ตอนที่ 63
“ลืมอะไรหรือเปล่า” ผมถามรักที่กำลังยกกระเป๋าใส่ท้ายรถ มาอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วันก็ถึงกำหนดต้องส่งมันกลับบ้านอีกแล้ว
“น่าจะครบนะพี่กันต์ กระเป๋าเสื้อผ้า ถุงขนม ชองฝาก ครบแล้วแหละ” รักพูดร่ายให้ผมฟังว่ามีของอะไรที่ต้องเอากลับไปบ้าง
“แน่ใจ ถ้าไม่ครบก็ไม่ส่งไปให้หรอกนะ” อันนี้เสียงกรพูด ก่อนจะปิดท้ายรถ
“มาเอาเองก็ได้” รักตอบ
“ใครเขาให้มา แต่ไม่เป็นไรถ้าลืมเดี๋ยวพี่ใช้คนอื่นส่งไปให้แทนก็ได้ คงมีคนเขาเต็มใจอาสา ดีไม่ดีจะไปส่งให้ถึงมือ” กรพูดส่วนรักเงียบแล้วเดินหนีไปขึ้นรถ
“เอ้า เงียบไม ไม่เถียงด้วยแล้วหรอ” กรยังแหย่น้องไม่เลิก
“พอมันไปแล้วอย่ามาทำหงอยนะ” ผมพูดกับกรแล้วเปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างคนขับ
คู่นี้ก็ช่างขยันต่อปากต่อคำกันเหมือนเดิม จนบางทีผมถึงกับปวดหัวไม่รู้จะฟังใคร แต่พอถึงเวลาจะแยกกันจริง ๆ ขึ้นมาทีไร ก็เป็นอันซึมกันทั้งคู่ อีกคนก็หงอย อีกคนก็เหงา สุดท้ายก็โทรหากัน คุยกันงุ้งงิ้ง ทีอยู่ด้วยกันไม่รู้จักคุยกันดี ๆ ถ้าลองเป็นคนอื่นที่ไม่ใช้เจ้ารักนี่ผมคิดมากแล้วนะ โทรหากันที กรก็จะคุยว่า พี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ วันนี้พี่ไปดูหนังเรื่องนี้มาสนุกมากไปดูมาหรือยัง วันนี้พี่ไปซื้อไอ้นั่นไอ้นี่มาแล้วเจ๋งมาก ๆ ซื้อมาเผื่อด้วย เดี๋ยวส่งไปให้ และอีกร้อยแปดพันเก้าที่สองคนนั้นเขาหาเรื่องมาคุยกัน
จนผมเคยค่อนคอดใส่กรไปไม่ได้ว่า “เด็ก ๆ มันน่าสนใจกว่าผู้ใหญ่นี่นะ ไอ้เราได้กันแล้วก็คงจะเบื่อ ถึงไม่ค่อยสนใจ ไม่เป็นไรเข้าใจ ๆ” พอกรได้ยินก็รีบมาสนใจผมทันที จนผมต้องหลุดหัวเราะเสียงดัง คือหัวเราะทั้งตัวผมเองที่พูดอะไรแบบนั้นออกไปได้ ทั้งหัวเราะกรที่พยายามจะอธิบายด้วยสีหน้าจริงจังว่ามันไม่มีอะไรเลยนะ เพราะเขาคิดว่าที่ผมพูดนะผมคิดจริงจัง สุดท้ายผมนี่แหละต้องรีบบอกว่าล้อเล่น ผมไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะผมกับป่านก็เคยเป็นอะไรที่ไม่ต่างจากคู่นี้นักหรอก เพียงแต่ตอนนี้ที่ผมไม่ได้ติดกับป่านมากเหมือนก่อน เพราะมีคนมาแย่งน้องผมไปเก็บไว้คนเดียวต่างหาก นาน ๆ ถึงจะยอมปล่อยให้ห่างอกมาหาพี่ชายอีกคนอย่างผมสักที ว่าแล้วเย็นนี้ชวนมาทำอะไรกินที่บ้านน่าจะดีเพราะไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่สงกรานต์
คิดแล้วก็โทรไปชวนมาเลย เดี๋ยวส่งรักแล้วแวะซื้อของเข้ามาเลยทีเดียว แต่เย็นนี้ผมคงไม่ลงมือทำอาหารเอง รอให้ตัวแถมที่ติดสอยห้อยตามมากับไอ้ป่านเป็นคนทำ
--------------------------------------
“ถ้าไม่โทรไปตามพี่คงไม่เจอหน้า” ผมพูดตอนป่านเดินยิ้มเผล่เข้ามาหา โดยมีพี่กาวน์เดินตามมา
“เอาน่าก็มาให้เห็นหน้าแล้วนี่ไง แล้วไอ้กรล่ะพี่กันต์”
“เก็บของเข้าตู้เย็นอยู่ในครัว”
“แล้ววันนี้พี่จะทำอะไรกิน”
“ถามพี่กาวน์ดูแล้วกัน วันนี้พี่ไม่ทำ” ผมบอกปัด แล้วโยนไปให้คนที่ยืนอยู่ข้างป่านมันแทน
“อ้าวเฮ้ย อะไรวะ เป็นแขกนะเว้ย จะมาใช้ได้ไง” พี่กาวน์รีบโวย
“แขกที่ไหน พี่เป็นพี่ชายเจ้าของบ้าน ก็ถือเป็นคนในบ้านด้วย” ผมพูดแล้วเดินไปกอดไหล่พี่กาวน์
“เมื่อกี้ไปซื้อเนื้อมาด้วย ว่าจะให้พี่กาวน์ทำอะไรให้กินหน่อย ทำเองมันสู้ฝีมือพี่ไม่ได้จริง ๆ” ผมเริ่มใช้มุขหยอดหวังให้พี่กาวน์ยอมตกลง
“นาน ๆ เจอกันที ทำให้น้องหน่อยน่า” ผมพูดต่อ
“ทั้งปี” พี่กาวน์บ่น แต่ก็ยอมเดินเข้าไปในครัว
“พี่กาวน์อยากกินหอมทอด” เสียงป่านเดินเข้าไปบอกพี่กาวน์
“กันต์มีหอมใหญ่หรือเปล่า”
“มี เอากี่หัว แล้วพี่กาวน์จะทำอะไรบ้าง”
“ยังไม่รู้ ดูของก่อนมีอะไรบ้าง” พี่กาวน์พูดแล้วเดินมาดูของที่ผมซื้อมาแล้วยังวางอยู่บนโต๊ะ มีแค่บางส่วนที่กรเอาเข้าตู้เย็นไปแล้ว
“ไอ้ป่านมึงมาช่วยกูจัดโต๊ะ อยู่ในนี้เกะกะทำอะไรก็ไม่เป็น” เสียงกรแขวะป่าน ที่เดินวนสำรวจรอบครัว ผมรู้ว่าป่านกำลังมองหาของที่หยิบกินได้อยู่
“มีคุ้กกี้อยู่ในตู้เย็น ลูกค้าพี่เอามาฝาก อร่อยดี เอามากินสิ” ผมบอก พอผมพูดจบปุ๊บป่านมันก็เดินไปเปิดตู้เย็นมองหาคุ้กกี้ที่ผมพูดถึงทันที
“ไม่ช่วยแล้วยังมากินขนมกูอีก” เสียงกรพูดหลังจากเจอป่านผลักไปติดข้างฝาเพราะไปยืนขวางทางป่านที่จะเปิดตู้เย็นหาขนม
“เออ ใครจะไปเก่งเหมือนมึง แต่เท่าที่กูรู้ที่มึงอยู่รอดทุกวันนี้ก็กับข้าวฝีมือพี่กูทั้งนั้น มึงได้ทำกับเขาด้วยหรอ” ป่านหันมาพูดหลังจากเจอโหลคุ้กกี้ที่ผมบอกแล้ว
“กูก็ทำได้หลายอย่างแล้วเหอะ ไม่เชื่อถามพี่มึงดู มึงนั่นแหละทำอะไรไม่เป็นเหมือนเดิม” กรพูดระหว่างหยิบจานออกจากตู้ แต่พอหันมาก็เจอป่านจับคุ้กกี้ยัดเข้าปากไปเต็ม ๆ
“ไอ้...” กรจะด่าก็ด่าไม่ออก เพราะคุ้กกี้เต็มปากจะใช้มือหยิบออกก็ทำไม่ได้เพราะถือจานอยู่
“จะบอกให้รู้กูก็พัฒนาแล้วเว้ย ทำเป็นบ้างนิดหน่อย” ป่านพูดแล้วถือขนมไปนั่งกินอยู่ที่เคานท์เตอร์บาร์
ส่วนผมต้องมารับหน้าที่เป็นลูกมือของพ่อครัวใหญ่ ยืนปอกและหั่นหัวหอมใหญ่ตามคำสั่ง เพื่อเตรียมทำหอมทอดหรือออเนียนริงให้ไอ้น้องชายที่ผมอัญเชิญมันมาบ้าน พี่กาวน์ก็ดีเหลือเกิน ไอ้ป่านพูดออกมาคำเดียวตอบตกลงทำตามใจมันทันที แต่ไอ้ความลำบากมันดันมาตกอยู่ที่ผม หั่นไปน้ำตาก็ร่วงไป หั่นไม่พอยังต้องมานั่งแกะออกให้เป็นวง ๆ อีก
“อะไรพี่กันต์ ทำกับข้าวเลี้ยงน้องแค่นี้ถึงกับต้องร้องไห้” ไอ้ป่านเห็นน้ำตาผมร่วงมันก็ล้อทันที
“แล้วเพราะใครวะ จะกินแต่ละอย่าง ไอ้ที่มันง่ายกว่านี้ไม่มีหรือไง” ผมบ่น ก่อนอยู่นิ่ง ๆ ให้กรใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาให้
“หมันไส้” เสียงไอ้ป่าน
“มึงเลิกกินแล้วมานี่เลยมา เอาจานตามกูมาด้วย” กรพูด แล้วยัดจานสี่ห้าใบที่เอาลงมาจากชั้นใส่มือป่าน ก่อนลากคอป่านที่ถือจานเป็นสี่ห้าใบอยู่ในมือให้เดินตามออกไปด้านนอก เย็นนี้จะออกไปตั้งวงกินกันที่ศาลาข้างสระน้ำเลยขนของออกไปเตรียมไว้ก่อน
“พี่กาวน์ทำอะไรบ้าง” ผมหันไปถามพี่กาวน์ที่กำลังเอาเนื้อที่ผมซื้อมาหมักกับเกลือ พริกไทย
“เนื้อย่าง หอมทอด แกงเขียวหวาน พริกหวานผัดตับ ไข่ยัดไส้” พี่กาวน์ตอบ ตอนไปซื้อกับข้าวกับกรผมก็ไม่ได้คิดว่าเย็นนี้จะกินอะไร ก็ซื้อกับข้าวเข้าบ้านมาเหมือนปกติ กะว่าพี่กาวน์เห็นของที่ซื้อมาแล้วอยากทำอะไรก็ทำ ดูรายการอาหารแล้วหอมทอดของไอ้ป่านนี่ไม่ได้เข้าพวกเลยสักนิด
“หั่นหอมกับมะเขือเทศทำไข่ยัดไส้ต่อด้วย” พี่กาวน์สั่งต่อ
“น้านาถว่ายังไงบ้างเรื่องป่าน” ผมถามเพราะเป็นห่วงป่าน
“ยังไม่ได้คุยเรื่องนั้นกันอีก แต่ป่านก็มาบอกว่าได้คุยกับน้านาถมากขึ้น แต่พี่คงไม่ไปพูดอะไรอีก ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน”
“อื้ม” ผมตอบรับ
“พี่กาวน์ พี่เคยคิดเรื่องมีลูกบ้างไหม” ผมถาม
“ทำไมถึงถาม” พี่กาวน์หันมามองหน้าผม ก่อนย้อนถามกลับมา
“บางทีนั่งทำงานไปมันก็มีคิดขึ้นมาเหมือนกันว่า จะทำไปเพื่อใคร” ผมพูด ความคิดนี้มันอาจจะมาจากเมื่อวันหนึ่งผมนั่งคิดไปถึงตอนเด็กที่ผมเคยถามพ่อว่าทำไมต้องทำงานหนัก ทั้งที่เราเองก็มีเงินเยอะแล้ว แล้วพ่อตอบมาว่า “ทำเพื่อผม” มันก็เลยทำให้ผมคิดถามตัวเองว่าแล้วผม “ทำไปเพื่อใคร” จริงอยู่ที่ว่า สิ่งที่ผมเริ่มต้นทำมาด้วยตัวเองมันมาจากความชอบ ความรัก และความสนใจของผมเองล้วน ๆ แต่ในส่วนที่รับมาจากพ่อแม่มันก็ถือเป็นความรับผิดชอบที่ทำให้ผมต้องเข้าไปดูแลอย่างเต็มกำลังโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วถ้าวันหนึ่งไม่มีผม มันจะเป็นยังไง และไม่ใช่แค่เรื่องของผม เพราะถ้าดูในส่วนของกรเองเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากผม
“เราเป็นลูกชายคนเดียวกันทั้งคู่ พี่กาวน์ไม่เคยคิดหรอว่าสิ่งที่เรามีอยู่สุดท้ายมันจะไปตกอยู่ที่ใคร” พี่กาวน์ฟังเงียบ ๆ ก่อนส่งเสียงถอนหายใจมาเป็นคำตอบ
“ยังสับสนอยู่อีกหรือไง” พี่กาวน์ย้อนถามกลับมา
“เปล่า แค่กำลังคิดถึงอนาคตว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นยังไง ที่จริงกันต์ก็เคยคุยกับพ่อแม่แต่พ่อแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร ถึงเวลาแล้วค่อยคิด ไม่มีแรงจะทำแล้วนั่นแหละค่อยคิด ตอนนี้ทำไหวก็ทำไป เรื่องใครจะมารับช่วงต่อยังไม่ต้องไปคิด แต่กันต์ว่าพ่อแม่ต้องคิดบ้างเพียงแต่ไม่พูดออกมาแค่นั้น”
“แบบนั่นเขาก็เรียกว่าสับสน”
“ไม่ใช่ แค่คิดเผื่อ หรือให้คิดง่าย ๆ บริษัทก็ยกให้คนอื่นไป เงินก็บริจาคให้หมด” ผมพูด
“เคยคุยเรื่องนี้กับกรบ้างหรือเปล่า”
“เปล่า” ผมตอบก่อนเดินไปหยิบมะเขือที่แช่น้ำอยู่ในกะละมังมาหั่น
“เลือกแล้วจะไปคิดอะไรมาก ก็ทำเหมือนที่ผ่าน ๆ ถึงวันนั้นมันก็คิดออกเอง ยังไงก็เลือกมาทางนี้แล้ว จะให้ถอยกลับมาก็คงไม่ใช่ทางออก” พี่กาวน์ตอบ เท่าที่ฟังดูเหมือนพี่กาวน์จะยอมรับในสิ่งที่ผมเลือกได้แบบเต็มร้อยแล้ว แต่จะไม่ให้เต็มร้อยก็คงไม่ได้ เมื่อพี่กาวน์เองก็เลือกอะไรที่ไม่ต่างจากผม เกิดจะเข้าใจกันจริง ๆ ขึ้นมาก็ตอนนี้
“ไม่วันถอยอยู่แล้ว” ผมพูด
“ส่วนเรื่องเด็กถ้าคิดจะมีจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก” พี่กาวน์พูดต่อ
“แบบพี่เอ” พี่กาวน์เงียบไปไม่นาน ก่อนจะพูดต่อ
“ที่แฟนพี่เอมีลูกไม่ได้แล้วไปให้ญาติอุ้มท้องแทนนะหรอ” ผมพูดถึงญาติห่าง ๆ
“ใช่” พี่กาวน์ตอบรับ ก่อนจะรับเอามะเขือเทศกับหอมใหญ่ที่ผมหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้สำหรับผัดเป็นไส้ไช่ยัดไส่ไป ส่วนผมก็หั่นมะเขือและเด็ดใบโหระพาเตรียมไว้ใส่แกงเขียวหวานต่อ แกงเขียวหวานพี่กาวน์ผัดพริกแกงกับหัวกะทิ แล้วใส่ไก่ตามลงไปผัด เติมหางกะทิ ปรุงรส และตั้งไฟเคี้ยวไว้ รอได้ที่อีกนิดใส่มะเขือกับโหระพาก็เสร็จ ตอนนี้เลยจะทำไข่ยัดไส้ต่อ
“ถ้าคิดจะมีจริง ๆ วิธีนั้นมันก็น่าจะเป็นทางที่ดี”
“ก็ต้องหาคน”
“คิดเรื่องนั้นจริงจังเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน ยังมีเวลาให้คิดอีกนาน บางทีวันนึงอาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
“มันก็จริง” ผมตอบรับ
“คุยอะไรกัน กับข้าวจะเสร็จยัง” ป่านเดินเข้ามาถามหลังจากหายเงียบไปกับกรได้สักพัก
“เหลืออีกสามอย่าง” ผมตอบ
“เฮ้ย อย่าอู้ ไปเอาแก้วน้ำมา” กรเดินเข้ามาตามหลัง แล้วพูดสั่งป่าน ที่กำลังจะมองหาอะไรกินอีก
“จะรีบไปไหนวะ กับข้าวยังไม่เสร็จเลย มานั่งกินขนมกับกูนี่มา ท่ามึงจะน้ำตาลตก หงุดหงิดชิบ” ป่านลากแขนกรมานั่งข้าง ๆ ดูผมกับพี่กาวน์ทำกับข้าว
“พี่กาวน์ไม่สอนป่านมันทำกับข้าวบ้าง” กรพูด
“ก็สอนบ้าง แต่ไม่ค่อยได้เรื่อง ให้ทำแล้วเหนื่อยเก็บ พี่ทำเองดีกว่า ให้รอกินเฉย ๆ ไปนะดีแล้ว” พอพี่กาวน์พูดจบ ผมกับกรถึงกับหัวเราะ ส่วนป่านนั่งทำหน้ามุ้ย
“ป่านคิดเรื่องเรียนต่อบ้างหรือยัง” ผมถามป่าน เพราะผมกับกรเคยคุยกันเรื่องที่ว่ากรจะเรียนต่อ เลยถามป่านบ้าง
“ป่านยังไม่คิด แต่พี่กาวน์คิด” ป่านตอบทั้งที่ยังไม่หายหน้าตึงจากเรื่องที่พี่กาวน์แฉเมื่อกี้
“พี่ว่าจะให้เรียนสักปีหน้า”
“ตั้งใจจะให้เรียนที่ไหน” ผมถาม แต่ก็ถามไปอย่างนั้นเพราะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ก็มีหรอที่พี่กาวน์จะยอมปล่อยให้ป่านไปเรียนต่อเมืองนอก ถ้าป่านจะได้ไปพี่กาวน์คงต้องตามไปด้วยนั่นแหละ
“คงให้เรียนที่นี่ นี่แหละ” พี่กาวน์พูด มาดดูเป็นผู้ปกครองไอ้ป่านเลยทีเดียว
“ไม่เอาป่านจะไปเรียนต่อเมืองนอก ว่าจะชวนกรไปด้วย กรไปเรียนต่อกับกูไหม” ป่านพูดแล้วหันไปลากเพื่อนมาเอี่ยวด้วย
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน” พี่กาวน์พูดเสียงเรียบ
“พี่กันต์” ป่านเริ่มหาตัวช่วยใหม่ หลังจากเจอพี่กาวน์พูดเสียงเย็นใส่ แต่แทนที่ผมจะเดินไปหาป่าน ผมเลือกเดินไปตบไหล่พี่กาวน์แทนให้เขาใจเย็น ๆ
“จะเรียนอะไรต่อ” ผมถาม
“คงต้องเป็นพวกบริหารหรือการตลาด เพราะป่านไม่รู้อะไรเรื่องธุรกิจสักอย่าง”
“ก็เรียนที่นี่พร้อมกรสิ จะได้มีเพื่อนเรียน” ผมเสนอ
“กรมึงจะเรียนที่ไหน”
“ที่เดิม”
“ก็น่าสน แล้วมึงจะเรียนเมื่อไหร่”
“ปีหน้า ถ้ามึงจะเรียนก็มาเรียนพร้อมกู เอาคณะที่มึงพูดมานั่นแหละ” กรพูด แล้วยื่นมือมาหยิบหอมทอดในจานที่ผมเอามาวางให้ขึ้นมากิน
“เออ ๆ ก็ได้วะ กูจะได้มีเพื่อน” ป่านตอบแล้วหยิบหอมทอดขึ้นมากินบ้าง
ส่วนผมพอได้ยินป่านพูดตอบกรไปแบบนั้นก็หันไปมองหน้าพี่กาวน์ที่ยังยืนทอดหอมอยู่หน้าเตาบ้าง แล้วก็เห็นว่าหน้าที่ทำตึง ๆ อยู่เมื่อกี้คลายออกแล้ว
“ป่านกับกร ยกกับข้าวไปแล้วรออยู่นั่นเลยก็ได้ ที่เหลือเดี๋ยวพวกพี่ยกไปเอง” ผมพูด แล้วหันไปคดข้าวจากหม้อมาใส่โถข้าวที่เตรียมไว้ ตอนนี้เหลือแค่ผัดพริกหวานกับตับอีกอย่างเดียวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“อยากให้น้องมันอยู่ด้วย ไม่อยากให้มันไปก็บอกไปตรง ๆ สิ ไม่พูดแล้วมันจะรู้ไหม” ผมพูดหลังจากป่านกับกรออกไปจากครัวแล้ว
“อย่างกับพูดแล้วมันจะฟัง”
“พูดหรือยัง ถึงมาบอกว่ามันไม่ฟัง” ผมตอบกลับ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่ชายตัวเองเป็นคนยังไง แล้วทำไมผมต้องทำตัวเป็นที่ปรึกษาให้คนนั้นคนนี้ไปเรื่อย เดี๋ยวไอ้รัก เดี๋ยวพี่กาวน์ ก็อย่างว่าล่ะนะ ชีวิตผมมันลงตัวแล้ว ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรแบบนี้มาให้แก้ปัญหาเท่าไหร่ นอกจากผมจะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มากไป จนเก็บเอามาคิดเป็นปัญหา ซึ่งเมื่อมาดูจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด
----------------------------------------------------