเกี่ยวกับของอีกคนได้อยู่ก่อน หรือจะเป็นเพราะสองคนเขาเคลื่อนไหวภายในช่องปากรุนแรงเกินไป จนทำให้ส่วนของเหล็กดัดฟันมันไปเกี่ยวกันและกันเข้า

ที่ผมแน่ใจมีอย่างเดียว สองคนนั้นต้องเจ็บมากแน่ๆ เพราะนอกจากน้ำเลือดและน้ำลาย ผมยังเห็นน้ำตาของน้องผู้หญิงไหลจนชุ่มโชก ข้างๆมีเด็กปีหนึ่งอีกสองคนที่คงจะเป็นเพื่อนสนิทยืนลุ้นเอาใจช่วยพร้อมกับยัดกระดาษชำระใส่มือของน้องผู้หญิง เธอค่อยๆใช้มันซับมุมปากทั้งของตัวเองและของแฟน แต่มันก็ทำได้ยาก คงเพราะมองเห็นไม่ถนัด แล้วเจ้าความพยายามที่จะแยกจากกันก็ยังทำให้เลือดไหลออกมาไม่หยุด

แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกว่าฉากที่เห็นนี่ไม่น่าสยองเสียทีเดียว ทั้งๆที่มันเป็นฉากรักนองเลือด เพราะมือของน้องผู้ชาย แทนที่จะสนใจรับกระดาษมาเช็ดคราบสกปรก กลับใช้ข้างหนึ่งลูบหลังน้องผู้หญิงเบาๆอีกข้างที่ถูกจับยัดกระดาษชำระใส่มาให้ก็คอยเช็ดน้ำตาให้แฟนอยู่ตลอด....จนผมชักจินตนาการเตลิดเปิดเปิงว่าไอ้ที่บอกว่าตอนแรกทะเลาะกันนั่น เพราะสองคนเขาหาเรื่องให้ได้จูบกันรึเปล่า หึๆๆๆ

คิดมาถึงตอนนี้ก็พอดีเสียงกริ่งบอกเริ่มคาบเรียนต่อไปดังขึ้น เล่นเอาเหยื่อเหล็กดัดฟันทั้งสองยิ่งลนลาน แต่ก็ไม่ทันแล้วล่ะน้องเอ๋ย อาจารย์สอนวิชาภาษาโปรตุเกสเดินเข้ามาพร้อมเสียงอุทาน แล้วโบกมือไล่ผู้สังเกตการณ์อย่างพวกผมออกไปนอกห้องแล้ว

ผมรีบกระตุกมือดึงไอ้ตัวอยากรู้อยากเห็นให้ก้าวตามกันกลับมาที่ห้อง ในใจยังสับสนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสยองดีหรือจะหวามไหวกับความอ่อนหวานใต้คราบเลือดดี ไอ้ตัวที่เดินตามมามันก็ก้มมากระซิบข้างหูให้ใจเต้นเล่น

“ดีเนอะ ที่เราสองคนไม่มีใครใส่เหล็กดัด”
โฮ่!! ไอ้บ้า เล่นประโยคเดียวจอดแบบนี้จะตอบโต้อะไรได้ พอหันไปมองหน้ามันก็เห็นระรื่นชื่นบาน ไม่ได้รู้สึกทั้งสยองหรือทั้งอบอุ่นกับฉากรักนองเลือดเมื่อกี้เลยแม้แต่น้อย

หน้าตาผมมันคงแสดงความรู้สึกบางอย่าง เช่น อาการเหวอแดกออกไปแน่ๆ ไอ้บ้าเอดูมันเลยขยี้หัวผมให้ยุ่งเล่นแล้วยังหัวเราะ.....
เอ่อ ถึงจะไม่มีเสียงออกมาเพราะเราเดินมาถึงหน้าห้องแล้วก็จริง แต่ไอ้ลักยิ้มแก้มบุ๋มกับปากเม้มสนิท แล้วรอยย่นรอบดวงตาที่กดลงลึกกะทันหันนั่นมันบอกอยู่เห็นๆครับ ว่าไอ้คนอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่เดือดร้อนกับเรื่องชาวบ้านมันกำลังขำผมอยู่

ผมเลยจัดศอกใส่มันไปหนักๆเข้ากลางพุง แถมแลบลิ้นพร้อมย่นจมูกให้อีกอย่างละหนึ่งขนาน แก้อาการหัวเราะใบ้ๆได้ชะงัดนัก แล้วก็เดินไปนั่งทำท่าตั้งใจเรียนต่อ

จนเลิกเรียนแล้วนั่นแหละ ถึงได้รู้ข่าวว่าในที่สุดน้องสองคนนั้นก็ถูกอาจารย์ห้องพยาบาลพาขึ้นรถไปคลินิกทันตแพทย์ทั้งๆที่ยังติดกันราวกับแฝดสยามที่เชื่อมกันตำแหน่งปาก ว่าแล้วก็....อายแทนจริงๆ


“อิส”

“หืม?”


หลังแบ่งข้างเล่นฟุตบอลซึ่งผมถูกผลักไสให้เฝ้าประตูตามเคย ตอนนี้พวกเรากำลังล้างหน้าล้างตัวกันอยู่ครับ
คือผมอ้ะ แค่ล้างหน้ากับล้างมือ แต่เอดูมันอยู่ข้างถอดเสื้อ มันเลยทำตัวเองสกปรกชื้นเหงื่อไปทั้งตัว แล้วเลยล้างมันซะทั้งหน้าทั้งตัว
เพราะมันเล่นฟุตบอลสไตล์บราซิลขนานแท้และดั้งเดิมแบบที่ต้องมีการล้มลุกคลุกคลาน
ประมาณว่าล้มแล้วได้เสียงกรี๊ดเล็กๆจากสาวๆแฟนคนอื่นที่อยู่รอคนรักกลับบ้านพร้อมกันเป็นแรงใจ

ขณะที่ผมเงยหน้าจากก๊อกน้ำมาสะบัดๆขนไล่น้ำอยู่ไอ้ตัวสกปรกเศษดินที่กำลังก้มมุดอยู่ใต้ก๊อกน้ำก็เรียกขึ้นมาเหมือนจะเริ่มบทสนทนา

“ว่าไงล่ะ เรียกแล้วเงียบเดี๋ยวมีก้านคอ ยิ่งกำลังก้มๆด้วย ไม่ต้องกลัวจะก้านคอไม่ถึง หึๆๆๆ”

“โหด โหดร้ายไม่เข้ากับหน้า”
แน่ะ มันน่าหมั่นไส้น้อยอยู่เมื่อไหร่ เงยหน้ามาทำหน้าหมาหงอยแต่ลูกกะตาวิบวับ แอ๊คติ้งไม่เทพแบบนี้มันต้องเจอนี่
ฮึบ.....ว่าแล้วก็ยันตูดโก้งโค้งนั่นด้วยอะอิดาสสีขาวฟ้าไปหนึ่งโครม

ไม่ต้องเป็นห่วงมันนะครับ ยันเบาๆพอให้คนถูกยันมันต้องเอามือสองข้างเท้ากับผนังปูนข้างก๊อกเล่นๆแค่นั้นแหละ
ก็ขนาดไอ้คนถูกยันมันยังตอบโต้ด้วยการหัวเราะร่วนเชียว เล่นกันพอขำๆ


“อิส?” อีกแล้ว เรียกชื่อลอยๆอีกแล้ว เล่นกับมันหน่อยแล้วกันครับ

“เอดู?”

“คืนวันศุกร์เข้าไร่มั้ย?”

“คืนวันศุกร์เข้าไร่มั้ย?” หุๆ แกล้งมันครับ กวนตีนวันละนิดจิตแจ่มใส

“เข้าล่ะสิ”

“เข้าล่ะสิ” แน่ะๆ ชักมีถอนหายใจ กร้ากกกกกกกกกกส์

“งั้นคืนวันอาทิตย์ล่ะ?”

“งั้นคืนวันอาทิตย์ล่ะ?”
หงะ.....หมาบ้ากำลังจะมาสิงร่างมันแล้วครับ มันยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงเหมือนจะข่มให้ผมหงอ...เพราะสังวรในความเตี้ย และก็เริ่มย่างสามขุมเข้ามาหาผมแล้ว
อย่านะเว้ย อย่ามาออกสเต็ปคาโปเอร่าแถวนี้

ถอยครับ เราต้องรู้จักตัวเองก่อนออกรบ ปราชญ์ซุนวูท่านว่าไว้ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’  
นี่ขนาดตัวคนละรุ่นแบบนี้ แบบที่ผมมันก็ได้แค่ Flyweight ส่วนไอ้บ้าที่กำลังปรอทแตกแล้วย่างสามขุมเข้ามามันไม่ต่ำกว่า Middleweight
น้ำหนักห่างกันเกือบๆยี่สิบกิโลกรัม เอ่อ.....ถ้ามันเอาจริง ผมคงเละเป็นโจ๊กบดแน่ๆ

และ....ขอย้ำครับ ว่าชีวิตจริงไม่ต่างจากละคร ผมนะขำตลอดเวลาที่แม่ดูละครแล้วนางเอกถอยหลังหนีพระเอกไปจนมุมเพราะถอยหลังไปชนกำแพง
แต่แล้วคนเขียนบทละครก็ไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ครับ เพราะถึงผมจะไม่ใช่นางเอก แต่ตอนนี้.....ผมถอยจนพาตัวเองมาติดกำแพงเรียบร้อยแล้วครับ
แถมผมยังน่าสงสารกว่านางเอกละครหลังข่าวอีก เพราะนางเอกส่วนใหญ่จะชนผนังเรียบๆในห้องรโหฐาน ถึงหลังจากนั้นจะถูกทำอะไรอะไร
เอ่อ...เช่น นั่นแหละ อย่างที่คุณๆคิดนั่นแหละครับ แต่ก็เป็นที่รโหฐาน ไม่มีสายตาอื่นเป็นสักขีพยาน....สักขีพยาน

อา.....คิดมาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มกลอกตาไปทั้งซ้ายและขวา มันต้องมีสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือลูกแมวน้อยตาดำๆหัวดำๆบ้างสิน่า

อุแม่เจ้า......กับอีแค่แกล้งกันไปกวนตีนกันมาไม่กี่ประโยค ไอ้หัวทองหัวแดง หัวน้ำตาล กว่าสิบชีวิตที่เหลือมันสลายตัวเปิดตูดกลับบ้านไปหมดแล้วครับ
ไม่มีใครยังอยู่พอให้ลูกแมวน้อยๆอย่างผมขอตัวช่วยได้เลยสักคน

มันมาแล้วครับ มาพร้อมสเต็ปพระเอกใจโฉด ทาบแขนสองข้างกั้นคอกไว้ไม่ให้ผมหนี
แถมมันเด็ดกว่าพระเอกหลังข่าวอีก เพราะเล่นเข้าประชิดตัวจนผมที่คิดจะมุดลอดใต้แขนต้องเลิกคิดไปเลย

“Domingo à noite?”  .......ตกลงคืนวันอาทิตย์ว่าไง?

“Domingo à noite vai ficar tudo bem…..” หงะ...คืนวันอาทิตย์ก็โอเคอ้ะ

เสียงอ่อยมาเลยกู ไม่กล้าเงยหน้ามองมันเลยด้วยเอาไงดีหว่า ก้มหน้ามองต่ำก็เจอพุงที่ไม่มีพุงมีหยดน้ำเกาะ หน้าร้อนเว้ย!!
ว่าแล้วผมก็เลย...หมุนตัวหันหลังให้มันซะเลย
เป็นไงครับ ผมฉลาดมั้ย มองกำแพงปูนเปลือยขรุขระตอนนี้ ยังไงก็ดีกว่ามองอกเปลือยๆของไอ้พระเอกใจโฉดแน่ๆ ถึงแทบจะต้องเอาหน้าแนบปูนก็เหอะ

“Então, sair da noite comigo?” ถ้างั้น....ส่าอีร์ ดา น้อยทิ โคมิโก้? ถ้างั้น....ไปเดทกับมันนะงั้นเหรอ


ถามมาได้เนอะ แล้วที่ไปโน่นมานี่ด้วยตลอด ขนาดไปค้างคืนในห้องเดียวกันสองต่อสองบนเตียงเดียวกันก็เคยมาแล้ว
นี่มันยังมีหน้ามาถามอะไรแบบนี้อีกเหรอวะ

“Sair da noite comigo?”

“….”

ว่าแต่....แล้วทำไมผมถึงต้องรู้สึกหน้าร้อนเข้าไปใหญ่อย่างนี้ล่ะ หรือจะเพราะไอ้ที่มันแนบเข้ามาด้านหลัง หรือเพราะลมหายใจอุ่นๆที่สัมผัสได้ใกล้จนแทบจะไม่มีช่องว่างนี่

“Iss, sair da noite comigo…..por favor.” อึ๋ย....อย่ามาพล้งมาพลีสนะเว้ย ขนลุก

“Louco, claro sim.” อ่า...ไอ้บ้า มันก็ต้องเซย์เยสแหงอยู่แล้วล่ะน่า

โอย.....แล้วทำไมผมต้องพลอยติดเชื้อบ้าพูดเสียงเหมือนกระซิบแบบมันไปด้วยล่ะครับ
แล้วดูมันนะ แค่ตอบตกลงล่ะทำได้ใจ มาหัวเราะหึๆอีก เดี๋ยวก็เอาคำตกลงคืนซะเลย คนยิ่งเขินๆอยู่

“หัวเราะอะไร?”

“ก็แปลกใจ นี่ไม่คิดจะถามหน่อยเหรอว่าจะพาไปไหน?”

“Porque eu estou confiante em ti, então não quero pedir.”
ผมยอมรับนะครับว่ากำลังเขินมาก แต่ว่า....ผมก็อยากให้ไอ้คนที่ยืนแนบชิดกันอยู่ตอนนี้มันรับรู้จริงๆ
ผมก็เลยหมุนตัวกลับ หันไปเผชิญหน้ากับมันก่อนจะพูดประโยคเมื่อกี้ออกมา
ประโยคที่ผมไม่ได้สนใจว่าจะถูกไวยากรณ์รึเปล่า แต่แน่ใจว่าคนฟังมันเข้าใจได้ทุกคำ
‘ก็เพราะว่าเราเชื่อใจเอดู เราถึงไม่มีคำถามไงล่ะ.’


แล้วผมก็มั่นใจว่าประโยคที่ตั้งใจบอกให้มันรับรู้ซึมเข้าหัวใจมันจริงๆ เพราะมันดึงผมเข้าไปกอดจนแน่น
แล้วก้มหน้ามาสูดลมหายใจหนักๆอยู่แถวซอกคอ พึมพำบอกว่ามันดีใจแค่ไหนที่ได้เจอผม
นานจนเกือบลืมไปแล้วว่าเรายังอยู่กันริมสนามในรั้วโรงเรียน มันก็ดันตัวผมออก
แล้วก็บอกออกมาเองว่าที่มาชวนเดทเป็นทางการขนาดนั้น.....มันจะพาผมไปดูหนัง กินข้าว แล้วต่อด้วยหาที่ดีๆดูดาว

หึๆ นี่มันคงยังหงุดหงิดกับคำชวนดูดาวของกีแน่ๆ แต่ด้วยอารมณ์อบอุ่นอ่อนหวานในตอนนี้
ผมไม่โง่พอจะหลุดชื่อไหนก็ตามออกมาให้ไอ้คนที่มันจัดการใส่เสื้อกลับเข้าไปอีกครั้งแล้วจูงผมมาที่จักรยานต้องเสียอารมณ์หรอกครับ
ผมก็แค่เออๆออๆไปเรื่อย แล้วก็คอยส่งยิ้มหวานๆให้มัน......ก็แค่นั้นเอง
...................................
...................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 19-09-2010 17:27:11
ฮิ้ว จะไปเดทกันแล้ว ไปดูดาวด้วย
โรแมนติกเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 19-09-2010 17:37:08
เดท 555

น่าจะหวานแหล่ม นะคะ ตอนต่อไป เอาละได้เวลาอัพของพี่ซะทีนะน้อง กร๊าาาาาาาาาาาาาาาาก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 19-09-2010 17:47:09
:a5:
มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงๆเรอะพี่นุ่น
น้องสองคนนั่นท่าจะเจ็บน่าดู น่าฉงฉาน :sad4:
................................................................
เดทอย่างเป็นทางการ อิอิ
 :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 19-09-2010 17:52:37
จะเอาอีกๆๆๆ

สั้นไปง่า (พูดไปไม่ดูตัวเองเลย)

พี่นุ่นอ่ะ นึกว่าจะมีฉากจุ๊บสักนิด บู่~ -3-~

ส่วนจุ๊บของคู่เหล็กดัดฟัน...เอ่อ ประสบการณ์ที่ไปเจอจริงๆใช่มั้ยคะ = ='
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-09-2010 17:53:00
กรี๊ดกร๊าดๆ มาทีเดียวสามตอนรวด หุๆ น่ารักกันจริงๆสองหนุ่มคนนี้ มากอดๆ อิๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-09-2010 18:02:57
เคยให้คำขวัญไปแล้วว่า

                              "เหล็กดัดฟัน  อันตรายต่อการจูบ"
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 19-09-2010 18:11:55
คู่นั้นเค้ารักกันน่ากลัวได้อีก .. นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าคิดจะจูบ ควรหลีกเลี่ยงความรุนแรง หากคุณและคนของคุณ .จัดฟัน.  = ="

ชวนเดทๆๆๆๆ
เด๋วนี้อิสเขินอายเอดูบ๊อยบ่อย แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะคนอ่านก็ชอบเวลาเอดูทำให้อิสเขิน  :o8:

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 19-09-2010 18:17:15

จะไปเดทกันแล้ว
เอดูถึงจะชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านเค้าแต่ก็ยังน่ารักนะพี่นุ่น  :man1:
 :กอด1: พี่นุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 19-09-2010 18:27:20
หวานจริ๊งงงงงงงงงงง
เดทเนอะ เดท
เอดูน่ารักสุดค่ะๆคุณนุ่น
ว่าแต่พุงที่ไม่มีพุงนี่มีแพ็คมั้ยเอ่ย~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-09-2010 18:30:29
^
^
มีค่ะ แต่อิคนเขียนมันเขิน เลยไม่กล้าเล่า >//////////<
เอ๊ดูตอนนั้นบ้าเล่นเวทสร้างกล้ามมาก
วันแรกที่เจอกะอิสกับช่วงในเรื่องนี่เอ๊ดูมันหนาขึ้นเยอะ แบบว่าอิสมันสงสารแขนเสื้อเอ๊ดูมากอ้ะค่ะ
แขนเสื้อฟิตตลอด กลัวปริงิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 19-09-2010 19:16:49
 :a5: เหล็กดัดฟันทำพิษ
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเหล็ดดัดฟันจะเป็นอันตรายต่อความรักขนาดนี้
ดีนะที่ 2 คนนั้นไม่ได้ใส่
ยังไม่อยากอ่านจูบหวานๆรสเลือด :laugh:
จะได้ไปเดทกันแล้ว  :oni1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-09-2010 19:20:37
โอยยย  อยากจะบอกว่าถึงตอนนี้จะหวานแค่ไหน  แต่พี่เสียวฟันไม่หายเลยอ่ะ
แบบ...ไอ้เหล็กดัดฟันติดกัน  มันค้างในหัวตลอด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confidante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 19-09-2010 19:21:50
ตามไปแอบดูเค้าเดทกันด้วยได้ป่าวอ่ะ ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 19-09-2010 20:01:32
 :jul1: รักเลือดสาดของแท้



น้องอิสน่ารัก :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 19-09-2010 21:13:20
 o9
เค้าจะเอา เค้าจะเอา เค้าจะเอาแบบนี้มั่งง่ะ!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 19-09-2010 21:26:56
โรแมนติคซะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 19-09-2010 21:41:46
พี่นุ่นจ๋า แวะมาบอกว่าน้องฟ้าบอกไดเฮบทใหม่ไม่ดราม่านะ มีบทหวานด้วย (สเกลวัดจากน้องฟ้ามิใช่ต่ายเพราะต่ายเครื่องวัดเจ๊งหมดแล้ว 555+)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-09-2010 21:51:40
^
^
บทหวานระหว่างท่านเทพเฮฟเฟสตุสกะนางนิมพ์อ้ะนะ???

ไม่ๆๆพี่นุ่นจะรออีกสักสองสามตอน แล้วแวบเข้าไปสแกนใหม่ มาม่าต้มยำใส่เครื่องปรุงแบบดับเบิ้ลงิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 19-09-2010 22:00:58
อยากรู้แล้วอ่ะ ว่าเอดูจะพาอิสไปที่ไหน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 19-09-2010 22:04:40
กรี้ดดดดดด     !!!!
ตอนนี้น่ารักมาก   ประทับใจ  ><
โอ้ยยยยยยยยยย   ~  อิสน่ารัก       
เอดู  ฮันแน่  !!   หึงหรอเรา     
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 19-09-2010 22:05:34
อ่านนิยายเรื่องนี้ไปก็รู้สึกเหมือนกินน้ำเชื่อมไปด้วย หวานเจี๊ยบจริงจัง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 20-09-2010 00:40:01
อ่านคู่รักเหล็กดัดแล้วสยอง
แต่พอมาคู่น้องอิสของเรา ว้าย คนละอารมณ์
หวานเว่อร์ได้อีก คริๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 20-09-2010 08:20:54
อ่านเริ่มต้นบทแล้วแบบว่า
 :a5:
มันสยองแทนสยิวจริงๆ นะเออ
เหล็กจัดฟันติดกัน!
 o22
ตอนกลางๆ มาถึงท้ายหวานอ่ะ
โห มีชวนออกเดทอย่างเป็นทางการด้วย
น่าร้ากกกกกกกก

+1 ขอบคุณค่ะคุณนุ่นที่มาต่อให้
เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 20-09-2010 08:37:55
คือ..อารมณ์ตอนอ่านเหล็กติดกันมันแบบ...อี๋ แหวะ แหยะ สยอง
(ก็นะบรรยายซะนึกภาพตามได้เป็นฉาก ๆ หยองจริง ๆ น่ากลัวด้วย)
 o22
แอบกัดฟันกรี๊ด อึก อึก อยู่ในใจ
เค้าจะไปเดทกันแร้วววววว เย้ ๆๆๆๆๆ
นั่งนับดาวกันทั้งคืนเลยไหม อิอิ
รวบกอดเอดูและอิส (ก่อนจะโดนเอดูผลักหัวออกมา นิสัย!!)
กอดเจเจ้ก็ได้ ชิๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 20-09-2010 09:04:52
อยากมีแฟนเป็นหนุ่มบราซิลจริงๆ แล้วนะเนี่ย  :-[

นอนดูดาว โรแมนติกอะ อยากไปแอบดูเค้านอนดูดาวกันซะแล้วซิ

คุณนุ่นขา รออยู่เน้อ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 20-09-2010 09:05:57
^
^
^
กอดคุณไนท์แน่นๆ แล้วอ้อนเบาๆ นุ่นคิดถึงน้องเซย์ค่ะ (กร้ากกกกกกกกกกส์)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 20-09-2010 10:14:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 20-09-2010 10:20:26
ตอนนี้เรียกเลือดตั้งแต่ต้นเลยนะน้องนุ่น

แต่แอบโหด มากกว่าเสียวนะ บรื๊อออ

ส่วนเจ้าเอดู ไม่ปล่อยโอกาสที่จะหยอดเลยนะเนี่ย....


เดี๋ยวขอไปดูลาดเลา แอบดูคนไปดูดาวดีกว่า
เอ๊ แอบตรงไหนดี ...ใต้แคร่ หลังต้นไม้ ตุ่มน้ำ หรืออะไรดี
(สงสัยออกแนว บ้านผีปอป มีตุ่มน้ำด้วย 555)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 20-09-2010 11:20:12
ขอบคุณนะคะไรเตอร์ มาตามกระเเสด้วย เกล็กดัดฟัน ติดกัน เเอะ สยอง อะ เเก็ เเอบอบอุ่นนะที่เค้าคอยปลอบกันอะ เเต่ อิสน่ารักอะ เเอบกวนเล็กๆ เรื่องความหวาน ยกให้เอดู คุคุคุ  เราจะไปเเอบดูดาวด้วย คุคุคุ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rukki ที่ 20-09-2010 21:29:13
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ตามอ่านหมดแล้วค่ะ
แบบว่า . . .   ทีแรกเห็นชื่อเรื่องแล้วกลัวจะเศร้ามาก เพราะมันเหมือนกับว่า .. ความทรงจำ ..
ความทรงจำที่เราได้เพียงแค่ระลึกถึงมันเท่านั้นอะ T_T เลยไม่กล้าอ่าน วันนี้ลองตัดสินใจอ่านดู...


ก็ยังกลัวเศร้าอยู่ค่ะ !!

55555555

แต่ความน่ารักของอิส กับความหวานของเอดูกลบหมดแล้ว ที่ยังเศร้าเพราะว่ากลัววันที่ทั้งสองจะต้องลาจากกัน
ไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้นเลยง่ะ  TT__________TT
อย่าเศร้านะไรท์เตอร์สุดที่รัก

อ่านเรื่องนี้แล้วอยากเรียนภาษาโปรตุเกสขึ้นมาเรยอ๊ะ >w<!!!!
(อิ้งกับแจปยังไม่รอด . .  เอื๊อกกกกกกกกกก)

หวานนนนนนน อ่านไปอมยิ้มไป ปากจะฉีกอยู่แล้ว แทบบางตอนมีเขินด้วย ทั้งที่ไม่ใช่นางเอก = =''
ไรท์เตอร์สู้ๆ ค่า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mimilove ที่ 21-09-2010 03:27:02
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ เอดูววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
>_<
ขอบคุณที่มาอัพนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 21-09-2010 11:14:14
เดทด้วย ไปด้วยคนนน~~!!~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 22-09-2010 14:38:47
อึบ ๆ  :z13:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 22-09-2010 14:40:59
แวบตอบเมนท์พร้อมรายงานว่าตอนต่อไปเสร็จแล้ว ขอตรวจคำผิดอีกนิดหน่อยนะคะ

เดทด้วย ไปด้วยคนนน~~!!~
กึ๋ยๆๆๆ มามะๆๆๆๆ ^o^

ยิ่งอ่านยิ่งชอบ เอดูววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
>_<
ขอบคุณที่มาอัพนะคะ
กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เหงาม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยคะ เดี๋ยวมาอ่านตอนต่อไปเน้อ

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ตามอ่านหมดแล้วค่ะ
แบบว่า . . .   ทีแรกเห็นชื่อเรื่องแล้วกลัวจะเศร้ามาก เพราะมันเหมือนกับว่า .. ความทรงจำ ..
ความทรงจำที่เราได้เพียงแค่ระลึกถึงมันเท่านั้นอะ T_T เลยไม่กล้าอ่าน วันนี้ลองตัดสินใจอ่านดู...


ก็ยังกลัวเศร้าอยู่ค่ะ !!

55555555

แต่ความน่ารักของอิส กับความหวานของเอดูกลบหมดแล้ว ที่ยังเศร้าเพราะว่ากลัววันที่ทั้งสองจะต้องลาจากกัน
ไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้นเลยง่ะ  TT__________TT
อย่าเศร้านะไรท์เตอร์สุดที่รัก

อ่านเรื่องนี้แล้วอยากเรียนภาษาโปรตุเกสขึ้นมาเรยอ๊ะ >w<!!!!
(อิ้งกับแจปยังไม่รอด . .  เอื๊อกกกกกกกกกก)

หวานนนนนนน อ่านไปอมยิ้มไป ปากจะฉีกอยู่แล้ว แทบบางตอนมีเขินด้วย ทั้งที่ไม่ใช่นางเอก = =''
ไรท์เตอร์สู้ๆ ค่า
ไม่เศร้าค่ะ จุ๊ๆๆๆ ไม่แซดเอ็นดิ้งแน่นอน กอดดดดดดดดดดดด ยินดีต้อนรับนะคะ ^o^

ขอบคุณนะคะไรเตอร์ มาตามกระเเสด้วย เกล็กดัดฟัน ติดกัน เเอะ สยอง อะ เเก็ เเอบอบอุ่นนะที่เค้าคอยปลอบกันอะ เเต่ อิสน่ารักอะ เเอบกวนเล็กๆ เรื่องความหวาน ยกให้เอดู คุคุคุ  เราจะไปเเอบดูดาวด้วย คุคุคุ
เหตุเกิดเมื่อสิบปีที่แล้ว กร้ากกกกกกกกกส์ สยองเนอะ เรื่องจริงนะคะนั่นน่ะ (ตอนที่แล้วจริงทั้งหมดนะเออ แอบบอก)

ตอนนี้เรียกเลือดตั้งแต่ต้นเลยนะน้องนุ่น

แต่แอบโหด มากกว่าเสียวนะ บรื๊อออ

ส่วนเจ้าเอดู ไม่ปล่อยโอกาสที่จะหยอดเลยนะเนี่ย....


เดี๋ยวขอไปดูลาดเลา แอบดูคนไปดูดาวดีกว่า
เอ๊ แอบตรงไหนดี ...ใต้แคร่ หลังต้นไม้ ตุ่มน้ำ หรืออะไรดี
(สงสัยออกแนว บ้านผีปอป มีตุ่มน้ำด้วย 555)
สยองๆๆๆๆ น่ากลัว ติดตาเลยค่ะพี่แม่หมู

ปล.อีกไม่เกินสิบนาทีมาแปะตอนต่อไปนะคะทุกท่าน ใกล้จบเต็มที หงิงๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: “Estou confiante em ti....” [15] (19/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 22-09-2010 14:48:39
ยินดีต้อนรับนักอ่านทุกท่านค่ะ
เรื่องของอิสกะเอ๊ดูก็ใกล้จะถึงบทสรุปเข้าไปทุกทีแล้ว
ตอนแรกคนเขียนตั้งใจจะรอให้ยอดวิวสัก5555 แบบว่าเลขสวยแล้วค่อยเริ่มเขียนตอนต่อไป ก็เลยช้า
(ที่จริงเริ่มเขียนตั้งแต่แปะตอนที่แล้วแหละค่ะ แต่ตอนนี้มันเขียนยาก เขียนไปก็ใช้พลังงานเยอะไป หงิงๆ)
อย่างไรก็ตาม......มาอ่านกันเลยนะคะ  :กอด1: คนอ่านทุกท่านเลยค่ะ
...........................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Sob a lua esta noite...


“Eu prom….”

“Chu chu, não, não prometa.”


………………..


กิจวัตรประจำเย็นวันอาทิตย์หลังกลับจากบ้านไร่ของผมและครอบครัวที่ซาน โฮเซ่ คือนั่งๆนอนๆรอเวลาถ่ายทอดฟุตบอลลีก ดูบอลเสร็จก็ราวๆหนึ่งทุ่ม แล้วถึงเข้าไปนั่งกินอาหารเย็นพร้อมหน้าพร้อมตา ปะไป๊ มะเม้ย วิเวียน แล้วก็ผม....นายอิสรภาพ

แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ครับ เพราะวันนี้....ผมมีนัด
แล้วก็.....ผมจะยอมรับก็ได้ครับ ว่าผมกำลังตื่นเต้น....มากด้วย


มันก็จริงที่ผมกับมัน....เอ่อ คุณเอดูวาร์โด้ ปาสโคอาลิโน่ นักเรียนไฮสกูลปีสุดท้ายแห่งโรงเรียนมัธยมประจำเมือง2 อดีตนักเตะทีมเยาวชนซาน โฮเซ่ (ทีมชุดใหญ่ตอนนั้นอยู่ดิวิชั่นสามครับ แต่ชาวเมืองเราก็ยังมีหวังนะเออ) เพื่อนคนแรกและกลายเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดของผมในตอนนี้ จะสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด หาเรื่องมาเจอหน้ากันได้แทบทุกวัน
แต่.....การต้องเจอมันในวันนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมเลย เพราะไอ้คำชวนอย่างจริงจังเป็นงานเป็นการของมันเนี่ยแหละ เฮ้ออออออออออออ

มันจะรู้บ้างมั้ยว่าทำให้ผมดูบอลอย่างไม่มีสมาธิ พักครึ่งแทนที่จะได้ดูประมวลภาพของครึ่งแรกกับโฆษณา....คือผมชอบดูโฆษณาน่ะครับ สนุกดี แหะๆ นั่นแหละๆ แทนที่ผมจะได้ใช้เวลาตอนพักครึ่งอย่างเคยๆก็กลับต้องละจากหน้าจอโทรทัศน์มาหมกมุ่นกับการรื้อเสื้อผ้าที่มีอยู่ไม่กี่ชุดออกมาวางจนเต็มเตียง ชีวิตนี้ไม่เคยมีสักทีไอ้การเดท แล้วกูจะต้องแต่งยังไงวะ??

“อิส พี่จะไปไหนอะ?” ระหว่างผมกำลังวุ่นวายใจอยู่หน้ากระจกที่ติดอยู่กับประตูด้านในตู้เสื้อผ้า เสียงไอ้น้องสาวที่มันทำตัวเหมือนเพื่อนแถมบางทียังเป็นพี่มากกว่าก็ดังขึ้น

ผมชะโงกหน้าผ่านประตูตู้เสื้อผ้าออกไปก็เห็นวิเวียนมันมายื่นหน้าอยู่ตรงประตูห้อง พอเห็นผมยื่นหน้าออกไปมันก็ถือโอกาสเดินเข้ามาในห้องแล้วกวาดสายตาไปตามความวุ่นวายบนเตียงของผม

“ไปดูหนังแล้วก็กินข้าว” ผมบอกแค่นั้นครับ แค่นี้ก็พอแล้ว ไอ้คำชวนที่จะพาไปดูดาวน่ะ......เขินครับ คงแปลกพิลึกเนอะ ผู้ชายสองคนนัดกันไปดูดาว ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มีพยากรณ์เกิดฝนดาวตก หรือว่าปรากฏการณ์พิเศษใดๆบนท้องฟ้าสักหน่อย

“แค่นั้นจริงอะ?” แน่ะ นิสัยจิกไม่ปล่อย น่ากลัวจริงๆผู้หญิงคนนี้

“ก็แค่นั้นแหละ....” ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมสบตากับไอ้น้องสาวตัวดีเด็ดขาด เดี๋ยวมันจับได้ว่าปิดบังข้อมูล ฮี่ๆๆๆ

วิเวียนมันหยิบๆจับๆเสื้อผ้าที่ผมขนออกมากองดูทีละชิ้น แล้วเลยกระทำการช่วยเหลือโดยไม่ต้องร้องขอทันที

“ตัวเลือกน้อย......แต่ไปดูหนังนะอิส พี่ก็ต้องใส่อะไรหนาๆหน่อย โรงหนังเรายิ่งรอบดึกนะ แอร์เย็นมาก หรือถ้ากลัวว่าตอนไปกินมื้อค่ำจะร้อน พี่ก็ใส่เสื้อตัวในบางๆก็ได้ แล้วใส่แขนยาวคลุมอีกตัว เออ......ว่าแต่อิส พี่กับคนที่จะมารับนี่ ตกลงเป็นอะไรกันน่ะ?”

“ฮะ......เฮ้ย!! ก็.......”

“ก็?”

“ก็........ปะ เป็นเพื่อนกันไง เพื่อน บะ...แบบ....สนิทมากๆอ้ะ” เวรกรรม ตกใจสติกระเจิงจนติดอ่างเลยผม คือว่า.....ตอนแรกคุณน้องสาวที่ตัวโตเป็นสองเท่าของผมคนนี้มันก็เข้ามาให้คำแนะนำเรื่องชุดออกไปดูหนังกับผมดีๆหรอกครับ ผมเองก็กำลังเคลิ้มๆ คิดตามคำแนะนำของมันอยู่เลย จู่ๆมันก็หักมุมตั้งคำถามแบบนี้ออกมาไม่ให้ตั้งตัว มันกะเล่นทีเผลอนี่หว่า ฮึ่ย!!

“อ๋า......สนิทมากๆเลยเนอะ แล้วนี่ไปกันสองคนเหรอ?”

“อืม”

“หึๆ” ดูมัน อมยิ้มไม่พอ ยังส่งสายตาว่ารู้ทันนะเว้ยมาให้อีก ผมจะทำไงได้ล่ะครับ นอกจาก......หนี

อยู่เผชิญหน้าสองต่อสองกับมันต่อไปคงถูกซักจนผิวสีนมใส่กาแฟที่แสนภาคภูมิใจขาวแหงๆ แถมไม่ขาวอมชมพูดูสุขภาพดีด้วยสิ แต่จะขาวซีดเอา ผมเลยเนียนๆเดินหนีวิเวียนออกจากห้องตัวเอง แล้วกลับไปดูบอลครึ่งหลังเสียเลย



หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีผมอาบน้ำอีกครั้งตามคำแนะนำของน้องสาวสุดที่รัก พร้อมแต่งตัวเรียบร้อยในชุดธรรมดาสุดชีวิตแบบกางเกงยีนส์สีซีดชายลุ่ยๆ กับเสื้อกล้ามสีขาว มีเสื้อไหมพรมบางๆแขนยาวแบบสวมหัวสีขาวครีมสวมทับอยู่อีกชั้น แถมหนีบแตะคีบให้วิเวียนมันทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่ พร้อมความพยายามให้ผมเปลี่ยนรองเท้าเพื่อความดูดีขึ้นสักนิด แต่......ไม่ครับ ก็ใส่อีแตะมันสบายดีนี่นา

ระหว่างนั่งรอวิเวียนมันก็ชวนผมคุยบ้าง แต่ผมไม่ค่อยตอบมันครับ คนกำลังตื่นเต้น ไม่มีสติจะตอบเท่าไหร่ แหะๆ ขณะกำลังงงกับประโยคคำถามล่าสุด เพราะผมตัดสินใจจะไม่พกดิคไปด้วยเหมือนเป็นอวัยวะชิ้นที่33 เสียงกดออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น

“Você tem camisinha?”  โว้เส เตง คามิซิ่งหงะ? อะไรหว่าคามิซิ่งหงะ????

ผมหันไปเลิกคิ้วทำหน้างงใส่วิเวียน แล้วเลยสูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกความมั่นใจขณะที่ลุกไปหน้าบ้าน ไอ้น้องสาวที่นั่งอยู่ข้างๆก็เดินตามออกมาด้วย

พอผมเปิดประตูไปเจอไอ้คนชวนดูหนังก็ต้องเบิกตาโต เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นปราดเดียวก็บอกได้เลยว่ามันพยายามหล่อ ไม่อยากจะบอกเลย แต่มันทำสำเร็จด้วยสิครับ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำปล่อยชายออกมาจากยีนส์สีซีดจาง รองเท้าหนังโผล่มาให้เห็นนิดๆ

ที่แน่ๆจนมืดขนาดนี้ก็ยังมีหมวกแปะอยู่บนหัวให้เจ้าตัวมันถอดออกมาถือแก้เขิน เพราะเท่าที่ผมเห็นตอนนี้มันกำลังมีอาการไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหน เลยถือหมวกไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างก็ยกขึ้นลูบหัวเกรียนๆของตัวเอง ก้มหน้านิดๆส่งยิ้มอ่อนๆผ่านแว่นตากรอบดำอันเดิมมาให้

ผมส่งยิ้มกลับไปให้มัน พร้อมกับตัดสินใจเลือกเอามือซุกกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างเพราะเกิดอาการรู้สึกว่ามือเกะกะขึ้นมากะทันหันบ้างแล้ว กำลังจะก้าวขาออกไปนอกประตูก็มีมืออุ่นๆของน้องสาวที่รักรั้งแขนไว้ ก่อนจะกระซิบคำถามเมื่อกี้มาอีกครั้ง

“Você tem camisinha?”  ....มีคามิซิ่งหงะแล้วยัง? มันยังไม่เลิกสงสัยแฮะ แล้วมันอะไรหว่าไอ้คามิซิ่งหงะนี่.....
ผมเริ่มรวบรวมสติ ถ้า camisa แปลว่าเสื้อ จากภูมิรู้ก้อนน้อยๆในสมอง ข้อมูลคือ ถ้าเติม –inha หรือ –inho จะแปลว่าอะไรที่มันเล็กๆ เหมือนโรนัลโด้ (Ronaldo) กับ โรนัลดินโญ่ (Ronaldinho) ไงครับ ว่าแต่ ผมจะต้องมีเสื้อตัวเล็กๆไปด้วยทำไมล่ะ? ผมเลยหันไปส่ายหน้าปฏิเสธ พอดีกับมีอีกเสียงดังขึ้น เอ่อ....ปะไป๊มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

“Meia-noite.” แล้วพอมาถึงแทนที่จะพูดกับผมก็หันไปพูดกับเอดูมันซะงั้น เที่ยงคืนงั้นเหรอ
โห....ไป๊กะไม่ให้เถลไถลเลยนะเนี่ย เอดูมันก็รับปากว่าจะมาส่งผมถึงบ้าน รับรองความปลอดภัยอะไรเรียบร้อยผมก็พาตัวเองออกจากบ้านมาขึ้นรถมัน....พูดให้ถูกคือรถพี่ชายมัน

แค่ห้านาทีเราสองคนก็มาถึงหน้าโรงหนังครับ ผมเคยลากวิเวียนมาดูเป็นเพื่อนครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อสองสามเดือนแรก ตอนนั้นเป็นหนังบราซิล ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด แถมทั้งนักแสดงทั้งภาพทั้งเสียงยังทำให้นึกถึงหนังไทยยุคคุณลุงสมบัติ เมทะนีเป็นพระเอกอะไรเทือกนั้นไปเลยด้วย แต่คราวนี้คนชวนมันเป็นคนเลือกครับ แถมคงศึกษามาดีก่อนชวนแล้วด้วยสิ เพราะมันเลือกให้ผมดูเรื่อง The Beach


The Beach ที่ใบปิดหนังเป็นลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ บนพื้นหลังสีส้มเหลือง ที่มีชายหาดจากภาคใต้ของประเทศไทยของเราเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำนั่นแหละครับ ผมใช้ความเร็วช่วงชิงสิทธิ์การจ่ายค่าตั๋วของเราทั้งคู่มาจากมันสำเร็จ ทำให้มันทำหน้าเป็นตูดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะง้อมันด้วยการลากไปตรงบาร์ที่ขายของขบเคี้ยว แล้วจับมือมันชี้ๆว่าจะเอาป๊อกกี้รสช๊อคโกแล๊ตหนึ่งกล่อง สตอเบอร์รี่อีกหนึ่งกล่อง กัวราน่าอีกกระป๋อง แค่นี้......มันก็กลับมามีสีหน้าอมยิ้มกรุ้มกริ่มจนทำให้ผมไม่กล้าสบตาด้วยได้เหมือนเดิมแล้วล่ะครับ

เอ่อ.....อายที่จะเล่า แต่ก็เอาเถอะครับ หลวมตัวเล่ามาขนาดนี้แล้ว แต่นั่นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ผมดูหนังแทบไม่รู้เรื่องเลย ไม่ใช่แค่เพราะเสียงโปรตุกีสและบรรยายอังกฤษนะครับ แต่.......เพราะหนังเรื่องนี้ไม่สนุก ฮ่าๆๆๆๆ

อย่างน้อย ไอ้การลอบสังเกตพฤติกรรมคนนั่งข้างมันก็น่าสนใจกว่าเนื้อเรื่องของหนังเยอะอะครับ ก็โรงหนังทั้งโรงมีคนดูไม่ถึงสิบคน แถมยังนั่งกันกระจายๆไม่เป็นกลุ่มก้อนอีกต่างหาก ดีใจสุดๆที่เชื่อคำแนะนำของวิเวียนใส่เสื้อแขนยาวมาอีกตัว ยิ่งไอ้ส่วนที่ไม่มีผืนผ้าให้ความอบอุ่นอย่างใบหน้านี่ยิ่งไม่ต้องกลัวหนาวครับ เพราะแค่พฤติกรรมของไอ้คนข้างๆตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโรงหนังก็ทำผมหน้าร้อนตั้งแต่หนังตัวอย่างจนถึงตอนหนังจบขึ้นเครดิตคนทำงานกันเลยทีเดียว

พอซื้อเสบียงไว้ระหว่างดูหนังเรียบร้อยผมก็จะปล่อยมือมัน แต่เอดูมันไม่ยอมครับ พลิกมือมายึดข้อมือผมเอาไว้หลวมๆ แต่จะพอดึงออกก็ไม่หลุด แล้วจูงเดินเข้าโรงหนัง พอนั่งลงเรียบร้อยมันก็เอามือไปกุมไว้บนหน้าขามัน จนหนังเริ่มฉายผมจะแกะกล่องป๊อกกี้นั่นแหละ มันถึงยอมปล่อยมือ แล้วพอผมนั่งกินไปดูหนังไปก็ค่อยรู้สึกได้ว่าไอ้บ้าข้างๆมันแทบไม่ได้ดูหนังเลย แต่มันดูผม....ไอ้จะหันไปบอกว่าหน้ากูไม่ใช่จอหนังนะเว้ยก็ไม่กล้า แบบว่า....ผมเขินอะ

ผมเลยเนียนๆยื่นกล่องป๊อกกี้ไปให้มัน เผื่อมันสนใจกินจะได้ไม่สนใจผม แต่แทนที่มันจะรับกล่องป๊อกกี้ไปดีดี มันกลับคว้าเอาไปหมดทั้งมือทั้งกล่อง แถมพอผมตกใจหันไปมองหน้ามันมันยังส่งยิ้มกลับมาให้อุณหภูมิบนใบหน้าผมสูงขึ้นอีก

ผมเลยใจง่าย....ก็มันอยากจับ ก็ปล่อยให้มันจับไป แถมถ้านั่งตัวตรงแบบนี้แต่แขนถูกดึงไปไว้บนหน้าขามันแบบนั้นก็เมื่อยด้วย ผมเลยเอียงๆตัวเข้าหามันอีกหน่อย แค่นี้ก็สบายแล้ว ยิ่งเข้าใกล้มันก็ยิ่งอุ่น หอมด้วยนะครับ วันนี้เอดูมันพยายามหล่อมาเต็มที่ เพราะพอเข้าไปใกล้มันแบบนี้แล้วผมได้กลิ่นหอมๆ หอมเย็นๆให้อารมณ์เหมือนไปทะเล หึๆ เข้ากับหนังจริงๆเลยครับ แถมพออยากกินป๊อกกี้ต่อก็ไม่เมื่อยด้วยสิ เพราะแค่เหลือบๆตามองกล่องในมือมันแล้วหันมาทำท่าสนใจลีโอนาร์โดต่อ ก็มีมือข้างที่ว่างของอีกคนป้อนป๊อกกี้รสช๊อคโกแล๊ตให้ถึงปากแล้ว

คือ......ที่ผมดูหนังไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เพราะอย่างอื่นนะครับ แต่หนังมันไม่สนุกจริงๆ ฮี่ๆๆๆ ไม่ใช่เพราะพอไอ้คนป้อนมันป้อนแล้วไม่ยอมให้จับเอง แต่กลับเป็นฝ่ายค่อยๆเลื่อนแท่งป๊อกกี้ใส่ปากผมเรื่อยๆความเร็วตามจังหวะการเคี้ยวของผม ให้ผมต้องชิงจังหวะตอนป๊อกกี้ใกล้หมดแท่งดีดี ไม่งั้นต้องชิมรสชาติปลายนิ้วมันเข้าไปด้วยหรอกนะครับ ผมยืนยัน....



เราสองคนออกจากโรงหนังก็ดึกแล้วครับ หนังยาวเกือบสองชั่วโมง ผมชักงงๆว่าไอ้ข้าวมื้อเย็นที่มันชวนเราจะกินอะไรกันที่ไหน แค่ป๊อกกี้สองกล่องกับน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องไม่เพียงพอสำหรับวัยกำลังกินกำลังนอนหรอกนะครับ

“Está com fome?” ......หิวมั้ย? ขึ้นประจำที่บนรถเรียบร้อยเอดูมันก็ถาม แหม.....คำถามนี้มาได้เวลามาก ไม่หิวก็แปลกแล้วเอดูเอ๋ย

“อาฮะ” พอผมรับคำแล้วพยักหน้ารัวๆมันก็ยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่ มันขับรถไปอีกแค่ห้านาทีก็จอดลงหน้าร้านขายพิซซ่าครับ หันมาบอกให้ผมรอเดี๋ยวเดียว แล้วก็แค่เดี๋ยวเดียวจริงๆ ไม่ถึงห้านาทีมันก็เดินกลับมาพร้อมกล่องกระดาษที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีพิซซ่าบรรจุอยู่ด้านใน พร้อมกับกระป๋องโค้กกับกัวราน่าอีกอย่างละสอง พอมันส่งกล่องมาให้ผมก็สูดหายใจเข้าไปเต็มปอด หอมครับ กลิ่นชีสเข้มๆ เรียกน้ำลายมาสออยู่ในปาก

ระหว่างที่ปล่อยให้ไอ้คนขับมันขับพาไปที่ไหนไม่รู้ผมก็แง้มฝากล่องดูของมีค่าด้านใน พิซซ่าหน้าชีสเยิ้มๆมีเห็ดแล้วก็เปปเปอโรนีประดับอยู่หนาแน่น อยากจะกระโดดกอดไอ้คนขับรถแน่นๆเลยครับ เพราะนี่มันเอาใจผมชัดๆ ดีใจที่มันรู้ว่าผมชอบอะไร ปลื้มใจที่มันจำได้ แล้วก็ตั้งใจทำให้

ก็ลงไปเดี๋ยวเดียวได้ของมาแบบนี้ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันต้องสั่งร้านเขาทำแล้วนัดเวลารับของไว้เรียบร้อย เอดู...มันน่ารักเนอะ

นั่งรถไปส่งยิ้มให้ไอ้คนขับมันเป็นระยะๆไป แค่ไม่นานมันก็จอดรถให้ผมลงอีกรอบ ไม่รู้หรอกครับว่ามันพามาส่วนไหนของเมือง แต่ที่แน่ๆต้องเป็นเนินอะไรสักอย่างที่สูงมาก เพราะจากตรงนี้มองไปทางแสงสว่างเป็นแถวเป็นแนวเบื้องล่างผมมองเห็นยอดหลังคาโบสถ์กลางเมืองชัดเจน

ผมยังคงมีหน้าที่แค่ถือกล่องพิซซ่าเอาไว้ ส่วนไอ้คนขับรถมันก็เปิดประตูหลังหยิบอุปกรณ์คือผ้าหนาๆผืนเดิมกับคราวไปทะเลออกมาปู ปล่อยให้ไฟหน้ารถส่องให้แสงสว่างอยู่แบบนั้น ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ที่ทำให้ผมต้องก้มหน้าซ่อนยิ้มอีกอย่างออกมา ตะเกียงครับ เอดูมันพกตะเกียงไฟฟ้าที่คงชาร์จแบตมาเรียบร้อยมาด้วย ผมน่ะลงนั่งเปิดกล่องพิซซ่า เปิดกระป๋องโค้กไว้สำหรับมันและกระป๋องกัวราน่าสำหรับตัวเองรอแล้วครับ จนมันจัดการเปิดตะเกียงมาตั้งเรียบร้อยมันถึงปิดไฟหน้ารถ

พอมันเดินมานั่งข้างๆมันก็ยิ่งทำให้ผมอยากขอบคุณมันสักร้อยหน เพราะของที่มันยื่นมาวางให้ตรงหน้า.....ซอสพริกครับ ฮ่าๆๆๆ ซอสพริกเผ็ดอร่อยที่ตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้เมืองนี้ผมกินล้างกินผลาญของที่บ้านหมดไปแล้วสองขวด จนมะเม้ยตัดสินใจซื้อพริกดองในน้ำมันมาไว้ให้ผมอีกอย่างประจำห้องครัว

เราสองคนนั่งพิงล้อรถ คือ......อันที่จริงเอดูมันพิงล้อรถ ส่วนผมก็พิงมันอีกต่อ แล้วก็กินพิซซ่า แหงนหน้ามองดาวบนฟ้า สลับกับดาวบนดิน ไม่อยากจะบอกแต่ก็ต้องบอก ดาวบนดินยังมีเยอะกว่าดาวบนฟ้าเสียอีก เอดูมันเตรียมพร้อมทุกอย่างครับ ยกเว้นลืมเช็คข้างขึ้นข้างแรม ก็พระจันทร์เสี้ยวใหญ่เบ้อเริ่มขนาดนี้ ดาวหน้าไหนจะมากระพริบให้ดูล่ะ แต่ว่าแค่พระจันทร์ก็คุ้มแล้วล่ะครับ เพราะพระจันทร์ตอนนี้ อยู่ใกล้ราวกับว่าแค่เอื้อมมือออกไปอีกนิดก็จะแตะได้แล้ว

แต่ไม่เป็นไรครับ ดาวฤกษ์มันน้อยนักก็ดูดาวจันทร์ไปก่อนก็ได้ อีกอย่างดูดาวบนดินเทียบกับแผนที่ในหัวสมองแล้วก็สนุกดี ผมก็จะคอยชี้ถามมันว่าไอ้ดาวบนดินตรงโน้นน่ะ บ้านผมรึเปล่า แล้วตรงนั้นล่ะ ใช่โรงเรียนเรามั้ย มันก็ใจดีไม่รำคาญคำถามผม ใจเย็นตอบมันเสียทุกคำถาม พอหมดความสนใจในกลุ่มแสงไฟที่อยู่ต่ำลงไป แล้วก็เริ่มอิ่มผมก็จัดการทำความสะอาดนิ้วตัวเองด้วยการเลีย ฮ่าๆๆ ซกมกเนอะ

จากนั้นก็หันไปแย่งพิซซ่าในมือมันมาป้อนมันแทน ตอนนั้นก็ลืมนึกไปว่ามันจะรังเกียจความซกมกของผมรึเปล่า ช่วยไม่ได้นะเอดู แกหลวมตัวมาแล้ว ผมป้อนมันไปแล้วก็พยายามจับสายตาไว้แค่ปากมันพอ ไม่กล้ามองตามันครับ ผมอาย....แต่ก็นะ มันทำให้ขนาดนี้ก็อยากจะตอบแทนมันบ้าง อยากจะเอาใจมันบ้างนี่นา  

พอผมจะหยิบชิ้นสุดท้ายในกล่องมาป้อนมันต่อมันก็บอกว่าอิ่มแล้ว ผมเลยบริการมันด้วยการเอาขวดน้ำเปล่าที่มันมีติดรถมาเทให้มันล้างมือ แล้วเอาทิชชูเช็ดมือให้มันด้วย แอบๆเหลือบตาขึ้นมองหน้ามันก็เห็นมันยิ้มกว้างขวางเสียจนกลัวหน้าจะเป็นตะคริวแทน ผมจัดการก้มหน้าก้มตาเช็ดมือมันจนแห้งแล้วก็ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการปาทิชชูที่กลายเป็นขยะไปแล้วเข้าไปในความมืด พร้อมกับรู้สึกถึงแรงดึงรั้งให้ขึ้นไปนั่งเกยอยู่บนตัก ผมเลยสอดมือไปแยกขาสองข้างมันออกกว้างๆ

“เฮ้ย!!”

“ตกใจอะไร แยกขาออกสิ”

งงสิครับ แค่แตะต้นขาแค่นี้ทำหวง เอ.....หรือว่ามันจะมีจุดอ่อนที่ต้นขา จับแล้วจั๊กจี้ หึๆๆๆ ไม่ครับ ยังไม่ใช่เวลามาแกล้งมัน เก็บข้อมูลไว้ก่อน พอผมเงยหน้าพูดให้มันแยกขามันก็ยอมทำตามครับ แล้วจากที่มันจะดึงให้นั่งตัก ผมก็แทรกตัวนั่งตรงหว่างขาของมันแทน แล้วก็เลื้อยทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่อกมันนั่นแหละ เอนจนเกือบนอนแบบนี้มองดาวมองจันทร์ได้สบาย ไม่เมื่อยคอดี

ไอ้เบาะรองนั่งของผมมันทำตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสักพักก็สอดแขนสองข้างมากอดผมเอาไว้เหนือช่วงเอวขึ้นมาหน่อย แล้วก็ก้มลงมาสูดหายใจฟอดๆอยู่แถวขมับ แถวซอกคอ ผมชักไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหนดีอีกแล้ว เลยถือโอกาสแต๊ะอั๋งมันคืนด้วยการซ้อนมือทั้งสองข้างทาบลงกับมือมันซะ เอาคืนด้วยการยกแขนมันขึ้นมาดมผ่านเนื้อผ้าสีดำ....อืม....หอมตรงนี้ก็เป็นกลิ่นสดชื่นเหมือนไปทะเลอีกแล้ว ไหนลองเลื่อนจมูกไปหน่อย อาฮะ พอเข้าใกล้มือก็กลายเป็นเอดูวาร์โด้กลิ่นพิซซ่า ไหนลองที่มือเลยซิ ฮ่าๆๆ กลิ่นชีสเต็มๆเลย

“ฮะๆๆๆๆๆๆ” กรรมของกู เผลอหัวเราะออกมาจริงๆ

“ขำอะไรน่ะ เมว เบง....” อ้าว ไอ้นี่....อย่าเพิ่งมาคนดีจ๊ะจ๋าตอนนี้สิ คนกำลังดมนิ้วแล้วนึกถึงไส้กรอกพันชีสอยู่เลย

“ก็.....ขำเอดูกลิ่นชีส ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ตอนนี้ผมพลิกตัวหันหน้าไปหามัน แล้วยิ่งต้องหัวเราะกับสีหน้าเหมือนมีชีสค้างปีมาจ่อจมูกของมันเข้าไปใหญ่

รู้ตัวอีกทีมันก็พลิกมือยึดเอามือผมที่จับมือมันดมอยู่เมื่อกี้ไปพิสูจน์กลิ่นบ้างแล้ว ก่อนจะฟอร์มทำเป็นขมวดคิ้วบ่นอะไรไม่รู้งึมงำแล้วโดยที่ผมไม่ทันระวังตัวมันก็แลบลิ้นออกมาเลียตั้งแต่ปลายนิ้วแล้วไล้ลิ้นไปจนทั่ว จากนิ้วชี้เลื่อนไปนิ้วกลาง

ผมที่ตัวแข็งเป็นหินขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ไปแล้ว ได้แต่มองดูปลายนิ้วตัวเองถูกส่งเข้าไปในปากบางๆของคนที่ทำตัวเชื่องจนผมตายใจมาได้เป็นนานอย่างไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้ รู้สึกถึงการขบเม้มเบาๆที่ปลายนิ้ว พร้อมๆกับเสียงหัวใจตัวเองที่เริ่มจะเร่งจังหวะจนระรัวอยู่ในอก เสียงหัวใจดัง.....ดังมากจนเชื่อว่าอีกคนที่ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปแนบสนิทกันทั้งตัวต้องได้ยินด้วยแน่ๆ

เอดูปล่อยให้มือข้างนั้นของผมเป็นอิสระ โดยดึงให้โอบรอบคอมันเอาไว้ แล้วใช้มือข้างที่เพิ่งว่างนั่นเชยคางขึ้นให้ผมสบตาบรรจุประกายประหลาดแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนโดยไม่มีทางหลบเลี่ยง มืออีกข้างกุมทับมือของผมที่วางอยู่บนแผ่นอกหนาไว้ และเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนนั่นแตะลงที่หว่างคิ้ว ผมก็หลับตาลงช้าๆเผยอปากรอรับสัมผัสที่อีกไม่ถึงอึดใจก็ประทับลงมาแผ่วเบา ผละห่างแล้วค่อยประทับมาอีกครั้งอย่างแนบแน่น ขยับบดคลึงทั้งเรียกร้องทั้งโหยหา



“หยุด.......อย่า หยุดก่อน!!!”
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของผมกลับมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัวว่าเสื้อตัวนอกถูกถอดออก และลมดึกพัดผ่านแผ่นหลัง ผมหยิกลงไปเต็มแรงที่ท่อนแขนข้างที่กำลังส่งปลายนิ้วเลิกเสื้อตัวในขึ้น ทั้งที่คิดว่าตะโกนห้ามออกไป แต่เสียงที่ได้ยินกลับแผ่วเบาและแหบเครือจนแทบไม่เชื่อว่านี่คือเสียงตัวเอง

“...........อิส..........อิส....”
เสียงเรียกชื่อผมดังเหมือนเสียงครางของสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บทำให้ผมรู้สึกผิด
แต่....ผมรู้ตัวดีว่าไม่พร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้ ผมยังไม่พร้อมจะมีสัมพันธ์ทางกายกับใคร แม้แต่กับคนดีที่สุดคนนี้ก็ตาม

“ขอโทษ.......ขอโทษนะ”
แล้วผมก็ทำท่าเข้มแข็งไม่ไหว ต้องปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนได้
ผมจะบอกได้ยังไง ว่าที่ไม่พร้อม ที่ทำไม่ได้มันก็เพราะผมกลัว ขนาดใกล้กันแค่นี้ผมยังกลัวจะเดินจากไปไม่ไหว
แล้วถ้ามันมากกว่านี้....วันต้องไป ผมจะไม่ตายเลยเหรอ


“อย่าร้องไห้.....ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร....” แล้วดูมันสิ ยังมีอารมณ์มาปลอบผมอีก
“Ficar quieto….Deixe-me te abraçá.” เอดูมันกดให้ผมแนบหน้าเข้ากับอกมัน แล้วก็บอกให้ผมอยู่แบบนี้ อยู่นิ่งๆให้มันกอด แค่นี้มันก็พอใจแล้ว


เราสองคนอยู่กันนิ่งๆ สักพักผมก็หยุดร้องไห้ไปเอง ทำเสื้อมันเปียกเลยครับ แหะๆ ส่วนมันก็สูดหายใจเข้าลึกๆถอนหายใจหนักๆ พอผมรู้สึกว่าทั้งเอดูทั้งตัวเองกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมก็ค่อยๆขยับตัวยื่นหน้าไปจูบที่ปลายคางมันเบาๆ แล้วพลิกตัวกลับมากึ่งนั่งกึ่งนอนยึดอกมันเป็นพนักพิงตามเดิม



“อิส.....ไม่กลับไม่ได้เหรอ?”
เจ็บจังเลยครับ ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บหน่วงที่หัวใจ แล้วก็อึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่เข้าแบบนี้ จะว่าผมเป็นไอ้ขี้แยอ่อนแอกว่าผู้หญิงก็ได้ แต่น้ำตาผมเริ่มไหลออกมาอีกแล้ว ผมทำเนียนๆเอื้อมไปหยิบเสื้อไหมพรมของตัวเองที่กระเด็นไปกองอยู่บนพื้นหญ้าเอามาเช็ดน้ำตาออกเร็วๆไม่ให้ไอ้พนักพิงมันรู้ ทิ้งตัวลงให้แนบกับพนักพิงที่อุ่นที่สุดในโลกเข้าไปอีก แกะแขนข้างหนึ่งที่กอดอยู่รอบเอวผมเอาไว้ ยกฝ่ามือหนาๆนั่นมาแนบแก้ม

“เราต้องเดินต่อไปนะเอดู ชีวิตเรา บ้านเรา อยู่ที่โน่น.....ที่สุดขอบฟ้าโน่น ให้ยังไง เราก็ต้องกลับไป....”

“......เราไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลย”

“เอดู....จากตรงนี้ ขอบฟ้าอยู่ใกล้นิดเดียวเองนะ”

“Iss, eu prom….” ….อิส เราสัญญ.....

“Chu chu, não, não prometa.” …..จุ๊ๆ ไม่เอา อย่าสัญญา

“Por quê não?” …..ทำไมถึงบอกว่าไม่ล่ะ?

“อย่าให้คำสัญญามาเป็นเครื่องพันธนาการชีวิต เราเชื่อ....เราเชื่อว่าวันนี้สำหรับเอดูเราเป็นที่หนึ่ง แต่อย่าให้คำสัญญาที่จะออกจากปากมาทำให้ต้องยึดมั่นกับเรา อนาคตน่ะ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไป เราเองอาจจะเป็นฝ่ายเปลี่ยน อาจจะมีอะไรก็ตามที่จะผ่านเข้ามา เพราะงั้น....อย่าสัญญาเลย....นะ”

“Concordo, não prometa mas, confie em mim….Sob a lua esta noite…. Eu nunca vou esquecer, por tuda minha vida.”


“เหมือนกันนะเอดู......เราก็เหมือนกัน ใต้แสงพระจันทร์คืนนี้ เรากับเอดู เราจะไม่มีวันลืมแน่นอน......ตลอดชีวิต...”

............................................
............................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..



ปล. ถ้าใครเดาไม่ได้  camisinha ที่วิเวียนมันถามว่าอิสมีรึเปล่าก่อนออกจากบ้าน อิสมันมารู้ทีหลังว่าหมายถึง condom ค่ะ เวรกรรม ไอ้น้องบ้า :m20:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 22-09-2010 14:51:36
เอี้ยดดดดดดดดด ปาดหน้าปาดหลัง กร๊ากกกก

อึ้ยยยย หนังเรื่องนี้ไม่หนุก เพราะอิสไม่มีอารมณ์จะดูอ่ะจิ (มัวเขินไอ้คนข้าง ๆ หึหึ)
แถมป๊อกกี้กล่องนั้นคงเป็นชอคแลตเคลือบน้ำตาลอีกทีซิ...หวานได้อีก
ดีแหะ..ไม่เสียแรงถอยทัพขนเสื่อกลับบ้านไปเสียก่อน ยังได้แอบเห็นรำไร ๆ กร๊ากกกก
เอดูเป็นปิศาจเขมือบนิ้ว มีพิษลุกลามไปทั่วตัว ((O_o'))
(ข้าว่างเอ็งเพ้อแระ  :beat: ตบให้ตื่น)

แล้วก็มาปวดอก จุกไต อ๊ากกกกก :serius2:
เป็นคำสัญญาที่ฟังแล้วเศร้าง่ะ (ใครเป็นมั่ง) หงิง~~   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 22-09-2010 15:05:28
ซึ้งงงงงงงงงงงง      !
รักเอดู + อิส     ><
รักมากกกกกกกกกกกกกกกกก    ~
ขอบฟ้าน่ะใกล้กันนิดเดียวเอง      ;xx
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 22-09-2010 15:27:37
ขอบคุณนะคะไรเตอร์ เศร้าโคตร ๆๆ ตอนเเรกก็ดีอะนะ เเต่มาตอนท้ายไม่ใช่เเระ อย่าบอกนะว่า  มาม่า เคลือบน้ำตาลคือเเบบนี้ โฮ  วันนี้อ่านมา 4 เรื่อง ทำน้ำตาไหลพรากไป 2 เรื่อง กระซิก กระซิก ขอเบิกค่า ทิชชู ได้เปล่า โฮ ๆๆ  :sad4:


ปล.ไรเตอร์ ด้า กับไรเตอร์ นุ่น นัดกันมา กระชากอารมณ์เหรอ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 22-09-2010 15:37:21
:monkeysad: เศร้าอะค่ะพี่นุ่น ..
นึกถึงตอนที่ต้องห่างจากเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตคนนึง มันคงอารมณ์คล้ายๆกัน ติดว่าสองคนนี้เค้ารักกันอีกตะหาก
รักทางไกลมันเป็นอะไรที่ลำบากเนอะ อยากเจอก็ไม่ได้เจอ อยากสัมผัสก็ทำไม่ได้
แต่ไม่อยากให้จบลงแค่เพราะน้องอิสต้องกลับบ้านเลยอะค่ะ จากกันทั้งๆที่รัก เง้อออ โศกไปไหน TT
ไม่อยากให้เป็นแค่ความทรงจำ แต่อยากให้เดินไปด้วยกันมากกว่า ..
อินจัง *ปาดน้ำตา*

พี่นุ่นสู้ๆ รออ่านต่อไปค่ะ
เป็นกำลังใจให้ทั้งน้องอิสและเอดูที่น่ารักด้วย ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-09-2010 15:37:54
แง แง  อิสจะกลับบ้านแล้วเหรอ  แล้วเอดูล่ะจะทำยังงัย
อิสอย่านะ  ต้องรับผิดชอบเอดูด้วยนะ
ฟันแล้วทิ้งไม่ใช่นิสัยที่ดีของนายเอก (ไปไกลแล้วตรู)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 22-09-2010 17:14:42
  :-[
เขิลลล ทุบพี่นุ่นไปสองที อร๊ายยย
********************************
:monkeysad:
ฮือออ เอาขี้มูกป้ายพี่นุ่นซะเรยงิ กาซิก กาซิก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 22-09-2010 17:30:38
พี่นุ่นนนนนนนนนนนนนนนน

ชื่อเรื่องก็ทำหนูสังหรณ์แปลกๆแล้ว มาประโยคอย่าสัญญาของอิสยิ่งทำหนูใจหาย

บอกทีค่ะว่าตอนจบอนาคตสองคนนี้ก็ยังคู่กัน!

ฮือ~

ส่วนเสื้อตัวเล็ก อืม...กะว่าพี่ชายไปนี่เสียจิ้นชัวร์เลยสินะหนูน้อย...ว่าแต่...ก็เกือบจริงนิ 555+
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 22-09-2010 17:51:36
โรแมนติกอยู่ดีๆ เศร้าซะงั้น
แต่ก็จริงนะ คำสัญญา ถ้าเราไม่รู้อนาคต
อย่าได้พูดจะดีกว่า เฮ้อ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 22-09-2010 18:13:42
ซึ้งแบบเศร้าๆ
แต่มันก็เป็นประสพการณ์ชีวิตนะ
ถ้ามีวาสนาก็ได้มาอยู่คู่กัน
แต่ถ้าไม่ อย่างน้อยก็มีความทรงจำที่ดีๆไว้ให้นึกถึง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 22-09-2010 18:26:11

หวานอยู่ดีๆ………….. :monkeysad:
เศร้าค่ะพี่นุ่น...ไม่อยากให้จากกันเลย
พี่นุ่นไม่เอาแค่ความทรงจำนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 22-09-2010 18:34:32
โอ้ว!!! Condom นี่เอง!!
ตรัสรู้แล้ว...
ซึ้งๆ หวานๆมากค่ะตอนนี้ ถ้าคู่กัน ห่างกันยังไงก็ต้องได้เจอจ๊ะ!!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 22-09-2010 19:18:04
วิเวียน ออกตัวแรงจริง
ที่แท้คือคอนดอมนี้เอง  :-[
แหม๋ เกือบได้ใช้แล้วไหมล่ะอิส
ช่วงต้นๆยังหว๊าน หวาน อยู่เลย
ปิดท้ายซะปวดตับเลย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 22-09-2010 19:50:40
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก~~~!!!!!!!! เห็น ปล. สุดท้าย ไม่คิดว่า น้องสาวจะยุยงให้พี่เสียตัวขนาดนั้น
 
เฮ้ออออออออออออออออออ.. อินจน หยดสุดท้าย ไม่เสียแรงที่ เกาะกระโปรงรถตามเค้าไปเดทด้วย..

 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 22-09-2010 20:30:22
หลังจากการไปให้หนังดูคนเป็นส่วนใหญ่กว่าคนดูหนัง หุ หุ หุ  ก็เป็นกิจกรรมดูดาว แต่...
กิจกรรมดูดาวคราวนี้ไม่ผ่านเพราะไม่ใช่ข้างแรมเดือนมืด
แต่อิสกับเอดูก็มีกิจกรรมอื่นที่หวานสุดๆแทน
เพียงแต่ตอนท้ายของกิจกรรม กำลังจะเริ่มต้นกินมาม่า เพราะใกล้ถึงวันจากลา
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 22-09-2010 20:32:44
นุ่นนนนน ไม่เอาเศร้านะ ขอร้องงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 22-09-2010 21:03:57
^
^
^
ไม่แซด เอ็นดิ้งงิ เชื่อนุ่นได้โลดนะแนน
กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
คึดฮอดดดดดดดดดดดหลายยยยยยยย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 22-09-2010 22:50:33
ใกล้จะจบแล้วหรอคะ เสียดายจัง
ตอนนี้เศร้าๆเนาะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 22-09-2010 23:19:34
 :กอด1:
เอดูกับน้องอิสสู้ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 22-09-2010 23:52:02
http://www.youtube.com/v/B7U-CxufJBU?fs=1&amp;hl=en_US&amp;color1=0x402061&amp;color2=0x9461ca
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 23-09-2010 00:08:38
^
^
^
พี่พีนัท รู้มั้ยคะว่าตอนนั้นอิสมันยึดถือเพลงนี้ของพี่แอนเป็นสรณะ
นุ่นก็เพิ่งสังเกตเนี่ยแหละว่านาเดียในMVนี้แต่งตัวคล้ายๆกะไอ้น้องอิสมันเลย โอ๊ะโอว

(ว่าแล้วก็เสียน้ำตาอีกรอบ T____T)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Pepor ที่ 23-09-2010 00:35:17
สวัสดีค่ะ เป็นนักอ่านเงามานานล่ะ แต่ต้องสมัคร log in เพราะอบนิยายคุณน่นมาก หวานทุกเรื่องเลย :L1: เรื่องนี้ก็ขอไม่มาม่านะคะ    :L1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 23-09-2010 00:42:12
^
^
ฮึบๆๆ วิ่งเข้ามาจิ้มไข่ใหม่ก่อน หุหุ
ยินดีต้อนรับค่ะ ขอบคุณมากมายที่ออกมาแสดงตัวให้กำลังใจกันนะคะ :กอด1:

ไม่ม่าค่ะ นุ่นไม่ชอบกินมาม่า ถึงจะอร่อยแต่กินบ่อยๆแล้วหัวจะล้านงิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 23-09-2010 00:45:01
เอดูก็ตามอิสไปเมืองไทยก็จบ
(แล้วทางบ้านเอดูล่ะ?)



เฮ้อ    แต่วันนี้ฉากนี้มันหวานน้ำตาลเรียกทวดเลยนะเนี่ย ^_______________^
อิส เอดู ลุ้นๆ ให้ได้อยุด้วยกันเถอะ
น่ารักดีทั้ง อิส ทั้งเอดู

น่าสงสารเอดูจริงๆ  555+เสียงเรียกชื่อผมดังเหมือนเสียงครางของสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
คงราวกับจะขาดใจตาย  อิสก็นะใจแข็ง หงาาาา   น่าสงสารทั้งคู่ :impress3:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 23-09-2010 01:12:12
มาหวานแบบนี้คนอ่านเป็นโรคหนักหวาน(มันมีโรคนี้ด้วยหรอย่ะ)แน่ๆเลยคุณนุ่น

เจ้ว่าเจ้ไปแลกเปลี่ยนบ้างดีไหม(นิเจ้ แก่แล้วสอบไม่ทันแล้วย่ะ)เจ้อยากไปแลกเปลี่ยน.......ความรัก

เผื่อจะได้แบบเอดูบ้าง อิอิอิอิ หาอ่านพระเอกเป็นต่างชาติ(ตามที่เจ้เฝ้าฝันถึง)ได้ยาก แต่คุณนุ่นก็มาสนองดีใจที่สุดเลย

นิยายคุณนุ่นการันตีความสนุก น่ารัก หวาน พร้อมภาษาที่สวยงามน่าอ่าน ขอบคุณมาที่สละเวลามาแต่งงานเขียนดีๆ

ให้อ่านกัน เป็นกำลังใจให้ค่ะ................
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mimilove ที่ 23-09-2010 01:41:43
อยากจะร้องไห้  :sad4:
T_____________________________T  :o12:
กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด คนเขียนนนนนน 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 23-09-2010 09:34:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 23-09-2010 12:27:22
 หวานๆ เศร้า เคล้ากันไป
 :monkeysad:
+1 สื่ออารมณ์ได้ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 23-09-2010 13:40:53
 :monkeysad: เศร้าง่ะ

แต่แอบเดาแระล่ะ ว่าเสื้อตัวเล็กๆ 555 มันต้อง condom แหงๆ อิๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 23-09-2010 14:31:23
ง่าย ๆ เอดูก็ตามนู๋อิสมาเมืองไทยซะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 23-09-2010 15:04:37
โอ๋ๆๆๆๆๆๆ ไม่ร้องนะนุ่นนะ มามะเดี๋ยวพี่ปลอบใจให้นะจ๊ะ

ปลอบพร้อมทั้งนุ่นทั้งอิส เลยละกันนะ

รับปากแล้วนะว่าไม่มีมาม่าอ่ะ อย่าพลิกโผนะจ๊ะ

ไม่งั้นคนอ่านใจสลายแน่นอน

มารอตอนต่อไปด้วย ใกล้จะจบแล้วเหรอ ยังพูดได้ไม่กี่คำเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 24-09-2010 15:30:11

เหลืออีกสองตอนจบ อย่าเศร้านะคะพี่นุ่น  :serius2:

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: loveooo ที่ 24-09-2010 19:49:47
ไม่อยากให้แยกกันเลยอ่ะ  เศร้าๆๆๆTT__TT
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 25-09-2010 16:15:58
หวานอมเศร้า(นิดๆ พอคิดว่าต้องห่างกัน)
แต่เป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกจริงๆ
นั่งดูดาวบนดิน ชมจันท์บนฟ้าด้วยกัน
+1 ขอบคุณค่ะคุณนุ่น เป็นกำลังใจให้จ้า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-09-2010 02:42:53
ตอบเมนท์พร้อมบอกว่า ตอนต่อไปมาหกหน้าแล้ว ยังไงถ้าไม่มีอะไรด่วนเข้ามาพรุ่งนี้ได้อ่านแน่นอนนะคะ ^o^
ท่านไหนกลัวมาม่า มิมีค่ะ มิม่านะคะ เดี๋ยวผมร่วงงิ หุหุ

............................
มาหวานแบบนี้คนอ่านเป็นโรคหนักหวาน(มันมีโรคนี้ด้วยหรอย่ะ)แน่ๆเลยคุณนุ่น

เจ้ว่าเจ้ไปแลกเปลี่ยนบ้างดีไหม(นิเจ้ แก่แล้วสอบไม่ทันแล้วย่ะ)เจ้อยากไปแลกเปลี่ยน.......ความรัก

เผื่อจะได้แบบเอดูบ้าง อิอิอิอิ หาอ่านพระเอกเป็นต่างชาติ(ตามที่เจ้เฝ้าฝันถึง)ได้ยาก แต่คุณนุ่นก็มาสนองดีใจที่สุดเลย

นิยายคุณนุ่นการันตีความสนุก น่ารัก หวาน พร้อมภาษาที่สวยงามน่าอ่าน ขอบคุณมาที่สละเวลามาแต่งงานเขียนดีๆ

ให้อ่านกัน เป็นกำลังใจให้ค่ะ................
กอดพี่แตม คิดถึงนะคร้าาาาาาาาาาาาาาาา ชมกันให้ตัวลอยตุ๊บป่องได้อีก >/////////<

อยากจะร้องไห้  :sad4:
T_____________________________T  :o12:
กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด คนเขียนนนนนน 
แหงะ ไม่เอาไม่ร้องค่ะ เดี๋ยวตาบวมแล้วไม่สวยนะคะ จุ๊ๆๆๆๆ

:pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณเช่นกันที่เข้ามาอุดหนุนค่ะ ^o^

หวานๆ เศร้า เคล้ากันไป
 :monkeysad:
+1 สื่ออารมณ์ได้ดีจริงๆ
ปลาบปลื้มกับคำชม ดีใจที่ทำให้รู้สึกตามได้นะคะ กอดดดดดโอ๋ๆๆๆๆๆๆๆ

:monkeysad: เศร้าง่ะ

แต่แอบเดาแระล่ะ ว่าเสื้อตัวเล็กๆ 555 มันต้อง condom แหงๆ อิๆ
งืม มันถามจริงอะไรจริง มารู้ทีหลัง ดีนะอิสมันไม่ได้ถามเอ๊ดูตอนไปด้วยกัน ไม่งั้นเอ๊ดูอาจควักออกมาให้เลือกใช้ตามสะดวกได้ กร้ากกกกกกกกกส์

ง่าย ๆ เอดูก็ตามนู๋อิสมาเมืองไทยซะ
เนอะๆๆตามมาสิ โห่ววววววววววว

โอ๋ๆๆๆๆๆๆ ไม่ร้องนะนุ่นนะ มามะเดี๋ยวพี่ปลอบใจให้นะจ๊ะ

ปลอบพร้อมทั้งนุ่นทั้งอิส เลยละกันนะ

รับปากแล้วนะว่าไม่มีมาม่าอ่ะ อย่าพลิกโผนะจ๊ะ

ไม่งั้นคนอ่านใจสลายแน่นอน

มารอตอนต่อไปด้วย ใกล้จะจบแล้วเหรอ ยังพูดได้ไม่กี่คำเลยนะเนี่ย
กอดพี่แม่หมู ไม่พลิกโผค่ะ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆ


เหลืออีกสองตอนจบ อย่าเศร้านะคะพี่นุ่น  :serius2:

 :กอด1:

โอ๋ๆๆๆ น้องหนึ่งเย็นว้ายยยยยยยยยยยยยยย

ไม่อยากให้แยกกันเลยอ่ะ  เศร้าๆๆๆTT__TT
โอ๋ๆๆๆไม่เศร้านะคะ ชีวิตต้องดำเนินไปเนอะะ (เอ๊ะแล้วนี่เราสปอยล์อะไรนิ โอวววว)

หวานอมเศร้า(นิดๆ พอคิดว่าต้องห่างกัน)
แต่เป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกจริงๆ
นั่งดูดาวบนดิน ชมจันท์บนฟ้าด้วยกัน
+1 ขอบคุณค่ะคุณนุ่น เป็นกำลังใจให้จ้า
 :กอด1:
ใช่ค่ะ โรแมนติคมากมายเลยคุณวี ขอบคุณนะคะ

ว่าแล้วก็ไปไล่บวกบ้างดีกว่า กอดค่ะทุกท่าน ^o^ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 26-09-2010 12:11:11
น่ารักเนอะ ทั้งสองตอนเลย...
สงสารนะ คู่นั้นคงลืมไปว่ามีเหล็กดัดฟันอยู่ แต่เอดูแอบทำฮาได้อีก “ดีเนอะ ที่เราสองคนไม่มีใครใส่เหล็กดัด”
ถ้าเป็นเอดูกะอิสใส่ไม่อยากจะคิดเลย  :laugh:
เอดู ทำโรแมนติกอีกแล้ว ดูดาวกันสองคน วี๊ดวิ้วววววว
กำลังลุ้นนนน ตัวโก่ง หักมุมเศร้าได้อีกนะ นุ่น
ต้องแอบเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาไม่รู้ตัว...
งั้นกอดคนเขียนก่อนนน  :กอด1: อุ๊นอุ่น อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: KM ที่ 26-09-2010 12:59:38
อูยยยย แร้งง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: KM ที่ 26-09-2010 14:41:03
เรื่องนี้ไม่มีNCหรอครับพี่นุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-09-2010 14:57:53
^
^
^
จิ้มๆๆ น้องคาเมะ ^o^

แอบตอบเบาๆว่าไม่มีค่ะ เรทอยู่ที่ PG13 + คำชี้แจงว่าเป็นหนังสารคดี
(ตอนแรกจะเป็นเรทG แล้ว แต่ต้องให้ผู้ปกครองแนะนำตอนที่จูบกันเลือดสาด
โดยเฉพาะในรายที่บุตรหลานดัดฟัน และตอนที่อิสมันหนีตามเอดูไปเที่ยวทะเลโดยปิดบังปะไป๊น่ะค่ะ
ถือเป็นการประพฤติไม่เหมาะสมต่อการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนของชาติ)

ปล.ถึงทุกท่านที่รออยู่ ตอนต่อไปมาก่อนค่ำแน่นอนนะคะ ตอนนี้เจ็ดหน้าเอสี่แล้วค่ะ ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ ยิ่งใกล้จบยิ่งต้องเก็บเนื้อหาให้ดีน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Sob a lua esta noite... [16] (22/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-09-2010 16:42:18
มาส่งตอนต่อไปแล้วนะคะ
มาช้า ไร้ข้อแก้ตัวใดๆ หงิงๆ
เอาล่ะค่ะ ใครช้ำมาจากมาม่าที่ไหน เชิญมาอ่านตอนนี้ได้
รับรองว่าคุณจะยิ้มออกแน่นอน  :m32:
.......................................................................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
:  Você e Eu eo Nosso Futuro
(คุณกับผม และอนาคตของเรา)


“Estou com sono….se você me abraça assim, eu vou ter um sonho bom.”

…………………………
ฤดูกาลสอบใกล้เข้ามาอีกแล้วครับ ตอนเทอมแรกผมก็สอบไปแบบมั่วๆ วิชาภาษาโปรตุกีสผมก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษไปเนียนๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ
แต่คราวนี้มันไม่ได้แล้วครับ ยังไงซะอย่างน้อยๆก็ต้องสอบผ่านเกณฑ์ทุกวิชาให้ได้


ไม่ใช่ว่าถ้าสอบไม่ผ่านจะถูกกักตัวไว้เรียนซ้ำชั้นนะครับ แต่ผมต้องเอาเอกสารยืนยันผลการเรียนกลับไปยื่นที่โรงเรียนที่บ้านด้วย
เป็นข้อตกลงที่ทำไว้กับอาจารย์ก่อนจะมาอยู่ซาน โฮเซ่ น่ะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่มีสิทธิ์กลับไปสอบปลายภาคชั้น ม.๖ กับเพื่อนๆ
ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น ผมก็ต้องกลับไปเรียนม.ปลายอีกปีรวมกับรุ่นน้องที่จะขึ้นมาจาก ม.๕


วิชาอื่นๆน่ะสบายครับ ยิ่งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ นี่ผมมั่นใจมากจนเป็นคนติวให้เพื่อนๆในกลุ่มได้เลยด้วยซ้ำ....หมายถึงอธิบายไปก็มีผู้ช่วยประจำตัวอย่างเอดูมันอยู่ข้างๆคอยช่วยแปลภาษาโปรตุกีสมั่วๆต่างด้าวๆของผม ให้กลายเป็นภาษาโปรตุกีสแบบบ้านนอกบราซิลของแท้เพื่อเพื่อนๆคนอื่นไปด้วยน่ะนะครับ

แต่ที่แย่แน่ๆก็คือวิชาภาษาโปรตุกีสนี่แหละ เพราะผมต้องสอบข้อสอบเดียวกับเพื่อนๆ หมายถึงมันคือข้อสอบระดับไฮสกูล อาจารย์ก็แสนเคี่ยว มีการขู่ล่วงหน้าด้วยว่าห้ามเขียนตอบไปเป็นภาษาอังกฤษอีก ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้ผ่านแน่นอน แล้วอาจารย์ท่านก็บอกว่าสำหรับผมเป็นกรณีพิเศษ อนุญาตให้พกพจนานุกรมเข้าห้องสอบด้วยได้

เหอะ!! ทำอย่างกับว่ามีพจนานุกรมอยู่ด้วยแล้วจะเขียนคำตอบออกมาได้งั้นแหละ



“Iss, sair da cama.”


ไอ้ติวเตอร์ส่วนตัวมันจะขยันไปไหนครับ ค่าจ้างผมก็ไม่ได้จ่าย ขอให้ติวก็ไม่ได้ขอด้วยซ้ำ มันเสนอตัวอาสาช่วยลูกนกลูกกาเองแท้ๆ แล้วลูกนกลูกกาเพิ่งอิ่มมื้อกลางวันมา กินอาหารหลักประจำทุกครัวเรือนของบ้านนอกบราซิลอย่าง Arroz com feijão เป็นอาหารประจำครัวเรือนเหมือนกับที่คนไทยเรากินข้าวกับน้ำพริกนั่นเลยล่ะ

อาห์โฮส คง เฟเจา (Arroz com feijão) คือข้าวกับถั่ว ข้าวนี่ก็หุงแบบกลัวพลังงานต่ำมั้ง เวลาหุงต้องเหยาะน้ำมัน ใส่เกลือ บางทีเผลอๆมีเขวี้ยงหอมใหญ่ลงไปด้วย หุงในหม้อความดันส่วนถั่วอย่างเฟเจาก็เป็นถั่วดำ หรือแล้วแต่ชอบ เอามาต้มกับน้ำ ใส่หอมใหญ่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เขวี้ยงๆเบค่อนเหลือๆ ไม่ก็เศษหมูเศษเนื้อลงหม้อไปด้วย ถ้าชอบเค็มก็ใส่เกลือปรุงรสลงไปเล็กน้อย ทิ้งไว้บนเตาใช้ไฟอ่อนให้เดือดกรุ่นๆอยู่แบบที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า simmer นั่นแหละครับ ต้มไปจนเป็นถั่วมันๆเค็มๆข้นคลั่กให้พลังงานสูง

ถ้าเวลาน้อยก็จงซื้อหม้อความดันมาประจำบ้านซะ ทั้งครัวบ้านมะเม้ยและครัวมะเม้ยของไอ้เอดูมันก็ใช้หม้อความดันทั้งสองที่เลยครับ ผมสำรวจมาหมดแล้ว แล้วหลังมื้อหนักๆจนหนังท้องก็ตึงหนังตาก็หย่อนแบบนี้ ขอพักหน่อยไม่ได้เหรอไง

“อิส!!”
อูยยย เสียงดังไปได้ ก็หนังท้องตึงหนังตาหย่อน ผ้าปูที่นอนลายทางสีน้ำตาลอ่อนๆแก่ๆของมันก็มองแล้วตาลายอยากจะหลับตาซะให้ได้ สังเกตนะครับ แค่อยากหลับตาเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าผมจะนอนหลับซะหน่อย

หงะ ตอนนี้มีไอ้บ้าหวงหมอนกำลังพยายามจะแย่งหมอน(ของมัน)ที่ผมเอามาปิดหน้าปิดตาไว้ครับ ขี้หวงชะมัด แค่ขอยืมนิดหน่อยก็ต้องมาแย่งด้วย อย่านะเว้ย ไม่รู้หรือไงว่ายิ่งออกแรงมากร่างกายจะยิ่งต้องการการพักผ่อนมากขึ้น เดี๋ยวจากที่แค่อยากหลับตา ผมอาจจะเหนื่อยจนอยากหลับขึ้นมาจริงๆก็ได้

“Eu falei que sair da cama!!” ....บอกให้ลุกออกจากเตียงไง!!
ไม่ลุกเว้ย ไม่ๆๆๆๆ มุดดีกว่า อยากเอาหมอนก็เอาไปเลย มุดกับผ้านวมก็ได้วะ

ผมพลิกตัวนอนคว่ำเอาเท้าเขี่ยๆหารอยต่อระหว่างผ้าห่มนวมกับผิวผ้าปูที่นอนแล้วแทรกตัวเองเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ไอ้บ้านี่นอกจากหวงหมอนมันยังขี้งกตามมาหวงผ้าห่มอีก ไม่ให้แล้วนะเว้ย แค่หมอนใบเดียวก็พอแล้ว
ฮึบๆ ผมออกแรงรั้งผ้าห่มไว้กับตัว ม้วนๆชายผ้าเข้ามาเอาตัวทับไว้ให้แน่น หึๆๆ แค่นี้ไอ้ขี้งกก็แย่งไปไม่ได้แล้ว

“Está com sono?” .....ง่วงเหรอ?
หืม....อย่าสิ กลับไปทำเสียงเข้มๆดุๆแบบเดิมก็ดีอยู่แล้วนี่ อย่ามาส่งเสียงนุ่มๆแบบนี้นะเว้ย เดี๋ยวใจอ่อน
แล้วผ้านวมผืนเดียวก็อุ่นพอแล้ว ยังไม่ต้องพาตัวเองมาเป็นเครื่องทำความอุ่นเพิ่มก็ด๊ายยยยยยยย หมดหน้าหนาวจนเข้าหน้าร้อนแล้วนะเว้ย

หรือผมจะแกล้งทำเป็นหลับแล้วดี แบบว่าหลับลึกตอบสนองอะไรไม่ได้คล้ายเข้าโคมาเลยน่ะ

“ไม่ตอบ ไม่ดิ้น ง่วงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
มันมาแล้วครับ เอดูมันถูกงูเหลือมสิงร่างอีกแล้ว ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมแพ้ เชื่อว่าผ้าห่มนวมที่ห่ออยู่เป็นเกราะที่หนาพอ
ผมไม่ตอบโต้ซะอย่าง เดี๋ยวมันก็ต้องยอมแพ้ไปเอง ฮี่ๆๆๆ


“เฮ้ยยยยยยยย!!”
ตกใจสิครับพ่อแก้วแม่แก้ว ไอ้บ้าพลังมันเล่นยกผมขึ้น แล้วเหวี่ยงเอาๆ ผมที่ตกใจเพราะอยู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้น พอลืมตาขึ้นมองก็แทบกรี๊ด เอดูมันเล่นพาตัวเองขึ้นมายืนเด่นเป็นสง่าบนเตียงหยุ่นๆ แล้วช้อนตัวผมขึ้นโดยแขนมันประคองที่หลังข้างหนึ่ง อีกข้างช้อนเข้าที่ข้อพับเข่า

ท่าน่ะดูดีครับ แต่แทนที่มันจะอุ้มแล้วกอดแนบอกก่อนพรมจูบเบาๆที่ข้างแก้มแบบพระเอกทั่วๆไปเขาทำกัน นี่คงเพราะมันไม่เห็นผมเป็นนางเอกแหงๆ มันถึงจับเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาแถมเขย่าๆอย่างกับบาร์เทนเดอร์เขย่าส่วนผสมเครื่องดื่มงั้นแหละ

“Bobo, não jogar assim!!”
มาช่วยกันออกเสียงดังๆครับ โบโบะ, เนา จ๊อกะ อาสซิง แปลตรงๆว่า ไอ้บ้าแบบโง่ๆ อย่าเล่นแบบนี้ดิวะ!!
ดูมันสิครับ แทนที่มันจะเลิกเล่น ไอ้ถึกบ้าพลังกลับยิ่งเขย่าผมแรงขึ้นอีก แง่ง!! อย่าให้หลุดไปได้นะ เดี๋ยวปั๊ดกัดหูขาด
“Edu….. Vou vomitar…..”
ไม้เด็ดครับ ด่าไม่ได้ผล กับเอดูพ่อยอดขมองอิ่มมันต้องลูกอ้อนเท่านั้น ผมก็แค่เปลี่ยนกลยุทธ์ จากที่โอบมือจิกบ่ามันไว้แน่นๆแล้วตะโกนใส่หน้าดังๆ ก็เปลี่ยนเป็นโอบรอบคอแน่นๆแล้วเงยหน้าส่งสายตาอ้อนมัน พร้อมบอกเสียงเครือว่า เอดู...จะอ้วกอ้ะ ก็แค่นั้น

“อะไร แค่นี้จะแหวะแล้วเร้อ?” แน่ะ หยุดเขย่าแล้ว แต่ไอ้เสียงนั่นน่ะ มันไม่ได้เชื่อกันเลยนี่หว่า รู้ทันจริงวุ้ย
ฮึ่ม....เมื่อตัดสินใจจะอ้อนก็ต้องทำให้ถึงที่สุดครับ ไม่งั้นที่ยอมเสียภาพมันจะเสียเที่ยวหมด

“É verdade…..” ......งืม....จริงๆน้า........... ว่าแล้วก็ซุกหน้าเข้ากับอกมัน มันจะได้ไม่เห็นว่าเกร็งหน้ากลั้นหัวเราะจนเมื่อยแค่ไหน ฮี่ๆๆๆ

“หึๆๆ โอเค เชื่อแล้ว” เอดูมันว่างั้น แล้วผมก็รู้สึกว่ามันก้าวเท้าลงจากเตียงไปยืนบนพื้น แล้วทำท่าจะวางผมลง แต่.....มันทำไม่สำเร็จครับ เพราะผมปฏิบัติตนเป็นลูกจิงโจ้ที่ยังตัวจ้อย ต้องอาศัยอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องป๊ะป๋าแบบอินจัดแม้จะอยู่ผิดทวีป ด้วยการเกาะคอมันแน่นแล้วก็ไม่ยอมยืดขาลงวางพื้นด้วย

“ไหนเมื่อกี้ใครบอกไม่ให้เล่น? หึๆๆๆ”

“Estou com sono….se você me abraça assim, eu vou ter um sonho bom.”
เย้ยยยยยยย นี่พลั้งปากพูดอะไรออกไปเนี่ย นี่กูสาวแตกขนาดนี้เชียวเหรอวะ ประโยคสุดเลี่ยนเมื่อกี้หลุดออกไปแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่สงสัยตัวเองว่าจะออกมาจากจิตใต้สำนึกครับ
คือ.....หน้าร้อนเลย ผมเพิ่งจะบอกไอ้คนกอดเบาๆว่า...เอ่อ...ก็ง่วงแล้วนี่....ถ้าเอดูกอดเราไว้แบบนี้ เราต้องหลับฝันดีแน่ๆ

อุแม่เจ้า!! เพิ่งจะรู้สำนึกก็คราวนี้ว่าตัวเองเป็นคนเลี่ยนโดยธรรมชาติ จะเก็บคำพูดกลับมาหย่อนลงโถส้วมแล้วรีบๆกดชักโครกไปให้ไกลสุดท่อก็ไม่ทันแล้วด้วยสิ ไม่ต้องมีหน้าไปมองมันแล้วครับ หมดกันภาพลักษณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่สู้พยายามรักษา

แล้วไม่ต้องลุ้นกับการตอบสนองจากไอ้คนอุ้มให้นานครับ ไม่ต้องลืมตามามองผมก็รู้ว่ามันต้องกำลังยิ้มปากกว้างจนลักยิ้มแก้มบุ๋มอยู่แน่นอน

ผมรู้สึกว่าเอดูมันค่อยๆทรุดตัวลงนั่งอย่างช้าๆโดยที่ยังอุ้มผมไว้อย่างนั้นแหละ แอบๆแง้มเปลือกตามองก็ปรากฏว่ามันนั่งลงกับพื้นหลังพิงเตียง

“ดูสิ หลับจนหน้าแดงเลย....” หงะ ดูมันพูดสิครับ มันกะเอาให้อายตายเลยแหงๆ หลับจนหน้าแดง....คิดได้เนอะ
“ขืนพูดอะไรแบบนี้บ่อยๆจะขโมยตัวไปซ่อนไว้ไม่ให้กลับบ้านเลย” เออน่า....ไม่พูดบ่อยหรอก ก็ไม่เคยพูดตอนสติสมบูรณ์สักที ต่อไปนี้จะทำตัวมีสติตลอดเวลาเลยแหละ
แล้วก็.....จะหอมแก้มน่ะไม่ต้องรุนแรงนักก็ได้ ฟัดมาซะอย่างกับฟัดน้องหมา ฮึ่ยยยย

“กักขัง หน่วงเหนี่ยว ผิดกฎหมาย.....”
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ สมน้ำหน้ามันครับ ก็ผมเงยหน้าสบตามันแล้วตอบโต้ไปด้วยภาษาไทยเสียงดังฟังชัดนี่นา
สมน้ำหน้ามัน....งงตายไปเลย ชอบทำให้อายแทบตายดีนัก


อันที่จริง ไอ้เจ้าประโยคเมื่อกี้ของมันสะกิดใจเราทั้งคู่ ทั้งผมทั้งมันนั่นแหละครับ
ถึงจะแค่แวบเดียว แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงแขนที่กระชับแน่นกว่าปกติ หลังจากเอดูมันหลุดออกมาว่าจะซ่อนไว้ไม่ให้ผมกลับบ้าน

มันเลยจัดการฟัดแก้มผม ไม่ใช่แค่เพราะพิศวาสอะไรหรอก นั่นน่ะแค่ผลพลอยได้ แต่หลักๆที่มันทำไป
ผมรู้ครับว่าเพื่อจะผลักความจริงที่ใกล้เข้ามานั่นลงไปให้ลึกที่สุดอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ส่วนผมก็ร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการหาวิธีมากวนตีนมันซะ แล้วเราสองคนจะได้หัวเราะด้วยกันอย่างเต็มหัวใจ
ก็ในเมื่อตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่กลัว แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้ความกลัวที่มันไม่เคยจางหายไป
มาทำลายเวลาแห่งความสุขที่เรายังได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ล่ะครับ


หลังปล่อยให้มันทำหน้าตางงเป็นหมาโง่อยู่สักพักผมก็กระเสือกกระสนออกจากตักมัน แล้วค่อยๆกระดืบด้วยความขี้เกียจสุดใจไปหยิบพจนานุกรมอังกฤษ-โปรตุกีส โปรตุกีส-อังกฤษ สองคุณค่าในหนึ่งเดียวมาเปิดหาคำว่า ilegal, imprison แล้วก็ชี้ๆให้มันดู ไอ้ติวเตอร์สิงร่างยังไม่ยอมดูอีก มาออกคำสั่งให้อ่านให้ฟังซะงั้น

“เฮ้ออออออออออ โอเคๆ เรียนก็เรียนสิ ไหนอ้ะ จะให้เขียนประโยคอะไร.....” นั่นแหละครับ ผมพ่ายแพ้ท่านอาจารย์เอดูวาร์โด้ผู้ไม่ยอมให้ศิษย์หลับกลางวันไปด้วยประการฉะนี้


ระหว่างฝึกเขียนประโยคตามคำบอกของท่านติวเตอร์ผู้นั่งอ่านหนังสือไปด้วยทำหน้าที่อาสาสมัครสอนภาษาให้คนต่างด้าวไปด้วย ผมก็เริ่มบทสนทนาหัวข้อที่เราสองคนต่างก็พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดขึ้น.....บทสนทนาว่าด้วยเรื่องของอนาคต

“ตกลงว่าจะเรียนต่อที่ไหนเหรอ?”
ผมรวบรวมกำลังใจถามออกไปโดยไม่มองหน้ามัน พยายามลืมๆไปซะว่าเวลาที่มันไปเรียนต่อ ไม่ว่าจะที่ไหน หรือเรียนอะไร เมื่อเวลานั้นมาถึง มันย่อมแปลว่าเราสองคนไม่ได้อยู่ใกล้ๆกันแบบนี้อีกแล้ว และเป็นผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายก้าวจากไปก่อน แต่ถึงจะปิดหูปิดตาแค่ไหน ไอ้ข้อมูลว่าหลังจบไฮสกูลมันเลือกจะเรียนต่อก็มาเข้าหูผมเองอยู่ดี

“.....ก็คงมหาวิทยาลัยที่คัมปินัส คะแนนระดับเราไม่หวังถึงเซา เปาโล หรอก”

“แล้ว....ส่งเอกสารอะไรไปแล้วเหรอ?”
เท่าที่รู้ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่แบ่งเป็นสองรอบครับ รอบแรกเอาคะแนนตอนไฮสกูลส่งไปพร้อมเขียนเรียงความ แล้วถ้าทางมหาวิทยาลัยที่สมัครไปคัดเลือกว่าผ่าน ช่วงเดือนมกราคมถึงจะต้องไปสอบข้อเขียนจริงๆอีกที เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จบแค่ไฮสกูลแล้วตัดสินใจออกมาทำงานเลย

“อืม รอบแรกเรียบร้อยไปแล้ว รอผลอยู่....แล้วอิสล่ะ?”
เอดูมันตอบผมแล้วก็ป้อนคำถามกลับมาเบาๆ ผมลอบเหลือบตามองหน้ามัน ก็เห็นหน้ามันซีด แล้วยังเม้มริมฝีปากไว้เสียแน่น จากที่นั่งเหยียดขายาวๆไขว้กันไว้ หลังพิงขอบเตียง มือข้างหนึ่งยกหนังสือขึ้นมาอ่าน มันก็วางหนังสือคว่ำลงกับพื้นข้างตัว ยกแขนสองข้างขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้แน่น

“เราก็คงเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่บ้านเรานั่นแหละ แต่ยังไม่รู้เลยว่าเอาคะแนนจากที่นี่ไปยื่นกับอาจารย์ที่โรงเรียนแล้วจะต้องเรียนม.๖ซ้ำรึเปล่า....”
ทนไม่ไหวแล้วครับ เห็นสีหน้าสีตาของมันแล้วผมเลยวางมือจากสมุดบนโต๊ะเขียนหนังสือของมัน แล้วเดินสองก้าวไปคุกเข่าข้างๆมันแทน


ผมถือสิทธิ์เพื่อนคนพิเศษสุดที่มันมอบให้ปลดแว่นสายตาออกจากใบหน้าเคร่งเครียดนั่นซะ แล้วลงมือนวดขมับสองข้างให้มันเบาๆ เอดูมันหลับตาลงแล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งมันก็รั้งให้ผมขึ้นไปคร่อมอยู่บนหน้าขา แล้วซบหน้ากับอกผมพร้อมกับกอดไว้จนแน่น

เราสองคนกอดกัน ถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งความเศร้ากับการจากลาที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ รวมทั้งความไม่แน่ใจในอนาคตข้างหน้า และความรู้สึกต้องการในกันและกันผ่านอ้อมกอดที่เดี๋ยวแน่นหนา เดี๋ยวแผ่วเบา หากอีกเดี๋ยวก็กลับมาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิมอยู่นาน

จนผมตัดสินใจจะทำลายบรรยากาศหนักๆที่แม้จะอบอุ่นอ่อนหวาน แต่ก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดกับความหวาดกลัวนี้เสียทีจึงกระพริบตาไล่น้ำร้อนๆที่ออกมาเอ่อคลอประจำที่ให้กลับไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อลูกกะตาตามหน้าที่ซะ

แล้วจากที่คุกเข่าอุทิศอกแบนๆเป็นที่ให้เอดูมันซบผมก็งอเข่าลงเป็นท่านั่ง โดยวางก้นลงบนหน้าขาแข็งๆที่คร่อมอยู่นั่นแหละ ก่อนจะเลื่อนมือที่กอดมันอยู่ข้างหนึ่งและลูบหัวเกรียนๆของมันอยู่อีกข้างมาประคองสองข้างแก้มของมันเอาไว้ เห็นตามันแดงๆแล้วก็สงสาร

พอเห็นสายตามันส่งคำถามมาว่าทำไมไม่ยอมให้มันกอดต่อ ขอกอดอีกหน่อยไม่ได้หรือ.....
ผมก็เลยยื่นหน้าเอาจมูกไปถูๆกับจมูกมัน แล้วก็บอกมันว่า.......

“Edu…..Eu quero beijo sabor limão….”
ใครก็ได้ยกโล่ผู้ชายขี้ยั่วออกจากกระบาลผมที ผมเพิ่งกระซิบบอกมันเบาๆว่า เอดู.....อยากได้จูบรสมะนาวอ้ะ

“หึๆๆ พูดผิดอีกแล้ว ต้องบอกว่า Eu quero um beijo de sabor a limão.”
แหงะ ไอ้บ้า....ลูกกะตาแดงๆเมื่อกี้หายวับอย่างกับเล่นกล แค่ประโยคเดียวก็เสียวได้จริงๆ ดูมันสิครับ ตางี้เป็นประกายเชียว

“Tá bom, แครุ อุง เบโจ ดิ ซ่าบ่อห์ อา ลิเมา.....”  เอ.....ทำไมพูดรอบสองนี่มันเขินมากขึ้นหว่า???

ไม่ทันให้คิดอะไรมากครับ ไอ้หมาหงอยตาแดงๆตัวเมื่อกี้มันจัดการมอบจูบรสหวานแบบไม่ต้องพึ่งน้ำตาลมาให้ผมหนึ่งชุดใหญ่ เล่นเอาหายใจหายคอแทบไม่ทัน

“......ก็บอกว่าเอารสมะนาวไง....มั่วนะเนี่ย......” พอจัดการให้จังหวะหายใจเข้าใกล้ปกติได้ ผมก็ขอปากดีเสียหน่อยครับ

“ก็เอารสธรรมดาแก้ขัดไปก่อนไง เดี๋ยววันนี้จะกินไอติมรสอะไรจะเลี้ยงหมดเลย ให้โควตาสามก้อน หึๆๆๆ”
แหมๆๆมันหัวเราะครับ ตางี้พราวเชียว

โถๆเอดู ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ไอ้การชวนไปกินไอศครีมแบบเนียนๆนั่นน่ะ คนได้ประโยชน์มันผมชัดๆ
ข้อหนึ่ง.....ดึงความสนใจมันจนออกจากอารมณ์หมาหงอยได้
ข้อสอง.....ได้กินไอศครีมฟรีแบบที่คนเลี้ยงมันเต็มใจยิ่งกว่าเต็มใจ
ข้อสาม.....อันนี้สำคัญ หนีเรียนพิเศษภาษาโปรตุกีสแบบไม่ได้ร้องขอได้แบบเนี้ยนเนียน....ฮี่ๆๆๆ



“อิส......เดี๋ยวเอาสมุดติดไปร้านไอศครีมด้วยนะ เอาไปฝึกเขียนข้างนอกด้วย อิสจะได้ไม่เบื่อ......”

“ฮะ?!”

“หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ จุ๊ๆๆๆ เดี๋ยวนี้ร้ายนักนะ อย่าคิดเชียวว่าเราจะรู้ไม่ทัน หึๆๆๆๆ”

ครับ......งั้นผมขอเปลี่ยนข้อสามใหม่
ข้อสาม.....นอกจากหมาหงอยมันจะหายหงอยแล้ว มันยังเปลี่ยนโหมดเป็นหมาร่าเริงได้ทันตาเห็นเลยด้วย
หมั่นไส้จริงเว้ยยยยยยยย!!
...........................................................
...........................................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..



ปล.ตอนหน้าจะเป็นตอนจบแล้วนะคะ สำหรับเอดูกับอิสนี่คนเขียนก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเข็นตอนพิเศษออกมาให้อ่านกันได้แบบตัวป่วนกับพี่อากาศรึเปล่า
ยังไงก็ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 26-09-2010 16:50:59


อยากเป็นคนเลี่ยนโดยธรรมชาติ
 :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 26-09-2010 17:10:19
ไม่อยากให้จบเลยอะค่ะ
แอบสงสารเอดู๊เล็กน้อยถึงปานกลาง
เห้อ ..อยากกินไอติมบ้างจัง อิอิิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 26-09-2010 17:18:05
แงๆๆๆ ไหนว่าไม่มาม่าไงคะ  :monkeysad: หวานปนขมอยู่ดี (ปนเปรี้ยวมะนาวด้วยก็ได้ 555)
ถึงจะทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็รู้กันอยู่ในใจตลอดเวลาอะเนอะ เง้ออออ...
ตอนหน้าจบแล้ว...ไม่รู้พี่นุ่นจะจบแบบไหน แต่ก็ชอบเรื่องนี้มากมายไม่แพ้ตัวป่วนเลยค่าาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 26-09-2010 17:42:38
เฮ้อ..อ่านมาถึงท้ายสุดของตอนนี้ต้องเอาทางพระเข้าข่ม
เพื่อจะได้ไม่ปวดใจมากนัก กับการลาจากที่จะบังเกิดขึ้นในตอนหน้า
เมื่อพบต้องมีจาก เป็นเรื่องธรรมดาโลก
หากแม้นจะเป็นของกันและกันจริงๆ จากแล้วก็อาจจะได้กลับมาพบกันอีก แล้วได้อยู่ด้วยกัน
หากมันไม่ใช่ก็ต้องตัดใจเสียเถิดโยม  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 26-09-2010 18:34:01
โอย อ่านเรื่องนี้ทีไรแล้วยิ้มจนปวดแก้มอ่ะ
จูบรสมะนาว อร๊ายยยย
ปล.Arroz com feijão เป็นอะไรที่ยี้อย่างแรงสำหรับเราค่ะ กินครั้งแรกแทบอ้วก ครั้งๆต่อไปก็ต้องจำใจกิน ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-09-2010 18:37:31
^
^
^
โอ๋ๆๆน่าสงสาร นุ่นใส่ซอสพริกไม่ก็พริกดอง
หรือถ้าหาไม่ได้จริงๆก็บีบมัสตาร์ดพรวดๆตลอดเลยค่ะ

กร้ากกกกกกกกกกส์
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Pepor ที่ 26-09-2010 19:06:22
คุณนุ่นจูบรสมะนาวเป็นยังไงเหรอ  ลองให้เอดูกับอิฐสาธิตให้ดูหน่อยสิค่ะ  อยากรู้ ฮิฮิ  :impress2:

ยิ่งใกล้จบยิ่งหวานปนเศร้า  สงสัยตอนหน้าเมื่อต้องจากลากันต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ซับน้ำตาแน่ๆ เลย

ขอบคุณคุณนุ่นนะคะ   :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 26-09-2010 19:13:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 26-09-2010 19:14:25
จบเศร้าไม่เอานะ :serius2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 26-09-2010 19:24:20
อย่าเศร้าน๊า  หัวใจเค้าไม่ค่อยแข็งแรง  ถ้าจบเศร้าแล้วเค้าหัวใจวาย
คนแต่งจะบาปเน้อออออ  ตอนนี้มันหวานปนเศร้า  อึมครึมชะมัด

+1 ให้น้องนุ่น  ขอตอนพิเศษด้วยก็ดีน๊าาา
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 26-09-2010 19:58:22
อย่าพึ่งคิดมากนะทั้งคู่ กอบโกย เก็บเกี่ยว วันคืนดีๆ เอาไว้ก่อน
แค่ระยะทางไม่ทำให้ความรักมันจบลงหรอก อยู่ที่เราทั้งคู่ว่าจะประคับประคองมันให้ผ่านพ้นไปได้แค่ไหน

อินมากกกกก


สู้ๆๆๆๆ ทั้งคู่ และคุณนุ่นด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeyja55 ที่ 26-09-2010 21:11:56
จะจบแล้วเหรอ ไม่อยากให้จบเลย แล้วจะเศร้ามั๊ยเนี่ย ขนาดแคร่ตอนนี้ยังเริ่มรู้สึกกลัวการจากกันเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 26-09-2010 21:26:58
น่าร้ากกกแบบไร้คำบรรยายอ่ะ
หวานๆซึ้งๆ อนาคตอย่าเพิ่งไปสนมัน
เอาตอนนี้ให้มีความสุขก่อน โฮะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jaaeyboy ที่ 26-09-2010 21:55:19
ไม่ได้อ่านตั้งหลายตอน เลยได้อ่านทีรวดเลย

ใกล้จะจบแล้วเหรอเนี่ย  แอบเสียดายถ้าไม่มีตอนพิเศษมาอีก

รอเรื่องยาวๆเรื่องหน้าน่ะค่ะ หวังว่าคงมี อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 26-09-2010 22:03:59
จะ จะ จบ แล้วหรอ T^T~~!!~  ผัดไทน้ำตาจะไหล (ล่วงหน้า)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mimilove ที่ 27-09-2010 07:16:48
จะจบแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
รู้สึกผูกพันกับเรื่องนี้มากเลย เข้าใจความรู้สึกของอิสทั้งหมดนะ
เรามันพวกเดียวกัน (เด็กไทยในต่างประเทศ T_T)

เอาเพลงนี้ไปฟังเลยค่ะ !
คิดว่ามันเข้ากับตอนนี้และตอนหน้าดีนะ
http://www.youtube.com/watch?v=noR1EWl5_ko

hacen falta dos pa’ amar solamente soy yo
duele mucho pero vuela mi amor
lejos, lejos, muy lejos.
pero nadie te a amar como yo.

(ท่อนนี้เค้าบอกประมาณว่า)
รักต้องมีสองคนไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว
เจ็บปวดมากแต่คุณก็ต้องจากไป ที่รักของฉัน
ห่างไกล ห่างไกล ห่างไกลกันเหลือเกิน
แต่จะไม่มีใครรักเธอเหมือนฉัน

ชอบมากกกกค่ะ เพราะมากกก
ขอโทษนะคะ มีแต่เพลงสเปนง่ะ
หนูไม่รู้จักเพลงของบราซิลเลย แง่งงงงง

ปล.หนูอ่านเรื่องตัวป่วนกับพี่ฟ้า มาเกือบสิบรอบแล้ว ฮิฮิฮิ ><
หวานมากมาย ชอบมากเลย
ปล. ขอตอนพิเศษแบบเพ้อฝันได้ไหมคะ ?
ตามใจคนอ่านหน่อยนะ ฮือออออออออออ
หนูอยากได้ตอนที่แบบเอดูไปหาอิสที่ไทยง้ะ
ไม่งั้นก้เจอกันโดยบังเอิญที่ต่างประเทศไหนสักที

ปลล. สุดท้ายนี้ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด พี่นุ่นน
รักษาสุขภาพด้วยนะฮะ ได้ข่าวว่าไทยฝนตก (จริงป่าว ? ฮ่าฮ่า)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 27-09-2010 07:25:08
น่ารักอ่ะ
แต่มันแบบว่าปนๆ กันอยู่อ่ะคุณนุ่น
พอนึกว่าต้องจากมันก็รู้สึกเหวงๆ
เลยกลายเป็นหวานอมเศร้าไปซะงั้น
แต่ยังไงก็ขอให้ทั้งสองใช้เวลาให้คุ้มค่า
มีความสุขทุกวินาทีเพื่อจะได้เก็บสิ่งดีๆ เหล่านี้ไว้ให้คิดถึงยามต้องห่างกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 27-09-2010 08:26:53
5555 อ่านแล้วนึกภาพตาม แอบสงสารอิส โดนยักษ์เอดูจับโยนแก้ง่วง
'Eu quero um beijo de sabor a limão'
เปรี้ยวไหมล่ะ มะนาวเอดู กร๊ากกกก (เขินซะ :o8:)
ตอนนี้น่ารักแบบ หงอย ๆ หงิงๆ~~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 27-09-2010 09:38:49

เอดูน่ารักที่สุด  :man1:
น่ารักหวานมากแต่แอบเศร้า เหงาอะพี่นุ่น
ตอนนี้ทั้งคู่คงต้องใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่า
ตอนหน้าจบแล้วไม่เศร้าแน่นะคะพี่นุ่น  :กอด1:
+1พี่นุ่นขอตอนพิเศษด้วยนะคะ 
 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 27-09-2010 21:58:28
รอตอนจบ แง ๆๆ จะจบแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: acorntan ที่ 28-09-2010 00:00:26
รอ ร๊อ รอ รอ... ไม่เร่งพี่นุ่นนะ  ไม่เร่งจริง ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 29-09-2010 10:40:40
 :o8:
จูบรสมะนาว

น้องอิสพัฒนา
เนียนตลอด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 30-09-2010 16:22:36
แวะมาวิ่งปาดหน้าเจ้าของเรื่อง (http://i620.photobucket.com/albums/tt285/yyza/Emo/181-1.gif) หึหึ

แล้วก็นั่งฟังเพลงรอ ร๊อ รอ (http://i620.photobucket.com/albums/tt285/yyza/Emo/95.gif)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 30-09-2010 16:46:31
แหงะ ตอนอวสาน ยาวเกินโพส เดี๋ยวขอตัดแบ่งเป็นสองโพสนะคะ
ฮึบๆๆๆๆๆๆๆๆ  :กอด1:
..........................................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: 10000 milhas = 16 mil quilômetros

“Hah…Como posso acreditar que você pode viver sozinho….”

“……Eu nunca vou viver sozinho.”

…………………………………………………..

“Nossaaaa!!”

“อ๊อยยยยย ซื้ดดดดด.....”

“Nossa Iss, o que você está fazendo?”


ง่า.....ถามมาได้ว่าทำอะไร ก็เห็นอยู่ว่าทำน้ำร้อนลวกตัวเอง แล้วดูมันสิครับ สบถเสียงดังคับบ้าน
อย่ามาทำหน้าตาตื่นอย่างนั้นนะเว้ย น้ำมันไม่ได้แบบกำลังเดือดซะหน่อย โดนหลังมือนิดเดียวเองด้วย

“เจ็บมั้ย?”

“อืม แต่แค่นิดหน่อย”
ว่าแล้วผมก็เดินลากไอ้คนเป็นห่วงแต่ช่างเลือกวิธีปฐมพยาบาลมาได้น่ามอบมะเหงก ด้วยการดึงมือที่เริ่มแดงจัดของผมไปจ่อตรงปากมันแล้วเป่าซ้ำๆเหมือนกับจะไล่ความร้อน ให้ก้าวตามไปทางอ่างล้างจาน เปิดน้ำเย็นราดรดลงบนหลังมือโดยที่ไม่ได้ขอให้ไอ้คนจับมือไปกุมมันปล่อยก่อนแต่อย่างใด

แหะๆ คือสองสามเดือนหลังมานี่ ก็ตั้งแต่เรากอดกันวันไปกินไอศกรีมรสมะนาวนั่นแหละครับ ผมกับมันเห็นหน้ากัน อยู่ในระยะสายตากันและกันทีไร เราก็ต้องหาเรื่องให้มีส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายแตะกันไว้ตลอด

อย่างเวลาผมมาทำตัวเป็นเห็บขอกินข้าวฝีมือแม่ของเอดูมัน เราก็จะนั่งข้างกัน แล้วเอาหัวเข่า ไม่ก็ขาทั้งท่อนแตะแนบกันเอาไว้ ถ้าผมหอบหนังสือข้อสอบตัวอย่างเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกมาลองทำที่บ้านมัน แทนที่เราคนใดคนหนึ่งจะนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วอีกคนนั่งพิงเตียงอย่างเคยๆ เราก็เลือกจะนั่งบนพื้นกันคนละฟากของเตียง แล้วคนหนึ่งก็ส่งปลายเท้าไปวางแหมะไว้กับตักของอีกคน....

อันนี้ขึ้นกับว่าใครชิงความได้เปรียบสำเร็จ แต่ผมมักจะเป็นฝ่ายอุทิศตักครับ ไม่อยากจะตอกย้ำตัวเอง แต่เอดูมันได้เปรียบเพราะช่วงขายาวกว่า....
ไหนใครว่าอะไรเตี้ยๆนะครับ ฮะ? เตี้ยอะไรที่ไหน ไม่มี้!!


ผมปล่อยให้น้ำเย็นๆไหลผ่านหลังมือที่แสบร้อนสักพักจนรู้สึกดีขึ้น ก่อนจะปิดน้ำแล้วยื่นมือที่ยังมีอีกคนจับประคองอยู่ที่ข้อมือไม่ยอมปล่อยซับกับเสื้อเจ้าตัวลูกอีช่างจับมันหน้าตาเฉย พยายามกลั้นยิ้มไว้สุดความสามารถ ก็อยากจับไม่ปล่อยเองนี่นะ สมน้ำหน้ามัน ฮ่าๆๆๆๆ

แต่อย่าได้หวังครับว่าอย่างนายเอดูวาร์โด้จะสะเทือน แทนที่จะโกรธกับการกลั่นแกล้งของผม ไอ้บ้านี่กลับส่งเสียงหัวเราะเบาๆแล้วยกมือข้างนั้นแหละขึ้นไปแตะเข้าที่กึ่งจมูกกึ่งปาก ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกตอบโต้เป็นคำพูดไม่ได้ นอกจากขยับตัวเองเข้าไปใกล้ๆแล้วซบหน้าลงกับอกคนพูดแบบหมดอารมณ์จะแกล้งมันได้ทันที

“Aah…Como posso acreditar que você pode viver sozinho….” โคโม ปอสโส อะเครดิตา คิ โว้เส ปอเด วิเวร์ ซอซิงโหง่
.....เฮ้อ....จะให้เราเชื่อได้ยังไงเนี่ย ว่าอิสจะอยู่คนเดียวได้

ผมซบหน้าอยู่กับอกอุ่นๆที่ชื้นไปด้วยน้ำจากมือของผมเอง ลอบสูดกลิ่นประจำตัวยี่ห้อเอดูวาร์โด้เข้าไปเต็มปอด
จะให้ตอบได้ยังไง ว่าผมอยู่คนเดียวได้ อยู่ได้แน่ๆ....
มันก็แค่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ต่อไปแบบไหน รอยยิ้มของผมจะเปลี่ยนไปรึเปล่า.....ผมไม่รู้เลย




การสอบปลายภาคที่โรงเรียนผ่านไปแล้ว และอาจารย์ทั้งหลายก็เมตตากรอกคะแนนลงช่องให้ผมได้โล่งอกโล่งใจว่าจะได้กลับไปพร้อมกับสิทธิ์การสอบปลายภาคพร้อมเพื่อนๆที่โรงเรียนที่กรุงเทพบ้านเราแน่นอน คราวนี้ก็อยู่ที่เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนสอบแล้วล่ะครับ ว่าผมจะบรรจุความรู้ระดับชั้นม.๖ ที่ไม่ได้เข้าห้องเรียนเลยสักนิดเข้าเนื้อสมองได้เข้มข้นแค่ไหน

อย่าได้คิดเชียวครับว่าผมจะฉลาดล้ำลึก จินตนาการบรรเจิดยิ่งกว่าคุณไอน์สไตน์จนพอจะทำข้อสอบวิชาภาษาโปรตุกีสได้ ก็แค่ ข้อสอบมีสามข้อ แล้วผมก็เขียนตอบไปข้อครึ่งเท่านั้นเอง เข้าใจว่าอาจารย์ท่านให้คะแนนค่าความพยายาม เพราะไม่มีการเนียนตอบเป็นภาษาอังกฤษหลุดไปแม้แต่นิดเดียว

ส่วนไอ้คนที่เดินอยู่ข้างๆตอนนี้น่ะหรือครับ มันได้รับจดหมายตอบกลับจาก UNICAMP มหาวิทยาลัยคัมปินัสเรียบร้อยว่าผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว และกำหนดสอบรอบสองก็เป็นสาเหตุให้ทั้งผมทั้งมันหาเรื่องออกจากบ้าน แล้วพากันซ้อนจักรยานออกมานอกเมืองแบบนี้


อย่าครับ!! มันไม่ใช่แบบที่คุณคิดหรอก ที่ว่ากำหนดเดินทางไปขึ้นเครื่องกลับบ้านของผมจะตรงกับวันสอบของมันพอดี แล้วเราสองคนจะมีฉากอำลานองน้ำตาแบบเดียวกับละครหลังข่าว

แบบที่ว่าเอดูมันนั่งทำข้อสอบไปคิดถึงผมไป ส่วนผมก็ชะเง้อชะแง้อยู่ที่ช่องทางสำหรับผู้โดยสารขาออก รอว่าเมื่อไหร่จะมีเสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาหา พร้อมกับเสียงเรียกชื่อ
‘อิส.......อิสสสสสส!!’

พอหันกลับไปมองก็พอดีกับร่างสูงใหญ่วิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เอื้อมแขนสองข้างมารวบเอวผมไว้แล้วยกขึ้นหมุนๆ ก่อนจะลดตัวผมลงให้ยืนกับพื้นส่งสายตาหวานซึ้งตรึงจิต แล้วเราสองคนก็มอบจุมพิตดูดดื่มให้กันต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน และผู้โดยสารอีกกว่าพันชีวิตกลางสนามบินนานาชาติเซา เปาโล เปลี่ยนให้บรรยากาศรีบเร่งรอบด้านกลายเป็นภาพสโลว์ขุ่นมัว และรับรู้ถึงการมีอยู่แค่เพียงกันและกัน.....

อา.......นั่นคือจินตนาการครับ แต่มันแย่ตรงที่ ความเป็นจริง ต่างจากจินตนาการนิดเดียว

กำหนดเดินทางกลับของผมคือ 21 มกราคม 2001 ส่วนวันสอบของนายเอดูวาร์โด้วันแรกคือวันที่ 22 มกราคม 2001ครับ
ความเป็นจริง.....โหดร้ายกว่าภาพในจินตนาการเสียอีก


“จะไปส่ง.....”

“ไม่ต้อง.....”

“ทำไม? ไม่อยากให้ไปส่งหรือไง?”

“อย่าพูดอย่างนั้น......อย่าพูด”

อย่าพูดด้วยอารมณ์แบบนั้นสิเอดู อย่าทำร้ายกันทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมกระชับฝ่ามือข้างที่สอดประสานกันอยู่ของเราสองคนให้แน่นขึ้นอีก

“......ขอโทษ อิส....เราขอโทษ”
เอดูมันหยุดเดินแล้วรั้งตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่นด้วยแขนข้างที่ว่าง โดยไม่ยอมปล่อยมือข้างที่ต่างคนต่างจับกันไว้

ผมรู้ที่มันถามออกมาสุ้มเสียงน้อยใจแบบนั้นก็แค่เสี้ยวอารมณ์พาไป
จะให้โกรธมันได้ยังไง ในเมื่อเวลานี้ตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน......ผมอยากหยุดเวลา



เราสองคนเดินไปเรื่อยๆ ถึงจะเข้าหน้าร้อน แต่พอมาเดินบนถนนลูกรังเวลาแดดร่มลมตกที่มองไปทางไหนก็มีแต่เนินเขาสูงๆต่ำๆปกคลุมไปด้วยไร่ข้าวโพด สลับกับไร่อ้อย ภายใต้ท้องฟ้าสีฟ้าสดและขอบฟ้าสีเหลืองส้มแบบนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด
ไม่ได้อุปาทานหรอกนะว่ายิ่งเวลาผ่านไป เราทั้งสองคนยิ่งพยายามก้าวเท้าให้ช้าลง
แต่ถึงอย่างนั้น....ระยะทางที่เหลืออยู่มันก็น้อยลงทุกที

“เอดู....พักก่อนได้มั้ย?”
ผมกระซิบถามออกไปเบาๆ กลัวว่าถ้าเปล่งเสียงออกมาดังเกินไป จะทำลายภาพที่เห็นและสัมผัสอยู่ตอนนี้ให้พังครืนลงไม่มีชิ้นดี

เอดูมันก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่มันดึงผมให้ก้าวตามไปที่โคนไม้ขนาดสูงกว่าเราสองคนไม่มากนักที่ขึ้นยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ริมทาง ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพิงโคนต้นไม้แล้วให้ผมนั่งซ้อนลงบนตัก

“เหนื่อยเหรอ?”

“....อืม”
ผมพยักหน้าพร้อมกับทิ้งน้ำหนักลงพิงมันไว้ทั้งตัว แล้วกดแขนทั้งสองข้างของมันที่พาดวางอยู่รอบเอวให้แนบกระชับยิ่งขึ้น ยอมรับไปว่าเหนื่อย น่าจะง่ายกว่าบอกออกไปตรงๆว่าผมยังไม่พร้อมจะก้าวไปถึงสุดปลายทางที่เห็นอยู่ลิบๆนั่น

เรานั่งกันเงียบๆอยู่ในท่านั้น เดี๋ยวมันก็แตะปากแตะจมูกลงมาที่ซอกคอบ้าง ที่ขมับบ้าง นานๆทีผมก็จับมือมันมาแตะปากลงไปบ้าง จนแสงท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเริ่มจะเป็นสีส้มจัดขึ้นทุกที

“อิส.....ปล่อยมือนิดสิ”
ผมหันไปมองหน้าเลิกคิ้วถามมันว่าจะเอามือคืนไปทำอะไร แต่ก็ยอมปล่อยโดยดี
แย่จังครับ.....พอไม่มีแขนหนาๆนั่นกอดอยู่ตรงที่ๆเคยแล้วมันรู้สึกโล่งๆโหวงๆยังไงไม่รู้ ร่ำๆอยากจะเผด็จการฉวยมือมันมาวางไว้ที่เดิมเสียเดี๋ยวนั้นเลย

“ใช่จริงๆด้วย หึๆๆ”
ผมเห็นมันหยิบอะไรสักอย่างสีดำๆขึ้นจากพื้นข้างๆที่เรานั่งกันอยู่ แล้วก็มองหน้าผม ทำสีหน้าเหมือนกับพึงพอใจกับอะไรสักอย่างมากๆ

“อะไรน่ะ?”

“Amora”


“อะมอร่า?”

ที่เอดูมันแบมือยื่นให้ผมดูคืออะไรสักอย่างที่แห้งๆสีดำคล้ำ ลักษณะเหมือนพวงองุ่นแต่เล็กกว่ามาก ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือเท่านั้นเองครับ น่าจะเป็นผลไม้ประเภทเบอร์รี่ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเบอร์รี่ชนิดไหน

“ลุกขึ้นยืนก่อน มีร่วงมาแห้งแบบนี้ แปลว่ากำลังสุกแน่เลย”
มันว่าอย่างนั้น แล้วก็ดันทั้งตัวเองทั้งผมให้ลุกขึ้นมายืนงงๆมองมันให้ความสนใจกับต้นไม้สูงไม่เกินสองเมตรที่เพิ่งจะใช้เป็นที่พิงหลังเมื่อกี้ แต่ผมไม่งงนานหรอกครับ เห็นมันทำหน้าตาอารมณ์ดีปลิดลูกที่มันเรียกว่าอะมอร่านั่นแล้ว ผมก็เลือกๆกิ่งที่อยู่ต่ำๆมองหาเป้าหมายแล้วปลิดมาบ้าง

ยังไม่ทันที่ผมจะเก็บอะมอร่าได้เต็มกำมือ ไอ้คนชวนมันก็ทรุดตัวนั่งลงที่เดิม แล้วบุ้ยปากให้ผมเข้าประจำที่
ผมก็เป็นผู้ตามที่ดีครับ นั่งลงบนตักมัน แต่คราวนี้นั่งหันข้าง จะได้มองด้วยว่ามันเก็บลูกสีม่วงเข้มจนเกือบดำพวกนี้มาทำไม

“อ้าปากสิ”
โอเคครับ ให้อ้าก็อ้า หวังว่าคงไม่วางยาให้เป็นเจ้าชายนิทราแล้วพาไปซ่อนใต้เตียงนะเว้ย
แค่ผมอ้าปากตามคำสั่ง เอดูมันก็จัดการหย่อนอะมอร่าหนึ่งลูกใส่ปากผม

“อร่อยมั้ย?”
ผมเริ่มเคี้ยว อา......หวานๆอมเปรี้ยว แถมยังมีกลิ่นหอมสดชื่นเสียด้วยสิครับ ผมพยักหน้าแล้วกลืนเจ้าอะมอร่านั่นลงคอ
พอจะหย่อนที่อยู่ในมือตัวเองลงปากตามไปไอ้คนชวนกินมันก็รั้งมือเอาไว้แล้วทำท่าลูกนกน้อยอ้าปากรอแม่มาป้อนอาหารบ้าง ผมก็เลยหย่อนอะมอร่าในมือลงปากมันไปตามคำขอ

มันเคี้ยวๆกลืนแล้วดึงผมเข้าไปจูบไม่ทันได้ตั้งตัวหนึ่งครั้งหนักๆ คาดว่าปากคงเจ่อแน่นอน
มือที่ยังมีลูกไม้สีม่วงเข้มอยู่ก็เผลอกำแน่นจนน้ำหวานสีม่วงไหลเยิ้มเต็มฝ่ามือและง่ามนิ้วไปหมด พอมันปล่อยให้ผมมีช่องว่างพูดได้ก็ส่งเสียงโวยวายทันทีครับ

“ไอ้บ้า!! เลอะหมดเลยดูซิ”
อ๋า.....อายครับ.....บ้าเอ๊ย อุทิศเสื้อให้เช็ดก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเลียเลย
ผมอายครับ ถึงจะแน่ใจได้ว่าไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่ใกล้ๆมารู้เห็นแน่ๆ แต่ผมอายตัวเอง แถมยังอายไอ้คนหน้าไม่อายที่เลียกินน้ำหวานจากมือผมไปส่งสายตาวาววับให้ไปด้วยคนนี้มาก
เลยตัดสินใจซุกหน้าเข้าซอกคอมันซะ กะว่ามันไม่เห็นหน้าผม ผมไม่เห็นหน้ามัน จะได้ไม่ต้องอายนาน แหะๆๆ

สักพักจากที่รู้สึกถึงการขยับของลิ้นชื้นๆ ผมก็รู้สึกว่ามือข้างนั้นถูกประทับจูบลงกลางฝ่ามือก่อนที่จะได้ยินไอ้พนักพิงมันส่งเสียงนุ่มๆตั้งคำถามมา

“อิส.....รู้รึเปล่า อะมอร่า นอกจากแปลว่าผลที่เราสองคนเพิ่งป้อนให้กันเมื่อกี้ มันหมายถึงอะไร?”

“หึ....ไม่รู้” ไม่รู้อะไรเล่า.....เพราะตัวรู้มันผุดขึ้นมากลางความคิดน่ะสิ ถึงยิ่งอายจนไม่กล้าเงยหน้าขนาดนี้

“งั้นเอาใหม่ amor....อะมอร์ แปลว่าอะไรครับ?”

“ความรัก.....” กลั้นใจตอบมันไป แต่อย่าหวังว่าผมจะเงยหน้าจากซอกคอที่ลี้ภัยเชียวครับ ไม่มีทางหรอก

“เราตั้งใจป้อนให้อิส แล้วอิสล่ะ ที่ทำไปเมื่อกี้ เสียใจรึเปล่า?”

ผมแอบๆหรี่ตามองหน้ามัน ก็ดันเห็นมันกำลังจับตามองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว เล่นเอาหันหน้าหนีเข้าที่ลี้ภัยแทบไม่ทัน

“ว่าไง......ที่ป้อนอะมอร่าให้เราเมื่อกี้ เสียใจมั้ย?”
ไอ้บ้านี่มันเจ้าเล่ห์ จงใจเน้นคำนั้นซะชัดเชียว อาย อายสุดจิตสุดใจ
แต่ๆๆๆ ถึงอายยังไงผมก็ไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเองหรอกครับ....ไม่มีทาง
“ว่างายยยยยยยยยย?”

“ไม่เสียใจ....ที่จริง....เต็มใจแล้วก็ดีใจมาก........”

“ชื่นใจ......”

มันพูดแค่นั้นแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนเราสองคนจะจับมือกัน แล้วเริ่มออกเดินไปตามทางที่ทอดไปข้างหน้าอีกครั้ง


.
.
.
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ: Você e Eu eo Nosso Futuro [17] (26/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 30-09-2010 16:50:23
(อ่านต่อเลยนะคะ)

.
.
.

สัปดาห์สุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่ซาน โฮเซ่ มาถึงโดยที่ทั้งผมและทุกคนที่สนิทเตรียมพร้อมรอรับเป็นอย่างดี ผมเริ่มเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
เหลือแค่หนังสือสองสามเล่มกับเสื้อผ้าอีกไม่กี่ชุดไว้ในตู้ที่ยึดเป็นของส่วนตัวมาตลอดเวลาเกือบหนึ่งปี

บอกลาเพื่อนในชั้นเรียนไปตั้งแต่สอบวันสุดท้าย เพราะต่างคนก็ต่างวุ่นวายทั้งเรื่องเรียนต่อ บ้างก็หางานทำ
แวะเข้าโรงเรียนไปกอดลาอาจารย์ที่เห็นหน้ากันมาจนบางท่านเป็นมากกว่าคนรู้จัก รับเอกสารแสดงผลการเรียนที่โรงเรียนออกให้เป็นภาษาอังกฤษตามคำขอ

ปาร์ตี้สุดท้ายเป็นปาร์ตี้ภายในครอบครัวที่มะเม้ยลงมือทำเค้กเองโดยมีผมและวิเวียนเป็นลูกมือช่วยทำให้วุ่นวาย
แต่ก็ได้เค้กก้อนใหญ่เท่าบ้านที่อร่อยไม่แพ้ซื้อตามร้านเบเกอรี่ชื่อดัง

วิเวียนจัดการลบสีทาเล็บที่ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่เล็บเดียวที่แกล้งใช้ทั้งมือทั้งเท้าผมเป็นที่ลองสีออกเรียบร้อย แล้วเข้ามากอดแน่นๆ ขอโทษที่เคยแกล้งต่างๆนานา
ผมกอดตอบ แล้วก็บอกน้องว่า งั้นที่พี่เคยแกล้งมาก็ถือว่าเราหายกัน ฮ่าๆๆๆ

ผมกอดปะไป๊กับมะเม้ยแน่นที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วปล่อยให้ทั้งสองท่านจูบแก้มซ้ายขวา พร้อมทั้งขอสัญญาให้คิดถึงกันบ้าง
ผละออกมารับปากหนักแน่น พร้อมแซวปะไป๊ที่ทำตาแดงๆไปหนึ่งดอก ก่อนจะปล่อยน้ำตาตัวเองไหลออกมาหนึ่งหยดถ้วน


“ไป๊ เม้ย..... อิสขอไปค้างกับเอดูนะครับ”

“ไม่อนุญาตได้ไง มารออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

โดนมะเม้ยแซวดอกสุดท้ายจนได้สิผม ว่าแล้วก็เนียนๆโถมตัวกอดมะเม้ยแน่นๆอีกครั้ง ได้ยินเสียงหัวเราะจากสามคนพ่อแม่ลูก
ผมวิ่งปรู๊ดเข้าไปหยิบเป้ใบเล็กที่วางอยู่บนเตียงในห้อง แล้วออกมาโบกมือบ๊ายบายทั้งสามคน พุ่งตรงไปหน้าบ้าน
ไม่ทันสังเกตว่าน้องสาวตัวดีตามมาด้วย

กำลังยื่นมือไปแตะลูกบิด ก็มีเสียงถามหลอกหลอนตามเคย

“อิส พี่เอาคอนด้อมไปด้วยรึยัง?”

“พี่ไม่ต้องใช้สักหน่อย!”

“อ้อๆ ฉันรู้หรอกว่าเอดูเป็นคนต้องใช้”

“วี!! พี่หมายถึงเราไปนอน แบบนอนหลับ ไม่ได้จะมีเซ็กส์”
ผมจิ๊ปากให้ไอ้น้องสาวที่น่ารักไปหนึ่งครั้ง แล้วรีบเปิดประตูก้าวออกไปทันที ได้ยินเสียงหัวเราะของวิเวียนลอดประตูออกมาให้หน้าร้อนหนักขึ้นอีก


ไอ้คนมารอหน้าบ้านมันยืนหล่อในที่มืดพิงรถพี่ชายมันอยู่ตามเคย พอเห็นผมออกมาจากบ้าน มันก็เปิดประตูเข้าไปประจำตำแหน่ง
ส่วนผมก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งเปิดประตูขึ้นประจำตำแหน่งตัวเองเหมือนกัน

ผมไม่ได้บอกไป๊กับเม้ยหรอกครับ ว่าเราสองคนไม่ได้นอนบ้านด้วยกันทั้งคู่ เพราะคืนนี้ เราจะไปโต้รุ่งดูดาวจริงๆด้วยกัน
ดูจากดาวที่เห็นตั้งแต่ออกจากบ้านมาก็แน่ใจแล้วครับ ว่าคราวนี้ไม่พลาดให้ต้องดูดาวจันทร์อีกแน่นอน

เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องความฝัน เรื่องอนาคตของแต่ละคน โดยไม่ยอมให้ความรู้สึกอื่นเข้ามาทำให้ดาวหม่น
ด้วยความรู้เกี่ยวกับแผนที่ดาวอันน้อยนิดทำให้มีแค่คำเดียวที่ผมสอนเอดูมันได้

“นั่นน่ะ สามดวงเรียงกันตรงนั้น ภาษาไทยเรียกว่าดาวไถ”

“ดาวท้ายยยยยยยยยย”

“ฮ่าๆๆๆๆ อื้ม....ก็พอได้อะนะ จำไว้แล้วกัน”

“โอเค แหงนหน้ามองฟ้าเห็นดาวไถเมื่อไหร่ เราจะคิดถึงอิส”
ผมพลิกจากที่นอนอยู่ข้างๆแกล้งเอาขาขวาพาดไปบนขามันอยู่ไปนอนทับมันเอาไว้ทั้งตัว เท้าแขนกับพื้นสองข้างคร่อมตัวไอ้ดาวท้ายยยยยเอาไว้

“ไม่เอาอ้ะ จากที่นี่ไม่ได้เห็นดาวไถได้ทุกวันซะหน่อย เอาเป็น....เห็นพระอาทิตย์เมื่อไหร่ก็คิดถึงเราดีกว่า”

“ได้สิ......ก็อิสเป็นเหมือนอาน่า จูเลีย ของเรา เป็นพระอาทิตย์ของเรานี่”
เฮ้อ.......ต่อให้อีกกี่สิบกี่ร้อยปี ผมก็ขอย้ำครับ ว่าเอดูมันน่ารัก ผมก้มลงจุ๊บเบาๆที่หน้าผากมัน แล้วก็ส่งยิ้มหวานๆให้มันเป็นรางวัลที่ยังจำได้ว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ ก่อนจะพลิกตัวไปนอนที่เดิม

นอนนับดาวไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงทุ้มๆนุ่มๆของคนข้างๆร้องเพลงขึ้นเบาๆ
และคราวนี้มันไม่ต้องร้องคนเดียวตามเคย เพราะผมเอง ก็ส่งเสียงเหน่อๆร้องคลอไปกับมันด้วย......


“อิส.....อิส...หลับรึยัง?”

“เกือบแล้ว....”

“งั้นมาตรงนี้มา”

“อืม....” ผมเป็นคนหัวอ่อนครับ มันรั้งให้ไปหนุนอะไรซบอะไรก็ไปง่ายๆ


ไอ้ที่ตั้งใจว่าจะยืดเวลาอยู่ด้วยกันให้นานด้วยการโต้รุ่งไม่ยอมหลับยอมนอนก็พลาดไปครับ รู้ตัวอีกทีก็เพราะแสงแดดเช้าแยงผ่านเปลือกตานั่นแหละ

พอผมขยับตัว แข็งใจเปิดเปลือกตาขึ้น ถึงได้รู้ว่า ‘ตรงนี้’ ที่แว่วๆอยู่เมื่อคืน คือซอกไหล่ของนายเอดูวาร์โด้มันนี่เอง
กำลังยันตัวยังไม่ทันจะลุกขึ้นนั่งสำเร็จก็ถูกงูยักษ์มันดึงลงไปแหมะอยู่กับอกมันอีกครั้ง แถมคราวนี้ลดแลกแจกแถมส่งจูบมาทั่วทั้งหัวหูแบบนับไม่ทันกันเลยทีเดียว

เราสองคนยิ้มให้กัน หัวเราะให้กัน แล้วก็กอดกันอีกครั้งและอีกครั้ง

“เดี๋ยวไปส่งเราแล้วก็กลับบ้านไปอ่านหนังสือนะ”

“ครับ”

“ไป๊จะขับรถไปส่งเราที่สนามบิน ออกจากนี่ห้าโมงเย็น ถ้าอยากมาก็มา แต่เราว่าเอดูอยู่บ้านอ่านหนังสือดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ทำข้อสอบได้ดีๆ”

“.........”

“เป็นใบ้เหรอ?”

“หึๆๆ ตกลงครับ”

“ไหนยิ้มหน่อยซิ”
พอมันยิ้มตามคำขอ ผมก็จุ๊บเบาๆที่ลักยิ้มบุ๋มๆนั่นไปอีกที ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วฉุดมันให้ยืนขึ้นด้วย

เราสองคนช่วยกันขนของใส่รถ ระหว่างทางที่มันขับรถพามาส่งบ้าน เรากุมมือกันไว้ตลอดเวลา ปากก็คอยวิจารณ์คนเดินถนนที่เห็นประปรายอยู่ตามรายทาง แล้วช่วยกันหัวเราะไปเรื่อย
จนมันมาจอดเทียบหน้าบ้านนั่นแหละ ผมถึงกล้าหันไปมองหน้ามันเต็มตาอีกครั้ง พยายามส่งยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้มัน

อยากให้มันจดจำแต่สิ่งดีดี อยากให้ตัวเองในความทรงจำของคนคนนี้เป็นภาพที่ดีงาม ถ้าจะเป็นพระอาทิตย์ ผมก็ขอเป็นพระอาทิตย์ยามเช้าที่ฉายแสงอ่อนสุกใส ปลุกให้มนุษย์มีชีวิตชีวา และพระอาทิตย์ยามเย็นที่แม้จะกำลังลาลับ แต่ก็อบอุ่นและงดงาม

เรากอดกัน และมอบจูบเบาๆแต่ยาวนานให้กันอีกครั้ง
ก่อนผมจะตัดใจบอกคำลา และก้าวลงจากรถเปิดประตูเข้าบ้านโดยไม่ปล่อยให้ตัวเองเหลียวกลับไปมองมันอีก


........................
.
.
.
(มีต่อค่ะ)


(สองโพสก็ยังถูกตัด แบ่งสามโพสนะคะ)...........................
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 30-09-2010 17:15:39
(โพสสุดท้ายแล้วค่ะ หวังว่าจะผ่าน ^^)

.
.
.

ผมบอกลาเตียง ตู้ หน้าต่าง แม้แต่ผ้าม่านที่อยู่ด้วยกันมานานอีกครั้ง แบกเป้ใบโตขึ้นหลัง แล้วก้าวออกมาจากห้อง ปิดประตู
แล้วพาหัวใจหนักอึ้งเดินออกไปขึ้นรถที่มีปะไป๊ประจำตำแหน่งคนขับ และวิเวียนกับมะเม้ยยืนรอจะขึ้นรถอยู่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว

กระเป๋าเดินทางถูกบรรจุในกระโปรงหลังรถเมื่อสิบนาทีก่อน พอผมออกจากบ้าน มะเม้ยก็จัดการล๊อคประตูหน้า แล้วขึ้นนั่งข้างคนขับ วิเวียนขึ้นนั่งด้านหลังมะเม้ย
และทิ้งที่ว่างให้ผมนั่งหลังปะไป๊

ผมกราดสายตาขึ้นลงไปตามถนนหน้าบ้านอีกครั้ง แล้วย้ำกับตัวเองว่าบอกลาไปแล้ว
ดีแล้วล่ะที่เอดูมันไม่มา พรุ่งนี้มันต้องออกจากบ้านแต่มืดเพื่อไปสอบข้อเขียนที่มหาวิทยาลัยคัมปินัสตอนเก้าโมงเช้า

ยัดทั้งตัวเองและเป้ใบใหญ่ขึ้นรถได้ผมก็รู้สึกถึงฝ่ามือเย็นเฉียบของน้องที่ดึงมือผมไปจับแล้วบีบจนแน่น

ผมยิ้มให้น้องสาวตัวแสบอีกครั้ง แล้วเมื่อไป๊ออกรถ ผมก็แนบตาไปกับกระจกหน้าต่าง ตั้งใจเก็บภาพความทรงจำไว้ให้แจ่มชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้

มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อปะไป๊จอดรถเทียบเข้าข้างทางทั้งๆที่ยังออกมาไม่พ้นทางเข้าเมืองซาน โฮเซ่ เลยด้วยซ้ำ
กำลังจะหันไปถามว่ามีใครลืมอะไรรึเปล่า ก็พอดีกับมีเสียงเคาะกระจกอยู่ข้างหู


“ออกไปสิอิส”
ผมไม่สนแล้วว่าเสียงกระตุ้นนั้นมาจากใคร การเปิดประตูรถมันยากที่สุดและไม่ทันใจก็คราวนี้เอง
พอเปิดประตูสำเร็จผมก็พุ่งตัวเข้าใส่อ้อมแขนที่เปิดรอของอีกคน แรงกระแทกมันมากจนคนอ้าแขนรอรับถึงกับต้องเซถอยไปสองสามก้าว


“ไม่ให้สัญญาก็จะไม่สัญญา แต่สักวันนะอิส สักวัน....เราจะไปหา....”

“.....อือ....อือ เข้าใจแล้ว.....ถ้าปล่อยให้เรารอนาน เราจะมาตามถึงที่นี่เลย”

“É só 16 mil quilômetros.”

“อื้ม....แค่หมื่นหกพันกิโลเอง ใกล้นิดเดียวเนอะ หึๆๆๆ”


“หึๆๆๆ”

“กลับบ้านไปเลย ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะ พรุ่งนี้ขอให้ทำได้......”

“อือ....ไม่ต้องห่วงเราหรอก อิสแหละ เดินทางดีๆนะ”

ผมทำได้แค่พยักหน้าก่อนจะหมุนตัวกลับจะเปิดประตูขึ้นรถ แต่กลับมีมือใหญ่ๆรั้งแขนเอาไว้
พอหันหน้ากลับไปเลิกคิ้วถาม มันก็บอกว่า.....

“อยากจูบ......แต่คงไม่ได้ กลับบ้านดีๆนะ meu bem”
ผมเหลือบตาดูสายตาอีกสามคู่ในรถ แล้วจึงตัดสินใจแตะนิ้วชี้ลงกับปากตัวเอง แล้วส่งไปแตะปากไอ้คนอยากจูบเร็วๆหนึ่งครั้ง
ส่งยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้มันอีกทีแล้วรีบพาตัวเองเข้าไปในรถ




23.55 น. สนามบินนานาชาติเซา เปาโล

ตอนนี้ผมอยู่กับเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนอีกหกคน จับกลุ่มเล่าเรื่องราวที่แต่ละคนได้พบได้ทำมาระหว่างหนึ่งปีนี้ เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องดังขึ้นแล้ว

“เฮ้ย! ....พวกแกใครยังมีเหรียญอยู่บ้างวะ? ยืมหน่อยดิ จะโทรศัพท์”

พวกเพื่อนๆมันทำหน้างงๆนิดๆแต่ก็ช่วยกันล้วงหาเศษเหรียญที่เหลืออยู่รวบรวมมาให้ผม ได้แค่ไม่กี่เหรียญ
แต่เท่านี้ก็พอแล้วครับ กับบางคำที่ผมอยากจะพูดบอกออกไป


####ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดด####

//Alô, Qu……// ......ฮัลโหล ใคร...

“Edu, sou eu……” ......เอดู เราเองนะ

//Iss!! Da onc……// ......อิส!! อยู่ไหน...

“อย่าเพิ่งพูด แค่ฟังเราก็พอ......เอดู ถามใช่มั้ย ตอนที่เราหกล้ม ตอนที่เราทำน้ำร้อนลวกตัวเอง ตอนที่เราเมาด้วย
ถามมาตลอดว่าจะเชื่อได้ยังไงว่าเราจะอยู่คนเดียวได้.....”

“Aha…Como posso acreditar que você pode viver sozinho….” อาฮะ....เราจะเชื่อได้ยังไงว่าอิสจะอยู่คนเดียวได้

“……Eu nunca vou viver sozinho.” .....อืม....เราไม่มีวันที่จะต้องอยู่คนเดียวหรอกนะ
“Você vai estar aqui comigo, no meu coraçáo……” ......เอดูจะอยู่กับเรา อยู่ในหัวใจของเรานี่

“Para sempre?”

“อืม.....ตลอดไปสิ ตลอดไปแน่นอน”



โทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว และเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารที่จะเดินทางจากเซา เปาโล
ปลายทางไมอามี่ สหรัฐอเมริกาครั้งสุดท้ายก็ดังขึ้น ผมเดินกลับไปหาเพื่อนอีกหกชีวิตที่รออยู่
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกพลังให้กลับมาเพื่อการเดินทางอีกครั้ง

คราวนี้เป็นการเดินทางกลับบ้าน.....ความหนักในหัวใจตอนก้าวขาขึ้นรถไป๊ที่หน้าบ้านหมดไปแล้ว
ตอนนี้หัวใจของผมแข็งแรงพอที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมีความหวังและความฝัน


แน่ล่ะ เพราะไม่ใช่ว่าผมทิ้งหัวใจทั้งดวงไว้ที่ผืนดินนี้
แต่ผมแค่ยอมเสี่ยงแลกครึ่งหนึ่งของใจไว้
และรับเอาอีกครึ่งของหัวใจที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตของอีกคนกลับบ้านมาด้วยต่างหาก

คราวนี้ผมจะเดินทางเข้าหาดวงอาทิตย์ เอดูมันบอกไว้ว่าแค่....แค่หมื่นไมล์ หมื่นหกพันกิโลเมตรเท่านั้นเอง
ใกล้แค่นี้......แถมโลกใบนี้ยังถูกพิสูจน์แล้วว่ามีสัณฐานดั่งผลส้ม
หวังว่าสักวันที่ว่า......คงไม่นานเกินรอหรอกนะ.....เอดู


....................................
............อวสาน............




ขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่ส่งกำลังใจให้กันสม่ำเสมอนะคะ
ในที่สุดก็จบลงอีกเรื่องแล้ว เรื่องนี้จะว่าสั้นก็สั้นจะว่ายาวก็ยาว ถือว่าเป็นเรื่องกึ่งๆ
ไว้ถ้ารวบรวมพลังงานได้จะเข็นตอนพิเศษมาให้อ่านกันค่ะ

จบแบบนี้ ดีออกนะคะ ไม่มีการบิดเบือนความจริง โฮะๆๆๆๆๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 30-09-2010 17:18:58
 :กอด1: ในที่สุดก็สำมะเร็จ

เจเจ้...เรื่องมันแฮปฯ แต่ด้าว่ามันซึ้งน้ำตาพราก ๆ o7
แง้ ๆ เค้าจะจับทั้งคู่ผูกติดเอาไว้ด้วยกันซะเลยนิ
( :beat: นั่นมันชั่วฟ้าดินสลา่ย เอ็งมั่วแระ)

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในคŪ
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 30-09-2010 17:20:01
ถึงจะจบแล้วแต่ก็ขอให้ได้เจอกัน
อ่านไปยิ้มไป เข้าใจอารมณ์เลยอ่ะ
เอดูน่ารักเนอะ ^^

หุ หุ หุ ในเมื่อบอกว่าจบแบบไม่บิดเบือน
แปลว่าคนเขียนกับเอดูก็แบบว่าแอบกิ๊กๆกันอ่ะดิคะ
แต่ชื่อผลไม้ Amora นี่มันฟังดูดีกว่า Mulberry เยอะเลยอ่ะ
ชอบกินนะโดยเฉพาะแยมรสนี้ แบบสดๆไม่เคยกินเหมือนกันแฮะ
เคยเห็นแต่ไม่เคยซื้อกินเลย แต่ต่อไปนี้คงต้องไปซื้อมากินบ้าง
เผื่อจะเจออะไรโรม๊านซ์บ้างอะไรบ้างอ่ะ
ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยค่ะว่า ถ้ามีตอนพิเศษจะเป็นแบบไหนน้า
เป็นแบบ 10 ปีข้างหน้ามานั่งนึกย้อนไป หรือว่าจะมีเอดูมาหาบ้างหรือเปล่าเอ่ย
แต่เอดูน่ารักจริงๆนะเนี่ย ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 30-09-2010 17:29:35
:monkeysad: ซาบซึ้งมากมายค่ะ ..
แค่หมื่นหกพันกิโลเอง เหมือนจะไกล แต่ยังไงก็อยู่ใต้ท้องฟ้าที่มีดวงอาทิตย์และก็ดาวไถกลุ่มเดียวกันอยู่ดีอะเนอะ
รีบๆตามมาหาอิสไวๆนะเอดู ^^

กอดพี่นุ่นแน่นๆ ขอบคุณมากนะคะ อ่านไปยิ้มไปซึ้งไป หลายอารมณ์เลยทีเดียว อิอิ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wisa ที่ 30-09-2010 17:44:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 30-09-2010 18:06:57
แวะมาอ่านขอรับ :กอด1: อ่านจบแล้ว
+ 1 ไปโลดขอรับ :a1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: SJ ที่ 30-09-2010 18:58:38
ซึ้งอ่ะ แต่ก้อเศร้านิดๆ จบแล้ว
รออ่านตอนพิเศษนะค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 30-09-2010 19:41:13
น้องmimilove ขอบคุณสำหรับเพลงนะคะ
เพลงเพราะจริงด้วย ว่าแต่?
คนไหนชื่อดีลันด์ คนไหนชื่อ เลนนี่ อ้ะคะ?

แบบว่าตาคนร้องพระเอกเอ็มวีรึตาตัวโตใส่แว่น?

แบบว่าฟังไปหลายรอบเข้าชักอยากรู้จัก กร้ากกกกกกกกกกกกกส์

......................

เดี๋ยวหายเหนื่อยจะมาไล่ตอบเมนท์นะคะ ตอนนี้ขอบคุณรวมๆก่อนแล้วกัน
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน โดยเฉพาะท่านที่เข้ามาแสดงตัวนะคะ
คนเขียนอยู่ได้และมีแรงเขียนต่อเพราะทุกท่านจริงๆค่ะ ^o^

เรื่องนี้คนเขียนใช้พลังงานไปเยอะมากกับทุกบททุกตอน (สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก)
บางอย่าง บางความรู้สึกที่ตอนนั้นอิสมันไม่เข้าใจ มันก็มาเข้าใจเอาตอนนี้
.....ความรู้สึกช้าได้น่าถีบและดีดเหม่งแรงๆจริงๆนะคะ

สำหรับตอนจบนี้มีผลไม้ชนิดหนึ่งได้รับบทเด่น
Amora
อะมอร่ามีอยู่จริงนะคะ ประเทศไทยเราก็ปลูกได้ เดี๋ยวนี้ชักจะบูม
เอามาแปรรูปได้เยอะเลยค่ะ แต่เมื่อสิบปีก่อนอิสมันไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นเอาจริงๆ

ขอเฉลยว่า Amora ผลไม้ชื่อโรแมนติคนี่คือ ลูกหม่อน
หรือภาษาอังกฤษเรียก Mulberry นั่นเองค่ะ

อีกครั้ง.....เอดู มันน่ารักเนอะ :m1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 30-09-2010 20:56:48
เขิลลลลลลลลลลลลล      !
อึ้ง กับ อึ้ง   555555
คู่นี้รักกันจริง ๆ รักกันมาก ๆ   ขอตอนพิเศษนิดนึงน่ะค่ะไรท์เตอร์    ><
ขอร้องงงง    TT   
ขอบคุณไรท์เตอร์มาก ๆ ค่ะที่แต่งนิยายดี ๆ ออกมาให้อ่านกัน  เราจะติดตามผลงานน่ะค่ะ
เอดู   โอ้ยยยยยยยยยยย    ~   แฟนแบบนี้คงไม่มีในโลกนี้แล้ว
อิส  น่ารัก น่ารักมากกกก     ><
ตลอดไป  และ ตลอดกาล   
อยู่ในหัวใจตลอดไป    อ๊ายยยยยยยย    ~
หวานนนนน  ๆ  เขิลจริง 
ตอนป้อน  Amora  เอิ่มมมมมม   !  เค้านั่งบิดไปบิดมา  เหมือนตัวเองเป็นอิสซะงั้น   555555
น่ารัก   อ่านแล้วมีความสุขค่ะ  จบแบบนี้ไม่เสียใจเลย 
แต่  ........     ขอตอนพิเศษน่ะค่ะ   นิ๊ดเดียว  ฮ่า ๆ     


ขอบคุณค่ะ   ขอบคุณจริง ๆ   
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEAK ที่ 30-09-2010 21:11:10
เพิ่งมีโอกาสได้อ่าน  ...  ประทับใจมาก ครับ  o13

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-09-2010 21:17:29
จบได้ซาบซึ้งแต่ไม่เศร้า  แต่สำหรับเราแล้วยังอยากอ่านต่ออีก
ขอตอนพิเศษด้วยน๊า  น๊า ๆ ๆ  ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 30-09-2010 21:26:59
นุ่น จบแบบแฮปปี้ของนุ่นนี่ คละเคล้าด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้งเลยนะ
ถึงตัวจะไกลกัน แต่ใจยังใกล้ วันเวลาที่ผ่านไปจะเป็นบทพิสูจน์
หวังว่า เอดูและอิส คงจะผ่านไปได้นะ
 :z13:บวก นุ่น  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 30-09-2010 21:28:47
 :sad11:  :sad11: :sad11: :sad11: :sad11:

ตอนแรกที่เรา (ไจฟ์ และ ที) อ่านเรื่องนี้ด้ัวยกันก็เลือกทีืื่จะข้ามๆๆๆๆภาษาต่างด้าวไปก่อน จนเมื่อกลับมาอ่านอีกรอบ อีกรอบ และอีกรอบ ก็พบว่า เราควรอ่านใหม่ทั้งหมดและไม่ควรข้ามภาษาต่างด้าวไปด้วย
พอเห็นที่พี่ๆ บอกว่าจะจบแล้ว อาการหมาหงอยก็เริ่มกำเริบ
จนมาถึงตอนจบจริงๆ ก็เฮ่อ....
ดีจริงๆเนอะ.. (นึกคำออกแค่นี้จริงๆครับ)

ขอบคุณพี่นุ่นครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 30-09-2010 21:37:19
 o13  ถึงจะเหงา ๆ ไปบ้าง แต่ ซาบซึ้งดีค่ะ แถมโรแมนติก ด้วย +1


พี่ชอบ "แค่อีกครึ่งของหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งกลับบ้านมาด้วย" ชอบ ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 30-09-2010 23:33:51
อยากอ่านตอนพิเศษค่ะคุณนุ่น(เพิ่งจะจบเจ้ทวงซะแล้ว)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 30-09-2010 23:38:06
เราร้องไห้...

มันบอกไม่ถูกค่ะ แต่ร้องแบบน้ำตาหยด

มันเต็มไปด้วยความรัก...
แต่มันก็มีบรรยากาศเศร้าๆ แห่งการจากลา...
ถึงแม้จะมีใจคนละครึ่งดวงแลกกันอยู่...

แต่รสแห่งการสัมผัส ย่อมหวานชื่นกว่าเป็นแน่...
ห่างกันแค่ไม่กี่หมื่นไมล์เอง...

ไม่ดราม่า แต่น้ำตาซึมจริงๆ ค่ะ
อยากให้สองคนได้กลับมากอดกัน สัมผัสกัน และใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

หากจะกรุณา...คุณนุ่นขา...ขอตอนพิเศษสักนิด ฮ่าๆๆๆ


ขอบคุณมากๆ นะคะ o13
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 30-09-2010 23:45:05
.
.
.
เราก็ร้องไห้ค่ะ

น้ำตาหยด แต่แปลก ไม่ยักดังติ๋ง กร้ากกกกกกกกกกกกกกส์

แล้วมาเนียนจะเอาตอนพิเศษไรคะคุณไนท์
ทีน้องเซย์ของพี่(นุ่น)งิ มาแบบขยักขย่อนตลอด
แบร่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: heavenly**yaoi ที่ 30-09-2010 23:50:43
เมาวน์เบอร์รี่แปลว่าความรักหรอเนี่ย โอ้ย ซึ้งๆ รีบๆขุนตอนพิเศษออกมานะคะ น่าเสียดาย ไม่มีฉาก เอ็นซี หึหึ 555+ :laugh:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 01-10-2010 00:04:29
ซึ้งมากครับ แต่อยากมีตอนพิเศษภาคปัจจุบันนะครับ
ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 01-10-2010 00:11:33
คุณนุ่น เค้าเปล่าเนียนนะ มาขอกันแบบตรงไปตรงมานี่แหละ...


ว่าแต่ว่าได้ยินแว่วๆ ว่าอะไรขยักขย่อนนะ ได้ยินไม่ถนัด (เนียนไปได้อีก) โหะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Pepor ที่ 01-10-2010 00:58:35
 :pig4:  ขอบคุณค่ะ สำหรับตอนจบซึ้งๆ แบบนี้ ถึงจะไม่มีมาม่า  แต่ก็ทำเราน้ำตาซึมกับความรักของทั้งคู่เลยค่ะ   

ว่าแต่จะมีตอนพิเศษอีกไหมค่ะ  มีเถอะนะคะ  อยากให้มีตอนที่ทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยกันอีก  เพื่อให้คนอ่านนอนหลับฝันดีอีกไงคะ    :impress3:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 01-10-2010 01:19:08
 :L2: ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารักๆนะคะ
แบบว่า รักใสๆได้อีก
แล้วจะรออ่านตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mimilove ที่ 01-10-2010 06:11:52
น้องmimilove ขอบคุณสำหรับเพลงนะคะ
เพลงเพราะจริงด้วย ว่าแต่?
คนไหนชื่อดีลันด์ คนไหนชื่อ เลนนี่ อ้ะคะ?

แบบว่าตาคนร้องพระเอกเอ็มวีรึตาตัวโตใส่แว่น?

แบบว่าฟังไปหลายรอบเข้าชักอยากรู้จัก กร้ากกกกกกกกกกกกกส์



ดีลันด์คือคนผิวดำใส่แว่นค่ะ คอยร้องแร็พ
เลนนี่คือคนเด่นกว่า ร้องนำอ่ะจ้า เป็นพระเอกเอ็มวีด้วย


ในที่สุดก็จบแล้ว
แบบไม่บิดเบือนความจริง ฮ่าๆๆๆ
ขอตอนพิเศษนะคะ T_________________________T
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 01-10-2010 09:51:23

พี่นุ่นจบแบบไม่บิดเบือนความจริง
แต่พี่นุ่นทำหนึ่งร้องไห้รับผิดชอบด้วยค่ะ  :monkeysad:
ซาบซึ้งมากน้ำตาไหลพรากเลย
เอดูน่ารักมาก โรแมนติกที่สุด
ขอตอนพิเศษด้วยนะคะพี่นุ่น
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 01-10-2010 10:41:18
ซึ้งง่ะ จากกันด้วยดี ต่างคนต่างเก็บความรู้สึกดีดีๆ กันไว้ในใจเน๊อะ. . .   สักวันเราคงได้เจอกัน T^T~~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 01-10-2010 10:43:12
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารักๆ นะคะคุณนุ่น
วีเข้ามาตามอ่านเรื่องนี้ตอนเรื่องดำเนินมาได้หลายตอนแล้ว
อ่านแล้วก็ติด แต่เวลาไม่ค่อยว่างเลยช่วงนี้
เลยตามมาเก็บทีละ 2 ตอน 3 ตอนบ้าง
ตามหลังคนอื่นอยู่ตลอดเวลา อดลุ้นไปกับชาวบ้านเขา
แต่อิสกับเอดูเป็นอีกเรื่องที่วีนึกถึง
 :กอด1:
ตอนจบของเรื่องเป็นอะไรที่ซาบซึ้งมากเลยค่ะ
มันตื้อๆ อยากจะร้องไห้ออกมา
ถึงจะจากกัน แต่ก็รู้ได้ว่าความรู้สึกของทั้งสองมีให้กันนั้นมากแค่ไหน
ประทับใจมากเลยค่ะ

เวลาในเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ตอนนี้อิสกับเอดูก็คง 27-28 กันแล้วสินะคะ
ลุ้นอยากให้คุณนุ่นทำภาคสองต่อ
เขียนความรักของทั้งคู่ในปัจจุบัน
ไม่ใช่แค่ตอนพิเศษ
ว่าง่ายๆ คืออยากอ่านต่อ ยังไม่อยากให้จบเลย
 :m17:
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาแบ่งปันให้อ่าน
+1 และเป็นกำลังใจให้เสมอจ้า

 :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 01-10-2010 11:34:48
จบแล้วสินะน้องนุ่น
อารมณ์เหงา เศร้า แต่ปนไปด้วยความอบอุ่น
เป็นการจากลา ที่เสียน้ำตาน้อยกว่าปกติ
อาจเพราะคำกึ่งสัญญาของเอดูที่ให้ไว้
ที่ทำให้ความเศร้ามันลดลงไปมากทีเดียว

แต่มันก็ยังค้างนะน้องนุ่น อยากให้ต่อตอนพิเศษด้วยนะ
ให้ความรักได้มีทางบรรจบกัน

ดาวไถที่เมืองไทย ก็สวยไม่แพ้ที่บราซิลนะคะ
อยากให้เอดูมาดูด้วยตาตัวเอง

ขอบคุณน้องนุ่นด้วยนะคะ

จิ้มวีวี่ ไปถึง Mercy ด้วยจ้า
อย่าลืมเอาน้องเซย์มาฝากด้วยนะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 01-10-2010 11:37:30
คุณนุ่นจบได้ประทับใจคะ
คนเรามีพบก็ต้องมีจาก  ไม่ว่าจะจากกันในรูปแบบไหนก็ตาม
รักคือรัก  รักย่อมมีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้  ยิ่งรักแรก  มันยิ่งประทับใจและร้อนแรงเหมือนดวงตะวันจริงๆ
แต่ทั้งคู่ก็เป็นเด็กดีน่าดู  มีการระงับความอยากของตัวได้  รู้จักเหตุผลและหน้าที่ที่ตัวควรกระทำ
ถึงยังไงชีวิตของทั้งคู่ย่อมไปได้ด้วยดีแน่นอน

ตั้งแต่ตอนที่่อ่านชื่อเรื่องแล้ว  ก็คิดว่าคงเศร้าในตอนจบอย่างแน่นอน
ยิ่งอ่านๆ ไปก็ยิ่งแน่ใจ  แต่ความหวานจากความรักของอีสและเอดู
จะยิ่งทำให้เราหวนคิดถึงวันวาน  วันที่เรายังเยาว์วัยเคยรักใครคนหนึ่งอย่างหมดหัวใจ
เชื้อชาติ  ภาษา  ฐานะใดๆ ไม่มีความหมายอะไร เพราะรักคือรัก... 
และรักที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจของทั้งคนคู่  จะเบ่งบานในใจของผู้อ่านตลอดไปอย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 01-10-2010 12:09:14
จบแล้ว ปาดน้ำตา
ไม่เศร้าแต่ซึ้งเป็นบ้า
เอดูโรแมนติกที่สุด ดีแล้วที่ไม่ได้มาส่งแบบที่อิสคิดไว้ตอนแรก
ไม่งั้นเค้าต้องจิตตกไปหลายวันเลยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-10-2010 12:14:29
บทที่หนึ่งในความทรงจำ จบลงไปแล้ว อย่างมีความน่าจะเป็น เป็นการจบที่ซาบซึ้งมาก
ถ้าสาวกว่านี้อ่อนไหวกว่านี้ก็คงมีน้ำหูน้ำตาไหลแน่เลย นี่ก็ยังเกือบๆ
 แต่เมื่อเป็นบทที่หนึ่ง ที่จบลง ก็ต้องมีบทที่สองตามมาใช่ไหมคะน้องนุ่น
 ขอบคุณมากนะคะน้องนุ่น ที่ทำให้พี่แก้วมีความสุขได้มากๆในช่วงเวลาหนึ่ง
 คือช่วงเวลาที่เข้ามาพบกับอิส-เอดู และเหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง
เรื่องที่อ่านน่ะเป็นนิยาย แต่ความสุขที่พี่แก้วได้รับนี่เป็นเรื่องจริง ขอบคุณมากค่ะ

เอ่อ Amora ลูกหม่อนเหรอ ต่อไปนี้เวลาเก็บลูกหม่อนกิน คงได้อีกอารมณ์ล่ะนะ
(ที่บ้านยังเหลืออยู่ต้นค่ะ ต้นใหญ่เชียว เพราะหลายปีมาแล้ว เมื่อก่อนที่บ้านเลี้ยงไหมอ่ะจ้ะ)  
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 01-10-2010 12:59:12
มีตอนพิเศษมั้ยอ่ะ
ไม่อยากให้จบอย่างนี้เลย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 01-10-2010 14:58:35


:sad11:
ลูกหม่อนอร่อยน๊ะค๊ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 01-10-2010 15:07:34
 :L2: :L2: :L2:
 ซาบซึ้งในอารมณ์รักหวานแบบเหงาๆ มันกรุ่นๆ อยู่ในความรู้สึก
+1 ไม่เคยผิดหวังกับนิยายของคุณนุ่นเลย
 ยังหวังว่าจะได้อ่านตอนพิเศษ ฮุฮุ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 01-10-2010 17:18:56
ซาบซึ้ง หวานๆเหงาๆ แต่ดูอบอุ่นด้วยความ"เชื่อมั่น"
ชอบมากๆ จบแล้วรู้สึกโหวงๆเลย ปรกติก็ต้องกลับบ้านมารีบเปิดดูว่าอัพหรือยัง พอจบแล้วโหวงเหวงเลย
บทที่หนึ่งจบไป บทที่สองกำลังมาใช่ไหมคะ
ขอบคุณมากค่ะคุณนุ่น ไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้เลย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 02-10-2010 00:40:37
ซึ้งหวานๆ อยากให้มีตอนพิเศษจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wins_Sha ที่ 03-10-2010 00:45:19
สวัสดีค่ะ
พึ่งเข้ามาอ่าน
เรื่องนี้สนุกมากกกเลย
อิสน่ารักมากส่วนเอดูช่างเป็นผู้ชายที่อบอุ่นเหลือเกิน

ช่วงใกล้จะจบซึ้งมากกกอ่านไปน้ำตาคลอไป
อยากให้มีตอนพิเศษมากๆๆเลย
เป็นตอนอนาคตหลังเรียนจบมหาลัยแล้วเอดูมาหาอิสที่เมืองไทย
หรือให้อิสไปหาเอดูที่บราซิลก็ได้
เรื่องจะได้จบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งแบบเต็มรูปแบบ

ปล.ขอบคุณนุ่นที่เขียนเรื่องราวดีๆให้อ่าน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 03-10-2010 00:50:51
^
^
^
จิ้มๆกอดๆค่ะคุณ Wins_Sha
เอ๊ดูมันน่ารักเนอะคะ งุงิ

ไว้คิดอะไรดีๆออกจะมีตอนพิเศษมาฝากนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 03-10-2010 08:52:26
 :impress3:  อยากให้ทั้งคู่ได้มาอยู่ด้วยกันอีก
ตอนแรกอยากขอตอนพิเศษ
แต่คิดไปคิดมา ขอภาค 2 เลยได้ป่าวครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 03-10-2010 13:54:21
จบได้สวยงามจริงๆ หวังว่าจะมีตอนพิเศษที่เอดูตามมานะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 03-10-2010 19:45:21
+1 แทนคำขอบคุณ ไม่ดราม่าและน้ำตาซึม ซึ้งใจไปกับความรักและระยะทางที่แสนไกลของคนรัก
ซึ่งต้องพลัดพรากจากกันเพราะเชื้อชาติและหน้าที่ แต่เป็นการจากที่เหมาะสมและสมควรที่จะต้อง
จากกัน เพราะโอกาสที่จะพบกันยังมีแน่นอนหากรักนั้นยืนยงและต่างยังรักกันไม่เปลี่ยนแปลงไป
จบแบบนี้ไม่เศร้านะคะ แต่เป็นความสุขแบบซึ้งใจมากกว่า แต่งได้ดีจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณ.. :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wins_Sha ที่ 03-10-2010 20:58:13
:impress3:  อยากให้ทั้งคู่ได้มาอยู่ด้วยกันอีก
ตอนแรกอยากขอตอนพิเศษ
แต่คิดไปคิดมา ขอภาค 2 เลยได้ป่าวครับ

เห็นด้วยค่ะ

ร่วมสนับสนุนความคิดนี้ด้วยคน

อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 07-10-2010 09:57:32
 :monkeysad:  :o12:

รอตอนพิเศษค่ะ ฮือๆ ไรท์เตอร์รังแกเค้า  :o12:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: humanculus ที่ 07-10-2010 11:14:25
ซาบซ่านสะท้านทรวงดวงจิต  จมกองน้ำตาละพี่น้อง...
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: *4_m3* ที่ 09-10-2010 19:49:45
พี่นุ่นนนนน
น้องมาแปะโป้งไว้ก่อนน้า จบภาระกิจเพื่อชาติแล้วจะมาอ่านค่ะ
คิดถึงนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 09-10-2010 20:47:14
สวัสดีทุกท่านนะคะ ก่อนอื่นขออนุญาตโอบแขนสั้นๆสองข้างกอดรวบคนอ่านทุกท่านเลย  :กอด1:
ขอบคุณมากนะคะ ที่คอยเข้ามาเติมพลังงานให้คนเขียนกันเรื่อยๆ บางท่านก็มาสม่ำเสมอ
บางท่านนานๆมาแสดงตนที และบางท่านก็มาส่งพลังงานให้กันเอาช่วงสุดท้าย...
คนเขียนบอกไว้ตรงนี้เลยค่ะ ว่าดีใจมากๆ และมีความสุขทุกครั้งที่เห็นแค่ยอดคนคลิกเข้ามาดูเพิ่มขึ้น ^o^

อย่างที่ค่อยๆแง้มมาเรื่อยๆว่าบุคคลในเรื่องนี้มีอยู่จริง แต่ก็ขอย้ำนะคะว่าชื่อน่ะถูกเปลี่ยนจนหมด
ดังนั้น ถ้าท่านไหนนึกสนุกเอาชื่อเอดูวาร์โด้ไปหาในพี่เกิ้ล ที่คุณเจอคือเอดูอื่นนะคะ ไม่ใช่เอดูของอิสในเรื่อง ฮ่าๆๆๆๆๆ
(มีเด็กน้อยแอบมาบอกว่าไปลองหามาแล้วเจอ คือ..พี่นุ่นบอกได้เลยค่ะว่าเจอแน่นอน เพราะที่บราซิลนี่ชื่อเอดูวาร์โด้เป็นอะไรที่โหลมาก กร้ากกกกกกกส์)

เรื่องชื่อเมืองก็เหมือนกันค่ะ มีน้องมาบอกว่าไปหาชื่อซาน โฮเซ่ ในพี่เกิ้ล ปรากฏเจอซาน โฮเซ่ เยอะเชียว
ก็ขอบอกไว้ตรงนี้นะคะว่าเมืองที่อิสไปมีความทรงจำเมื่อสิบปีก่อนไม่ใช่ซาน โฮเซ่ ค่ะ (เราขอสงวนนาม อิอิ)
อีกอย่าง เมืองชื่อซาน โฮเซ่ ก็มีเยอะมากถือเป็นชื่อโหลอีกเหมือนกัน เพียงแต่มักจะมีชื่อต่อด้วย เช่น ซาน โฮเซ่ โดส คัมโปส และอื่นๆ...

ส่วนรายละเอียดต่างๆในเรื่อง อย่างเครื่องแบบนักเรียน(เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์) ลักษณะโรงเรียน(เช่นหน้าต่างบานเกล็ด, สนามกีฬาหลังโรงเรียน, กำแพงปูนเปลือย)
ลักษณะบ้านอิส บ้านเอดู รวมไปถึงห้องนอนของมัน เป็นลักษณะจริงทั้งหมดเท่าที่เจ้าอิสมันยังขุดรื้อความทรงจำออกมาเล่าได้นะคะ
เกือบไปแล้วค่ะ เกือบตั้งชื่อเรื่องว่า "รักใสใส..หัวใจนายแว่น" หรือไม่ก็ "จักรยานสีแดง:รักไร้พรมแดน" แต่ก็เปลี่ยนใจมาใช้ชื่อนี้ในที่สุด (หุหุ)

อย่างที่เคยบอกไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องค่ะ ว่าเรื่องนี้คนเขียนเขียนออกมาจากข้อมูลที่มีอยู่แล้วแต่มันอยู่ลึก และเป็นข้อมูลที่ไม่ค่อยได้รื้อออกมาเปิดให้ใครเห็นบ่อยๆ
อีกทั้งไอ้น้องอิสตัวเป็นๆมันไม่ใช่ผู้ชายด้วย เลยยิ่งเขียนแต่ละบทต้องคิดให้ดีก่อนเขียน ที่บอกว่าเอาเรื่องจริงมาเพิ่มนู่นแต่งนี่
พอกลับไปลองอ่านตั้งแต่แรกอีกครั้งขอบอกค่ะว่า จริง:แต่ง อยู่ที่อัตราส่วนประมาณ 3:1 ทั้งนี้และทั้งนั้น เหตุการณ์หลักๆของทุกตอนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
(แต่แอบบอกอีกนิดกลัวคนอ่านเสียใจ ว่าการได้ของขวัญวันเกิดแบบจำไปจนตายกับนอนดูดาวและให้ดาวดูนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนะคะ)

เรื่องนี้เห็นสั้นๆแต่กินพลังงานคนเขียนไปมากโขค่ะ เขียนไปอินไป ยิ้มไป หัวเราะไป ร้องไห้ไป......ที่ร้ายที่สุด กอดตัวเองไปด้วยแทบทุกตอน กร้ากกกกกกกส์
ใครก็ได้ช่วยออกแบบตุ๊กตาประเภทกอดตอบได้ให้ที ข้าพเจ้าจะหยอดกระปุกเก็บค่าขนมรอซื้อ :m17:
ขอสารภาพว่าบางสิ่งที่ ณ ตอนนั้น ตอนที่อิสมันยังเป็นเด็กน้อย ยังคิดโน่นคิดนี่ ยึดมั่นกับขนบและลืมไปว่าเวลาผ่านแล้วทวงคืนจากใครไม่ได้จนพลาดจะพูดจะบอก
หรือจะทำอะไรออกไป อิสมันมาแก้ไขแล้วทำลงไปผ่านทางเรื่องนี้เองค่ะ
(ข้อดีของนิยาย เราสามารถแก้ไขพฤติการณ์ของอดีตได้โดยไม่ต้องพึ่งไทม์แมชชีน)

เอาล่ะเรามาเริ่มตอบเมนท์รายตัวกันดีกว่านะคะ
.........
ดาด้า.......กอดแนบแน่น เจ้ขอบคุณนะคะ คอยมาปาดหน้าปาดหลังรอได้ตลอด กร้ากกกกกกกกกส์ (รู้ความลับไปเยอะนะเรา เงียบไว้ล่ะ ทำเสียงแบบเอ๊ดูตัวเป็นๆชอบทำก่อน จุ๊ๆๆๆๆ)

คุณRockstar.....แล้วนุ่นจะเขียนตอนพิเศษมาให้ค่ะ ขอให้ได้เจอกัน.....ธุค่ะ ยังไงไอ้อิสมันก็ไม่เคยลืมนี่คะ แล้วถ้าคนคนหนึ่งไม่เคยถูกลืมมันก็น่าจะหมายความว่ามันได้เจอกันอยู่เสมอทุกครั้งที่ระลึกถึงนะคะ (ตอบซะนางงามเลยวุ้ย กรั่กๆๆๆๆๆๆ)

แม่กุหลาบงามของพี่ (กร้ากกกกกกกส์ นุ้งพาร์เวอร์กุหลาบฝรั่ง).....รายนี้ก็ขอบคุณมากที่มาส่งพลังงานสม่ำเสมอ ดีใจที่นุ้งพาร์อ่านแล้วรู้สึกอะไรต่างๆนานามากมายไปด้วยนะคะ เอ...อินเหมือนกันนะเรา โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สิบหกพันกิโลเมตร ใกล้แค่นี้เอ๊งงงงงงงงงง ^o^

คุณwisa .......ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ เช่นกันค่ะ ^o^

คุณกรองเทียน.....ขอบคุณที่เข้ามาทักทายนะคะ แล้วก็ คุ้นๆเหมือนจะเปลี่ยนชื่อรึเปล่าคะนี่???

คุณSJ .....มาซึ้งกันเป็นหมู่คณะค่ะ กอดดดดดดดดดดดดดดด (ตอนพิเศษนานนิดนะคะ งุงิ)

คุณiaxezier......เอร๊ยยยยยยยยยย คนเขียนปลื้มมากมายกะรีนี้ กร้ากกกกกกกกส์ แสดงตัวเป็นแฟนคลับแบบไม่เอียงเข้าข้างเอ๊ดูมันด้วยสิ คริคริ
"คู่นี้รักกันจริง ๆ รักกันมาก ๆ   ขอตอนพิเศษนิดนึงน่ะค่ะไรท์เตอร์    ><"
(แอบบอกว่าอิสมันกลับมาจนผ่านไปเป็นปี ถึงจะกล้าบอกกับตัวเองว่าเออ......รักเอ๊ดูมันจริงๆด้วยวุ้ยเรา)

คุณPEAK......ขอบคุณที่อ่านแล้วเข้ามาบอกว่าประทับใจนะคะ คนเขียนปลาบปลื้มมากค่ะ ^o^

พี่iforgive......ก็ตามที่บอกไว้ไงคะ รับรองได้ว่าไม่จบsad ending อบอุ่นอ่อนหวาน
แล้วก็......ผู้ชายคนหนึ่งทำเรื่องดีดีมากมายให้กับคนอีกคนได้จริงๆนะคะ ดีจังเลยเนอะ >/////<

โนเนะจ๋า......อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ความทรงจำยังแจ่มชัดเสมอเลยนะงิ อา........บิดตัวไปมา เขิน กรั่กๆๆๆๆๆๆๆๆ

น้องไจฟ์น้องที......กอดรวบๆๆๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและซึ้งไปกะอิสและเอ๊ดูนะคะ พี่ลีโอเท่เนอะ (กร้ากกกกกกกกกกกส์ ตกลงไจฟ์เจ้าเล่ห์จริงอ้ะ โอ๊ะโอว)

พี่พีนัทททททททททททท....นุ่นก็ชอบค่ะ แบบว่า ความจริงถึงจะแค่เสี้ยวใจ ถ้าเป็นสิ่งที่ได้รับมาโดยไม่ต้องร้องขอ มันทั้งปลาบปลื้ม ทั้งเป็นสุขเลยนะคะ ^3^

พี่แตม(นุ่นจำชื่อผิดรึเปล่าคะ?).....ตอนพิเศษมีแน่ค่ะ แต่ต้องรออีกหน่อย แหะๆๆ ดีใจที่เข้ามาอ่านนะคะ กอดดดดดดดดดดดค่ะ


((แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้มาตอบอีก กอดทุกท่านอีกครั้งค่ะ ขอบคุณจริงๆ))
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:10000 milhas = 16 mil quilômetros [18ตอนอวสาน] (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 09-10-2010 20:51:08
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารักๆ นะคะคุณนุ่น
วีเข้ามาตามอ่านเรื่องนี้ตอนเรื่องดำเนินมาได้หลายตอนแล้ว
อ่านแล้วก็ติด แต่เวลาไม่ค่อยว่างเลยช่วงนี้
เลยตามมาเก็บทีละ 2 ตอน 3 ตอนบ้าง
ตามหลังคนอื่นอยู่ตลอดเวลา อดลุ้นไปกับชาวบ้านเขา
แต่อิสกับเอดูเป็นอีกเรื่องที่วีนึกถึง
 :กอด1:
ตอนจบของเรื่องเป็นอะไรที่ซาบซึ้งมากเลยค่ะ
มันตื้อๆ อยากจะร้องไห้ออกมา
ถึงจะจากกัน แต่ก็รู้ได้ว่าความรู้สึกของทั้งสองมีให้กันนั้นมากแค่ไหน
ประทับใจมากเลยค่ะ

เวลาในเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ตอนนี้อิสกับเอดูก็คง 27-28 กันแล้วสินะคะ
ลุ้นอยากให้คุณนุ่นทำภาคสองต่อ
เขียนความรักของทั้งคู่ในปัจจุบัน
ไม่ใช่แค่ตอนพิเศษ
ว่าง่ายๆ คืออยากอ่านต่อ ยังไม่อยากให้จบเลย
 :m17:
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาแบ่งปันให้อ่าน
+1 และเป็นกำลังใจให้เสมอจ้า

 :pig4:

(ชูมือหยอยๆ).. อยากอ่านต่อด้วย~ อรั๊งงง~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 09-10-2010 21:19:49
^
^
เห็นด้วยกับสองรีข้างบนค่าา อยากอ่านต่อเหมือนกันค่ะ ><
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอุ๊นอุ่น อ่านไปยิ้มไป รู้สึกว่าสองคนนี้มันรักกันแบบน่าเอ็นดูจังเลยน้าา~
(อย่างที่เคยบอกพี่นุ่นด้วยว่าพาร์ชอบอ่านเรื่องความรักของชายไทยในต่างแดนเป็นพิเศษ 555)

ชอบที่พี่นุ่นบอกว่า นิยายมีข้อดีตรงที่สามารถแก้ไขสิ่งต่างๆในอดีตได้โดยไม่ต้องมีไทม์แมชชีน อะค่ะ
ทุกคนคงเคยมีเรื่องที่อยากย้อนเวลากลับไปทั้งเรื่องที่เคยทำพลาดหรือบางทีก็เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ทำเนอะคะ  :m17:
ถึงในชีวิตจริงจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ต้องมีความทรงจำดีๆซักส่วนนึงหลงเหลือให้เราเก็บมายิ้มได้อยู่ดีแหละเนอะ ^^
กอดพี่นุ่นค่าา  :กอด1:
ชอบอะค่ะ "แม่กุหลาบงามของพี่" 55555555555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 09-10-2010 21:29:55
เค้าก้ปลื้มพี่นุ่นอ่า     !!
คิดถึงพี่นุ่นมาก   >< 
ตอนพิเศษมีจริง ๆ ใช่ไหมพี่นุ่น    ???    จะรอคอยอย่าใจจดใจจ่อ 
ฮ่า ๆๆๆๆ    กลับไปอ่านอีกรอบ   
เขิลอ้ะ    !!     ก็บอกแล้วว่า  " ตลอดไป และ ตลอดกาล " 
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: porpeppe ที่ 09-10-2010 23:18:45
อ่าน จบ แล้ววววว...

ซึ้ง มว๊ากกกกกกก...บอก ได้ คำ เดียว

 :L2: สำ หรับ  ไรท์เตอร์ ที่ รัก นะ ครับ



หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 09-10-2010 23:38:42
เข้ามาอ่านตอบรีแบบยิ้มๆค่ะ
เป็นความทรงจำที่น่าอิจฉาจังเลย
ถึงจะนานแล้วแต่ขุดรื้อความทรงจำได้
ก็แปลว่าก็ต้องมีบ้างที่นั่งนึกถึงอยู่บ่อยครั้งไป
ดีใจที่จะมีตอนพิเศษ ว่าจะได้เจอกัน สาธุนะคะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 10-10-2010 08:03:53
ดีจัง เป็นควมทรงจำที่ดีจังเลย คงยากนะคะกว่าจะขุดออกมาได้
เขียน
มั่งดีมั้ยน้า
ขอบคุณคุณนุ่นมากค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 10-10-2010 09:26:10
 :กอด1: นุ่น ความทรงจำที่ประทับใจและมีความสุขไม่มีวันที่เราจะลืมไปได้หรอก
จะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้เราได้มีพลัง ยามที่ท้อถอยอย่างดีอีกด้วย   :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: RakorN ที่ 10-10-2010 12:58:54
อ๊ายยยย ทำไมเอดู อิส ถึงได้โรมานซ์ได้ขนาดนี้คะ?

อ่านไปแก้มก็ร้อนผ่าวๆ ไม่รู้ว่าเขินตามอิส หรือ อิจฉาตาร้อนจนลามมาถึงแก้ม!

ปล,*ยกมือขึ้นสุดแขน*

"รอตอนพิเศษด้วยคนค่ะ"

 :m1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: loveooo ที่ 12-10-2010 22:31:41
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
เอดูน่ารักมากเลยอ่ะ
อิสก็น่ารักมากกกกก

เป็นเรื่องราวที่แบบ สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตของคนเราจริงอ่ะ  อยากเจอแบบนี้บ้างจังเลย
ขอบคุณที่เอาเรื่องราวดีๆมาแบ่งปันนะคะ
ปล.อยากอ่านตอนพิเศษมากๆๆ  มาต่อไวๆนะคะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: kboom ที่ 13-10-2010 17:38:44
เป็นความรักที่งดงามมากเลยอ่ะ
ชอบครับอยากอ่านต่อเนอะ
ถ้าไม่รบกวนนะอยากให้แ่งภาคสองต่ออ่ะครับ
ซึ้ง  ๆ ใส ๆ
งดงามจริง ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 14-10-2010 13:40:59

สวัสดีคะ เราเพิ่งได้เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้
ชอบมากคะ อ่านไปยิ้มไป
ตอนแรกๆ น่ารักมากๆ ชอบมากๆ
แต่พอตอนต่อไปเรื่องมันเริ่มเศร้า
ความเหงามันกระแทกใจมาเรื่อยๆเลยอะ
ประทับใจมากๆเลยคะ เรื่องนี้ขอยกนิ่้ว
 o13 o13 o13
อยากได้ตอนพิเศษด้วยคน
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 15-10-2010 22:24:39
ตัวขี้เกียจเกาะ เลยไม่ได้มาไล่ตอบเมนท์ค่ะ 5555555
(เปล่าค่ะ ที่จริงกำลังหมกมุ่นกับเรื่องเล่าจากความฝันตอนต่อไปอยู่ เขียนเท่าไหร่ก็ไม่ถูกใจสักทีงุงิ)

แต่ๆๆๆๆ ยังไงก็เห็นคนอ่านใหม่ๆเข้ามาทำความรู้จักกับอิสและเอ๊ดูมัน
เลยเข้ามาทักทายเสียหน่อย

ขอบคุณทุกท่านมากๆนะคะ ปลื้มใจที่ชอบเรื่องนี้ค่ะ :กอด1:

แล้วก็ๆๆๆ เข้ามาเพราะคุณRinze ฮึบๆๆๆ
ดีจัง เป็นควมทรงจำที่ดีจังเลย คงยากนะคะกว่าจะขุดออกมาได้
เขียน
มั่งดีมั้ยน้า
ขอบคุณคุณนุ่นมากค่ะ
เขียนเลยค่ะ เชียร์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไว้มีเวลาและมีแรงเมื่อไหร่เขียนออกมาเลยนะคะคุณRinze รับรองว่าอย่างน้อยนุ่นเป็นคนอ่านคนที่สองแน่ๆค่ะ
(ยอมเป็นที่สอง อิอิ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 16-10-2010 23:39:06

คิดถึงเอดูกะหนูอิสอ่ะพี่นุ่น
ขอซักตอนนะคะ   :m13:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 17-10-2010 04:37:14
จบได้เจ็บช้ำแบบลึกๆ กรีดกันเนียนๆ จากทั้งที่ยังรักและไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกทีเมื่อไหร่ โอ้ จอร์จ  :z3:
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เอดู เนี่ย มีขายตัวเป็นๆที่จตุจักรไหมคะ หรือว่าต้องอิมพอร์ทจากบราซิลเท่านั้น วาน บอก  :monkeysad:

อยากจะขอบอกคุณนุ่นไว้ในนี้เลยว่า (auto)biographical novel เรื่องนี้มันผ่าเข้าไปถึงในใจดิฉันเลยค่ะเธอ มันเป็นเรื่องที่เล่าและวาดความรักบริสุทธิ์ของคนสองคนได้งดงามเหลือเกิน รักที่ไม่ต้องมีเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวข้อง (ไม่นับที่มือเป็นปลาหมึกหรือกอดจูบ) และรักที่ไม่มีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง (ยกเว้นก็ตอนคุณกีนิดหน่อย) เหตุการณ์ทุกอย่าง การกระทำทุกอย่างมันบ่งบอกได้ว่านายเอดูร์รักหนูอิสในทุกอณูของร่างกาย เป็นรักเหมือนดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า และเหมือนจันทราอาบท้องนภากลางคืน มันเติมเต็มไปด้วยความห่วงใย ความอาทร ดูความพยายามที่นายอาดูร์ต้องทนระงับอารมณ์หื่นของแกสิ ผู้ชายดีๆอย่างนี้จะหาได้อีกที่ไหน

เรื่องไม่หวือหวาแต่โรแมนติกจับใจ เหมือนไม้เลื้อยนานปีเกาะกินเข้าไปในกำแพงแกร่ง เรื่องค่อยๆก่อร่างในใจของคนอ่านแล้วก็เกาะแน่นเป็นปลิงน้ำจืดแบบไม่ปล่อยด้วย ความรักค่อยๆเผยตัว มันไม่รีบร้อน ไม่โรมรัน แต่ไปอย่างช้า เข้ากับบรรยากาศชนบทของท้องเรื่อง อ่านไปก็มีเสียงในใจประมาณว่า นายเอดูร์ ทั้งหัวใจให้อิส คุณนุ่นขา ดิฉันบรรยายความรู้สึกออกมาไม่เก่ง (แม้จะเขียนนิยายไปบ้างสองสามเรื่อง แต่ก็ยัง express ความรู้สึกไม่เก่งอยู่ดี) แต่อยากจะบอกว่า ได้ลองจินตนาการเอาตัวเองไปอยู่ในที่ของนายเอดูร์แล้ว เฮ้อ...มันคงเป็นอะไรที่ทรมานมากนะคะ (อันนี้ความเห็นดิฉัน) แต่เอดูก็คงมีความสุขมาก ที่ใครๆบอกว่ารักเป็นสีชมพู ดิฉันว่าความรักระหว่างอิสกับเอดูร์คือนิยามของรักสีชมพูค่ะ

ขอบคุณคุณนุ่นมากเลยนะคะที่นั่งทนหลังขดหลังแข็งแต่งเรื่องมาให้อ่าน เขียนนิยายน่ะเขียนง่าย แต่เอาเรื่องจริงมาเขียนเป็นนิยายนี่สิ ยากยิ่งกว่าเข็นครกหินขึ้นภูเขา แต่ถ้า...หากไม่ดูเป็นการรบกวน ก็จะชวนเธอมา...เขียนภาคสองต่อได้ไหมคะ (ยิ้มเจ้าเล่ห์)  :L2:
ปล. แอบชอบวิเวียน ปรากฏว่าชีเป็นสาววาย กรี๊ดดด
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 21-10-2010 12:20:59
มานั่งรอตอนพิเศษ อะคริ อะคริ
(http://i620.photobucket.com/albums/tt285/yyza/Emo/105512.gif)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:16 mil quilômetros [ตอนอวสาน]+แวบมาตอบรีส่วนแรกที่P.16ค่ะ (30/09/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 21-10-2010 14:45:16
มาตามเสียงเรียกร้องเจ้าค่ะ
ภาคสอง เอ่อ...คงจะยาก
แต่ๆๆๆ ตอนพิเศษ ที่พิเศษมาแล้วนะเออ เชิญอ่านเจ้าค่ะทุกท่าน
ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆที่มีให้กันนะคะ  :กอด1:
.................................................................................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง

คุณชอบฤดูไหนมากที่สุดครับ?
สำหรับผม....คำตอบคือฤดูหนาว เพราะแม้ข้างกายจะยังว่างเปล่า แต่หัวใจของผมจะอิ่มสุขที่สุดเมื่อลมแผ่วๆของฤดูหนาวมาเยือน
อากาศที่แห้งจนผิวแตกปากเป็นแผล......และอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของทั้งปี
ยิ่งได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในเมืองหลวงออกมาอยู่ท่ามกลางทุ่งโล่งกว้างที่เพียงเงยหน้านิดเดียวก็เห็นท้องฟ้ากระจ่างเต็มสองตาแบบนี้......

ความทรงจำที่ผมเก็บซุกไว้ในซอกลึกสุดของหัวใจ มันก็เหมือนจะถูกคลี่แผ่ออกมาห่มคลุมและแทรกซึมอยู่ทุกอณูของบรรยากาศ

...


“อิส.....ปีใหม่นี้หยุดกี่วัน?” สาวงามหนึ่งเดียวในชีวิตของผมเดินตุบตับมาแง้มหน้าดูลูกชายคนเดียวอยู่หน้าประตูห้อง

“เจ็ดคร้าบบบบบบ คุณนาย” แม่....ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักขมวดคิ้วฉับเมื่อเห็นอาการแหวกปากเป้ผ้าร่มสีเทาใบเก่าออกกว้างแล้วเริ่มม้วนๆเสื้อสองสามตัวเรียงลงไปโดยไม่มีอาการหยุดมือ

“อีกแล้วเหรอ ปีใหม่ทีไรหาเรื่องเที่ยวตลอด ทิ้งฉันทุกที หึ” เอาเข้าไปคุณนายของผม ท่าตวัดค้อนนั่นคงเป็นความสามารถพิเศษของสาวไทยนะครับ อยู่มา 27 ปีเต็มแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นสาวชาติอื่นค้อนได้งามน่ามองอย่างสาวไทยเลย

ผมวางเสื้อที่ยังอยู่ในมือลงกับผ้าปูที่นอนสีเขียวเหมือนชาเขียวใส่นมตัดขอบสีน้ำตาลเปลือกไม้ แล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงปลายเตียง เอื้อมมือดึงตัวคุณนายขี้งอนเข้ามาหาแล้วซบหน้าเข้ากับห่วงยางรอบเอวนุ่มนิ่ม สูดกลิ่นหอมของแป้งตรางูหนึ่งเฮือก รับรู้ถึงฝ่ามือนุ่มนิ่มที่ลูบลงบนศีรษะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดเข้าไปในกลุ่มผมแล้วออกแรงรั้งให้เงยหน้าขึ้นสบตาเบาๆ

“เฮ้อ......เข้าใจก็ได้ คราวนี้จะไปไหนล่ะ?” หลังสบตากันอยู่เกือบนาทีคุณนายของผมก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวก่อนจะออกปากถามถึงจุดหมายปลายทางของผม

“เขาใหญ่......อิสกะไปแค่สามสี่วันน่ะแม่ อะ....โอ๋ๆๆๆ ไม่เข้าไปลึกหรอกน่า ไม่ได้ตั้งใจเดินป่า รับรองว่ากางเต็นท์แถวสถานีแค่น้านนนน” ผมรั้งเอวกลมที่ใช้เนื้อที่เกือบเต็มอ้อมแขนให้นั่งลงบนตัก แล้วจัดการรับรองความปลอดภัยของตัวเองอย่างแข็งขัน

“เชอะ! ฉันรู้ทันหรอก นี่ถ้าหลังปีใหม่ไม่ต้องเดินทางไกลลูกชายที่รักคงไม่กะไปแค่สามสี่วันแน่ ปีใหม่ทีไรหายหัวตลอด สมน้ำหน้า นี่ฉันเตรียมของไว้เรียบร้อยจะทำทับทิมกรอบมะพร้าวกะทิ อดไปละกัน”

“โอย......เจ็บจี๊ดดดดดด คุณนายเห็นใจลูกช้างตาดำๆ เหลือไว้ให้บ้างนะคร้าบบบบ”

“เดี๋ยวเหอะ ลูกช้างอะไรเล่า ถึงฉันจะอ้วนชั้นก็ไม่มีงวงนะยะ!!”
ดูสิครับ คุณนายของผม กระเง้ากระงอดไม่แพ้สาวน้อยที่ไหนเลย แล้วจะไม่ให้ผมรักได้ยังไง เสียอย่างเดียวแหละมือหนักเหลือเกิน ยิ่งจับได้ว่าตั้งใจล้อแบบนี้นะ เพียะๆๆ กระหน่ำตีลงมาไม่มียั้งเลยครับ


ผมไม่ได้มีความรักความหลังอะไรที่เขาใหญ่หรอกครับ แต่นี่กลับเป็นหนึ่งในสถานที่พิเศษที่ผมมาใช้เวลาในวันหยุดยาวแทบทุกปี เพราะทิวทัศน์กว้างไกลสุดสายตา ที่สุดขอบฟ้ามีทิวเขาสลับซับซ้อนนั้น ส่งให้ผมรู้สึก.......ว่าขอบฟ้าที่เห็นอยู่ไกลๆ มันขยับใกล้เข้ามาอีกนิด ถ้าเราตั้งใจจะเดินไปไม่หยุดพัก แค่ไม่นานเราก็จะไปถึงปลายทางที่ขอบฟ้านั้นได้

คุณชอบฤดูไหนมากที่สุดครับ?
สำหรับผม....คำตอบคือฤดูหนาว เพราะแม้ข้างกายจะยังว่างเปล่า แต่หัวใจของผมจะอิ่มสุขที่สุดเมื่อลมแผ่วๆของฤดูหนาวมาเยือน อากาศที่แห้งจนผิวแตกปากเป็นแผล.....และอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของทั้งปี ยิ่งได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในเมืองหลวงออกมาอยู่ท่ามกลางทุ่งโล่งกว้างที่เพียงเงยหน้านิดเดียวก็เห็นท้องฟ้ากระจ่างเต็มสองตาแบบนี้......

ความทรงจำที่ผมเก็บซุกไว้ในซอกลึกสุดของหัวใจ มันก็เหมือนจะถูกคลี่แผ่ออกมาห่มคลุมและแทรกซึมอยู่ทุกอณูของบรรยากาศ

“……Eu nunca vou viver sozinho.” .....อืม....เราไม่มีวันที่จะต้องอยู่คนเดียวหรอกนะ “Você vai estar aqui comigo, no meu coraçáo……” ......เอดูจะอยู่กับเรา อยู่ในหัวใจของเรานี่
“Para sempre?”
“อืม.....ตลอดไปสิ ตลอดไปแน่นอน”


คำว่า ‘ตลอดไป’ มันกินเวลานานแค่ไหนกันครับ มันจะเท่ากับ ‘นิรันดร’ รึเปล่า?


นี่ผมคงแก่มากแล้วถึงมานั่งมองฟ้ามองจันทร์แล้วกอดตัวเองคิดเรื่องแบบนี้........


ตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งปีสองแล้วที่เพื่อนๆบอกว่าผมใช้ชีวิตเหมือนฤๅษี แตกต่างและแปลกแยกจากวัยเจริญพันธุ์ทั่วไป ฮ่าๆๆๆๆ พวกมันใช้คำว่า ‘วัยเจริญพันธุ์’ จริงๆนะครับ ผมไม่ได้ล้อเล่น แล้วก็ไม่ใช่เพราะผมถือศีล เหล้าไม่ดื่มบุหรี่ไม่แตะ แต่ที่พวกมันพูดแบบนั้นพวกมันบอกว่าเพราะผมทำตัวเหมือนพวกนักบวชในนิกายที่จงใจถือวัตรสันโดษ รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียนกับเล่น ทำเหมือนกับการมีคนรักเป็นบาปอย่างนั้น

พอผมโต้ตอบไปว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะโสดสักหน่อย ไม่มีใครมาสนผมเองต่างหาก พวกมันก็บอกว่า.....
‘มึงจะรอให้สาวมาจีบมึงก่อนหรือไง ไอ้อิส ไอ้สัตว์!’
 ‘หรือมึงไม่ชอบสาวๆแต่ชอบหนุ่มๆ มึงก็หัดอ่อยใครเขาบ้าง ไม่ใช่วันๆเอาแต่อยู่กับพวกกู มึงมองรอบตัวบ้าง แล้วมึงจะรู้ว่ามีคนเขามองมึงอยู่เหมือนกัน’


ผมก็ทำตามที่พวกมันบอกนะครับ เปิดตาออกมองไปรอบๆบ้าง มองไปที่คนอื่นบ้าง....
แต่ ณ เวลานั้น ผมกลับไม่เคยมองเห็นถึงความรู้สึกพิเศษจากใครเลยสักคน ผมคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะผมตาถั่วเอง
ก็คงเพราะเพื่อนๆผมมันตาดีเกินไปแหงๆ

จนเวลาผ่านไปอีกหลายปี เมื่อผมเกิดอาการรักและพยายามเลิกรักอีกหนึ่งหน ผมถึงมานั่งพิจารณาจนพบกับความจริง.....
มันไม่ใช่เพราะผมตาถั่วหรือเพื่อนๆมันตาดี แต่เป็นเพราะคำว่า ‘ตลอดไป’ ที่ออกจากปากผมเมื่อมกราคม ปี2001 นั่นต่างหาก ที่มันไม่ใช่แค่ลมปากของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง แต่มันเป็นของจริง.....เป็นความจริงที่ยังเป็นอย่างนั้นอยู่จนวันนี้

เอดู.......ไม่เคยจากไปไหนไกล แต่ยังอยู่ในใจของผมตลอดมา

มันไม่แปลกไม่ใช่หรือครับ เมื่อเคยมีใครสักคนทำให้คุณมากขนาดนั้น ทั้งใส่ใจ ดูแล และรัก.....
และพร้อมจะแสดงออกในทุกๆวันว่ารักคุณมากขนาดนั้น เต็มใจให้โดยที่คุณไม่จำเป็นจะต้องร้องขอสักนิด
แล้วคุณจะมองเห็นแต่เขา มีแต่เขา...... จนไม่มีตา ไม่มีใจจะมองใครได้อีก......



หลังทิ้งหัวใจไว้กับเจ้าของลักยิ้มแก้มบุ๋มนั่นสี่ปีเต็ม ความรักของผมก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มันไม่ได้สวยงามและทำให้หัวใจลอยละล่องเหมือนปุยนุ่นและรสชาติจัดจ้านทั้งหวานทั้งหอม แถมทำให้ตื่นตัวตลอดเวลาเหมือนรสชาติของกาแฟเข้มจัดอย่างรักครั้งแรกก็จริง แต่ผมก็คิดว่าจะรักษารักครั้งนี้ให้ดีที่สุด
ไม่รู้ว่าเพราะผมระมัดระวังกับความสัมพันธ์นี้เกินไป หรือเพราะเหตุผลอื่นใด แต่ในที่สุดหลังผ่านความสัมพันธ์ลุ่มๆดอนๆสามปี มันก็จบลงไปเงียบๆ เพราะคำว่า ‘ไม่ใช่’ ที่ออกมาจากปากเธอ และ ‘ไม่ใช่’ ที่อยู่เพียงข้างในใจผม
ผมตอบคำถามทุกคน ทั้งแม่ ทั้งเพื่อนแบบเรียบง่ายที่สุด.....เราสองคนเลิกรักกันและเราจบกันด้วยดี.....

และหลังจากนั้น แทนที่ผมจะคิดถึงคนที่ไปไหนมาไหนในฐานะคนรักด้วยกันถึงสามปี แต่ยิ่งเวลาผ่าน คนที่ผมคิดถึงและอยากให้มาอยู่ใกล้ๆ อยากให้เราได้กอดกันเอาไว้ กลับเป็นคนเดิมคนเดียว....เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม เอดูวาร์โด้

ผมตั้งหน้าทำงาน เก็บเงินเป็นกอบเป็นกำ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า.....ถ้าผมไปที่นั่นแล้วมันไม่เหมือนเดิมล่ะ ถ้า....เอดูมันแต่งงานมีลูกสามไปแล้วล่ะ หลายปีแล้วนะ......ยังจะมีใครมานั่งยึดติดกับคำพูดไม่กี่ประโยคพวกนั้นอยู่หรือ?

อีกอย่าง......หน้าที่ของลูกที่รู้ว่าแม่ไม่มีใครนอกจากเราคนเดียว
มันหนัก และมันก็ผูกพันแน่นหนา......ก็นี่ไม่ใช่หรือเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้พยายามตัดใจตั้งแต่จากมา
เพราะยังไงก็รู้ตัวว่าทิ้งแม่ไม่ได้นี่ไม่ใช่หรือ.....ที่ทำให้ไม่ยอมผูกมัดกับคนไกล ไม่ยอมมีแม้แต่คำมั่นสัญญา
แต่ทั้งอย่างนั้น ผมรู้ดี.....
ในใจผมยังเชื่อมั่นกับประโยคนั้น ประโยคง่ายๆที่บอกว่า ให้รอ....ต่อให้นานแค่ไหน จะมาหา

เมื่อสองปีผ่านไป รับรู้แก่ใจว่าตัดไม่ได้ ยังเสียน้ำตาทุกครั้งที่บรรยากาศเป็นใจ เสียน้ำตาทุกครั้งเมื่อคิดถึงอกอุ่นๆและมือที่เคยจับจูงไว้ ก็เป็นคนตัดสินใจเองแท้ๆที่จะเก็บกดมันเอาไว้

พับความทรงจำแสนงามนั้นไว้ลึกสุดใจ......
อนุญาตตัวเองให้เปิดกล่องความทรงจำออกมาให้ได้รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตายด้านกับความรักก็แค่ยามลมหนาวมาเยือน
คิดถึงไออุ่นที่เคยได้รับเมื่ออยู่เพียงลำพัง.......ให้ความทรงจำนั้นโอบกอดหัวใจที่เริ่มชาเพราะความหนาว
ส่งยิ้มแห่งความสุขตอบกลับรอยยิ้มทั้งปากทั้งตาของคนในความทรงจำ

‘อิส......ถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องเอาตัวเองมาผูกติดกับแม่’
‘แม่!!’
‘อิสเป็นลูกแม่นะ ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าอิสเป็นยังไง.....อย่าให้แม่ต้องเป็นสาเหตุให้อิสไม่มีความสุข เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น แม่จะเสียใจมาก’

ผมไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรไปไกลแค่ไหน ไม่กล้าถามว่าที่บอกว่า ‘รู้’ แม่รู้อะไร.......
แต่ผมตัดสินใจอีกครั้ง วิธีเก็บเงินให้เร็วที่สุด ให้พอกับที่จะเดินทางตามหาใครบางคน และไม่ต้องพะวงหลังกับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรัก

หลังวันหยุดยาวปีใหม่นี้ผมจะเดินทางอีกครั้ง ยังหรอกครับ ปลายทางของผมยังไม่ใช่ซาน โฮเซ่ บราซิล แต่เป็นประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง ผมจะไปขายแรงงาน เก็บเงินสักก้อนใหญ่ๆก่อน สิบปียังรอได้ นับประสาอะไรกับอีกแค่สองปีตามสัญญาว่าจ้างล่ะครับ

ก่อนที่คุณจะเข้าใจไปถึงไหนๆว่าผมจะไปเป็นชนชั้นแรงงานแบกหินแบกปูนให้ไม่เข้ากับร่างกายชายไทยที่ถึงจะตัวโตขึ้นกว่าเมื่อสิบปีก่อนแต่ก็ยังไม่สามารถจะสูงได้เกิน170
ผมจะไปทำงานในโรงพยาบาลครับ ประเทศนั้นรวยน้ำมัน แต่กลับขาดแคลนบุคลากรทางสาธารณสุข เข้าทางผมเลยเพราะค่าตอบแทนและสวัสดิการกับสัญญาว่าจ้างระยะเวลาสองปี มันเพียงพอเสียยิ่งกว่าพอสำหรับเป็นทุนให้ผมเดินทางเข้าหาจุดหมายปลายทางที่ขอบฟ้าอีกครั้ง โดยไม่ต้องพะวงหลัง


ผมบอกลาทุ่งกว้างและผืนป่าเขาใหญ่ สถานที่พักใจเพื่อสัมผัสใยความทรงจำอย่างมีความหวัง กลับบ้านเคล้าเคลียคุณนายท่านทุกวันเอาให้ติดกลิ่นท่านจะได้ไม่ต้องคิดถึงมาก แล้วเก็บกระเป๋าเตรียมออกเดินทางไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผมได้งานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในดูไบ เมืองใหญ่ ค่าครองชีพสูง แต่ผมคำนวณดีแล้วว่าถ้ากินอยู่อย่างประหยัด เวลาสองปีเหลือจะพอกับการเก็บเงินหยอดกระปุก

ใช้เวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงผมก็หลุดออกมาเจอกับอากาศไม่ต่างจากกรุงเทพนัก คงเป็นเพราะนี่ยังอยู่ในฤดูหนาว แต่ผมทำใจเตรียมรับอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศาเซลเซียสในฤดูร้อนมาเรียบร้อยแล้ว เอาน่า....วันไหนร้อนจัดนักก็อยู่แต่ในร่ม อาบน้ำบ่อยหน่อยคงไม่เปลืองเท่าไหร่หรอก
ผมก้มหน้าก้มตาทำงาน มีเพื่อนคนไทยที่มาทำงานที่นี่พอให้ไม่เหงานัก แต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะค่าแรงที่ได้รับมาคุ้มกับหยาดเหงื่อที่ต้องเสียไป ถึงห้องพักผมก็หลับเป็นตายทุกคืน แทบไม่มีเวลาได้โผล่หน้าไปทักทายทั้งพระจันทร์ทั้งดาวไถเลยด้วยซ้ำ
ก็ตอนอยู่เมืองไทยบ้านเรา ผมมักจะมองดาวคิดถึงเอดูตอนกลางคืน กะเอาว่าจะได้พร้อมๆกับตอนที่มันมองพระอาทิตย์ตอนกลางวันแล้วคิดถึงผม......ถ้าหากว่ามันยังไม่ลืมน่ะนะครับ

แต่พอมาอยู่ที่ดูไบนี่.....เวลาของเอดูตามหลังผมอยู่แค่หกชั่วโมงเองนี่ครับ ดังนั้น....ถ้ามันขยันตื่นมาทักทายพระอาทิตย์ตอนหกโมงเช้า ผมก็แค่เงยหน้ากระพริบตาส่งให้พระอาทิตย์เที่ยงวัน ก็ได้เจอกับมันแล้ว


8 สิงหาคม 2011
พระพรหมคงเห็นใจในความพยายามของผม......ไม่สิ ของเราสองคนมากกว่า
หลังจากก้มหน้าก้มตาทำงานมาเจ็ดชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้า.....

ผมเอื้อมมือรับแฟ้มประวัติคนไข้ใหม่ที่แพทย์ส่งตัวมาเพื่อทำการเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อศอกเนื่องจากใส่เฝือกหลังข้อศอกแตกเพราะอุบัติเหตุจากเครื่องจักรในโรงกลั่นน้ำมันเมื่อสองเดือนก่อน

“ผมต้องซักประวัติเพิ่มอีกนิดหน่อย ช่วยตอบทุกคำถามตามตรงนะครับ”
“Claro!” .......ครับผม
“Foi casada?” .........แต่งงานรึยัง?
“ยังครับหมอ สักครั้งยังไม่เคย หึๆๆ”
“ผมไม่ใช่หมอ แต่เอาเหอะ ตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าภาษาบ้านคุณเรียกอาชีพผมว่าอะไร”

ผมถ่วงเวลาด้วยการอ่านผลเอ็กซเรย์ครั้งล่าสุดอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มปกสีน้ำตาลนั่นช้าๆ
อยากเห็นหน้าคนไข้ใหม่ใจแทบขาด แต่ก็กลัวว่าจะไม่ใช่.......
ถ้าเป็นแค่คนชื่อเหมือน วันเดือนปีเกิดเหมือน คนไข้ใหม่ของผมคงไม่ตอบคำถามประหลาดของเจ้าหน้าที่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแบบเมื่อกี้หรอกน่า

“Como está? Iss”
“Estou bem, Edu…… Se saudade é bom.”


ผมส่งยิ้มทั้งน้ำตาที่เอ่อคลอจนเกือบล้นให้กับคำถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีมั้ยอิส? ของคนไข้ใหม่
แล้วตอบไปอย่างจริงใจที่สุดว่า ‘เราสบายดีเอดู..... ถ้าจะนับว่าอาการคิดถึงอย่างรุนแรงมันดีอ้ะนะ’
 
ขอบฟ้าที่ผมเคยมองทุกครั้งที่เหงา มองหาเงาของใครอีกคนที่เคยรู้สึกว่าไกลแสนไกล
ตอนนี้กลับเลื่อนมาอยู่ตรงหน้า.....แค่เอื้อมมือคว้าก็จะได้ไออุ่นนั่นกลับมาอีกครั้ง เราสองคนต่างก็เดินทางมาไกลเหลือเกิน
ในที่สุดถึงจุดหมายปลายทางจะยังอีกไกล แต่ผมก็รับรู้ได้.....ว่าขอบฟ้าแสนไกลนั้น มีอยู่จริง

............................................................
......................จบจริง(ไม่ทิ้งให้เศร้า) ^o^

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 21-10-2010 15:02:14
เออ..ขอบฟ้ามันมาใกล้แค่เอื้อมจริง... ๆ
แล้วน้ำตาก็ซึมจริงอะไรจริง
 :o12:
คนเค้าแฮปปี้...แล้วตรูจะเศร้าเพื่อ!!?
so what!!!
 :sad4: : คิดถึงเอดูมาก ๆ เหมือนกัน
 :กอด1: รวบกอดทั้งสองคนแน่น ๆ แน่น ๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 21-10-2010 15:14:57


:a5:
10 ปี
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 21-10-2010 15:23:11
อ่านเรื่องนี้แล้วอิ่มใจ น้ำตาไหลตลอดเลย...
มีความสุขที่สุด...ในที่สุดสองหัวใจก็ได้กลับมาใกล้กัน  :monkeysad:
 :กอด1: ขอให้นับช่วงเวลาจากนี้ ทำทุกวินาทีให้มีความหมายต่อกันนะคะ จุ๊บบบบแ :กอด1:

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 21-10-2010 15:39:18
:monkeysad: ซึ้งงงงงง
*ปาดน้ำตา*





 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 21-10-2010 16:43:59
ได้เจอกันแล้ว   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 21-10-2010 17:29:33

ซึ้งอ่ะพี่นุ่น...น้ำตาซึมเลย   :monkeysad:
ในที่สุดก็ได้พบกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: arewhy ที่ 21-10-2010 21:09:49
ซึ้งอ่า ตอนจบเกือบร้องแล้ว
ดีนะที่เปิดมาหน้าสุดท้ายทัน

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆจ้ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 21-10-2010 23:04:58
สิบปีอ่ะ สิบปีเชียวนะ การรอคอยใครสักคนนานขนาดนี้
มันคงมีความเศร้า เหงา และคิดถึงมากมายแน่ๆ
อ่านไปยิ้มไป ตอนท้ายๆเนี่ยน่ารักมากกกกกกกกก
ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้วอ่ะ ถึงจะผ่านไปสิบปีก็เถอะ
ทำให้รู้ว่าการรอคอยมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป
ถ้าเรามองมันในแง่ดี ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 21-10-2010 23:15:47
http://www.youtube.com/v/f2UKKGRv-78?fs=1&amp;hl=en_US


หากย้อนไปมองดู เมื่อครั้งวันวาน
และมองชีวิตวันนั้น เป็นนกตัวหนึ่งที่เริ่มบิน
เพียงอยากไปเจอขอบฟ้า มุ่งตรงไปตามที่เห็น
แม้ยากเย็นยังไงเพียงไหน...ไม่หวั่น

ขอบฟ้ายังคงไกล ให้ฉันบินตาม
และยังดูเหมือนยังมีหวัง และพบในสิ่งที่ตั้งใจ
เลยผ่านมาจนวันนี้ ก็ยังไปไม่ถึงไหน
ยิ่งบินไปทำไมยิ่งไกล ทุกทุกที

และแล้วฉันเองก็ได้รู้ความจริง ว่าสิ่งที่เคยตามไปเสาะหา
มันเป็นแค่เพียงภาพลวง ไม่อาจจะสัมผัสมันได้เลย

ขอบฟ้าไม่มีจริง ไม่เห็นมีตัวตน
ไม่อาจจะหาเหตุผล ยิ่งคว้า ยิ่งเหนื่อย ยิ่งท้อใจ
ที่อยากที่สุดตอนนี้ ต้องการเพียงกิ่งไม้
เพื่อจะเกาะให้อบอุ่นใจ เท่านั้นเอง

หวังว่าเธอจะเป็นกิ่งไม้ ได้ไหมเธอ


ทำไมชั้นเศร้าจนนึกถึงเพลงนี้ไปได้หว่า  หรือเป็นคนที่คิดแตกต่างจากคนอื่นไปแล้วจริง ๆ

ไม่ไหว ๆ พรุ่งนี้หนีเที่ยว ดีกว่า แก้อาการวิตกจริตขั้นรุนแรง

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 21-10-2010 23:34:11
ถ้าห้วงคำนึงความคิดถึงคนึงหาของ 2 คนที่มีมากอยู่อย่างเปื่ยมล้น
ผสานเข้ากับความพยายาม  และความอดทนอดกลั้นต่อทุกอุปสรรคปัญหา
เส้นขอบฟ้าที่เลือนลางก็สามารถบรรจบได้  หลังรอคอยอย่างยาวนาน

จบความรักในวัยเยาว์เพื่อก้าวสู่รักครั้งใหม่ กับคนเก่า  ในสถานะของผู้ใหญ่ที่พร้อมกว่าเดิม

 :กอด1: แน่นๆๆๆ  (อยากอ่านต่ออีกจริงๆ นะ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: mimilove ที่ 22-10-2010 03:29:59
ทำไม อ่านแล้มันรู้สึกเศร้า ๆ ยังไงก็ไม่รู้
เราจะรักคนคนหนึ่งได้นานขนาดนั้นเลยเหรอคะ ?
น่าอิจฉาจังที่มีความรักที่มั่นคงขนาดนี้

T_________________T
ขอบคุณค่าาาาา พี่นุ่นนนนนน กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 22-10-2010 07:05:19
 :impress3: หลังจากใช่ระยะเวลาพิสูจน์ใจ
น้องอิสและเอดูก็ได้มาเจอกันคนละครึ่งทาง

 :-[ เวลาผ่านไปน้องอิสยังน่ารักเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 22-10-2010 08:30:42
ผมเกือบข้ามมารีพลายด้วยอาการอึมๆซะแล้ว
แต่ไม่รู้ไง เลื่อนอ่านมาเรื่อยๆ แล้วก็พบว่า 10 ปีผ่านไป
ความสุขนะ แต่อาการซึมๆก็ยังอยู่

ขอบคุณพี่นุ่นครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 22-10-2010 11:23:38
ถึงจะสุขใจ ดีใจ อุ่นใจ

แต่มันก็มีความรู้สึก ปวดใจ แทรกอยู่ด้วยอ่ะน้องนุ่น

กว่าจะได้พบกัน มันเนิ่นนานและทรมานในความรู้สึกเหลือเกิน

แต่ก็ยังได้พบกัน ช่วยให้ความหม่นหมองลดลงไปได้เรื่อยๆ

ขอบคุณที่มาต่อความรู้สึกให้ครบถ้วนนะคะ

ปล. เอ่อน้องนุ่นจ๋า มีตอนพิเศษอีกสักหน่อย
เติมน้ำตาลให้กับคู่นี้อีกหน่อย ให้อาการหน่วงๆ มันหายไปให้หมดด้วยเถิด พรีสสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 22-10-2010 14:35:26
T^T~ กว่าจะได้เจอกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 22-10-2010 17:48:52
ตอนพิเศษๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :sad4: พลีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส











 :กอด1:






หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 22-10-2010 20:17:11
มันอบอวลในห้วงอารมณ์ ชอบอะคุณนุ่น
 :pig4: ขอบคุณสำหรับนิยายอวลไปด้วยความซาบซึ้ง
ในชีวิตจริงจะมีไหมนะที่คนสองคนจะรอคอยซึ่งกันและกันได้ยาวนาน

ขอตอนพิเศษแบบหวานๆ หลังจากได้พบกันอีกได้ไหมอะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: captainchick ที่ 22-10-2010 20:27:03
ในที่สุดก็ได้เจอกัน ตอนอ่านชื่อตอน เส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง นึกว่าจะเศร้านะเนี่ย
แต่พออ่านแล้ว สุดท้ายก็ได้พบกันสักที ซึ้งจริงๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Pepor ที่ 22-10-2010 23:07:35
 :pig4:  ขอบคุณคุณนุ่นคะที่พาเอดูมาเจอกับอิส 10 ปี
จะว่านานก็นานโดยเฉพาะคนที่รักกัน แต่มันก็พิสสูจน์ได้ว่าความรักที่แท้จริงไม่ได้หายไปไหน ถ้ารักของทั้งคู่เป็นรักแท้  หน้าหนาวนี้อิสและเอดูคงไม่หนาว เพราะหัวใจอบอุ่นแล้วแน่ๆ   :L1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 23-10-2010 01:56:14
อ่านจบแล้ว
ซึ้งมากอ้ะ
น้ำตาไหลล
 :m15:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 23-10-2010 13:12:48
ความรักที่มั่นคงและจริงใจ ถึงแม้ว่าจะนานสักแค่ไหน จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เมื่อได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งนึง ยิ่งจะทำให้เพิ่มมากขึ้นอีก
10 ปีที่ผ่านมา เป็นการพิสูจน์ทั้งเอดูและอิสเลย
ซึ้ง...จะหาแบบนี้บ้างได้ ไม๊เนี่ย... :sad11:
คราวนี้ อิสคงไม่รอดจากเอดูแล้วซินะ อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 23-10-2010 13:46:09
รักทรหดจริง ๆ  ดีนะที่ได้เจอกัน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 23-10-2010 18:15:51
กอดพี่นุ่นแรง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
><   อ๊ากกกกกกกกกก   ~
ในที่สุด อ่า ในที่สุด  TT
ขอบคุณมาก ๆ ค้ะ ที่แต่งเรื่องดีๆออกมาให้อ่านกัน   ฮ่า ๆ
ว่าแต่พี่นุ่นแต่งเรื่องใหม่เมื่อไร   จะได้ตามไปอ่าน   
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 23-10-2010 20:51:38
รักแท้มีอยู่จริง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 24-10-2010 17:30:13
ขอบคุณที่ช่วยเติมเต็มให้กับบที่หนึ่งในความทรงจำครับ
แต่ อยากให้เริ่มบทที่สองนะครับ ไม่ทราบว่าขอมากไปหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 31-10-2010 06:04:18
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดส์

ความสุขกระแทกอก :กอด1:

คุณขา...เอดู กับ อิส ได้เจอกันจนได้ ถือว่าเจอกันครึ่งทาง มัน....กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดส์...ขอบคุณค่ะ ที่ไม่ทำให้ห่อเหี่ยว

หนูอิส...ตอนหนูร้องไห้ ป้าแทบจะร้องไห้ตามนะลูก นายเอดู...ดีจังที่ยังไม่แต่งงาน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดส์ให้ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน

ขอบคุณค่ะ

จบตอนพิเศษแบบนี้ ดิฉันคิดว่ามันสามารถจะต่อภาคสองได้นะเออ :really2: เนอะๆคุณนุ่นเนอะ ซักนิดน่า เหอะๆ ก็แค่เขียนภาคสองเรื่องนี้ แล้วก็แต่งเรื่องเล่าจากความฝัน มันไม่หนักหนาหรอก :laugh: (อย่าเพิ่งกระโดดแท็กถีบหน้าดิฉันนะคะ กรี๊ด)

ปล. รักเอดูมากอ่ะ ผู้ชายคนนี้อบอุ่นจัง น้องอิสน่ารักเสมอล่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 31-10-2010 13:10:05
 :m15: :m15: :m15:
ทั้งๆที่น่าจะแฮปปี้นี่นา แต่ทำไม มันดูเศร้าๆไงไม่รู้
ยืมอกคุณนุ่น ซับน้ำตานู๋ที :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 01-11-2010 21:00:48
ป่ะล่ะ? น่ารักป่ะล่ะ?
ซึ้งมากค่ะ!! มันแบบว่า หวานๆ แล้วก็น่ารักมาก!! เราชอบจบแบบนี้ที่สุดเลย
แถมมีตอบได้ขยันขันแข็งสุดๆ เอดูน่าร้ากกกกกก
เพ้อแล้วล่ะ... เพ้อหนุ่มบราซิล
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wins_Sha ที่ 02-11-2010 18:42:32
น้ำตาซึมเลยอ่ะ

จบแบบแฮ็ปปี้แต่ก็ซึ้งได้ใจ
รักที่มั่นคงและยาวนาน

ไม่ว่าขอบฟ้า เวลา หรือระยะทางก็ไม่อาจกั้น

ซึ้งจริงๆเลยอ่ะ

รักอิชกับเอดูมากๆๆๆ

ปล.ขอตอนพิเศษอีกนะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: I_ARMS ที่ 03-11-2010 19:04:58
คิดถึงเอดู  เอดูก็มา 
ซึ้งมวากกกกกกกอยากได้ตอนพิเศษอีก
คนเขียนจะว่าผมโลภมั้ยง่ะครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 06-11-2010 00:23:51
เข้ามาตะโกนดังๆว่า ยินดีต้อนรับทุกท่านนะคะ
ทั้งที่เพิ่งเข้ามาอ่าน และเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เป็นกำลังใจให้กันมาเสมอด้วย

เรื่องนี้ งุงิ คงมิมีภาคสองค่ะ ขอเก็บเป็นภาพความทรงจำแสนงามต่อไป
เอาไว้ให้หัวใจกระชุ่มกระชวยยามแก่เฒ่านะคร้าาาาาาา  :m13:

ป่ะล่ะ? น่ารักป่ะล่ะ?
ซึ้งมากค่ะ!! มันแบบว่า หวานๆ แล้วก็น่ารักมาก!! เราชอบจบแบบนี้ที่สุดเลย
แถมมีตอบได้ขยันขันแข็งสุดๆ เอดูน่าร้ากกกกกก
เพ้อแล้วล่ะ... เพ้อหนุ่มบราซิล
แอบบอกเบาๆ (คิดถึงนะคะ จุ๊บุๆ)

ขอบคุณทุกข้อความนะคะ ดีใจที่ทำให้ทุกท่านยิ้มได้ (แม้บางท่านจะยิ้มไปน้ำตาเอ่อไป งุงิ ข้าพเจ้าขอโต้ดดดดดดดดดดดดดด)

สำหรับท่านที่บอกว่าอยากให้มีตอนพิเศษมาอีก งืมๆๆ ในอนาคตคงมีมาอีกแหละค่ะ
มันยังมีบางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน แต่ไม่รู้จะใส่ลงไปตรงไหนของเรื่องดี

อย่างที่เขียนชี้แจงตอนแรกแหละค่ะว่าตั้งใจว่าเรื่องนี้จะไม่เกินสิบตอน แต่พอคิดไป ย้อนระลึกไป คนเขียนก็พบว่าตอนนั้นมันมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น
บางอย่างเลือนลางไปตามกาลเวลาก็จริง แต่พอตั้งใจคิดถึง.....มันก็ค่อยๆผุดขึ้นมา จนได้ออกมาตั้งเกือบยี่สิบตอนแน่ะ
(แถมยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าอีก กร้ากกกกกกกกกส์)
ไว้คิดว่าจะเล่ายังไงได้จะเขียนมาเป็นตอนพิเศษให้พอแก้คิดถึงเอ๊ดูมันกันนะคะ งุงิ(แอบตาร้อน...เอ๊ดูมันเสน่ห์ดีเกินหน้าเกินตาอิสมัน ชิชะ!)

 :กอด1: กอดรวบทุกท่านเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 06-11-2010 00:30:15
 :กอด1:
จ้า จะตั้งตารอคอยนะคะคุณขา

ขอเอาเสื่อผืนหมอนใบมานอนในกระทู้เลยเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: TaroT ที่ 11-11-2010 07:09:37
อ่านจบแล้วครัาบบบบบบ

ทั้งหวานทั้งน่ารัก แต่ก็มีบรรกาศเหงาๆ จนจุกอก...... :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

อ่านไปยิ้มไป เขินไปเองคนเดียวอยู่หน้าคอม ฯ :o8: :o8: :o8:

แต่ก็เผลอเสียน้ำตาอยู่ตลอดๆ  กับบรรยากาศเหงาๆ :sad4: :sad4: :sad4:

ขอบคุณมากครับ สำหรับนิยายเรื่องนี้........... :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 11-11-2010 10:20:54
ม่ายยยยยยยยยยยย

จะเอาอีกกกกกกกกกกกกกกกก

พี่นุ่นจ๋า มันยังไม่จบน้า มันยังต่อได้อีกจริงๆ เอดูต้องมาเล่าสิว่าเจอมาได้ยังไงอะไรแบบนี้ T^T
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 12-11-2010 22:14:09
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะครับ
รู้สึกอิ่มปนเศร้า มันจุกอ่ะ คนเราต้องรออะไรนานขนาดนั้นได้ อย่างเดียวเลยคือ "รัก"
ขอบคุณมากๆครับ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 12-11-2010 22:54:44
รักกันเหนียวแน่นมากทั้งอิสทั้งเอดู
ในที่สุด!! ตอนพิเศษก็มา!!! 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: อนันตกาล ที่ 19-11-2010 13:16:39
อ่านแล้วชอบนะ ซึ้งๆเบาไม่เศร้าแต่สุขใจ พออ่านเรื่องนี้แล้วเกิดอาการสงสัยต้องไปหาเพลงมาฟัง
ไม่แน่ใจว่าใช่เพลงนี้ไหม พี่นุ่น

http://www.youtube.com/v/-PArDXQX-4M

ฟังแล้วสนุกสนานอยากจับมือใครสักคนลุกขึ้นมาเต้น พอฟังเพลงแล้วก็ไปหาเนื้อเพลงมาแปล
ได้อารมณืประมานเธอคืดแสงสว่างที่สดใส แม้ทุกคนจะเห็นว่าฉันโง่ที่เห็นเธอบนท้องถนนก็ทำให้โลกของฉันเปลี่ยนไป
 :o8: อ๊างงโรแมนติกมากๆๆ  

ถามว่ากาลชอบตอลไหนคงเป็นตอนซ้อนจักยานมั้งไม่เคยไปนั่งซ้อนด้านหน้าใคร อยากอยู่เหมือนกันแต่คงสายเกินไปแล้ว
เรื่องของเอดูกับอิสเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของความรัก ถ้าพูดคงเหมือนรักในวัยเยาว์มั้งที่เราไม่รู้ว่ารักจริงหรือเปล่า
กว่าจะรู้ก็ต้องแยกกันหรือผ่านไปแล้วถึงจะรู้ว่านั่นนะรักแท้  >.<

ปล.อยากให้มีคนมาร้องเพลงนี้ให้ฟังมั่งจัง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 24-11-2010 14:15:22
โห จบให้หวานชื่นนนนนนนน อีกนิดเหอะค่ะ ไรท์เตอร์ขา   :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 28-11-2010 15:04:11
ตามอ่านจนจบแล้วคร่า
มันซึ้งปนเศร้าอ่ะคะ ตอนจบอ่ะ
ดีใจที่ได้พบกันแต่มันยังโหวงๆอ่ะ
ขอตอนพิเศษหวานๆหน่อยคร่า
อยากเห็นคู่นี้หวานอีกรอบ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: JkrR ที่ 30-11-2010 00:09:12
พี่นุ่นค้าบบบ  :กอด1:

ยังอ่านไม่จบ แต่ น่าสนุกมากครับ

ไว้อ่านจบ จะมาเม้นต์อีกที

ขอบคุณล่วงหน้าครับพี่ สำหรับเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: kwa ที่ 18-12-2010 11:00:32
ยิ่งได้อ่านผ่านทีละตอนๆยิ่งซึ้งค่ะคุณนุ่น
ความผูกพันมันเกิดขึ้นจริงๆ น้ำตาร่วงเลย
เป็นความทรงจำที่สวยงาม ยิ้มทั้งน้ำตาจริงๆ
บรรยายไม่ถูกรู้แต่ว่า ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้มากๆ ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: JkrR ที่ 22-12-2010 15:06:13
พี่นุ่น แกล้งผมให้น้ำตาซึมที่ออฟฟิศ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-12-2010 16:04:54
merry christmas
ทุกท่านเลยนะคะ

ตอนแรกตั้งท่าจะเขียนตอนพิเศษๆไอ้ป่วนกะพี่ฟ้ามาให้อ่าน
แต่ไปไงมาไงไม่ทราบ บรรยากาศและลมฟ้าอากาศมันเอื้อ
เลยมีวี่แววว่าจะได้ตอนพิเศษแก้คิดถึงของนายเอดูกะไอ้น้องอิสมาแทน

ไม่เกินคืนนี้น่าจะเสร็จค่ะ (ตอนนี้มาห้าหน้าแล้ว ฮี่ๆๆๆ)

ขอให้มีความสุขกับเทศกาลแห่งความสุขนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:: การเดินทางของกาลเวลา....เมื่อเส้นขอบฟ้าไม่มีอยู่จริง (21/10/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-12-2010 18:53:06
ย่องๆมาแปะตอนพิเศษ

ไม่ทราบจะหวานได้อย่างที่เรียกร้องกันรึเปล่านะคะ
คิดถึงทุกท่านมากมาย และ....คิดถึงเอ๊ดูด้วย  :-[
...............................................................

บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Primeira Neve de Nós


‘We  wish you a Merry Christmas
We  wish you a Merry Christmas
We  wish you a Merry Christmas and a Happy New Year.’


“Iss, onde você vai?”

นั่นไงครับ แค่ผมขยับตัวลุกไอ้คนที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สองมือกอดอกสองเท้าในรองเท้าผ้าใบตระกูลแอร์ยี่ห้อไนท์กี้พาดไปบนกระเป๋าเป้ใบโตที่ตั้งอยู่บนพื้นด้านหน้ามันก็ลืมตาคมๆภายใต้กรอบแว่นขึ้นแล้วส่งเสียงเข้มๆถามว่าจะไปไหนออกมาทันที
เฮ้อ.......ทำอย่างกับว่าภายใต้สถานการณ์เหมือนถูกกักขังชั่วคราวแบบนี้ผมจะไปไหนไกลได้งั้นแหละ

“จะไปห้องน้ำ....”
อ๊ะ......แล้วทำไมผมต้องทำสุ้มเสียงเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นด้วยล่ะเนี่ย ไอ้ตัวและตีนโตนี่มันแฟนนะครับ ไม่ใช่พ่อ!!

“งั้นเราไปด้วย”
เออ! ตามติดเป็นเจ้ากรรมนายเวรเลยนะไอ้บ้า ไม่ไปก็ได้วะ!

ผมกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆกันเหมือนเดิม และพอเห็นผมทำอย่างนั้น
ไอ้ตัวขี้ตามมันก็กลับไปนั่งหลับตาปล่อยตัวตามสบายราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไรสักนิด ท่าเดียวกับเมื่อกี้ไม่ผิดเพี้ยน


ผมมองไปรอบๆซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาแถมยังหลากหลายเชื้อชาติอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้
ติดแหง็กเหมือนถูกขังแบบนี้มาตั้งแปดชั่วโมง จะออกไปไหนก็ไม่ได้เพราะไม่มีวีซ่า หนังสืออ่านเล่นที่พกติดมาก็อ่านจนจบไปเรียบร้อย
จะให้หลับอีกก็ไม่ไหวครับ เพราะผมหลับมาตั้งแต่เครื่องออกจากสุวรรณภูมิไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ


ตอนนี้ผมกับคุณแฟน.....ฮ่าๆๆๆ ขอเรียกมันแบบนี้ด้วยความภาคภูมิใจนิดนึงนะครับ
เพราะกว่าเราสองคนจะลงเอยกันได้ บททดสอบที่ชื่อว่ากาลเวลาก็ทำเอาแทบขาดใจ.....อย่าเพิ่งทนกับความเน่าของผมไม่ไหวเชียว ฮ่าๆๆ
แต่อย่างว่าแหละครับ คนเรามันคู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วกันหรอก
คุณว่าจริงมั้ยครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่เชื่อในพรหมลิขิตเต็มที่....

มาเล่าสถานการณ์ตอนนี้ต่อดีกว่า
คือว่าผม...นายอิสรภาพกับคุณแฟน...นายเอดูวาร์โด้ ตั้งใจจะไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวของมันที่บ้าน หลังจากที่มันไม่ได้กลับไปสามปีเต็มแล้ว
ในขณะที่สำหรับผม.....สิบสามปีเต็มๆที่ไม่ได้กลับไปเหยียบซาน โฮเซ่
.......แผ่นดินที่ทำให้ได้พบกับความรักครั้งแรก และไอ้คนที่นั่งหลับตาปล่อยตัวตามสบายอยู่ข้างๆนี่

หลังเราสองคนเจอกันอีกครั้งที่โรงพยาบาลในดูไบ เราสองคนก็พุ่งเข้าใส่กันแบบไม่ยอมให้อะไรมารั้งเอาไว้ได้อีก
แต่เพราะสังคมของที่นั่นไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ต่อหน้าคนอื่นเราจึงเป็นแค่เพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน เลยต้องหาเรื่องมาเจอกันบ่อยๆ
ส่วนเวลาที่เราอยู่ในที่ที่มีแต่เราน่ะหรือครับ.....เอ่อ....ผมว่าผมไม่เล่าดีกว่า


ก็อย่างที่พวกคุณคิดนั่นแหละ.....ใครว่าความสูงไม่มีผลในแนวราบกัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับมันทุกที.......

ใครบอกไอ้เอดูมันช่างเอาใจ ทำเพื่อผมได้ทุกอย่างกัน
ฮึ่ย!! ผมว่าที่มันทำท่าเอาใจผมน่ะ เป็นเพราะมันเตรียมพร้อมจะเอาคืนมากกว่า
แล้วพอมันเอาคืนแต่ละทีนะครับ.....มันก็เล่นเอาจนคุ้มซะทุกทีเลย


หลังจากผมหมดสัญญาการจ้างงานที่ดูไบ ผมก็ย้ายกลับมาบางกอกครับ เงินเก็บสองปีที่ตั้งใจจะใช้เป็นค่าเดินทางตามหาใครบางคนก็เลยไม่ได้ใช้
ผมหอบเงินก้อนนั้นไปธนาคารขอสินเชื่อเพิ่ม แล้วเปิดคลินิกเล็กๆตามสายวิชาชีพขึ้นบนที่ดินเปล่าของมรดกจากพ่อ
ซึ่งอยู่ในจังหวัดที่ห่างจากกรุงเทพไปประมาณ 120 กิโลเมตร
 
หลังคลินิกก็สร้างบ้านหลังเล็กๆไว้ แล้วให้คุณนายที่เกษียณอายุราชการเรียบร้อยไปทำหน้าที่หลักเป็นคนดูแลเรื่องเงินๆทองๆให้
บ้านหลังเก่าที่กรุงเทพคุณนายท่านก็ให้เด็กนักศึกษาที่เป็นลูกของเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานเช่าอยู่ เด็กมันจะได้ไม่ต้องไปหาเช่าหอแพง

อย่าเพิ่งสงสัยกันนะครับ ว่าระหว่างนั้นนายเอดูวาร์โด้หายไปไหน
ไอ้บ้านี่ติดต่อบริษัทแม่ขอย้ายมาทำงานในประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆเมืองไทยนี่เองครับ มันได้ย้ายหลังจากผมกลับบ้านได้สองเดือน
แล้วผมก็เลยตัดสินใจพามันมาแนะนำตัวในฐานะคนรักกับผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักตั้งแต่วันแรกที่มันหอบหิ้วสังขารทรหดบึกบึนมาโผล่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
แล้วโทรเรียกให้ผมไปรับโดยไม่บอกล่วงหน้า.....

ก็จะให้ทำไงได้ล่ะครับ คลินิกเพิ่งสร้างเสร็จยังไม่ทันตบแต่ง
คุณนายของผมคงตกใจไม่น้อยหรอกที่อยู่ๆผมที่ใส่หมวกเกษตรกร มีผ้าพันคอเก่าเก็บของคุณนายท่านพันตั้งแต่ใต้ลูกตามาจนถึงคอเพื่อกันแดดจะเดินเข้าไปในบ้านเล็กที่สร้างเสร็จใหม่ๆเหมือนกัน แต่มีเฟอร์นิเจอร์แบบบิลท์อินพร้อมแล้วซึ่งคุณนายกำลังออกแรงเสียงบงการให้เด็กวัยรุ่นที่จ้างมาช่วยจากบ้านแถวนั้นวางที่นอนลงไปบนเตียง ในขณะที่ตัวเองเริ่มรื้อหนังสือออกจากกล่องจัดเรียงใส่ตู้ริมผนัง

“อิส.....หน้าตาตื่นเชียว มีอะไร?”
หลังจากผมเข้าไปยืนตรงหน้าแล้วพยายามเรียบเรียงเรื่องที่จะบอกให้เป็นประโยคสักพัก คุณนายท่านก็คงอดทนรอไม่ไหวเลยเปิดฉากถามเอง

“แม่....คนคนนั้นของอิส เขามาแล้วนะ”
รอให้เด็กๆวางที่นอนเรียบร้อยแล้วออกไปเตรียมขนของชิ้นต่อไปกันข้างนอกผมจึงกระซิบบอกกับแม่เบาๆ

“อ้าว.....มาก็ดีสิ แล้วนี่จะมาหาที่นี่หรือว่าจะยังไงล่ะ?”

“แม่....เผื่อว่าแม่ยังไม่รู้ คนคนนั้นของอิส เขาไม่ใช่ผู้หญิงนะแม่”
ผมรวบรวมกำลังใจบอกออกไปในที่สุด แล้วก็รู้สึกเหมือนขอบตาตัวเองร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนกำลังทำให้แม่เสียใจ
แล้วสักพักผมก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจยาว ตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ
พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่า.......แม่กำลังยิ้ม

“เอาเหอะ......ไม่ใช่ผู้หญิง แต่ถ้ารักไอ้ขี้แยของแม่จริงแม่ก็โอเค”


นั่นแหละครับ ผมเลยต้องถอดหมวกเกษตรกร ปลดอุปกรณ์กันแดด แล้วตะบึงรถญี่ปุ่นคันเก่าแก่เข้ากรุงเทพไปสุวรรณภูมิรับไอ้บ้าที่ต้องรอเงกอยู่ที่สนามบินไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง......สมน้ำหน้ามัน

หลังจากวันนั้นเราสองคนก็คบกันระยะไกลมาตลอด ตกลงสลับกันบินไปหาเดือนละครั้ง
อย่างเดือนที่แล้วมันบินมานี่ เดือนก่อนหน้าโน้นผมบินไปหามัน
ได้กอดกันเดือนละสามวัน แต่เราก็รักกันดี ทะเลาะกันนี่แทบไม่มีเลยครับ

ยิ่งคุณนายรับรู้แถมรับได้แบบนี้ ผมเลยรู้สึกสบายใจที่จะรักไอ้บ้าเอดูมันอย่างเต็มหัวใจมากขึ้น
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ไม่รักมันนะครับ....แต่จะว่าไงล่ะ
รักไปรู้สึกผิดไปต้องแอบๆซ่อนๆไป กับรักไปยิ้มกว้างๆกับโลกไป ยังไงมันก็ไม่เหมือนกันหรอกนะครับ


มาใกล้เทศกาลหยุดยาวปลายปีนี้ เอดูมันก็โทรทางไกลมาแง้วๆว่าอยากกลับบ้าน
พอผมบอกว่าก็กลับไปสิวันหยุดมันนี่ มันก็อ้อนให้ผมไปกับมันด้วย มันจองตั๋วเผื่อแล้ว แถมบอกคุณนายของผมเรียบร้อยอีกต่างหาก

......ใช่ครับ ไอ้บ้านี่ยังชอบทำเรื่องที่มันคิดว่าเซอร์ไพรส์ดีไม่เปลี่ยนแปลง แถมคราวนี้ยังเซอร์ไพรส์มากด้วย
ก็.....ผมไม่รู้เลยนี่ครับว่าจะเข้าไปหาแม่มัน ครอบครัวมันยังไง
จะว่าผมตีตนไปก่อนไข้ก็เอาเหอะครับ ก็ผมกลัวว่าถ้าครอบครัวมันรับไม่ได้ ผมจะทำยังไง
ถึงจะมั่นใจว่ามันจะเลือกผม.....แหะๆ ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะครับ แต่มันบอกกับผมแบบนั้นเอง
ว่าต่อให้ครอบครัวมันจะว่ายังไงมันก็ไม่มีวันแยกจากผม แต่.....ผมไม่อยากให้มันต้องเลือกนี่ครับ

แล้วด้วยความเจ้ากี้เจ้าการของมัน ตอนนี้เราสองคนเลยมาค้างเติ่งอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงค์เฟิร์ต
ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิด....แฟรงค์เฟิร์ต เยอรมันนี หนาวมาก จอแจมาก แถมยัง.......เบื่อมากด้วย

เหอะๆๆๆ สิบสามปีผ่านไป สิ่งที่ยังเหมือนเดิมกับการเดินทางครั้งแรกไปซาน โฮเซ่ บราซิล ของผมก็คือ
ไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพถึงบราซิลครับ

ครั้งนี้ไอ้เอดูมันเป็นคนจัดการเรื่องตั๋ว ได้ตั๋วของสายการบินลุฟต์ฮันซามา มีแวะพักที่เดียวคือที่แฟรงค์เฟิร์ตนี่แหละครับ
มันบอกว่าเราจะได้ไปถึงเซา เปาโล ตอนเจ็ดโมงเช้า แล้วไม่เกินเที่ยงก็ถึงบ้านที่ซาน โฮเซ่แล้ว....แถมยังเป็นคริสต์มาสอีฟพอดี
‘นอนพักพอหายเหนื่อย แล้วกลางคืนเราจะได้ไปรำลึกความหลังกันที่เนินดูดาวของเราไง นะอิสนะ’

มันว่าอย่างนั้นแถมส่งเสียงออดอ้อนซะ แล้วผมที่ขนาดมันไม่อ้อนก็รักมันจะตายอยู่แล้ว จะใจแข็งตอบปฏิเสธไหวเหรอครับ
เลยพลอยฟ้าพลอยหิมะมาติดแหงกอยู่ที่แฟรงค์เฟิร์ทนี่ แทนที่จะหยุดพักเครื่องตามกำหนดแค่สามชั่วโมงแล้วไปต่อ
เป็นไงล่ะครับ พายุหิมะเข้า สภาพอากาศไม่อำนวย......แปดชั่วโมงเต็มๆแล้วครับ
แล้วไอ้ผนังกระจกนี่ก็แสดงสภาพอากาศภายนอกอาคารซะจนผมแน่ใจ.....
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหิมะใกล้ๆนอกจากหิมะที่เมืองหิมะในดรีมเวิรลด์ ว่าต่อให้รุ่งขึ้นอีกวัน สภาพอากาศก็คงไม่อำนวยอยู่ดี

ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงกรี๊ดใส่หูไอ้คนชวนไปแล้ว แต่นี่ผมกรี๊ดไม่เป็นครับ จะให้ทำไงได้
ไอ้บ้าข้างๆนี่ก็นิ่งดีแท้ ทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวสักนิด
.......ไหนล่ะ คืนคริสต์มาสอีฟกับเนินดูดาว ไหนล่ะไปรำลึกความหลังกันสองคน?!



“Onde você vai, meu bem?”


อ๋า.......ดูมันสิครับ พอผมคิดโน่นคิดนี่เสียว้าวุ่นจนจะลุกขึ้นไปเดินไปเดินมาอีกรอบแล้วเลยเผลอขยับตัวนิดเดียว
คุณแฟนที่นั่งหลับตาพิงพนักอยู่ก็เลื่อนปากตัวเองมาอยู่ที่ข้างหูแล้วกระซิบคำพูดแบบนี้ซะได้.....จะไปไหนครับ,คนดีของผม?

ไม่ใช่แค่นั้น ไอ้คุณแฟนยังสอดแขนของมันที่เมื่อกี้ผมยังเห็นว่ากอดอกอยู่หลวมๆมาโอบไหล่ผม แล้วรั้งให้ซบลงไปที่บ่าของมันอีก

ผมจะทำไงได้ล่ะครับ ไม่มีแรงจะขืนตัวออกซะง่ายๆ อายครับ......ก็ใครว่าฝรั่งมักไม่สนใจเรื่องของคนอื่นเล่า
ในเมื่อคู่รักหัวทองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แถวตรงกันข้ามผม ห่างไปไม่ถึงสองเมตรนั่นกำลังมองมา แถมคนผู้หญิงยังอ้าปากค้างด้วย

“Edu!!”
ผมทำเสียงโหดแบบกระซิบๆเรียกมันครับ มันจะได้รู้ตัวว่านี่เราอยู่ท่ามกลางสายตาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนคนอื่นนะเว้ยเฮ้ย แต่.......

“รู้หรอก....ว่าที่อารมณ์เสียเพราะกลัวไปถึงบ้านไม่ทันคืนคริสต์มาสอีฟใช่มั้ยล่ะ”
ผมน่ะ ทำเสียงเข้มครับ แต่ไอ้บ้านี่มาเหนือเมฆเล่นจุดอ่อนทำเสียงรู้ทันยั่วกันซะงั้น

“เฮ้ย....ใช่ที่ไหนเล่า”
ง่า......เพราะอากาศมันหนาว แล้วก็ต้องติดอยู่กับที่นานเกินไปหรอก ไม่ใช่อย่างที่มันบอกซะหน่อย

“ah…..é?” ......เร้อออออออ?

“ก็.......ก็อุตส่าห์วางแผนไว้แล้วนี่......น่าเสียดายออกไม่ใช่เหรอ....”
จนได้ครับ ก็แหม.....มีไอ้บ้ามากระซิบอยู่ข้างหูแบบนี้ แถมไอ้บ้าที่ว่ายังรู้จักรู้ใจกันขนาดนี้ ปฏิเสธไปก็เมื่อยปากเปล่านะครับ


เมื่อผมยอมรับออกไปง่ายๆ เอดูมันก็ดันตัวผมออกแล้วลุกขึ้นยืน
พอผมเงยหน้ามอง มันก็คว้าเอากระเป๋าเป้ที่รองเท้าอยู่เมื่อกี้ขึ้นสะพายไหล่ แล้วดึงมือให้ผมเดินตาม
ไม่ได้ถามมันหรอกครับว่าจะไปไหน
จนมันเดินมาถึงเคาน์เตอร์รับฝากสัมภาระนั่นแหละ ถึงได้เข้าใจว่ามันจะเอาเป้ที่ถือติดขึ้นเครื่องแต่น้ำหนักไม่ใช่น้อยมาฝาก

หลังจากนั้นมันก็เดินจูงมือผมเข้าซอกโน้นออกซอกนี้ ปากก็ฮึมฮัมเพลงเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสที่ทางสนามบินเปิดวนไปวนมาจนร้องตามได้ทุกเพลงแล้วไปด้วย
ผมไม่รู้ตัวหรอกครับว่าอารมณ์บูดๆที่มีอยู่มันหายไปทางไหนหมด รู้ตัวอีกทีก็ร้องเพลงประสานเสียงกับมันไปเรียบร้อยโรงเรียนเอดูแล้ว


“อิส......เคยเห็นหิมะรึเปล่า?”

“เคยเห็นแต่หิมะที่เขาสร้างขึ้นน่ะ ของจริงก็เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกนี่แหละ”
พอผมตอบไปแบบนั้น เอดูมันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วครับ จัดการแกะห่อตัวผม......คือผมหมายถึงผ้าพันคอน่ะ
แล้วขยับพันให้ใหม่จนกระชับ หยิบถุงมือที่ผมถอดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตสีดำตัวหนาออกมาใส่ให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะจัดการกับตัวเองบ้าง

ผมคิดว่าผมรู้นะว่ามันจะทำอะไร แต่......มันหนาวนะเว้ย เอาจริงอ้ะ?
ไม่ต้องเสียน้ำลายถามครับ เพราะคุณแฟนที่รักมันเอาจริงแน่นอน
แล้วผมก็เต็มใจที่จะให้มันลากไปจนเราสองคนหลุดออกจากประตูหนาๆที่กั้นเราจากโลกสีขาวด้านนอกเอาไว้จนได้

เกล็ดหิมะกำลังร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่างจากสายฝน
และบนพื้นที่เรากำลังเหยียบยืนอยู่ก็ปกคลุมไปด้วยหย่อมสีขาวกระจัดกระจายทั้งๆที่ยังเห็นไฟจากท้ายรถกวาดหิมะห่างออกไปไม่ไกล

ผมอดใจไม่ไหวถอดถุงมือออกทั้งสองข้างแล้วใช้มือเปล่านั่นแหละแบออกรอรับเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง
ปุยสีขาวที่เห็นว่าสวยนั่น เพียงแค่สัมผัสถูกก็ละลายกลายเป็นหยดน้ำอย่างรวดเร็ว
พอหันกลับไปมองไอ้ตัวต้นคิดอีกครั้งก็เห็นสายตาอบอุ่นทอประกายอ่อนหวานมองจับมาอยู่ก่อนแล้ว

“นี่ก็ครั้งแรกเหมือนกัน.....ที่เราได้เห็นหิมะจริงๆ เราดีใจนะที่ได้มาอยู่ที่นี่ แล้วได้เห็นมันเป็นครั้งแรกกับอิส”

ผมเอื้อมมือขึ้นปัดปุยสีขาวเย็นเฉียบที่ยังไม่ละลายบนบ่าหนาของเอดู อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรักผู้ชายตรงหน้าเพิ่มขึ้นอีก....
ตอนนี้ยังไม่เช้า ขอผมทำอะไรตามใจสักนิด คงไม่มีใครอิจฉาหรอกนะครับ

ผมไม่เสียเวลาเหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมีสิ่งมีชีวิตกำลังมองมารึเปล่า แต่เขย่งตัวขึ้นวางมือทั้งสองข้างทาบลงกับบ่าของไอ้คนบ้าแต่น่ารักตรงหน้า
แล้วก็ไม่รอให้มันตั้งตัว แต่แตะจูบลงไปบนริมฝีปากแดงจัดเพราะอากาศหนาวของคุณแฟนคนดีหนึ่งครั้งเน้นๆ
ก่อนผละออกมาแล้วกระซิบเบาๆว่า
“é primeira neve de nós…vou lembrar disso até o dia que eu morrer.”

หวานไปมั้ยครับ....ที่ผมบอกกับเอดูแบบนั้น.....
บอกว่าจะจำหิมะแรกของเราสองคนตลอดไป จนกว่าจะถึงวันตายนั่นเชียว


เอาเถอะครับ ผมอนุญาตให้ทุกท่านโก่งคออาเจียนโถใครโถมันได้ตามสะดวก
แต่ ณ เวลานี้ ผมมีความสุขที่สุด แล้วก็รู้สึกทุกอย่างตามที่พูดจริงๆซะด้วยสิครับ

ไอ้ความกังวลว่าเวลาเจอครอบครัวมันแล้วผมจะทำยังไงมันสลายไปเหมือนกับหิมะที่กลายเป็นหยดน้ำแล้วแทรกซึมไปตามพื้นทางเดินเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่ที่เอดูมันรั้งตัวผมเข้าไปจูบบ้าง แล้วกอดผมเอาไว้แนบอก ปล่อยให้ผมซุกตัวรับไออุ่นจากตัวมัน
แล้วก้มลงมากระซิบที่ริมหูว่า......

“Feliz natal, meu bem…..”
ใช่ครับ......Merry Christmas คนดีของผม.


....................................................................................
..จบตอนพิเศษค่ะ..

♥ขอให้ทุกท่านมีความสุข และอบอุ่นหัวใจกับครอบครัว กับเพื่อน กับคนรักนะคะ ♥
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 26-12-2010 19:26:42
น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อ่านรวดเดียวจบเลยค่า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: RakorN ที่ 26-12-2010 19:47:23
อ่านเพลินจบแบบไม่รู้ตัว  o22
ถึงนานๆมาทีอิสเอดูก็คงหวานและโรแมนติกได้ตลอดเว ไม่เคยผิดหวังกับคู่นี้เลยจริงๆ สภาพอากาศแบบนั้นเขายังจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสกันได้เลยอ่ะ  :m3: ถ้าได้ตอนพิเศษปีใหม่อีกสักตอนก็จะดีมากๆเลยค่ะคุณนุ่น เอ๊ะ เอ๊ะ พูดอารายออกไปน๊า  :oni1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 26-12-2010 19:55:01
เป็นไวท์คริสมาร์ตที่หวานมากๆค่ะนุ่น อยากทำแบบนี้บ้างจัง แต่ขอขึ้นแอดวานท์กว่านี้อีกหน่อยเรียกเหงื่อแก้หนาว คริๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 26-12-2010 20:50:54
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดส์

กรี๊ดให้หลอดเสียงตัวเองแตกไปเลย

ชอบมากค่ะ จูบท่ามกลางหิมะตก คุณนุ่นขา หวานมากค่ะ ชอบมากเลยค่าา รักจริง รักนาน รักแท้อะไรขนาดนี้

ประโยคสุดท้ายนี่ดิฉันเอาไปใส่กูเกิ้ลแล้วแปลได้ความว่า...

“Feliz natal, meu bem…..”

แปลดังนี้...

"Merry Christmas, baby ... .."

ค่ะ...ตามนั้น

ตรงคริสต์มาสเนี่ยมันก็ยังธรรมดา แต่ตัวสุดท้ายนี่สิ เบบี้ แอร๊ยยยยยยยยยยยยยย ลองจินตนาการเจ้าเอดูมันพูดแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดด อีกรอบ น่ารักค่ะน่ารัก พยายามว่าจะเอาประโยคที่เอดูหรืออิสพูดแปลเป็นอังกฤษในกูเกิ้ลเพื่อให้ได้ฟีล และก็พบว่าเจ้าเอดูเรียกอิสว่า "เบบี๊" บ้างล่ะ "ฮันนี๋" บ้างล่ะ วุ้ย หวานค่ะ :กอด1:

รออ่านตอนพิเศษตอนต่อไปนะคะ

คิดว่าน่าจะมีตอนต่อไปเพราะเหมือนจะยังไม่ถึง ซาน โฮ เซ่ นี่คะ??? หุหุ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 26-12-2010 21:00:53
+1 สำหรับตอนหวาน ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 27-12-2010 00:04:30
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก  :m3:
หิมะกลายเป็นน้ำแข็งไสเลยค่ะพี่นุ่น
หวานมั่กกกก ชอบมากๆด้วยค่ะ  :-[
มีความสุขจังเลย ดีใจที่อิสกะเอดูได้คบกับแบบเต็มตัววะที

ขอบคุณมากๆนะคะพี่สาวที่น่ารัก มั๊วะๆๆๆๆ  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Mercy ที่ 27-12-2010 02:08:29
กรี๊ดดดดดดดด เพิ่งจะเห็นนนนน

ในที่สุดๆๆๆ ก็ได้คบกัน คุณแม่น่ารักจัง

คบกันแล้ว เอดูยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม มากๆๆๆ
อิสก็น่ารักเหมือนเดิม กรี๊ดดดดด พูดไม่ถูก แต่ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ต่อ

ชอบมากๆ มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 27-12-2010 08:58:52
(http://i620.photobucket.com/albums/tt285/yyza/Emo/1184758011.gif)

ก่อนอื่นใด คุณแม่เยี่ยมมาก ที่สุดในสามโลก คึคึ
แล้วจะผิดไรไหม...ถ้าคนอ่านจะคิดลึก ว้ากกกกกกก
"พอมันเอาคืนแต่ละทีนะครับ.....มันก็เล่นเอาจนคุ้มซะทุกทีเลย" ฟาดๆๆๆๆ เพี้ยะๆๆๆๆ
เป็นคริสต์มาสที่ชมพูวิ้งมากเหอะ อิจฉา(สะบัดบ๊อบ~!!)
ว่าแต่...ตัวป่วนกะพี่ฟ้า ไหงมาโผล่แถวนี้ได้อ่ะเจเจ้ กร๊ากกกกกก
มาซะไกล แต่ก็ถูกใจคนอ่านมากค๊
(แอบกัดผ้าเช็ดน้ำหมากเน้น ๆ )

 :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 27-12-2010 11:28:48


หิมะหวานปานนำตาล อิอิ
 :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: i1_to*pp ที่ 27-12-2010 11:46:42

น่ารักมากๆ หวานที่สุด  :-[
เอดู  :man1:
บวกสำหรับความหวานค่ะพี่นุ่น
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 27-12-2010 19:11:35
ตอบเมนท์ดันตัวเองสักนิด รู้สึกเหมือนเรททิ่งต่ำ
เข้าใจ(ไปเอง)ว่าแควนๆของอิสกะเอดูจะไม่เห็นว่ามีตอนพิเศษมาส่ง ฮี่ๆๆๆ


น้องหนึ่งคะ จุ๊บๆ กอดๆ น่ารักเน้อออออออออออ
(พี่นุ่นหมายถึงอิสนะ มิใช่เอ๊ดู ไอ้บ้านั่นเสน่ห์ดีเกินไปแล้ว อิสมันกระซิบมาว่าตาร้อนผ่าวๆ คริคริ)

บุ้งกี๋เอ้ยยย  หิมะหวาน อร่อยอะเด้ โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นึกถึงภาพผู้เขาน้ำแข็งไสราดน้ำเชื่อมงิ

ดาด้า บร้าๆๆๆๆๆๆๆ เด็กคนนี้นี่ ทะลึ่งตึ่งโป๊ะ!! (แต่เจ้ทะลึ่งกว่าเพราะเป็นคนเขียน กร๊ากกกกกกกกกก)
แล้วมาเนียนทวงไรแถวนี้ ...เดี๋ยวถามพี่ฟ้าก่อนนะ ปีใหม่วางแผนพาไอ้ป่วนไปสวีทวี้ดวิ้วที่ไหนรึเปล่า คริคริ

คุณไนท์ขราาาาาาาาาาาา แบบว่าถ้าอัพเรื่องของคู่นี้แล้วไม่เห็นคุณไนท์มาอ่านจะรู้สึกโหวงเหวง กอดค่ะ แล้วน้องเลิฟล่ะคะ? (เนียนๆอ้อนๆ)

นุ้งพาร์จ๋าาาา คริ >///////< เขินเนอะ คู่นี้อ้ะ ทำไรกันมิรู้ว บร้าๆๆๆๆๆๆ ((จุ๊บุๆนุ้งพาร์ตอบก่อน))
อื้ม.....เขาคบกันแล้ว ตอนนี้สถานะของเอ๊ดูจากปากอิสคือคุณแฟน ส่วนสถานะอิสจากปากเอ๊ดูก็...คุณคนดีของผม เอร๊ยยยยยยยยยย

พี่ไอฟอร์กิฟ กอดค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่สม่ำเสมอนะคะ /l\

คุณWordslinger คุณแควนปันแต๊เอ๊ดูกะอิส คริคริ กรี๊ดเสียงดัง ระวังเจ็บคอนะคะ ปาปาก็ไม่อยู่ช่วยดูแลแล้วด้วย
เหลือกันแค่เด็กน้อยไลม์ที่เพิ่งค้นพบว่าตัวเองมิไจ้คนธรรมดากะมังกรขาดสารอาหารตัวนึงเท่านั้นเอง หงิงๆ
(เนียนไม่ตอบเรื่องตอนไปถึงบ้านเอ๊ดู ยังคิดไม่ออกเลยเอยงิ)

พี่พีน้าททททท พี่พีนัททะลึ่งตึงตังนะคะ จะทำไรกันอ้ะคะ แก้หนาวด้วย กึ๋ยๆ (ถามความสมัครใจนุ้งเอกแล้วยังคะ? เผื่อน้องเขากลัวความหนาวงิ)

คุณรกร คริคริ นุ่นเขียนไปเขินไปค่ะ แบบว่าพอดีตั้งท่าเขียนตัวป่วน แต่ดันหาข้อมูลโน่นนี่เพลินเปิดไปเจอข่าวสนามบินแถวยุโรปยกเลิกเที่ยวบิน
แล้วก็นะ สายการบินตามท้องเรื่องนั่นเขาหยุดแฟรงค์เฟิร์ทก่อนไปต่อเซา เปาโล สามชั่วโมง เลยปิ๊งๆขึ้นมาน่ะค่ะ
(เมื่อวานตอนตื่นเช้าลมเย็นพัดนานด้วยแหละ เลยคิดถึงเอ๊ดูมัน งุงิ)

คุณเลิฟทูวายยยยย อ่านรวดเดียวปวดตามั้ยคะ? แต่เรื่องนี้ขนาดเหมาะมือเนอะ ไม่ยาวมาก
ถ้าชอบไม่ชอบ รู้สึกมันไม่สมจริงตรงไหนก็มาให้ความเห็นไว้ได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^o^

และ........กอดรวบทุกท่านแน่นๆค่ะ  :กอด1:



บวกหมับแล้วกระโดดกอดเบาๆค่ะ
v
v
v
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 27-12-2010 20:08:38
ตอนคริสต์มาสกับหิมะใส่น้ำหวานรึเปล่าคะ ถึงได้หวานเย็นสดชื่นขนาดนี้
น่ารักนักหนานาย Edu น่ารักได้ตลอดเวลาจริง ๆ ขอบคุณสำหรับตอน
พิเศษที่แสนจะหวานสดชื่นในช่วงบรรยากาศวันคริสต์มาส   :pig4:
ปล. ขอสารภาพว่าไม่เห็นตอนพิเศษจริง ๆ เลยเข้ามาอ่านช้าไปหน่อย
ขอโทษด้วยค่ะ please ! ..
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 27-12-2010 20:26:19
^
^
^
จิ้มๆไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ
ข้าพเจ้าดันตัวเองเรียกเรททิ่งไปงั้นแหละ

(ไม่ใช่อะไรค่ะ ตั้งท่าจะเริ่มเขียนเรื่องที่อยู่หน้านิยายปัจจุบันอยู่แต่ว่ายังหาคำที่ถูกใจไม่ได้เลยมาวิ่งเล่นในกระทู้นี้ แหะๆ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wins_Sha ที่ 27-12-2010 20:47:32
ว้าวววว

ดีนะที่เปิดเข้ามา

ได้มาอ่านฉากหวานๆๆๆๆ

คิดถึงอิสกับเอดูมากเลย

เมื่อวานพึ่งกลับไปอ่านรอบสองมา

อิอิ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: JkrR ที่ 27-12-2010 22:30:13
อิจฉาตาร้อน

ว่าแต่เอาคืนอะไรหรอครับ  :haun4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 27-12-2010 23:02:44
ตอบ น้องนุ่น
ไม่ต้องถามขานั้นหรอกค่ะ อากาศเย็นๆ นุ่งเอก ใส่แต่บ๊อกเซอร์
เปิดแอร์ 25 องศา
แถมเปิดพัดลมเบอร์ 3 จ่ออีกต่างหาก
แต่พี่นอกจากชุดนอนแขนยาวเต็มยศยังขดตัวหุ้มห่อด้วยผ้านวมเนื้อหนาม้วนเป็นดักแด้
ตกดึกยังต้องย่องปิดแอร์ปิดพัดลมเอา คิดดูดินุ่น ว่าเอกมันจะไม่ชอบอากาศหนาวไหม 555
ส่วนเรื่องบะโอบะ
เค้าบ่าวทะลึ่งนะ
ก็แค่ หนาวเนื้อห่มเนื้อจึงจะหายหนาวมิใช่เหรอ คริๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 27-12-2010 23:41:40
ว้าวววววววว ในที่สุดก็คบกันอย่างเปิดเผย
น่ารักจริงๆ หวานด้วย อ่านแล้วกระชุ่มกระชวย
เอดูกับอิสยังน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-12-2010 10:30:34
เย๊...

เข้าหาแม่ เปิดเผยจริงใจอย่าได้แคร์ ผิดถูกโทษเอดูไปเนอะอิสเนอะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nonae ที่ 28-12-2010 19:20:51
 :กอด1: นุ่น อิส และ เอ๊ดู เอ..ไม่ใช่แล้วดิ แปรสภาพเป็นคุณแฟนไปแล้ว อิอิ
 คุณแฟนเอาคืนซะ...คุ้ม...ก็แน่หล่ะ ยังเปิดเผยไม่ได้นี่นะ มีโอกาสทั้งทีต้องกอบโกยเอาไว้ก่อน  :jul1:
  :z3: ทำให้อิจฉาอีกแล้ว จะหวีด วี๊ด วิ้ว ไปถึงไหน  
  บวกให้กับตอนนี้ด้วย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 30-12-2010 11:43:21
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  !
น้ำตาไหลด้วยความยินดี   
รักพี่นุ่นสุดหัวใจ  แต่รักอิสกับเอดูมากกว่า  55555
หวาน หวานจริง ๆ ค่ะ   > /// <
เค้าไม่อ้วกน่ะอิสแค่เขินแทน  คู่นี้่น่ารักจริง ๆ
ระยะเวลาก็ไม่สามารถกั้นความรักของสองคนนี้ได้   ; )
จะปีใหม่แล้วอย่าลืมตอนพิเศษน่ะค่ะพี่นุ่น

อิส & เอดู  ตลอดไป   
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 30-12-2010 21:23:19
ตอบเมนท์ดันตัวเองอีกดีกว่า

คริคริ แบบว่าเห้นมีเด็กทะลึ่งตึงตังมาอีกคน


น้องหนิงคะ.......มาโชกเลือดอะไรแถวนี้คร้าาาาา เอ๊ดูมันก็แค่เอาแต่ใจให้ไอ้น้องอิสเอาใจมันเอาคืนไงคะ (ส่วนเอาใจเรื่องอะไร... >/////<)

พี่พีนัท.....ถ้าทำจริง อย่าลืมเก็บหลักฐานมาเผยแพร่นะคะ โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ บร้าๆๆๆล้อเล่น!!

คุณ Wins_Sha......ดีใจที่ชอบค่ะ กลับมาอ่านรอบสองด้วยเร้อ จุ๊บุๆ ปลื้มมมมมมมมมมมมมมมมมมม

เมย์จ๋า(ตีซี้งิ).........ใช่ๆเค้าเปิดเผยกันแล้ว อย่างน้อยก็กับครอบครัวและเพื่อนๆอะนิ รักไม่ต้องปิดบัง สุโขสโมสรเมิกกกกกก

น้องไจฟ์น้องที.........เข้าตามตรอกออกตามประตูโดยแท้ (ส่วนที่เวลาอยู่ในที่ลับกึ๋ยๆไรไปนั่นไม่ต้องบอกแม่หรอกนิ แค่มองก็รุ้แล้วนิ)

โนเนะจ๋าาาาาาา.........มาตาร้อนไรเล่า โนเนะก็เอาบ้างจิ ไปสวีทกะผิงผิงโลด โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ

น้องiaxezier .......คนนี้แควนปันแต๊อิสเอ๊ดูนี่นา สองคนมันน่ารักเนอะ  :o8: ไอ้ที่บอกว่ารักพี่นุ่นสุดหัวใจแต่รักไอ้สองคนนี้มากกว่านี่มันแปร่งๆนะคะ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก แต่ไม่เป็นไรค่ะ เป็นคนเขียนต้องไม่อิจฉาตาร้อนตัวละคร ฮี่ๆๆๆๆ

เอาล่ะ เรื่องนี้สักหน้าหนาวปีหน้านุ่นจะทำเล่มนะคะ ต้องเก็บตังค์นานนิดเพราะคิดว่าคงเข้าเนื้อแน่ๆ
(แต่อยากเก็บเป็นรูปเล่มเอาไว้ส่วนตัว 555555 ถึงกับออกแบบภาพปกไว้ในใจเรียบร้อย) ถ้าท่านไหนอยากได้ก็มาทิ้งข้อความไว้ได้นะคะ
ลองแปลงเป็นร่าง A5แล้วอยู่ที่ประมาณ 245หน้า กำลังเหมาะมือถือพกเชียวค่ะ ^o^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pandaๅ123 ที่ 30-12-2010 23:18:58
จะ
จับ
จอง

1

จัดๆ

 :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 30-12-2010 23:21:40
เข้ามาดันกระทู้เรียกเรททิ่งด้วยคนค่ะ :laugh:

วิ่งเข้าวิ่งออกกระทู้นี้เป็นประจำ เมื่อหลายวันก่อนก็เพิ่งอ่านเอ๊ดูกับน้องอิสจบไปอีกรอบ อ่านไปอ่านมาก็เผลอคิดว่า ยังไงน้องอิสก็เสร็จเอ๊ดูไปแล้ว งั้นดิฉันขอน้องกีมาเป็นแควนแล้วกันนะคะ เห็นพ่อคุณเค้าได้รับแห้วเต็มกระบุงไปจากน้องอิสชนิดที่ว่าเชื่อมกินไปถึงหนาวปีหน้าก็ไม่หมด :laugh:

แบบ...แพ้ผู้ชายตาสีฟ้าเป็นพิเศษ แอร๊ยส์ :jul3:

ปล. ขออนุญาตตบคุณนุ่นด้วยความรัก ทำไม? ก็คุณนุ่นกล่าวอ้างถึงเรื่องสั้นของดิฉันข้ามกระทู้ค่ะ :laugh:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 31-12-2010 08:36:17
ตอบนุ่น
ว่าเค้าทะลึ่งแต่ตัวเองก็อยากดู 555
 
หลักฐานอะไรไม่มี๊ไม่มีนะคะ แฮะๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 31-12-2010 09:50:42
“Feliz natal, meu bem…..”

 :-[ หวานใส่กันอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 31-12-2010 09:56:25
 :z13: :z13: :z13:

หาตัวมานานมาก 555
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในคŪ
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 31-12-2010 15:47:55
Eu adorei essa novela muito !!!!
ชั้นรักนิยายเรื่องนี้ม๊ากกกกกกก

(มาจากกู๋ค่ะ ผิดๆมั่วๆ ไม่ว่ากันนะ ^^")

คิดถึงมากๆเลย พอรู้ว่ามีนะ รีบวิ่งเข้ามาอย่างด่วน
หนุ่มอิสกับเอดูน่ารักเหมือเดิม ชื่นนนนใจ!!
ขอบคุณคุณนุ่นค่ะ
รับรอง ออกเล่มแล้วซื้อแน่ !!

ปล. คิดคำพูดหรูๆได้แล้วล่ะ !!

"บทที่หนึ่งในความทรงจำ.... จะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดบทหนึ่งของเราตลอดไป"

ให้คุณนุ่น... ซึ้งป่ะคะ ?

***
THX นะคะคุณกระทู้ล่าง ^__^
v
v
v
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 31-12-2010 15:51:36
คุณนุ่นซึ้งไม่ซึ้งไม่รู้

แต่ดิฉันซึ้งค่ะ ชอบบบส์

ปล. บวกหนึ่งให้นะคะคุณกระทู้ข้างบน
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 31-12-2010 16:17:11
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษครับ ยังหวานได้เหมือนเดิม อ่านแล้วอิ่มเลยครับ
Happy New Year!!!!!!
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: เพื่อนบ้าน ที่ 01-01-2011 14:58:49
ครื๊อออออออออออ ~~ มาอ่านรวดเดียวจบเลย เหอๆๆ
บอกตรงๆตอนแรกไม่กล้าอ่าน กลัว -*-
กลัวจะใจง่าย อ่านแล้วหลงรักพระเอก(นิยาย)ของพี่นุ่น
เหมือนที่หลงรักพี่ฟ้า -////-

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเอ๊ดูไม่น่ารักนะค่ะ น่ารักมากๆเลย
แต่ไม่ตกหลุมรัก ฮ่ะ ๆๆ
แต่ก็ไม่แน่ว่าถ้าเรื่องนี้ยาวเหมือนเรื่องรัก
ก็อาจจะตกไปไม่รู้ตัวเหมือนกัน เหอๆๆ
(เป็นอะไรไป แพ้ทางหนุ่มแว่นแสนดีหรืออย่างไร)

แต่ว่าสงสัยอ่ะ ตั้งแต่เรื่องพี่ฟ้าล่ะ
เวลาจูบกับคนใส่แว่นอ่ะ มันไม่ติดแว่นหรอค่ะ ?
ครื๊ออออ .. จะถามทำไมว่ะเนี่ย   :-[

บทที่หนึ่ง ..
เป็นเรื่องรักแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ อาจเพราะมันเป็นเรื่องจริง
ก็เลยไม่ได้เห็นอะไรหวือหวาสักเท่าไหร่
แล้วก็โรคจิตอ่ะพี่นุ่น พอพี่นุ่นบอกมันเป็นเรื่องจริง
แถมเจ้าของเรื่องยังเป็นผู้หญิงอีก

เวลาอ่านไปๆ มันก็เหมือนจะมีพรายมากระซิบอยู่ข้างหูตลอดเวลา
ว่า อิสเป็นผู้หญิง ๆๆๆ จริงหรือแต่ง ๆๆๆๆ
หน้าตาตัวเองตอนอ่านเลยประมาณว่า ยิ้มค้างๆอินๆ
แล้วก็ขมวดคิ้วสงสัย สลับกันไปมา บ้าไปแล้ว

แต่ก็เหอะ เพราะเค้าเป็นผู้หญิงไง ก็เลยอินไปกับการเริ่มรักด้วย
เจอใครมาทำอย่างงั้นให้ ไม่รักก็บ้าแล้วล่ะ เหอๆๆ
ชอบตอนท้ายๆที่เค้าเริ่มจะรู้ใจกันแล้วอ่ะ
ตอนที่อิสทำน้ำร้อนลวกตัวเอง คำพูดแถวๆนั้นแหละ
ไอ่ที่บอกว่าอยู่ในรัศมีมองเห็นกันและกันตลอด และสัมผัสกันทุกครั้งที่มีโอกาส(ประมาณนั้น)
คือไม่ได้ลามกนะ แต่นี่แหละคือความรัก เค้าชอบความรู้สึกและการกระทำแบบนั้นอ่ะ

และก็ยังมีอีกหลายตอนที่ชอบเลย เอ๊ดูช่างใส่ใจ โรแมนติกด้วย
แต่ไม่อยากรื้อฟื้นมาเพ้อให้อิจฉาอิส เหอๆๆ
และถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะจบแบบแฮปปี้ แต่ก็มิวายทำน้ำตาตกตอนจบอยู่ดี
เค้าไม่เข้าใจว่ามันแฮปปี้ตรงไหนอ่า  :sad2:

เมื่อไหร่ก็ตามที่คนสองคนต้องบอกลากัน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ไม่ว่าจะเข้าใจมันแค่ไหน
แต่มันก็คือความเศร้าอยู่ดีอ่ะ

เค้าชอบตอนอิสโทรมาลาด้วย ทั้งซึ้ง ทั้งเศร้า
น้ำตาไหลพรากๆเลยแหละ ไม่รู้ทำไม อายตัวเองจริงๆ  :o11:

แต่ .. แต่ พระเจ้าก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป โฮะๆๆ
สุดท้ายระยะเวลา 10 ปีก็ทำให้ทางเดินของทั้งสองคน
มาบรรจบกันจนได้ แบบนี้สิเค้าเรียกว่าจบแบบแฮปปี้ เช๊อะ !!  :a14:

พี่นุ่นนนนนนน ถ้าจะรวมเล่มเรื่องนี้เค้าก็อยากได้นะ
แต่คงไม่มาพร้อมๆกับพี่ฟ้าใช่มั้ย ??
ครือออ ไม่อยากต้องเลือกใคร อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนอ่ะ เหะๆ  :z2:

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 01-01-2011 15:53:48
ตอนพิเศษหวานมาก
แม่อิสเข้าใจลูกดีมาก
การรอคอยใครเป็น 10 ปี แบบนี้คู่นี้
ไม่รู้จะมีบ้างไหม

ขอบคุณคนแต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 06-01-2011 21:56:12
ไม่พลาดค่า   มาลงชื่อแบบเงียบ ๆ
คราวนี้รักพี่นุ่นจริง ๆ  ฮ่าๆ   ♥♥
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: SJ ที่ 07-01-2011 17:52:42
ตอนพิเศษ ตอนพิเศษ ตอนพิเศษ -- เข้ามาแง้วๆ  :z2: :z2: รับความหวานเพิ่มไปด้วย  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Hachi_an1234 ที่ 01-02-2011 08:48:34
เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรกฮํบ.. อ่านรวดเดียวเลยอะ..
เอดูเป็นคนดีมากอะ... แบบเอาใจใส่อิสตลอดเวลาอะ...
ยิ่งช่วงที่อิสแบบนะ... รักกันแล้วอะ... เจ๋งมากเลยพี่...... น่ารักมากก.. นั่งตักกันตลอดดดเลยอะ...
ฮุๆๆๆ
อยากได้ตอนพิเศษอีกอะฮับบบ...  รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 06-02-2011 08:47:45
ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เพิ่งเข้ามานะคะ

ตอบเมนท์จั๊กน้อย อิอิ

เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรกฮํบ.. อ่านรวดเดียวเลยอะ..
เอดูเป็นคนดีมากอะ... แบบเอาใจใส่อิสตลอดเวลาอะ...
ยิ่งช่วงที่อิสแบบนะ... รักกันแล้วอะ... เจ๋งมากเลยพี่...... น่ารักมากก.. นั่งตักกันตลอดดดเลยอะ...
ฮุๆๆๆ
อยากได้ตอนพิเศษอีกอะฮับบบ...  รอๆๆๆๆ
งืมๆๆเอ๊ดูมันดูเป็นคนดีเนอะคะ เพราะอิสมองมันในแง่ดีไง กร๊ากกกกกกกกกกกกกก
สวีทกันน่าอายออก เอะอะก็กอด เอะอะก็นั่งตัก  :-[

พีใจที่น้องชอบเรื่องของสองคนนี้นะคะ เรื่องรักแนวเด็กน้อย เรทPG15 ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ปล.สำหรับท่านที่ถามหาตอนพิเศษอีก กรรมเวร ไว้คิดได้จะมาเขียนนะคะ  :กอด1:
ตอนนี้ขอข้าพเจ้าเวิ่นเว้อกับเรื่องยาวที่หน้านิยายด้านหน้ากับเรื่องเล่าจากความฝัน แถมการรวมเล่มเรื่องไอ้ป่วนก่อนนะคะ วุ่นวายๆน่าดูค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: kamigasez ที่ 08-03-2011 19:40:12
รบกวนถาม เจ้าของเรื่องจ้า (ยกมือขึ้น)

ไม่ทราบว่า เอดูเนี่ยมีตัวตนจริงๆใช่ป่ะนิ

แล้ว จกร. ยังติดต่อกับเขาอยู่มั้ยอ่า?-3-
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 10-03-2011 17:41:47
^
^
^
แวบๆเข้ามาตอบว่ามีตัวจริงๆค่ะ
แต่เจ้าตัวไม่ได้ชื่อนี้นะคะ
แล้วเมืองที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่เมืองนี้ด้วย
(ที่จริงบราซิลมี เซา โฮเซ่ หลายที่มาก หุหุ)

ส่วนคำถามว่าปัจจุบันยังติดต่ออยู่รึเปล่า...
แหม...ไม่อยากตอบให้ต่อมจินตนาการคนอ่านท่านอื่นเสื่อมเลยค่ะ
ขอให้เป็นไปตามที่ทุกท่านจินตนาการก็แล้วกันนะคะ
ขอโทษจริงๆค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 10-03-2011 20:32:13
ลงชื่อ อ่านจบ
ด้วยอารมณ์อิ่มเอม ยิ้มให้กับความรัก
ที่เวลาและความห่างไกล ไม่ได้เป็นอุปสรรค

เอดูน่ารักเท่าโลก อ๊ายยยย
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: เก๋ไก๋เจ้าค่ะ ที่ 25-03-2011 22:55:07
สวัสดีค่ะพี่นุ่น มาลงชื่อว่าอ่านจบแล้วค่ะ
สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดเลยค่ะพี่!!!!

อ่านแ้ล้วแบบว่า มันอินมากค่ะ  :monkeysad:
หนูก็เด็กแลกเปลี่ยน ไปประสบพบเจอเหตุการณ์ประมาณเดียวกัน (ถึงแม้จะเป็นมิตรภาพแบบเพื่อน ไม่ใช่แบบแฟนก็ตามที)
ยิ่งตอนอิสใกล้ๆจะกลับไทย มันเกิดขึ้นคล้ายๆกับของหนูเลย
อ่านแล้วขนลุกเลยค่ะ

โดยเฉพาะตอนที่อิสลงจากรถ กับตอนโทรกลับไปหาเอดู
น้ำตาแทบร่วง  :m15: :m15:
ย้อนรอยชัดๆ 55555555

พี่นุ่นทำให้หนูกลับไปนั่งนึกถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ห่างบ้านเลยค่ะ
ประสบการณ์ที่สุดแสนวิเศษจริงๆ
ครั้งหนึ่งในชีวิต  o13

ปล.หนูมั่นใจว่า หนูเป็นรุ่นน้องพี่นุ่นแน่ๆ (อิทุนนี้มันส่งเด็กไปรอบโลก มีอยู่ทุนเดียว 5555)
แต่คนละประเทศค่ะ หนูไปประเทศที่พี่นุ่นทรานสิทเครื่องบินค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-03-2011 13:52:12
ลงชื่อ อ่านจบ
ด้วยอารมณ์อิ่มเอม ยิ้มให้กับความรัก
ที่เวลาและความห่างไกล ไม่ได้เป็นอุปสรรค

เอดูน่ารักเท่าโลก อ๊ายยยย

ขอบคุณที่เข้ามาแสดงตัวค่ะ  :กอด1: เอ๊ดูมันน่ารักจริงแต๊ แต่....หมั่นไส้ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก
ดีใจที่อ่านแล้วยิ้มได้นะคะ ^o^

สวัสดีค่ะพี่นุ่น มาลงชื่อว่าอ่านจบแล้วค่ะ
สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดเลยค่ะพี่!!!!

อ่านแ้ล้วแบบว่า มันอินมากค่ะ  :monkeysad:
หนูก็เด็กแลกเปลี่ยน ไปประสบพบเจอเหตุการณ์ประมาณเดียวกัน (ถึงแม้จะเป็นมิตรภาพแบบเพื่อน ไม่ใช่แบบแฟนก็ตามที)
ยิ่งตอนอิสใกล้ๆจะกลับไทย มันเกิดขึ้นคล้ายๆกับของหนูเลย
อ่านแล้วขนลุกเลยค่ะ

โดยเฉพาะตอนที่อิสลงจากรถ กับตอนโทรกลับไปหาเอดู
น้ำตาแทบร่วง  :m15: :m15:
ย้อนรอยชัดๆ 55555555

พี่นุ่นทำให้หนูกลับไปนั่งนึกถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ห่างบ้านเลยค่ะ
ประสบการณ์ที่สุดแสนวิเศษจริงๆ
ครั้งหนึ่งในชีวิต  o13

ปล.หนูมั่นใจว่า หนูเป็นรุ่นน้องพี่นุ่นแน่ๆ (อิทุนนี้มันส่งเด็กไปรอบโลก มีอยู่ทุนเดียว 5555)
แต่คนละประเทศค่ะ หนูไปประเทศที่พี่นุ่นทรานสิทเครื่องบินค่ะ ^^
โอ๊ะ ยินดีต้อนรับรุ่นน้องค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ย้อนรอยเนอะ คิดถึงตอนนั้นทีไรก็ยิ้มทั้งน้ำตาทุกที หงุงหงิง  :m13:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: sanook ที่ 30-03-2011 01:10:32
เรื่องนี้ก็น่ารักอีกแล้ว
ถึงจะหวานไม่เท่าพี่ฟ้ากับตัวป่วนแต่ก็เป็นความที่พอดีและลงตัว
อิสน่ารักจัง เอดูก็น่ารักเหมือนกัน
ถ้ามีแฟนแบบเอดูก็คงจะดีนะเนี่ย เริ่มอิจฉาอิสซะแล้วซิ
ชอบวี(วิเวียน)จัง เธอแรงได้ใจมาก


ตอนพิเศษวันคริสมาสต์
อิส บางทีเราก็ต้องอย่าได้แคร์คนอื่นบ้างอะไรบ้างน่ะนะ
ไม่ใช่ทำเหมือนใครบ้างคน อย่าได้แคร์คนอื่น แคร์แค่meu bem ก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ เอดู

ปล. ตกลงทั้งคู่ได้ฉลองคืนอีฟที่ซาน โฮเซ่หรือเปล่านะ
ปล2. อยากให้มีตอนพิเศษออกมาอีกเรื่อยจัง
ปล3. เรื่องนี้จะมีเป้นรูปเล่มหรือเปล่าค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: DeJavu~ ★ ที่ 01-04-2011 20:08:02
โอ๊ย!!!~ ไม่ไหวแล้วสำลักความน่ารัก ของ เอดูและอิส   :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:

ใครก้อได้หยิบอิสูลิน ให้ผมทีก่อนเบาหวานจะกำเหริบ555 o18 o18 o18

พี่นุ่น (ขออนุญาติเรียกนะคร๊าบบบบ)  หวานมั่กมากๆๆๆ

พี่นุุ่นรู้ตัวมั้ยเนี่ย ว่าจะทำให้คนอ่านเป็นโรคเบาหวาน

ชอบมากๆๆเลยครับพี่นุ่น     พี่นุ่นแต่เก่งมากๆๆๆ

ตอนจบ หาผ้าเช็ดหน้า มาซับน้ำตาแถบไม่ ทัน

ตอนแรก คิดว่าจะได้กินม่าม่าชามโตแล้ว

แต่ที่ไหนได้ ตอนพิเศษ เอาแถบเป็นเบาหวาน

แต่เสียดายนิดๆๆ ไม่มี nc อดเย๊ย  :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

ชอบเอดูมากๆๆอ่า  พี่นุ่น อยากได้แบบเอดูสักคน เอาใจใส่  ดูแล และรักน้องอิสสุดๆๆ แถบปานจะกลืนกิน

ส่วนน้องอิสก้อน่ารัก ใสๆๆ อ่านแล้วใจละลาย


พี่นุ่นจัดตอนพิเศษมาอีกได้ปะ เอาแบบหวานกว่านี้นะ

เค้าชอบบบ   

ขอบคุนพี่นุ่นมากๆๆครับ ที่อุตสาห์แต่เรื่องราวที่น่ารัก และ น่าประทับใจ มาให้อ่านกัน

มีผลงานมาอีกก้อช่วยบอกกันนะคร๊าบบ o13 o13 o13

จะได้ไปตามติด ติตตาม ผลงานของพี่นุ่น ต่อไป :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:







หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Azygos ที่ 06-04-2011 02:41:00
ก่อนอื่นขอกอด  :กอด1: :กอด1: :กอด1: กอดพี่นุ่นแน่นๆ เลยครับ

เพิ่งมีโิอกาสอ่านเรื่องนี้ (ไปอยู่ไหนมาพ่อคุ๊ณณณ) ครับ อ่านแล้วบอกได้คำเดียวว่าอิ่มเอมใจเป็นที่สุดครับ โดยเฉพาะตอนจบ อ่านแล้วน้ำตามันเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เลยล่ะครับ มันทำให้ผมกลับมามองเห็นว่า ความรักก็ยังมีแง่มุมดีๆ อยู่อีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าเรื่องราวของ อิสและเอดู เป็นเรื่องราวที่มาจากเรื่องจริง ตัวละครและสถานที่จริง ยิ่งทำให้ผมประทับใจมากครับ

ขอบคุณจากใจครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Ottomechan ที่ 06-04-2011 19:22:47
หวาน~~~
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 28-04-2011 02:37:40
ตอนเเรกกลัวเป็นนิยายเศร้า ทำใจตั้งนาน จริงๆเเล้วมันหวานมากๆ ไม่หวานเกิน กำลังดี

ธรรมชาติมากๆชอบค่ะ :L1: +1 ค่ะ

ตามนิยายเรื่องอื่นของพี่นุ่นมาก ของเรียกตามคนอื่นน่ะค่ะ

หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Saint De Jupiter ที่ 14-05-2011 14:30:13
เริ่มจะชอบคนแต่งคนนี้ซะแล้วสิ ขอตามไปอ่านเรื่องอื่นๆของคุณนุ่นเพิ่มก่อนนะครับ แล้วจะมาสมัครเป็นแฟนคลับ

^___^
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-05-2011 21:02:48
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ
ปลื้มทุกครั้งที่เห็นว่ามีคนอ่านมาบอกว่าอ่านแล้วชอบ อ่านแล้วยิ้มได้
:กอด1: ขอบคุณมากกกกกกนะคะ

(ช่วงนี้ไม่ค่อยกล้าโผล่หัวโผล่ตัวเท่าไหร่ เรื่องยาวที่หน้านิยายปัจจุบันทิ้งค้างมาเดือนกว่าแล้ว ยังเขียนไม่ได้ดั่งใจเลย วิ่งหนีๆๆๆ)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 22-05-2011 18:16:34
ความรักที่เกิดในแดนไกล แต่ภาษาที่แตกต่างก็ไม่เป็นอุปสรรค แค่ภาษาใจ (แถมภาษามือ) สื่อถึงกันความรักก็หวานกำลังดี
อิจฉาอิสเป็นที่สุดที่ขโมยใจคนหล่อแถมน่ารักอย่างเอดูมาครอบครองได้
ขอบคุณมากนะค่ะคุณนุ่นเรื่องนี้ประทับใจอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 28-05-2011 23:23:54
เป็นเรื่องที่ทำให้นึกถึงอดีตหลายๆ อย่าง
ดีใจกับอิสและเอดูที่ได้กลับมาเจอกัน พรหมลิขิตชักพาจริงๆ
อยากเชียร์ให้มีตอนต่อ อยากเห็นอิสกลับไปเยี่ยมโฮสต์และ
ครอบครัวเอดูจัง
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: £.Ma|e¥ ที่ 28-08-2011 01:06:08
เฮ้อ~ อ่านจบแล้ว รู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอกยังไงไม่รู้  :เฮ้อ:
จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่ยิ้มพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ
แต่มันดันเป็นความรู้สึกที่แบบว่า มีความสุข สุขจนขนลุก  :o
รู้สึกจุกที่หัวใจเพราะคำว่า ตื้นตัน มันตีตื้นขึ้นมาทำให้ได้แต่ยิ้มและอวยพรให้ทั้งคู่มีความสุขตลอดไป ^_____^
...................
โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่อ่านอะไรมักจะอิน(เกินไป)ตลอด  :m23:
แต่เรื่องนี้ นอกจากคำว่า ซาบซึ้งและตื้นตัน มันคงจะมีคำว่าอิจฉาโผล่มาในความรู้สึกเราด้วย  :laugh:
อิจฉาที่ทั้งคู่ได้เจอความรักที่แสนวิเศษณ์และต่างมอบให้แก่กัน เหนือกาลเวลาที่หมุนผ่านไปเรื่อยๆ
แต่เหมือนกับว่าหัวใจของทั้งคู่อยู่ที่กันและกัน ไม่ใช่ทั้งดวง ..
แต่กลับเป็นครึ่งดวง ต่างก็มาเติมเต็มให้เต็มหัวใจ เหมือนที่อิสพูดไว้
หัวใจครึ่งหนึ่งอิสมอบให้เอดู และรับเอาอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจเอดูมา
สองหัวใจที่งดงาม ที่มาจากดินแดนห่างไกล คำว่าพรมหลิขิต คงเหมาะสำหรับพวกเค้า
คุณนุ่นแต่งได้สุดยอดมากค่ะ  o13 ยิ่งเอดูกับอิสมีตัวตนจริงๆ ....
ก็ยิ่งเหมือนกับว่า คุณนุ่นถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเค้า ได้อย่างงดงามเลยค่ะ   :L2:
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่จริงบ้างแต่งบ้าง แต่มันกินใจอิบ้าคนนี้จริงๆค่ะ  :pig4:


แน่ล่ะ เพราะไม่ใช่ว่าผมทิ้งหัวใจทั้งดวงไว้ที่ผืนดินนี้
แต่ผมแค่ยอมเสี่ยงแลกครึ่งหนึ่งของใจไว้
และรับเอาอีกครึ่งของหัวใจที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตของอีกคนกลับบ้านมาด้วยต่างหาก

คราวนี้ผมจะเดินทางเข้าหาดวงอาทิตย์ เอดูมันบอกไว้ว่าแค่....แค่หมื่นไมล์ หมื่นหกพันกิโลเมตรเท่านั้นเอง
ใกล้แค่นี้......แถมโลกใบนี้ยังถูกพิสูจน์แล้วว่ามีสัณฐานดั่งผลส้ม
หวังว่าสักวันที่ว่า......คงไม่นานเกินรอหรอกนะ.....เอดู
  :m1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: fongbeer37 ที่ 29-08-2011 21:15:34
ชอบ!!!มากกซึ้งอ่ะ โอ๊ยบรรยาย ไม่ถูกก
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 05-09-2011 19:59:19
อ่านน้องอิสกับคุณแฟนจบรวดเดียวเลยค่ะ
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ถึงมันจะไม่หวานแหววเหมือนตัวป่วนกับพี่ฟ้า
แต่มันก็หวานละมุนละไม
ติดอยู่ในหัวใจของคนอ่านได้เป็นอย่างดีค่ะ
ประทับใจจริงจัง
 :man1:
แถมแอบนั่งอ่านในออฟฟิซตาก็แดงไปด้วย
ก็คนมันเศร้านี่ค้า
 :sad4:
แต่ดีใจที่มีตอนพิเศษให้ทั้งคู่กลับมาเจอกันอีก
ถึงจะต้องห่างกันไปเป็น 10 ปี
แต่หัวใจก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ซาบซึ้งจริงๆค่ะ
ขอบคุณ anajulia ค่ะ
 :pig4:
ปล.เรายังคิดถึงน้องดอว์นอยู่ทุกวันเลยนะคะ
 o18
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 07-09-2011 08:07:15
แง่มๆ
ใจเย็นกับการรอลูกดอว์นของหม่าม้านะคร้า
ข้าพเจ้าเร่งเขียนๆ อยากมาส่งให้อ่านกันเร็วๆ แต่ดันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก
(อันที่จริงเกิดอาการแก่ตัวแบบเฉียบพลัน งุงิ)

ไม่สบายจัดๆ เมื่อวานเพิ่งถูกฉีดยาตรงแก้มก้น(อายคุณตาหมอมากมาย)

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านแล้วก็รู้สึกดีๆไปกับเรื่องของอิสและเอดูมันนะคะ
ความรักมันดีมากเลยเน้ออออออออออ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 07-09-2011 10:51:11
เข้ามา ตบ จิก และฉีกทึ้ง ใครบางคน เพราะ...คิดถึ๊ง คิดถึงละ!

 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 02-10-2011 11:21:00
ขอบคุณ คุณนุ่นนะครับ ที่เขียนเรื่องราวดีดีให้ผมได้อ่าน


เพิ่งได้อ่านเรื่องของคุณนุ่นครั้งแรก  และก็จะตามอ่านเรื่องอื่น ๆ ด้วย


อยากอ่านตอนพิเศษ อีกตอนจังครับ


อยากถามคุณนุ่นด้วยว่า ปัจจุบันคุณนุ่นยังติดต่อกับคุณเอดูบ้างไหมครับ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 02-10-2011 16:21:00
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ตามมาจากเรื่องอื่นของคุณนุ่น
ชอบเรื่องนี้มากเลย อบอุ่น ประทับใจ ทำเสียน้ำตาด้วย :sad4:
ชอบฉากตอนที่เอดูดีดกีตาร์แล้วก็ร้องเพลงให้อิสอะ :impress2:
แล้วก็ตอนที่อิสถักผ้าพันคอเอาเป็นของขวัญวันเกิดให้เอดู
ใจหายตอนจบอะ แต่คิดว่ายังไงคงได้เจอกันเนอะ ผ่่านมาตั้ง 10 ปีแหน่ะ!
แต่ก็ยังได้พบกัน~ พรหมลิขิตชัดๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 03-10-2011 06:46:24
คุณแป้งจี่ กอดแน่นนนนนนนนนนนนนนน อ่านยังคะ? ฮ่าๆๆๆ

คุณ B2oM  ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และดีใจที่ชอบนะคะ ส่วนเรื่องที่ถาม ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
(แบบว่าให้แล้วแต่จินตนาเล้ยยยย)

คุณPOPEA สะเทือนอารมณ์เนอะคะ เรื่องรักเด็กน้อยก็งี้ มันใสมันตรง
เด็กๆมันน่ารัก คิดอะไรก็พูดอย่างงั้น แสดงออกอย่างนั้น ไม่มีเหลี่ยมมุมอะไรมากมาย รักก็ว่ารัก....งุงิงิงุ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nan_chp ที่ 04-10-2011 17:51:11
เพิ่งสังเกตว่าเรื่องนี้คุณนุ่นเป็นคนเขียนเหมือนกัน...จำได้ว่าเคยอ่านเมื่อปีก่อน ซึ้งมากๆเลยครับ

เปิดเจอวันนี้ว่าจะอ่านซึมซับความโรแมนติกอีกรอบ ^^

ปล.ชอบเรื่องที่คุณนุ่นเขียนทุกเรื่องเลยครับ...
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: patchybelle ที่ 21-11-2011 20:42:11
อ่านจบแล้ว น่ารักจังเลย หวานๆซึ้งๆ เป็นความทรงจำที่สวยงามมากเลย  :monkeysad:

ระยะเวลากับระยะทางพิสูจน์ใจจริงๆ ตอนจบซึ้งมากเลย สุดท้ายก็เจอกันซะที  :impress3:

ตอนพิเศษก็หวาน คุณแม่อิสน่ารักจัง  ><

amor amora  :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: OTAKKIEZ ที่ 06-12-2011 21:50:58
คุณนุ่นคะ ~ ^^ กลมนะคะ ยูส Rinze ถ้ายังจำได้ ♥ พอดีลทมรหัสค่ะ แฮ่ๆ

 จำไม่ได้ไม่เป็นไรค่ะ พอดีย้อนกลับมาอ่านรอบที่ 3 แล้วได้ให้เพื่อนๆอ่าน ทุกคนบอกว่าชอบกันหมดเลย

อยากให้ออกรวมเล่มจัง โดยเฉพาะคนนึงนี่ติดหนูอิสมากๆเลย ฮ่าๆ

เลยอยากจะลองถามดูค่ะ ถ้าคุณนุ่นสะดวก  อยากให้ทำเป็นเล่มออกมาจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 12-12-2011 10:37:47
ตอนจบที่อิสต้องกลับบ้านอ่ะ เราร้องไห้เลย
สงสารทั้งสองคนเลย ทั้งๆ ที่อยากรักกันอยากอยู่ด้วยกันมากขนาดนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่า แต่ละคนก็ยังมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง

แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมั่นคงต่อกันซะอย่าง ยังงัยก็ต้องได้เจอกันได้อยู่ด้วยกัน
ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้องร่ำหากัน แล้วสวรรค์จะใจร้ายได้ยังงัย จริงมั้ย? ><b กด like เบาๆ ให้อีกหนึ่งเรื่องดีๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 21-12-2011 08:35:10
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-07-2012 20:45:24
เป็นเรื่องที่อบอุ่นมาก ๆ ค่ะ ให้ความรู้สึกหวาน ๆ น่ารัก ๆ
แล้วค่อย ๆ บีบหัวใจ เราน้ำตาหยดแหมะตอนที่ต้องจากกันค่ะ
เป็นความรักที่อยู่ทนคู่ไปกับวันเวลาจริง ๆ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: FFS_Yaoi ที่ 26-04-2013 10:46:19
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: vevi ที่ 05-10-2013 20:25:29
ชื่อเรื่องก็ลุ้นแล้วว่าจะเศร้าไหม
อิสน่ารัก เอดูก็อบอุ่น ชอบคู่นี้ น่ารักละมุนละไมดีจัง อิอิ

ดีใจที่จบhappy แต่ยังไงคนอ่านก็น้ำตาจะไหล
เพราะซึ้งไปกับความรักของ น้องอิสกับเอดู
รักและรอคอยจนได้อยู่ด้วยกัน  :L2:

ชอบบรรยากาศของเรื่องนี้จังคะ ขอบคุณผู้เขียน  :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 10-10-2013 22:05:01
อ่านรวดเดียวจบ! ซึ้งมากค่า

แอบกังวลตอนจบ แต่ก็ไม่ผิดหวังเพราะมีตอนพิเศษมาให้ชื่นชมกัน

หวานจนชื่นใจเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: coon_all ที่ 17-12-2013 03:08:36
สนุกมากกกกกกกก ทำไมเพิ่งมาเจอเรื่องนี้
น่ารักมากๆเลยค่า
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 04-04-2015 13:51:46
กรี๊ดดดดดดดด หวานนนนนน หวานฝุดๆอ่ะ!! :-[
หลงรักคู่นี้เลยบอกตรง!!!!! :กอด1:
ขอบคุณมากๆค่ะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 14-04-2015 17:18:26
น่ารักมากกกกกกก หวานมากกกกกกกก ชอบมากกกกกกกกก

คือเราอ่านแล้วอมยิ้มตลอดเลย แถมฟังเพลง Anna Julia วนหลายรอบละ

ทำเอาเราอยสกไปบราซิลเลยอะ

ผู้ชายอย่างเอดูนี่ ไม่ว่าใครก็ต้องยอมแพ้จริงๆ อะไรจะแสนดีขนาดนี้ อิสก็นะ ขี้อ่อยจริงๆเลย เอดูก็ไปไหนไม่รอดหรอกแบบนี้อะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: YOSHIKUNI RUN ที่ 23-04-2015 01:26:18
อยากบอกว่าพลาดค่ะ! พลาดอย่างแรง!! ทำไมพึ่งเห็นเรื่องนี้ๆๆๆ สนุกมากๆๆ หวานเลี่ยนกันเลยทีเดียว  :-[ :o8:
ขอบคุณค่ะที่เขียนเรื่องสนุกๆให้อ่าน :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 11-05-2015 06:43:28
ขอบคุณนะคะ นิยายน่ารักดีค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 22-02-2016 23:38:55
ขอบคุณค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 03-03-2016 21:53:37
กำลังอ่านรอบที่3...
เป็นเรื่องโปรดในใจเลย!
ชอบมากกกกกกกกกก
อบอุ่น น่ารัก ที่สุด
ภาษาอ่านง่าย ลื่นไหล
อยากให้เรื่องยาวกว่านี้ อยากอ่านไปเรื่อยๆๆๆๆๆ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 22-04-2016 14:13:32
มาเจอเรื่องนี้ช้าไป (ทั้งๆ ที่สิงเล้ามาตั้งนาน) พลาดมากกกก ชอบมากค่ะ ทั้งเนื้อเรื่อง ตัวละคร สไตล์การเขียน :)
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 01-05-2016 08:09:28
อ่านเรื่องนี้แล้วร้องไห้เลยค่ะ
ทั้งดีใจ ซึ้งใจ รักตัวละครมากๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ เราประทับใจมากเลยค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: san ที่ 15-06-2016 21:50:57
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 07-02-2017 16:15:03
คิดถึงเลยมาอ่านอีกรอบ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 02-02-2018 16:49:27
ตามมาจากพี่ฟ้ากับตัวป่วนค่ะ  ยังคงเป็นนิยายที่อ่านแล้วอบอุ่นใจใช้ภาษาสวยๆเหมือนเดิม  เราก็เป็นอีกคนที่นิยมชมชอบตัวเอกใส่แว่นเหมือนกันค่ะ  ไม่ว่าจะเป็นเมะหรือเคะก็ตาม  ถึงส่วนใหญ่ที่ปลื้มๆอยู่จะเป็นเมะทั้งหมด  เราชอบการดำเนินเรื่องของคุณมากๆเลยให้ความรู้สึกร่วมไปด้วยเวลาอ่านให้เราซาบซึ้งกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนให้เราเข้าใจได้ว่าการรอใครสักคนเป็นเวลาสิบปีโดยที่ความรู้สึกรักคนๆเดิมยังอยู่ไม่ใช่เรื่องยากเกินจะเชื่อได้  ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆแบบนี้นะคะ  แล้วจะติดตามผลงานอื่นๆของคุณแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 06-06-2019 17:28:35
ขอบคุณนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: บทที่หนึ่งในความทรงจำ:Primeira Neve de Nós (26/12/2010)
เริ่มหัวข้อโดย: sakura_sung ที่ 05-09-2022 21:59:22
น่ารักมากๆเลย อ่านจบทุกเรื่องแล้ว ฟิวกู๊ดมากกก